ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : White Carnation (EP1ชีวิตของคนไร้ค่า)
White Carnation (EP1ชีวิตของคนไร้ค่า)
กลีบดอกไม้สีขาวของดอกคาร์เนชั่นโปรยสะพัดแผ่กลิ่นหอมไปทั่วเต็มทุ่ง ความงามของมันงดงามยิ่งกว่าอิสตรีคนไหน ๆ ความหมายของมันคือความรักอันบริสุทธิ์
ท่ามกลางตึกสูงในเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพมหานคร บนสุดของยอดตึกคือดาดฟ้า มันเป็นที่ ๆ ปลดปล่อยความรู้สึกให้ว่างเปล่า ยิ่งเวลาจ้องมองท้องฟ้าที่มืดมิดในเวลาค่ำคืนก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองได้อยู่ตัวคนเดียวโดยสมบูรณ์ ผมเองซึ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตได้มายืนอยู่ ณ จุดนี้ค่อย ๆ รู้สึกถึงความสงบ เมื่อมองลอดกรงเหล็กที่กั้นลงไปข้างล่างก็จะมองเห็นผู้คนบนท้องถนนตัวเล็กนิดเดียว
“มาถึงตรงนี้แล้ว...จะมัวลังเลอะไรอีกละ”
ผมถามตัวเองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะว่าตั้งแต่ที่ผมมีชีวิตมา 24 ปี ไม่เคยมีเรื่องดีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเลย ตลอดเวลา ผมถูกมองว่าเป็นคนไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่อง ไม่มีงานทำ เป็นภาระที่น่าเหนื่อยหน่ายของครอบครัว มันไม่มีอะไรดีเลย ชีวิตของผมมันมีแต่ความล้มเหลว ใช่...มันก็มีแต่เป็นแบบนี้แหละ เมื่อรวบรวมความกล้าเฮือกสุดท้ายแล้วผมจึงปีนกรงเหล็กนั่น เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย กรงเหล็กนี่มันเวลาปีนก็เจ็บนิ้วมือไม่ใช่เล่นแต่ว่าเมื่อคนเราจะทำอะไรแล้วมันต้องถึงที่สุด ใช่แล้ว...อีกนิดเดียวเท่านั้น ผมหลับตาลงแล้วทะยานไปสู่ฟากฟ้า
“ชั่ววินาทีนั้นเอง ความรู้สึกเหมือนมีแรงฉุดจากด้านหลังอย่างแรงจนตัวผมหล่นลงมาข้างหลังแทนที่จะเป็นด้านหน้าที่เป็นความว่างเปล่าที่คนอย่างผมควรจะจมดิ่งลงไป”
เมื่อร่างของผมกลับมาตกลงมากระแทกกับแผ่นปูนบนดาดฟ้าผมตะโกนใส่หน้าคนที่ฉุดรั้งผมไว้อย่างเสียสติ
“ช่วยผมทำไม!! ปล่อยให้ผมตายไปสิ!!”
แต่ยังไม่สิ้นประโยคฝ่ามือเล็ก ๆ ก็ตบหน้าผมอย่างแรง
“เพี๊ยะ”
ผมได้สติกลับมา และมองหน้าผู้ช่วยชีวิตของผมไว้ เป็นโฉมหน้าของผู้หญิงที่เคร่งขรึม แววตาคมเข้ม ผิวขาวเช่นเดียวกับนมสดผมดำ และตัวเล็กมาก ผมถึงกลับตาค้างเพราะว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าที่สวยมาก ผมรู้สึกละอายมากที่ต้องทำให้เธอยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยว น้ำตาของผมไหลลงมาไม่หยุด แต่ผมก็พยายามปราดมันไว้และเดินหนี แต่มือนั้นก็ดึงแขนผมเอาไว้ให้หันหน้ามา ผมจึงมองหน้าเธออีกครั้งอย่างงุนงงเธอไม่พูดอะไร แต่เธอทำมือเป็นภาษาใบ้ แทนจะพูดกันดี ๆ แต่ผมจะไปเข้าใจภาษามือได้ไงล่ะ แต่เธอก็พยายามแสดงท่าทางซ้ำ ๆ จนผมเข้าใจได้ในที่สุด
“เธอหมายความว่า....เธออยากรับฟังปัญหาของผมงั้นเหรอ”
เป็นครั้งแรกที่ผมอ่านภาษามือออก เธอพยักหน้าตอบรับ ว่าผมอ่านข้อความถูกต้อง เวลาที่เธอก้มหน้าตาของเธอปิดกันจนหยี สีหน้าเคร่งขรึมของเธอเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม จากนั้นเองผมก็ตัดสินใจนั่งคุยกับผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้ บนดาดฟ้าที่มีเราเพียงแค่สองคน ก่อนอื่นผมคงต้องล้างหน้าเสียก่อนด้วยก็อกน้ำที่อยู่บนดาดฟ้านี่ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มต้นจากอะไรดีเพราะผมเคยนั่งคุยกับผู้หญิงจริง ๆ จัง ๆ ที่ไหนละ ผมหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาสูบก่อนเพื่อผ่อนคลายความตรึงเครียด
“ชั้นทำสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้ว”
“นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมถูกรีไทร์จากมหาวิทยาลัย มันเป็นเรื่องที่แย่มาก... ไม่กล้าที่จะเอาเรื่องนี้กลับไปบอกพ่อกับแม่ที่บ้านเลย คิดดูสิทั้ง ๆ ที่เป็นครั้งที่สองแล้วแท้ ๆ แต่ผมก็ไม่สามารถเรียนมันให้จบได้ ทั้ง ๆ ที่พยายามแล้วแท้ ๆ แต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย”
พอผมพูดจบผมก็มองหน้าเธอข้าง ๆ ที่ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง แล้วเธอก็ทำมือภาษาใบ้ให้ผมพยายามอ่านอีก แต่ผมก็จนปัญญาที่จะอ่านมันออกเพราะรู้สึกว่ามันจะยากเกินไป แต่ก็เข้าใจว่าเธอกำลังปลอบผม ผมจึงแนะนำตัวเองไปว่า
“ผมชื่อบุญเปร่งนะ แล้วเธอละ”
ผมแนะนำตัวเสร็จ ผมก็มองหน้าเธอดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจที่ผมพูดเมื่อตะกี้
“นี่เธอเป็นอะไรเหรอ ถึงไม่ยอมพูด”
เจ้าหล่อนชี้ที่ปากตัวเอง แล้วเอามือไขว้กันเป็นกากบาท แล้วก็ส่ายมืออีกทีหนึ่ง ผมเองก็พอจะเข้าใจว่าเธอเป็นใบ้หรือพูดไม่ได้นี่เอง บุญเปร่งเองก็ยิ่งรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาแล้วรำพันว่า
“ ตัวชั้นที่น่าสมเพชจริง ๆ เจอเรื่องลำบากแค่นี้ก็คิดสั้นซะแล้ว เทียบไม่ได้อะไรกับเธอเลย”
หญิงสาวคนนั้นหยิบกระดาษโน๊ตขึ้นมาแล้วเขียนข้อความให้ผมอ่านว่า
“ยิ้มเข้าไว้ โลกนี้ไม่สิ้นหวัง”
บุญเปร่งก็ตอบกลับว่า “จะให้ผมยิ้มได้ยังไงล่ะ ในเมื่อโลกนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมยิ้มได้ เพราะคนอย่างผมมันไร้ค่า ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง ถ้าผมตาย...ไม่สิถ้าถ้าไม่มีผมตั้งแต่แรกมันก็น่าจะดีที่สุด”
พอผมตะคอกไปอย่างงั้น แต่ก็พอคิดได้อีกทีจึงกล่าวขอโทษ “ขอโทษนะ ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนแปลกหน้าแท้ ๆ กลับพูดอะไรไม่เข้าท่าไม่ได้ความแบบนี้”
แล้วเธอก็ส่ายหน้า แล้วก้มหน้าลงเขียนโน๊ต
“ช่างเถอะ”
ผมเงียบแล้วเอาบุหรี่จิ้มดินและเอาเท้าบี้ ๆ ให้มันดับ ในระหว่างนั้นเองมือถือของผมก็ดังขึ้น เสียงของมันน่ารำคาญมากจนต้องหยิบขึ้นมารับสาย
“ฮัลโหล นี่บุญเปร่งนะ...อ๊ะแม่เหรอ”
แม่โทรมาเพราะเป็นห่วงผมมากที่ผมหายไปจากบ้าน ผมเองช่างโง่จริงที่ลืมคิดถึงบุญคุณที่พ่อกับแม่ท่านเลี้ยงผมมา ถ้าผมตายแล้วใครจะมาเลี้ยงท่านยามแก่ชรา เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงต้องรีบกลับบ้าน แต่ก่อนหน้านั้นผมยังไม่ได้กล่าวขอบคุณผู้หญิงคนนี้ที่ช่วยชีวิตผมไว้ไม่ให้คิดสั้น ผมปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วหันมาก้มหน้าลงต่อหน้าเธอ
“ขอบคุณนะที่ช่วยยับยั้งเวลาที่ผมขาดสติ ผมคงต้องรีบกลับบ้านแล้วละ แต่ว่าเธอชื่ออะไรช่วยบอกหน่อยเถอะ”
เมื่อเธอได้ฟังดังนั้น หล่อนก็ยื่นมือมาทั้งสองข้างและแบออก ให้ผมดูว่ามันไม่มีอะไร จากนั้นก็กำมือทั้งสองเหมือนเล่นกลของเดวิด คอปเปอร์ฟิว จากนั้นเองเมื่อเธอแบมือออกมาอีกทีปรากฎดอกคาร์เนชั่นสีขาวในมือของเธอราวกลับว่ามีมนตรา แล้วเธอก็ชี้ตัวเธอแล้วชี้ดอกคาร์เนชั่นดอกนั้น
“ค...คาร์เนชั่นเหรอ”
ในขณะที่ผมตะลึงกับมายากลสดที่เธอแสดง เธอก็ส่งดอกคาร์เนชั่นสีขาวนั่นให้ผมรับ แล้วก็ยิ้ม จากนั้นเองผมบุญเปร่งก็รับมันอย่างงุนงง
“นี่ให้ผมเหรอ”
แล้วเธอก็ยิ้มและไม่พูดอะไร แล้วผมเองก็ถามต่อว่า
“แล้วถ้าผมกลับมาที่นี่ผมจะเจอคุณอีกไหม?”
คาร์เนชั่นเงียบ เหมือนกับคำตอบก็คือไม่ ในใจของผมก็คงจะรู้คำตอบดี ว่าใครกันจะอยากผมคนแย่ ๆ อย่างผมอีกเป็นครั้งที่สอง เสียงของผมพูดอย่างอ่อย ๆ และสิ้นหวังว่า “งั้นรึ... เข้าใจแล้ว งั้นผมไปละ” ผมบุญเปร่งค่อย ๆ เดินลงบันไดทีละก้าว ที่นี่เป็นตึกที่เป็นลานโบว์ลิ้งที่เจ๊งแล้ว สภาพของมันเสื่อมโทรมท่ามกลางใจกลางกรุงเทพมหานคร เมื่อผมลงมาถึงชั้นล่างสุด และกำลังจะเดินจากไปจากตึก มีเครื่องบินกระดาษลำหนึ่งร่อนลงทิ่มหัวผมอย่างจัง เมื่อผมหยิบขึ้นมาดู หัวใจของผมโลดแล่น เพราะนี่คือ
“อีเมลแอดเดรสของเธอ”
ผมบุญเปร่งรีบเงยหน้าขึ้นไปมองบนยอดตึกก็ได้แต่เห็นแต่เงาของเธอ สูงขนาดนั้นแต่ปาเครื่องบินกระดาษรอดผ่านช่องว่างของลูกกรงลงมาได้แม่นขนาดนี้เชียวรึ ฝีมือการปาเครื่องบินกระดาษของเธอต้องเข้าขั้นเทพแน่ ๆ แต่ยังไงผมบุญเปร่งก็ขอรับมันไว้ด้วยไมตรี
หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับบ้านด้วยรถประจำทาง ขสมก ในรถคนก็แน่นเอียดเช่นเคย แต่ถึงมือหนึ่งของผมจะโหนราวแต่มืออีกข้างก็คอยระวังดอกคาร์เนชั่นที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างดีไม่ให้โดนเบียดจนมันบี้คากระเป๋า และแล้วผมก็กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ บ้านของผมเป็นตึกแถวสี่ชั้น ประตูบ้านก็เป็นลูกกรงชั้นล่างมีข้าวของเก่าเก็บวางทับซ้อนเกะกะไปหมด ทั้งจักรยานเอย หนังสือพิมพ์เอย ผมก็ถอดรองเท้าและก้าวข้ามสิ่งกีดขวางตามปกติ ดูเหมือนตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่ว่าผมก็เจอแม่ที่คอยอยู่
“ออกไปไหนมา ทำไมกลับดึกนักละ กับข้าวเย็นหมดแล้วนะ ถ้าจะกินก็เอามาเข้าเตาไมโครเวฟ...”
“แม่ไม่ต้อง...ผมทำเองได้”
เมื่อผมมองหน้าแม่กลับรู้สึกผิดที่เป็นลูกที่ดีไม่ได้ ความรู้สึกผิดมันเจ็บจี๊ดไปถึงขั้วหัวใจ แต่ว่าผมจำเป็นที่จะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้ อนาคตสำหรับคนที่ไม่มีความฝันสำหรับคนอย่างผมมันจะเป็นอย่างไร บ้านเราก็สภาพการเป็นอยู่ย่ำแย่ลงทุกที ยิ่งผมเรียนไม่จบและถูกไล่ออกมา ซ้ำ ๆ ซาก ๆ
ห้องของผมอยู่ชั้นสาม ผมมาถึงก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง อ๊ะ ไม่ได้ ๆ ดอกคาร์เนชั่นที่รับมาอยู่ที่อกผมมันจะบี้น่ะสิ โชคดีที่มันไม่เป็นไร ผมจึงจัดการเสียบมันไว้ที่แจกัน นี่เป็นดอกไม้ดอกแรกที่ได้จากผู้หญิงนี่นา ต้องถะนุถะนอมกันหน่อย วันนี้ผมคงต้องพักผ่อนก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องหางานทำต่อวันพรุ่งนี้
ชีวิตคนบางทีมันก็ไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่ถ้าจะให้ถูกต้องสำหรับผมมันเต็มไปด้วยหนามกุหลาบ การหางานทำสำหรับคนที่มีวุติจบแค่ม.6 อย่างผมมันช่างยากลำบากมาก มีคนมากมายแข่งกันหางานทำ ผมสอบสัมภาษณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าก็มีแต่บอกว่าให้กลับไปรอฟังผลที่บ้าน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีจดหมายส่งถึงตัวผมสักที เริ่มรู้สึกเหนื่อยและรู้สึกท้อจริง ๆ วันหนึ่งเฉกเช่นทุก ๆ วัน ผมเดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องถนน เห็นผู้คน หนุ่มสาว เดินด้วยกันเป็นคู่ มันก็อดอิจฉาไม่ได้ จริงสินะ ผมลองส่งอีเมลของผมไปให้คาร์เนชั่นแล้วแต่มันก็ยังไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย วันนี้ผมก็ลองไปที่ตึกร้างที่เราเคยพบกัน แต่มันก็มีเพียงความว่างเปล่า
ถึงแม้จะเศร้าแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ผมล้มลงนั่งพิงกับกำแพงบนดาดฟ้า นั่งนึกย้อนถึงความรักสมัยมัธยมต้น เสียงของผู้เด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในครั้งกระนู้น ดังขึ้น
“บุญเปร่ง หลับอีกแล้วนะ เดี๋ยวครูว่าหรอก”
ผมสะดุ้งตื่นด้วยความงัวเงีย หันมามองหน้า เพื่อนรักเรียนหญิง คนนี้ เธอชื่อโม เธอเป็นเพื่อนที่นั่งเรียนด้วยกันประจำมาสองปีแล้ว เธอเป็นเด็กเรียบร้อยน่ารัก ที่ไม่เคยรังเกียจและนั่งเรียนด้วยกันกับคนไม่ได้เรื่องอย่างผม แต่เราก็ไม่ได้เป็นมากกว่าคำว่าเพื่อน ตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้คิดไปไกล แต่เพื่อนกลุ่มที่สนิทกับผมมักจะเอามาล้อว่าเราเป็นแฟนกันอยู่เรื่อยเลยเชียว
จนในที่สุดวันวาเลนไทน์มาถึง เทศกาลวันแห่งความรักที่เป็นวัฒนธรรมของชาวตะวันตกผู้ชายจะมอบดอกกุหลาบสีแดงให้แก่หญิงที่ตนรัก ใช่มันครึกครื้นไปหมดด้านล่างของตึกเรียนมีแม่ค้าเอาดอกกุหลาบมาขายด้วยเช่นกัน วันนั้นผมก็มาโรงเรียนเช้ากว่าปกติ ก็ลองนึกดูว่าถ้าโมได้ดอกกุหลาบสีแดงของผมจะดีใจไหมนะ ในที่สุดผมก็ซื้อมันมาจนได้ และตั้งใจที่จะมอบให้เธอ ผมกำดอกกุหลาบช่อเล็ก ๆ ก้าวขึ้นบันไดเพื่อขึ้นห้องเรียน เมื่อผมเข้ามาถึงห้องเรียน ผมก็เห็นโมนั่งหันหลังคุยกับเพื่อนของเธออยู่ ผมจึงรวบรวบความกล้าตรงเข้าไปเพื่อส่งดอกไม้ให้ตรง ๆ เธอหันมาเห็นดอกไม้ก็อึ้งนิด ๆ เหมือนกัน
“ดอกไม้นี่ ให้ฉันเหรอ”
ผมได้แต่ยิ้มไม่ตอบ แต่โมก็รับไว้แล้วเอ่ยว่า
“ขอบคุณนะ”
แต่บังเอิญว่าวันนั้นคนที่ให้ดอกกุหลาบแก่โมไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว ยังมีเพื่อนในห้องอีกคนเขาก็ยื่นดอกกุหลาบก้านยาวให้กับโมเช่นกัน โมก็รับไว้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอก แต่สำหรับผมก็รู้สึกว่ามันเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ผมได้ทำลงไป และแล้วหลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมต้น ผมก็ต้องย้ายโรงเรียน และได้นัดเจอกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากไม่ได้เจอกันเป็นปี ผมเลิกเรียนแล้วรีบซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับมาโรงเรียนเก่าเพื่อรอโม และไปกินข้าวที่ห้างด้วยกัน ตอนนั้นมีคนทักว่าเป็นแฟนกันเหรอ โมพูดว่า
“เปล่าค่ะ แค่คนรู้จักกันเท่านั้นคะ”
ในใจผมก็นึกเสียดาย แล้วเธอก็บอกว่า “นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ก็คงไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ลาก่อนนะ” สุดท้ายผมกับโมก็มีเพียงรูปสติ๊กเกอร์ที่ถ่ายด้วยกันเป็นที่ระลึก ซึ่งผมเองก็ยังเก็บไว้ในกระเป๋าตังค์มานานนับปี
ในที่สุดเวลาก็ผ่านพ้นมาจนถึงตอนนี้ ตอนที่ผมกำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่บนดาดฟ้าของตึกร้างของลานโบว์ลิ้งเก่าที่ไม่มีใครเข้ามา มีเพียงความเศร้าและความเหงาเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อน แต่หูผมก็ได้ยินเสียง ๆ หนึ่งเขยิบเข้ามาทางด้านหลัง ผมหันไปมองก็เห็น
“เหมี๊ยว...วว”
แมวจรจัดสีขาวตัวหนึ่งเดินมา ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ผมจึงลุกขึ้นยืนแล้วตัดสินใจที่จะกลับบ้าน ด้วยความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ ผมกลับมาถึงบ้านแล้วตรงเข้าห้องนอน เปิดไฟให้มันสว่าง เห็นดอกคาร์เนชั่นสีขาวที่เสียบไว้ในแจกันข้างคอมพิวเตอร์มันแห้งเหี่ยวเสียแล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมดาของดอกไม้ที่ต้องมีผลิบานและร่วงโรยเช่นเดียวกับดอกกุหลาบที่ผมให้กับโม ผมต่อเน็ตแล้วเปิดอีเมลด้วยความสิ้นหวังเช่นเคย มันบอกว่ามีจดหมายที่ยังไม่ได้อ่าน อยู่17ฉบับ แต่ว่านะส่วนใหญ่มักจะเป็นโฆษณาสินค้าที่เจ้าของเวปไซด์ขายข้อมูลให้กับบริษัทขายสินค้าทั้งนั้น แต่ว่าในนั้นเอง ผมพยายามเปิดดูจนหมดแต่ก็ไม่พบอีเมลของคาร์เนชั่นเลยสักฉบับ
ผมปั้นยิ้ม แล้วถอนหายใจ เพื่อความมั่นใจอีกครั้งผม refresh อีเมลของผมเพื่อดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ปรากฏว่ามีจดหมาย 1 ฉบับที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน ผมรีบเปิดมันทันทีมันเป็นจดหมายของคาร์เนชั่นที่เพิ่งส่งมาสด ๆ ร้อน ๆ
“to bunpeng
ขอโทดนะทีตอบช้า พอดีฉันงานยุ่ง นายรู้สึกดีขึ้นรึเปล่า คงจะคิดไม่ฆ่าตัวตายแล้วนะ ถ้ามีอะไรปรึกษาถ้าช่วยได้ฉันก็จะช่วย
from carnation”
เมื่อผมอ่านจดหมายฉบับนี้จบ ผมเองก็ไม่รู้ว่า สิ่งที่พูดมาของเธอจะเป็นความจริงรึเปล่า ใจของเธอจะมองว่าผมเป็นคนแบบไหนกัน สำหรับคนที่ไร้อนาคตที่ติดอยู่ในทางตัน การที่เธอมาช่วยเหลือให้กำลังใจผมแบบนี้ มันจะเหมือนกับการโปรดสัตว์รึอย่างไร แต่ถ้าเขียนตอบกลับไปตรง ๆ คงต้องโดนโกรธแน่ ผมจึงขอคิดดูก่อน
- 3 วัน ผ่านไป -
ผมยังนอนอยู่กับบ้านไม่ได้ออกไปไหน ความรู้สึกเหงามันกัดกินหัวใจของผมจนกร่อน นี่ผมคงเป็นผู้ชายที่แย่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ผมหยิบรูปถ่ายสติ๊กเกอร์ที่ผมถ่ายเก็บไว้กับโมไว้ในกระเป๋าตังค์ออกมาดู ผมคงจะไม่มีทางยิ้มได้อย่างมีความสุขแบบนั้นอีกแล้ว เวลาผ่านไปตั้งขนาดนี้แล้วโมคงจะมีแฟนแล้วก็คงจะมีความสุขดีและคงลืมผมไปเรียบร้อยแล้ว จริงสินะในเวลาแบบนี้ถ้าได้ออกไปเที่ยวที่ไหนคงจะดีไม่น้อย แต่ถ้าไปคนเดียวมันก็เหงาอีกนั่นแหละ ถ้าเป็นเพื่อนผู้ชายก็คงจะชวนไปด้วยง่ายกว่าล่ะมั๊ง แต่ว่าเพื่อนแต่ละคนมันก็ดันมีแฟนไปหมดแล้ว ก็คงจะไม่มีเวลามาเสียให้กับเรา แต่ยังไงโทรไปมันก็ยังดีกว่าไม่โทรไป ผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา และเลือกเบอร์ของเพื่อนสนิทเพื่อโทรคุย ผมได้ฟังเสียงรอรับโทรศัพท์ของเพื่อนผมนานสักครึ่งนาที เขาก็รับโทรศัพท์ขึ้นมา
“หวัดดี เจ๋ง สบายดีป่าว”
“อ่าว บุญเปร่งเหรอ มีอะไรกำลังทำงานอยู่มีอะไรก็ไว้พูดกันวันหลังแล้วกัน ขอโทษนะ”
เจ๋งพูดตัดบทแล้ววางสายไป ก็คงต้องเข้าใจว่ามันงานยุ่งจริง ๆ ตั้งแต่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการหัวหน้าแผนกโทรไปทีไรก็ไม่ได้คุยกันซักที นี่ผมคงจะถูกสังคมทอดทิ้งโดยปริยาย ด้วยความซึมเศร้าที่ไม่สามารถหาที่ระบายออกได้ จิตใจเหมือนล่องลอยเคว้งคว้างไม่มีที่ยึดติด เมื่อรู้สึกตัวอีกทีถึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน นั่งรถเมล์ขับไปตามถนนสายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน มันมืดวังเวง ตายล่ะ เฮ้ย!!
“นี่ผมเป็นบ้าอะไรถึง มานั่งรถเมล์ที่ไม่รู้ว่าจะไปไหนได้ล่ะเนี่ย”
ผมสะดุ้งและรีบลุกขึ้น จากนั้นวิ่งไปที่กริ่งประตู
“จอด ๆ ผมจะลง”
ผมพูดไปดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยิน ผู้โดยสารทุกคนนั่งนิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วก็มีเสียงจากคนขับ
“ลงไม่ได้หรอกครับ เราจะจอดก็ต่อเมื่อถึงจุดหมายแล้ว”
“แล้วจุดหมายมันอยู่ที่ไหนล่ะ”
แล้วคนขับก็หันหน้ามาพร้อมกับแววตาที่ลุกวาว แล้วพูดด้วยเสียงแหบเย็นที่ฟังดูน่าขนลุก
“นรกยังไงล่ะ”
“บัดซบน่า ผมยังไม่ตายสักหน่อย”
ผมรีบโต้แย้ง แต่คนขับก็ยังพูดต่อ
“คนที่ไร้ซึ้งความหวังอย่างคุณอยู่ไปมันก็เหมือนกับตายแล้วอย่างงั้นแหละ ถ้าตายรึหายไปเลยก็ย่อมน่าจะดีกว่า ไม่ใช่รึไง คนที่นั่งอยู่ในรถคันนี้ก็เป็นคนที่ไร้ซึ่งความหวังเช่นเดียวกับคุณ เขาก็ยังนั่งสงบเสงี่ยมเลย ชีวิตในโลกน่ะ มีเรื่องที่เป็นทุกข์ ตั้งแต่เกิดความทุกข์เป็นสิ่งที่หลีกหนีไปไม่ได้ ความตายนั่นย่อมดีกว่า...”
“คุณพูดอาจจะถูก แต่ว่า...ในโลกนี้ก็ยังมีคนที่ต้องต่อสู้กับโชคชะตาของตนเองอยู่เลย แล้วตัวผมจะตายโดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้อะไรเลยเนี่ยนะ”
“งั้นก็ลงไปสิ รถคันนี้ไม่ต้องการคนที่ยังอยากมีชีวิตอยู่”
จู่ ๆ รถโดยสารก็จอด ผมเดินลงอย่างงุนงง เสียงของคนขับรถพูดตบท้ายว่า
“ถ้าเกิดนึกเบื่อหน่ายชีวิตอีก อย่าลืมขึ้นรถของเรานะ”
หลังจากผมลงจากรถโดยสารคันนั้นแล้ว ก็เพิ่งรู้ตัวว่านั่นคือความฝัน เพราะผมหลับไปบนที่นอน ผมก็ยังมีชีวิตอยู่ในห้องของตนเอง ห้องมืดไปหมดแต่มีแสงจากจอคอมพิวเตอร์สว่างอยู่ ลมโชยจากหน้าต่างเข้ามายังในห้องของผมทำให้สัมผัสได้ถึงความหนาวของตอนค่ำคืน แต่น้ำตาของผมก็ไหลออกมาเองไม่มีสาเหตุ แต่มันก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าและความสงบ ผมไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มีจดหมายส่งมาถึงผม มันเป็นของคาร์เนชั่น ก็ผมยังไม่ได้ตอบเลย แล้วเธอยังเขียนถึงผมอีกรึน่าแปลก แต่ก็น่าลองอ่านดู
“to bunpeng
นี่นายยังคงซึมเศร้าอยู่อีกรึ ถ้าไม่เล่าอะไรคนแปลกหน้าอย่างฉันก็คงจะช่วยอะไรนายไม่ได้ อย่าคิดว่าโลกนี้มีนายเศร้าอยู่คนเดียวที่ไหนล่ะ อย่างฉันพูดไม่ได้ยังไม่โทษใครเลย จริงสิฉันมีบัตรดูหนังสองใบได้มาฟรี ถ้าไปดูคนเดียว บัตรอีกใบก็ไม่ได้ใช้ ว่าไง วันอาทิตย์น่ะว่างรึเปล่า
From carnation”
วันไหนผมก็ว่างทั้งนั้นแหละ แต่คนอย่างผมมันยังมีคนชวนไปดูหนังด้วยเหรอ แต่มันก็น่าสนุกดี นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้ไปดูหนังที่โรงหนัง ผมมักจะเลือกซื้อวีซีดีแผ่นก็อปราคาถูกมาดูคนเดียวมากกว่า ผมจึงตอบรับคำชวนไปโดยไม่มีลังเล
หลังจากนั้นวันนัดพบ ผมแต่งชุดที่คิดว่าเท่ห์ที่สุดออกไปจากบ้าน นั่งรถไฟฟ้าไปลงเซ็นเตอร์พ้อย ใจก็เต้นตุบ ๆ ต้อม ๆ ไม่รู้ว่าผลลัพท์ของวันนี้จะเป็นเช่นไร เมื่อผมมาถึงน้ำพุใจกลางย่านเซ็นเตอร์พ้อยก็ยืนรอด้วยความกระสับกระส่าย แน่ละสิแถวนี้มันใกล้จุฬา นักศึกษาดี ๆ มาเดินเที่ยวแถวนี้มันเป็นคนละโลกกับคนอย่างผมที่อาศัยอยู่ ผมก้มอยู่เห็นเท้าของคนมายืนอยู่ต่อหน้า ผมเงยหน้าขึ้นเห็นคาร์เนชั่นอยู่ต่อหน้าผม เธอเป็นเด็กแนวจริง ๆ ด้วย สายเดี่ยว กางเกงลายพรางสีขาว แต่ก็สวยมากครับผมชอบ
“นี่จะไปดูหนังที่ไหนเหรอ”
เธอกวักมือเรียกให้ผมเดินตามมา เราทั้งสองเดินคู่กันตัวของเธอเตี้ยกว่าผมหัวอยู่แค่บ่าเท่านั้นเอง ความสูงของเธอคงสัก 150 ซม. ล่ะมั๊ง เธอพาผมไปที่ลานจอดรถ นี่เธอขับรถมาด้วยเหรอ แล้วคาร์เนชั่นก็หยุดอยู่ที่ช็อปเปอร์คันหนึ่ง
“เป็นช็อปเปอร์หรอกเหรอ แต่ให้ผมซ้อนท้ายคงไม่ดีมั๊ง”
แต่เธอกลับเปิดประตูรถเฟอร์รารี่สีแดงเปิดประทุนแทนซะนี่
“ฟ...เฟอร์รารี่!!”
ผมเองความจริงไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถเท่าไหร่หรอก แต่ว่าที่เห็นมันเป็นเฟอร์รารี่ไม่ผิดแน่ เท่าที่เคยได้ยินมามันแพงกว่าเบนซ์เสียอีก มีแต่เศรษฐีเท่านั้นที่จะได้ขับมัน แล้วนี่เธอเป็นใครกันเนี่ยผมไม่รู้เรื่องเลย แต่เท่าที่รู้เธอมันโคตรไฮโซเลย
กลีบดอกไม้สีขาวของดอกคาร์เนชั่นโปรยสะพัดแผ่กลิ่นหอมไปทั่วเต็มทุ่ง ความงามของมันงดงามยิ่งกว่าอิสตรีคนไหน ๆ ความหมายของมันคือความรักอันบริสุทธิ์
ท่ามกลางตึกสูงในเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพมหานคร บนสุดของยอดตึกคือดาดฟ้า มันเป็นที่ ๆ ปลดปล่อยความรู้สึกให้ว่างเปล่า ยิ่งเวลาจ้องมองท้องฟ้าที่มืดมิดในเวลาค่ำคืนก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองได้อยู่ตัวคนเดียวโดยสมบูรณ์ ผมเองซึ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตได้มายืนอยู่ ณ จุดนี้ค่อย ๆ รู้สึกถึงความสงบ เมื่อมองลอดกรงเหล็กที่กั้นลงไปข้างล่างก็จะมองเห็นผู้คนบนท้องถนนตัวเล็กนิดเดียว
“มาถึงตรงนี้แล้ว...จะมัวลังเลอะไรอีกละ”
ผมถามตัวเองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะว่าตั้งแต่ที่ผมมีชีวิตมา 24 ปี ไม่เคยมีเรื่องดีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเลย ตลอดเวลา ผมถูกมองว่าเป็นคนไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่อง ไม่มีงานทำ เป็นภาระที่น่าเหนื่อยหน่ายของครอบครัว มันไม่มีอะไรดีเลย ชีวิตของผมมันมีแต่ความล้มเหลว ใช่...มันก็มีแต่เป็นแบบนี้แหละ เมื่อรวบรวมความกล้าเฮือกสุดท้ายแล้วผมจึงปีนกรงเหล็กนั่น เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย กรงเหล็กนี่มันเวลาปีนก็เจ็บนิ้วมือไม่ใช่เล่นแต่ว่าเมื่อคนเราจะทำอะไรแล้วมันต้องถึงที่สุด ใช่แล้ว...อีกนิดเดียวเท่านั้น ผมหลับตาลงแล้วทะยานไปสู่ฟากฟ้า
“ชั่ววินาทีนั้นเอง ความรู้สึกเหมือนมีแรงฉุดจากด้านหลังอย่างแรงจนตัวผมหล่นลงมาข้างหลังแทนที่จะเป็นด้านหน้าที่เป็นความว่างเปล่าที่คนอย่างผมควรจะจมดิ่งลงไป”
เมื่อร่างของผมกลับมาตกลงมากระแทกกับแผ่นปูนบนดาดฟ้าผมตะโกนใส่หน้าคนที่ฉุดรั้งผมไว้อย่างเสียสติ
“ช่วยผมทำไม!! ปล่อยให้ผมตายไปสิ!!”
แต่ยังไม่สิ้นประโยคฝ่ามือเล็ก ๆ ก็ตบหน้าผมอย่างแรง
“เพี๊ยะ”
ผมได้สติกลับมา และมองหน้าผู้ช่วยชีวิตของผมไว้ เป็นโฉมหน้าของผู้หญิงที่เคร่งขรึม แววตาคมเข้ม ผิวขาวเช่นเดียวกับนมสดผมดำ และตัวเล็กมาก ผมถึงกลับตาค้างเพราะว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าที่สวยมาก ผมรู้สึกละอายมากที่ต้องทำให้เธอยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยว น้ำตาของผมไหลลงมาไม่หยุด แต่ผมก็พยายามปราดมันไว้และเดินหนี แต่มือนั้นก็ดึงแขนผมเอาไว้ให้หันหน้ามา ผมจึงมองหน้าเธออีกครั้งอย่างงุนงงเธอไม่พูดอะไร แต่เธอทำมือเป็นภาษาใบ้ แทนจะพูดกันดี ๆ แต่ผมจะไปเข้าใจภาษามือได้ไงล่ะ แต่เธอก็พยายามแสดงท่าทางซ้ำ ๆ จนผมเข้าใจได้ในที่สุด
“เธอหมายความว่า....เธออยากรับฟังปัญหาของผมงั้นเหรอ”
เป็นครั้งแรกที่ผมอ่านภาษามือออก เธอพยักหน้าตอบรับ ว่าผมอ่านข้อความถูกต้อง เวลาที่เธอก้มหน้าตาของเธอปิดกันจนหยี สีหน้าเคร่งขรึมของเธอเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม จากนั้นเองผมก็ตัดสินใจนั่งคุยกับผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้ บนดาดฟ้าที่มีเราเพียงแค่สองคน ก่อนอื่นผมคงต้องล้างหน้าเสียก่อนด้วยก็อกน้ำที่อยู่บนดาดฟ้านี่ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มต้นจากอะไรดีเพราะผมเคยนั่งคุยกับผู้หญิงจริง ๆ จัง ๆ ที่ไหนละ ผมหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาสูบก่อนเพื่อผ่อนคลายความตรึงเครียด
“ชั้นทำสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้ว”
“นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมถูกรีไทร์จากมหาวิทยาลัย มันเป็นเรื่องที่แย่มาก... ไม่กล้าที่จะเอาเรื่องนี้กลับไปบอกพ่อกับแม่ที่บ้านเลย คิดดูสิทั้ง ๆ ที่เป็นครั้งที่สองแล้วแท้ ๆ แต่ผมก็ไม่สามารถเรียนมันให้จบได้ ทั้ง ๆ ที่พยายามแล้วแท้ ๆ แต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย”
พอผมพูดจบผมก็มองหน้าเธอข้าง ๆ ที่ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง แล้วเธอก็ทำมือภาษาใบ้ให้ผมพยายามอ่านอีก แต่ผมก็จนปัญญาที่จะอ่านมันออกเพราะรู้สึกว่ามันจะยากเกินไป แต่ก็เข้าใจว่าเธอกำลังปลอบผม ผมจึงแนะนำตัวเองไปว่า
“ผมชื่อบุญเปร่งนะ แล้วเธอละ”
ผมแนะนำตัวเสร็จ ผมก็มองหน้าเธอดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจที่ผมพูดเมื่อตะกี้
“นี่เธอเป็นอะไรเหรอ ถึงไม่ยอมพูด”
เจ้าหล่อนชี้ที่ปากตัวเอง แล้วเอามือไขว้กันเป็นกากบาท แล้วก็ส่ายมืออีกทีหนึ่ง ผมเองก็พอจะเข้าใจว่าเธอเป็นใบ้หรือพูดไม่ได้นี่เอง บุญเปร่งเองก็ยิ่งรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาแล้วรำพันว่า
“ ตัวชั้นที่น่าสมเพชจริง ๆ เจอเรื่องลำบากแค่นี้ก็คิดสั้นซะแล้ว เทียบไม่ได้อะไรกับเธอเลย”
หญิงสาวคนนั้นหยิบกระดาษโน๊ตขึ้นมาแล้วเขียนข้อความให้ผมอ่านว่า
“ยิ้มเข้าไว้ โลกนี้ไม่สิ้นหวัง”
บุญเปร่งก็ตอบกลับว่า “จะให้ผมยิ้มได้ยังไงล่ะ ในเมื่อโลกนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมยิ้มได้ เพราะคนอย่างผมมันไร้ค่า ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง ถ้าผมตาย...ไม่สิถ้าถ้าไม่มีผมตั้งแต่แรกมันก็น่าจะดีที่สุด”
พอผมตะคอกไปอย่างงั้น แต่ก็พอคิดได้อีกทีจึงกล่าวขอโทษ “ขอโทษนะ ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนแปลกหน้าแท้ ๆ กลับพูดอะไรไม่เข้าท่าไม่ได้ความแบบนี้”
แล้วเธอก็ส่ายหน้า แล้วก้มหน้าลงเขียนโน๊ต
“ช่างเถอะ”
ผมเงียบแล้วเอาบุหรี่จิ้มดินและเอาเท้าบี้ ๆ ให้มันดับ ในระหว่างนั้นเองมือถือของผมก็ดังขึ้น เสียงของมันน่ารำคาญมากจนต้องหยิบขึ้นมารับสาย
“ฮัลโหล นี่บุญเปร่งนะ...อ๊ะแม่เหรอ”
แม่โทรมาเพราะเป็นห่วงผมมากที่ผมหายไปจากบ้าน ผมเองช่างโง่จริงที่ลืมคิดถึงบุญคุณที่พ่อกับแม่ท่านเลี้ยงผมมา ถ้าผมตายแล้วใครจะมาเลี้ยงท่านยามแก่ชรา เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงต้องรีบกลับบ้าน แต่ก่อนหน้านั้นผมยังไม่ได้กล่าวขอบคุณผู้หญิงคนนี้ที่ช่วยชีวิตผมไว้ไม่ให้คิดสั้น ผมปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วหันมาก้มหน้าลงต่อหน้าเธอ
“ขอบคุณนะที่ช่วยยับยั้งเวลาที่ผมขาดสติ ผมคงต้องรีบกลับบ้านแล้วละ แต่ว่าเธอชื่ออะไรช่วยบอกหน่อยเถอะ”
เมื่อเธอได้ฟังดังนั้น หล่อนก็ยื่นมือมาทั้งสองข้างและแบออก ให้ผมดูว่ามันไม่มีอะไร จากนั้นก็กำมือทั้งสองเหมือนเล่นกลของเดวิด คอปเปอร์ฟิว จากนั้นเองเมื่อเธอแบมือออกมาอีกทีปรากฎดอกคาร์เนชั่นสีขาวในมือของเธอราวกลับว่ามีมนตรา แล้วเธอก็ชี้ตัวเธอแล้วชี้ดอกคาร์เนชั่นดอกนั้น
“ค...คาร์เนชั่นเหรอ”
ในขณะที่ผมตะลึงกับมายากลสดที่เธอแสดง เธอก็ส่งดอกคาร์เนชั่นสีขาวนั่นให้ผมรับ แล้วก็ยิ้ม จากนั้นเองผมบุญเปร่งก็รับมันอย่างงุนงง
“นี่ให้ผมเหรอ”
แล้วเธอก็ยิ้มและไม่พูดอะไร แล้วผมเองก็ถามต่อว่า
“แล้วถ้าผมกลับมาที่นี่ผมจะเจอคุณอีกไหม?”
คาร์เนชั่นเงียบ เหมือนกับคำตอบก็คือไม่ ในใจของผมก็คงจะรู้คำตอบดี ว่าใครกันจะอยากผมคนแย่ ๆ อย่างผมอีกเป็นครั้งที่สอง เสียงของผมพูดอย่างอ่อย ๆ และสิ้นหวังว่า “งั้นรึ... เข้าใจแล้ว งั้นผมไปละ” ผมบุญเปร่งค่อย ๆ เดินลงบันไดทีละก้าว ที่นี่เป็นตึกที่เป็นลานโบว์ลิ้งที่เจ๊งแล้ว สภาพของมันเสื่อมโทรมท่ามกลางใจกลางกรุงเทพมหานคร เมื่อผมลงมาถึงชั้นล่างสุด และกำลังจะเดินจากไปจากตึก มีเครื่องบินกระดาษลำหนึ่งร่อนลงทิ่มหัวผมอย่างจัง เมื่อผมหยิบขึ้นมาดู หัวใจของผมโลดแล่น เพราะนี่คือ
“อีเมลแอดเดรสของเธอ”
ผมบุญเปร่งรีบเงยหน้าขึ้นไปมองบนยอดตึกก็ได้แต่เห็นแต่เงาของเธอ สูงขนาดนั้นแต่ปาเครื่องบินกระดาษรอดผ่านช่องว่างของลูกกรงลงมาได้แม่นขนาดนี้เชียวรึ ฝีมือการปาเครื่องบินกระดาษของเธอต้องเข้าขั้นเทพแน่ ๆ แต่ยังไงผมบุญเปร่งก็ขอรับมันไว้ด้วยไมตรี
หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับบ้านด้วยรถประจำทาง ขสมก ในรถคนก็แน่นเอียดเช่นเคย แต่ถึงมือหนึ่งของผมจะโหนราวแต่มืออีกข้างก็คอยระวังดอกคาร์เนชั่นที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างดีไม่ให้โดนเบียดจนมันบี้คากระเป๋า และแล้วผมก็กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ บ้านของผมเป็นตึกแถวสี่ชั้น ประตูบ้านก็เป็นลูกกรงชั้นล่างมีข้าวของเก่าเก็บวางทับซ้อนเกะกะไปหมด ทั้งจักรยานเอย หนังสือพิมพ์เอย ผมก็ถอดรองเท้าและก้าวข้ามสิ่งกีดขวางตามปกติ ดูเหมือนตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่ว่าผมก็เจอแม่ที่คอยอยู่
“ออกไปไหนมา ทำไมกลับดึกนักละ กับข้าวเย็นหมดแล้วนะ ถ้าจะกินก็เอามาเข้าเตาไมโครเวฟ...”
“แม่ไม่ต้อง...ผมทำเองได้”
เมื่อผมมองหน้าแม่กลับรู้สึกผิดที่เป็นลูกที่ดีไม่ได้ ความรู้สึกผิดมันเจ็บจี๊ดไปถึงขั้วหัวใจ แต่ว่าผมจำเป็นที่จะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้ อนาคตสำหรับคนที่ไม่มีความฝันสำหรับคนอย่างผมมันจะเป็นอย่างไร บ้านเราก็สภาพการเป็นอยู่ย่ำแย่ลงทุกที ยิ่งผมเรียนไม่จบและถูกไล่ออกมา ซ้ำ ๆ ซาก ๆ
ห้องของผมอยู่ชั้นสาม ผมมาถึงก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง อ๊ะ ไม่ได้ ๆ ดอกคาร์เนชั่นที่รับมาอยู่ที่อกผมมันจะบี้น่ะสิ โชคดีที่มันไม่เป็นไร ผมจึงจัดการเสียบมันไว้ที่แจกัน นี่เป็นดอกไม้ดอกแรกที่ได้จากผู้หญิงนี่นา ต้องถะนุถะนอมกันหน่อย วันนี้ผมคงต้องพักผ่อนก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องหางานทำต่อวันพรุ่งนี้
ชีวิตคนบางทีมันก็ไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่ถ้าจะให้ถูกต้องสำหรับผมมันเต็มไปด้วยหนามกุหลาบ การหางานทำสำหรับคนที่มีวุติจบแค่ม.6 อย่างผมมันช่างยากลำบากมาก มีคนมากมายแข่งกันหางานทำ ผมสอบสัมภาษณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าก็มีแต่บอกว่าให้กลับไปรอฟังผลที่บ้าน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีจดหมายส่งถึงตัวผมสักที เริ่มรู้สึกเหนื่อยและรู้สึกท้อจริง ๆ วันหนึ่งเฉกเช่นทุก ๆ วัน ผมเดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องถนน เห็นผู้คน หนุ่มสาว เดินด้วยกันเป็นคู่ มันก็อดอิจฉาไม่ได้ จริงสินะ ผมลองส่งอีเมลของผมไปให้คาร์เนชั่นแล้วแต่มันก็ยังไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย วันนี้ผมก็ลองไปที่ตึกร้างที่เราเคยพบกัน แต่มันก็มีเพียงความว่างเปล่า
ถึงแม้จะเศร้าแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ผมล้มลงนั่งพิงกับกำแพงบนดาดฟ้า นั่งนึกย้อนถึงความรักสมัยมัธยมต้น เสียงของผู้เด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในครั้งกระนู้น ดังขึ้น
“บุญเปร่ง หลับอีกแล้วนะ เดี๋ยวครูว่าหรอก”
ผมสะดุ้งตื่นด้วยความงัวเงีย หันมามองหน้า เพื่อนรักเรียนหญิง คนนี้ เธอชื่อโม เธอเป็นเพื่อนที่นั่งเรียนด้วยกันประจำมาสองปีแล้ว เธอเป็นเด็กเรียบร้อยน่ารัก ที่ไม่เคยรังเกียจและนั่งเรียนด้วยกันกับคนไม่ได้เรื่องอย่างผม แต่เราก็ไม่ได้เป็นมากกว่าคำว่าเพื่อน ตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้คิดไปไกล แต่เพื่อนกลุ่มที่สนิทกับผมมักจะเอามาล้อว่าเราเป็นแฟนกันอยู่เรื่อยเลยเชียว
จนในที่สุดวันวาเลนไทน์มาถึง เทศกาลวันแห่งความรักที่เป็นวัฒนธรรมของชาวตะวันตกผู้ชายจะมอบดอกกุหลาบสีแดงให้แก่หญิงที่ตนรัก ใช่มันครึกครื้นไปหมดด้านล่างของตึกเรียนมีแม่ค้าเอาดอกกุหลาบมาขายด้วยเช่นกัน วันนั้นผมก็มาโรงเรียนเช้ากว่าปกติ ก็ลองนึกดูว่าถ้าโมได้ดอกกุหลาบสีแดงของผมจะดีใจไหมนะ ในที่สุดผมก็ซื้อมันมาจนได้ และตั้งใจที่จะมอบให้เธอ ผมกำดอกกุหลาบช่อเล็ก ๆ ก้าวขึ้นบันไดเพื่อขึ้นห้องเรียน เมื่อผมเข้ามาถึงห้องเรียน ผมก็เห็นโมนั่งหันหลังคุยกับเพื่อนของเธออยู่ ผมจึงรวบรวบความกล้าตรงเข้าไปเพื่อส่งดอกไม้ให้ตรง ๆ เธอหันมาเห็นดอกไม้ก็อึ้งนิด ๆ เหมือนกัน
“ดอกไม้นี่ ให้ฉันเหรอ”
ผมได้แต่ยิ้มไม่ตอบ แต่โมก็รับไว้แล้วเอ่ยว่า
“ขอบคุณนะ”
แต่บังเอิญว่าวันนั้นคนที่ให้ดอกกุหลาบแก่โมไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว ยังมีเพื่อนในห้องอีกคนเขาก็ยื่นดอกกุหลาบก้านยาวให้กับโมเช่นกัน โมก็รับไว้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอก แต่สำหรับผมก็รู้สึกว่ามันเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ผมได้ทำลงไป และแล้วหลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมต้น ผมก็ต้องย้ายโรงเรียน และได้นัดเจอกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากไม่ได้เจอกันเป็นปี ผมเลิกเรียนแล้วรีบซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับมาโรงเรียนเก่าเพื่อรอโม และไปกินข้าวที่ห้างด้วยกัน ตอนนั้นมีคนทักว่าเป็นแฟนกันเหรอ โมพูดว่า
“เปล่าค่ะ แค่คนรู้จักกันเท่านั้นคะ”
ในใจผมก็นึกเสียดาย แล้วเธอก็บอกว่า “นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ก็คงไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ลาก่อนนะ” สุดท้ายผมกับโมก็มีเพียงรูปสติ๊กเกอร์ที่ถ่ายด้วยกันเป็นที่ระลึก ซึ่งผมเองก็ยังเก็บไว้ในกระเป๋าตังค์มานานนับปี
ในที่สุดเวลาก็ผ่านพ้นมาจนถึงตอนนี้ ตอนที่ผมกำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่บนดาดฟ้าของตึกร้างของลานโบว์ลิ้งเก่าที่ไม่มีใครเข้ามา มีเพียงความเศร้าและความเหงาเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อน แต่หูผมก็ได้ยินเสียง ๆ หนึ่งเขยิบเข้ามาทางด้านหลัง ผมหันไปมองก็เห็น
“เหมี๊ยว...วว”
แมวจรจัดสีขาวตัวหนึ่งเดินมา ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ผมจึงลุกขึ้นยืนแล้วตัดสินใจที่จะกลับบ้าน ด้วยความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ ผมกลับมาถึงบ้านแล้วตรงเข้าห้องนอน เปิดไฟให้มันสว่าง เห็นดอกคาร์เนชั่นสีขาวที่เสียบไว้ในแจกันข้างคอมพิวเตอร์มันแห้งเหี่ยวเสียแล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมดาของดอกไม้ที่ต้องมีผลิบานและร่วงโรยเช่นเดียวกับดอกกุหลาบที่ผมให้กับโม ผมต่อเน็ตแล้วเปิดอีเมลด้วยความสิ้นหวังเช่นเคย มันบอกว่ามีจดหมายที่ยังไม่ได้อ่าน อยู่17ฉบับ แต่ว่านะส่วนใหญ่มักจะเป็นโฆษณาสินค้าที่เจ้าของเวปไซด์ขายข้อมูลให้กับบริษัทขายสินค้าทั้งนั้น แต่ว่าในนั้นเอง ผมพยายามเปิดดูจนหมดแต่ก็ไม่พบอีเมลของคาร์เนชั่นเลยสักฉบับ
ผมปั้นยิ้ม แล้วถอนหายใจ เพื่อความมั่นใจอีกครั้งผม refresh อีเมลของผมเพื่อดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ปรากฏว่ามีจดหมาย 1 ฉบับที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน ผมรีบเปิดมันทันทีมันเป็นจดหมายของคาร์เนชั่นที่เพิ่งส่งมาสด ๆ ร้อน ๆ
“to bunpeng
ขอโทดนะทีตอบช้า พอดีฉันงานยุ่ง นายรู้สึกดีขึ้นรึเปล่า คงจะคิดไม่ฆ่าตัวตายแล้วนะ ถ้ามีอะไรปรึกษาถ้าช่วยได้ฉันก็จะช่วย
from carnation”
เมื่อผมอ่านจดหมายฉบับนี้จบ ผมเองก็ไม่รู้ว่า สิ่งที่พูดมาของเธอจะเป็นความจริงรึเปล่า ใจของเธอจะมองว่าผมเป็นคนแบบไหนกัน สำหรับคนที่ไร้อนาคตที่ติดอยู่ในทางตัน การที่เธอมาช่วยเหลือให้กำลังใจผมแบบนี้ มันจะเหมือนกับการโปรดสัตว์รึอย่างไร แต่ถ้าเขียนตอบกลับไปตรง ๆ คงต้องโดนโกรธแน่ ผมจึงขอคิดดูก่อน
- 3 วัน ผ่านไป -
ผมยังนอนอยู่กับบ้านไม่ได้ออกไปไหน ความรู้สึกเหงามันกัดกินหัวใจของผมจนกร่อน นี่ผมคงเป็นผู้ชายที่แย่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ผมหยิบรูปถ่ายสติ๊กเกอร์ที่ผมถ่ายเก็บไว้กับโมไว้ในกระเป๋าตังค์ออกมาดู ผมคงจะไม่มีทางยิ้มได้อย่างมีความสุขแบบนั้นอีกแล้ว เวลาผ่านไปตั้งขนาดนี้แล้วโมคงจะมีแฟนแล้วก็คงจะมีความสุขดีและคงลืมผมไปเรียบร้อยแล้ว จริงสินะในเวลาแบบนี้ถ้าได้ออกไปเที่ยวที่ไหนคงจะดีไม่น้อย แต่ถ้าไปคนเดียวมันก็เหงาอีกนั่นแหละ ถ้าเป็นเพื่อนผู้ชายก็คงจะชวนไปด้วยง่ายกว่าล่ะมั๊ง แต่ว่าเพื่อนแต่ละคนมันก็ดันมีแฟนไปหมดแล้ว ก็คงจะไม่มีเวลามาเสียให้กับเรา แต่ยังไงโทรไปมันก็ยังดีกว่าไม่โทรไป ผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา และเลือกเบอร์ของเพื่อนสนิทเพื่อโทรคุย ผมได้ฟังเสียงรอรับโทรศัพท์ของเพื่อนผมนานสักครึ่งนาที เขาก็รับโทรศัพท์ขึ้นมา
“หวัดดี เจ๋ง สบายดีป่าว”
“อ่าว บุญเปร่งเหรอ มีอะไรกำลังทำงานอยู่มีอะไรก็ไว้พูดกันวันหลังแล้วกัน ขอโทษนะ”
เจ๋งพูดตัดบทแล้ววางสายไป ก็คงต้องเข้าใจว่ามันงานยุ่งจริง ๆ ตั้งแต่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการหัวหน้าแผนกโทรไปทีไรก็ไม่ได้คุยกันซักที นี่ผมคงจะถูกสังคมทอดทิ้งโดยปริยาย ด้วยความซึมเศร้าที่ไม่สามารถหาที่ระบายออกได้ จิตใจเหมือนล่องลอยเคว้งคว้างไม่มีที่ยึดติด เมื่อรู้สึกตัวอีกทีถึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน นั่งรถเมล์ขับไปตามถนนสายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน มันมืดวังเวง ตายล่ะ เฮ้ย!!
“นี่ผมเป็นบ้าอะไรถึง มานั่งรถเมล์ที่ไม่รู้ว่าจะไปไหนได้ล่ะเนี่ย”
ผมสะดุ้งและรีบลุกขึ้น จากนั้นวิ่งไปที่กริ่งประตู
“จอด ๆ ผมจะลง”
ผมพูดไปดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยิน ผู้โดยสารทุกคนนั่งนิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วก็มีเสียงจากคนขับ
“ลงไม่ได้หรอกครับ เราจะจอดก็ต่อเมื่อถึงจุดหมายแล้ว”
“แล้วจุดหมายมันอยู่ที่ไหนล่ะ”
แล้วคนขับก็หันหน้ามาพร้อมกับแววตาที่ลุกวาว แล้วพูดด้วยเสียงแหบเย็นที่ฟังดูน่าขนลุก
“นรกยังไงล่ะ”
“บัดซบน่า ผมยังไม่ตายสักหน่อย”
ผมรีบโต้แย้ง แต่คนขับก็ยังพูดต่อ
“คนที่ไร้ซึ้งความหวังอย่างคุณอยู่ไปมันก็เหมือนกับตายแล้วอย่างงั้นแหละ ถ้าตายรึหายไปเลยก็ย่อมน่าจะดีกว่า ไม่ใช่รึไง คนที่นั่งอยู่ในรถคันนี้ก็เป็นคนที่ไร้ซึ่งความหวังเช่นเดียวกับคุณ เขาก็ยังนั่งสงบเสงี่ยมเลย ชีวิตในโลกน่ะ มีเรื่องที่เป็นทุกข์ ตั้งแต่เกิดความทุกข์เป็นสิ่งที่หลีกหนีไปไม่ได้ ความตายนั่นย่อมดีกว่า...”
“คุณพูดอาจจะถูก แต่ว่า...ในโลกนี้ก็ยังมีคนที่ต้องต่อสู้กับโชคชะตาของตนเองอยู่เลย แล้วตัวผมจะตายโดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้อะไรเลยเนี่ยนะ”
“งั้นก็ลงไปสิ รถคันนี้ไม่ต้องการคนที่ยังอยากมีชีวิตอยู่”
จู่ ๆ รถโดยสารก็จอด ผมเดินลงอย่างงุนงง เสียงของคนขับรถพูดตบท้ายว่า
“ถ้าเกิดนึกเบื่อหน่ายชีวิตอีก อย่าลืมขึ้นรถของเรานะ”
หลังจากผมลงจากรถโดยสารคันนั้นแล้ว ก็เพิ่งรู้ตัวว่านั่นคือความฝัน เพราะผมหลับไปบนที่นอน ผมก็ยังมีชีวิตอยู่ในห้องของตนเอง ห้องมืดไปหมดแต่มีแสงจากจอคอมพิวเตอร์สว่างอยู่ ลมโชยจากหน้าต่างเข้ามายังในห้องของผมทำให้สัมผัสได้ถึงความหนาวของตอนค่ำคืน แต่น้ำตาของผมก็ไหลออกมาเองไม่มีสาเหตุ แต่มันก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าและความสงบ ผมไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มีจดหมายส่งมาถึงผม มันเป็นของคาร์เนชั่น ก็ผมยังไม่ได้ตอบเลย แล้วเธอยังเขียนถึงผมอีกรึน่าแปลก แต่ก็น่าลองอ่านดู
“to bunpeng
นี่นายยังคงซึมเศร้าอยู่อีกรึ ถ้าไม่เล่าอะไรคนแปลกหน้าอย่างฉันก็คงจะช่วยอะไรนายไม่ได้ อย่าคิดว่าโลกนี้มีนายเศร้าอยู่คนเดียวที่ไหนล่ะ อย่างฉันพูดไม่ได้ยังไม่โทษใครเลย จริงสิฉันมีบัตรดูหนังสองใบได้มาฟรี ถ้าไปดูคนเดียว บัตรอีกใบก็ไม่ได้ใช้ ว่าไง วันอาทิตย์น่ะว่างรึเปล่า
From carnation”
วันไหนผมก็ว่างทั้งนั้นแหละ แต่คนอย่างผมมันยังมีคนชวนไปดูหนังด้วยเหรอ แต่มันก็น่าสนุกดี นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้ไปดูหนังที่โรงหนัง ผมมักจะเลือกซื้อวีซีดีแผ่นก็อปราคาถูกมาดูคนเดียวมากกว่า ผมจึงตอบรับคำชวนไปโดยไม่มีลังเล
หลังจากนั้นวันนัดพบ ผมแต่งชุดที่คิดว่าเท่ห์ที่สุดออกไปจากบ้าน นั่งรถไฟฟ้าไปลงเซ็นเตอร์พ้อย ใจก็เต้นตุบ ๆ ต้อม ๆ ไม่รู้ว่าผลลัพท์ของวันนี้จะเป็นเช่นไร เมื่อผมมาถึงน้ำพุใจกลางย่านเซ็นเตอร์พ้อยก็ยืนรอด้วยความกระสับกระส่าย แน่ละสิแถวนี้มันใกล้จุฬา นักศึกษาดี ๆ มาเดินเที่ยวแถวนี้มันเป็นคนละโลกกับคนอย่างผมที่อาศัยอยู่ ผมก้มอยู่เห็นเท้าของคนมายืนอยู่ต่อหน้า ผมเงยหน้าขึ้นเห็นคาร์เนชั่นอยู่ต่อหน้าผม เธอเป็นเด็กแนวจริง ๆ ด้วย สายเดี่ยว กางเกงลายพรางสีขาว แต่ก็สวยมากครับผมชอบ
“นี่จะไปดูหนังที่ไหนเหรอ”
เธอกวักมือเรียกให้ผมเดินตามมา เราทั้งสองเดินคู่กันตัวของเธอเตี้ยกว่าผมหัวอยู่แค่บ่าเท่านั้นเอง ความสูงของเธอคงสัก 150 ซม. ล่ะมั๊ง เธอพาผมไปที่ลานจอดรถ นี่เธอขับรถมาด้วยเหรอ แล้วคาร์เนชั่นก็หยุดอยู่ที่ช็อปเปอร์คันหนึ่ง
“เป็นช็อปเปอร์หรอกเหรอ แต่ให้ผมซ้อนท้ายคงไม่ดีมั๊ง”
แต่เธอกลับเปิดประตูรถเฟอร์รารี่สีแดงเปิดประทุนแทนซะนี่
“ฟ...เฟอร์รารี่!!”
ผมเองความจริงไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถเท่าไหร่หรอก แต่ว่าที่เห็นมันเป็นเฟอร์รารี่ไม่ผิดแน่ เท่าที่เคยได้ยินมามันแพงกว่าเบนซ์เสียอีก มีแต่เศรษฐีเท่านั้นที่จะได้ขับมัน แล้วนี่เธอเป็นใครกันเนี่ยผมไม่รู้เรื่องเลย แต่เท่าที่รู้เธอมันโคตรไฮโซเลย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น