ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    White Carnation (EP1ชีวิตของคนไร้ค่า)

    ลำดับตอนที่ #1 : White Carnation (EP1ชีวิตของคนไร้ค่า)

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ย. 49


    White Carnation (EP1ชีวิตของคนไร้ค่า)


    กลีบดอกไม้สีขาวของดอกคาร์เนชั่นโปรยสะพัดแผ่กลิ่นหอมไปทั่วเต็มทุ่ง ความงามของมันงดงามยิ่งกว่าอิสตรีคนไหน ๆ ความหมายของมันคือความรักอันบริสุทธิ์

    ท่ามกลางตึกสูงในเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพมหานคร บนสุดของยอดตึกคือดาดฟ้า มันเป็นที่ ๆ ปลดปล่อยความรู้สึกให้ว่างเปล่า ยิ่งเวลาจ้องมองท้องฟ้าที่มืดมิดในเวลาค่ำคืนก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองได้อยู่ตัวคนเดียวโดยสมบูรณ์ ผมเองซึ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตได้มายืนอยู่ ณ จุดนี้ค่อย ๆ รู้สึกถึงความสงบ เมื่อมองลอดกรงเหล็กที่กั้นลงไปข้างล่างก็จะมองเห็นผู้คนบนท้องถนนตัวเล็กนิดเดียว

    “มาถึงตรงนี้แล้ว...จะมัวลังเลอะไรอีกละ”

    ผมถามตัวเองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะว่าตั้งแต่ที่ผมมีชีวิตมา 24 ปี ไม่เคยมีเรื่องดีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเลย ตลอดเวลา ผมถูกมองว่าเป็นคนไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่อง ไม่มีงานทำ เป็นภาระที่น่าเหนื่อยหน่ายของครอบครัว มันไม่มีอะไรดีเลย ชีวิตของผมมันมีแต่ความล้มเหลว ใช่...มันก็มีแต่เป็นแบบนี้แหละ เมื่อรวบรวมความกล้าเฮือกสุดท้ายแล้วผมจึงปีนกรงเหล็กนั่น เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย กรงเหล็กนี่มันเวลาปีนก็เจ็บนิ้วมือไม่ใช่เล่นแต่ว่าเมื่อคนเราจะทำอะไรแล้วมันต้องถึงที่สุด ใช่แล้ว...อีกนิดเดียวเท่านั้น ผมหลับตาลงแล้วทะยานไปสู่ฟากฟ้า

    “ชั่ววินาทีนั้นเอง ความรู้สึกเหมือนมีแรงฉุดจากด้านหลังอย่างแรงจนตัวผมหล่นลงมาข้างหลังแทนที่จะเป็นด้านหน้าที่เป็นความว่างเปล่าที่คนอย่างผมควรจะจมดิ่งลงไป”

    เมื่อร่างของผมกลับมาตกลงมากระแทกกับแผ่นปูนบนดาดฟ้าผมตะโกนใส่หน้าคนที่ฉุดรั้งผมไว้อย่างเสียสติ

    “ช่วยผมทำไม!! ปล่อยให้ผมตายไปสิ!!”

    แต่ยังไม่สิ้นประโยคฝ่ามือเล็ก ๆ ก็ตบหน้าผมอย่างแรง

    “เพี๊ยะ”

    ผมได้สติกลับมา และมองหน้าผู้ช่วยชีวิตของผมไว้ เป็นโฉมหน้าของผู้หญิงที่เคร่งขรึม แววตาคมเข้ม ผิวขาวเช่นเดียวกับนมสดผมดำ และตัวเล็กมาก ผมถึงกลับตาค้างเพราะว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าที่สวยมาก ผมรู้สึกละอายมากที่ต้องทำให้เธอยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยว น้ำตาของผมไหลลงมาไม่หยุด แต่ผมก็พยายามปราดมันไว้และเดินหนี แต่มือนั้นก็ดึงแขนผมเอาไว้ให้หันหน้ามา ผมจึงมองหน้าเธออีกครั้งอย่างงุนงงเธอไม่พูดอะไร แต่เธอทำมือเป็นภาษาใบ้ แทนจะพูดกันดี ๆ แต่ผมจะไปเข้าใจภาษามือได้ไงล่ะ แต่เธอก็พยายามแสดงท่าทางซ้ำ ๆ จนผมเข้าใจได้ในที่สุด

    “เธอหมายความว่า....เธออยากรับฟังปัญหาของผมงั้นเหรอ”

    เป็นครั้งแรกที่ผมอ่านภาษามือออก เธอพยักหน้าตอบรับ ว่าผมอ่านข้อความถูกต้อง เวลาที่เธอก้มหน้าตาของเธอปิดกันจนหยี สีหน้าเคร่งขรึมของเธอเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม จากนั้นเองผมก็ตัดสินใจนั่งคุยกับผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้ บนดาดฟ้าที่มีเราเพียงแค่สองคน ก่อนอื่นผมคงต้องล้างหน้าเสียก่อนด้วยก็อกน้ำที่อยู่บนดาดฟ้านี่ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มต้นจากอะไรดีเพราะผมเคยนั่งคุยกับผู้หญิงจริง ๆ จัง ๆ ที่ไหนละ ผมหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาสูบก่อนเพื่อผ่อนคลายความตรึงเครียด

    “ชั้นทำสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้ว”

    “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมถูกรีไทร์จากมหาวิทยาลัย มันเป็นเรื่องที่แย่มาก... ไม่กล้าที่จะเอาเรื่องนี้กลับไปบอกพ่อกับแม่ที่บ้านเลย คิดดูสิทั้ง ๆ ที่เป็นครั้งที่สองแล้วแท้ ๆ แต่ผมก็ไม่สามารถเรียนมันให้จบได้ ทั้ง ๆ ที่พยายามแล้วแท้ ๆ แต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย”

    พอผมพูดจบผมก็มองหน้าเธอข้าง ๆ ที่ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง แล้วเธอก็ทำมือภาษาใบ้ให้ผมพยายามอ่านอีก แต่ผมก็จนปัญญาที่จะอ่านมันออกเพราะรู้สึกว่ามันจะยากเกินไป แต่ก็เข้าใจว่าเธอกำลังปลอบผม ผมจึงแนะนำตัวเองไปว่า

    “ผมชื่อบุญเปร่งนะ แล้วเธอละ”

    ผมแนะนำตัวเสร็จ ผมก็มองหน้าเธอดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจที่ผมพูดเมื่อตะกี้

    “นี่เธอเป็นอะไรเหรอ ถึงไม่ยอมพูด”

    เจ้าหล่อนชี้ที่ปากตัวเอง แล้วเอามือไขว้กันเป็นกากบาท แล้วก็ส่ายมืออีกทีหนึ่ง ผมเองก็พอจะเข้าใจว่าเธอเป็นใบ้หรือพูดไม่ได้นี่เอง บุญเปร่งเองก็ยิ่งรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาแล้วรำพันว่า

    “ ตัวชั้นที่น่าสมเพชจริง ๆ เจอเรื่องลำบากแค่นี้ก็คิดสั้นซะแล้ว เทียบไม่ได้อะไรกับเธอเลย”

    หญิงสาวคนนั้นหยิบกระดาษโน๊ตขึ้นมาแล้วเขียนข้อความให้ผมอ่านว่า

    “ยิ้มเข้าไว้ โลกนี้ไม่สิ้นหวัง”
    บุญเปร่งก็ตอบกลับว่า “จะให้ผมยิ้มได้ยังไงล่ะ ในเมื่อโลกนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมยิ้มได้ เพราะคนอย่างผมมันไร้ค่า ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง ถ้าผมตาย...ไม่สิถ้าถ้าไม่มีผมตั้งแต่แรกมันก็น่าจะดีที่สุด”

    พอผมตะคอกไปอย่างงั้น แต่ก็พอคิดได้อีกทีจึงกล่าวขอโทษ “ขอโทษนะ ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนแปลกหน้าแท้ ๆ กลับพูดอะไรไม่เข้าท่าไม่ได้ความแบบนี้”

    แล้วเธอก็ส่ายหน้า แล้วก้มหน้าลงเขียนโน๊ต

    “ช่างเถอะ”
    ผมเงียบแล้วเอาบุหรี่จิ้มดินและเอาเท้าบี้ ๆ ให้มันดับ ในระหว่างนั้นเองมือถือของผมก็ดังขึ้น เสียงของมันน่ารำคาญมากจนต้องหยิบขึ้นมารับสาย

    “ฮัลโหล นี่บุญเปร่งนะ...อ๊ะแม่เหรอ”

    แม่โทรมาเพราะเป็นห่วงผมมากที่ผมหายไปจากบ้าน ผมเองช่างโง่จริงที่ลืมคิดถึงบุญคุณที่พ่อกับแม่ท่านเลี้ยงผมมา ถ้าผมตายแล้วใครจะมาเลี้ยงท่านยามแก่ชรา เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงต้องรีบกลับบ้าน แต่ก่อนหน้านั้นผมยังไม่ได้กล่าวขอบคุณผู้หญิงคนนี้ที่ช่วยชีวิตผมไว้ไม่ให้คิดสั้น ผมปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วหันมาก้มหน้าลงต่อหน้าเธอ

    “ขอบคุณนะที่ช่วยยับยั้งเวลาที่ผมขาดสติ ผมคงต้องรีบกลับบ้านแล้วละ แต่ว่าเธอชื่ออะไรช่วยบอกหน่อยเถอะ”

    เมื่อเธอได้ฟังดังนั้น หล่อนก็ยื่นมือมาทั้งสองข้างและแบออก ให้ผมดูว่ามันไม่มีอะไร จากนั้นก็กำมือทั้งสองเหมือนเล่นกลของเดวิด คอปเปอร์ฟิว จากนั้นเองเมื่อเธอแบมือออกมาอีกทีปรากฎดอกคาร์เนชั่นสีขาวในมือของเธอราวกลับว่ามีมนตรา แล้วเธอก็ชี้ตัวเธอแล้วชี้ดอกคาร์เนชั่นดอกนั้น

    “ค...คาร์เนชั่นเหรอ”

    ในขณะที่ผมตะลึงกับมายากลสดที่เธอแสดง เธอก็ส่งดอกคาร์เนชั่นสีขาวนั่นให้ผมรับ แล้วก็ยิ้ม จากนั้นเองผมบุญเปร่งก็รับมันอย่างงุนงง

    “นี่ให้ผมเหรอ”

    แล้วเธอก็ยิ้มและไม่พูดอะไร แล้วผมเองก็ถามต่อว่า

    “แล้วถ้าผมกลับมาที่นี่ผมจะเจอคุณอีกไหม?”

    คาร์เนชั่นเงียบ เหมือนกับคำตอบก็คือไม่ ในใจของผมก็คงจะรู้คำตอบดี ว่าใครกันจะอยากผมคนแย่ ๆ อย่างผมอีกเป็นครั้งที่สอง เสียงของผมพูดอย่างอ่อย ๆ และสิ้นหวังว่า “งั้นรึ... เข้าใจแล้ว งั้นผมไปละ” ผมบุญเปร่งค่อย ๆ เดินลงบันไดทีละก้าว ที่นี่เป็นตึกที่เป็นลานโบว์ลิ้งที่เจ๊งแล้ว สภาพของมันเสื่อมโทรมท่ามกลางใจกลางกรุงเทพมหานคร เมื่อผมลงมาถึงชั้นล่างสุด และกำลังจะเดินจากไปจากตึก มีเครื่องบินกระดาษลำหนึ่งร่อนลงทิ่มหัวผมอย่างจัง เมื่อผมหยิบขึ้นมาดู หัวใจของผมโลดแล่น เพราะนี่คือ

    “อีเมลแอดเดรสของเธอ”

    ผมบุญเปร่งรีบเงยหน้าขึ้นไปมองบนยอดตึกก็ได้แต่เห็นแต่เงาของเธอ สูงขนาดนั้นแต่ปาเครื่องบินกระดาษรอดผ่านช่องว่างของลูกกรงลงมาได้แม่นขนาดนี้เชียวรึ ฝีมือการปาเครื่องบินกระดาษของเธอต้องเข้าขั้นเทพแน่ ๆ แต่ยังไงผมบุญเปร่งก็ขอรับมันไว้ด้วยไมตรี
    หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับบ้านด้วยรถประจำทาง ขสมก ในรถคนก็แน่นเอียดเช่นเคย แต่ถึงมือหนึ่งของผมจะโหนราวแต่มืออีกข้างก็คอยระวังดอกคาร์เนชั่นที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างดีไม่ให้โดนเบียดจนมันบี้คากระเป๋า และแล้วผมก็กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ บ้านของผมเป็นตึกแถวสี่ชั้น ประตูบ้านก็เป็นลูกกรงชั้นล่างมีข้าวของเก่าเก็บวางทับซ้อนเกะกะไปหมด ทั้งจักรยานเอย หนังสือพิมพ์เอย ผมก็ถอดรองเท้าและก้าวข้ามสิ่งกีดขวางตามปกติ ดูเหมือนตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่ว่าผมก็เจอแม่ที่คอยอยู่

    “ออกไปไหนมา ทำไมกลับดึกนักละ กับข้าวเย็นหมดแล้วนะ ถ้าจะกินก็เอามาเข้าเตาไมโครเวฟ...”
    “แม่ไม่ต้อง...ผมทำเองได้”

    เมื่อผมมองหน้าแม่กลับรู้สึกผิดที่เป็นลูกที่ดีไม่ได้ ความรู้สึกผิดมันเจ็บจี๊ดไปถึงขั้วหัวใจ แต่ว่าผมจำเป็นที่จะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้ อนาคตสำหรับคนที่ไม่มีความฝันสำหรับคนอย่างผมมันจะเป็นอย่างไร บ้านเราก็สภาพการเป็นอยู่ย่ำแย่ลงทุกที ยิ่งผมเรียนไม่จบและถูกไล่ออกมา ซ้ำ ๆ ซาก ๆ

    ห้องของผมอยู่ชั้นสาม ผมมาถึงก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง อ๊ะ ไม่ได้ ๆ ดอกคาร์เนชั่นที่รับมาอยู่ที่อกผมมันจะบี้น่ะสิ โชคดีที่มันไม่เป็นไร ผมจึงจัดการเสียบมันไว้ที่แจกัน นี่เป็นดอกไม้ดอกแรกที่ได้จากผู้หญิงนี่นา ต้องถะนุถะนอมกันหน่อย  วันนี้ผมคงต้องพักผ่อนก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องหางานทำต่อวันพรุ่งนี้

    ชีวิตคนบางทีมันก็ไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่ถ้าจะให้ถูกต้องสำหรับผมมันเต็มไปด้วยหนามกุหลาบ การหางานทำสำหรับคนที่มีวุติจบแค่ม.6 อย่างผมมันช่างยากลำบากมาก มีคนมากมายแข่งกันหางานทำ ผมสอบสัมภาษณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าก็มีแต่บอกว่าให้กลับไปรอฟังผลที่บ้าน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีจดหมายส่งถึงตัวผมสักที เริ่มรู้สึกเหนื่อยและรู้สึกท้อจริง ๆ วันหนึ่งเฉกเช่นทุก ๆ วัน ผมเดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องถนน เห็นผู้คน หนุ่มสาว เดินด้วยกันเป็นคู่ มันก็อดอิจฉาไม่ได้ จริงสินะ ผมลองส่งอีเมลของผมไปให้คาร์เนชั่นแล้วแต่มันก็ยังไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย วันนี้ผมก็ลองไปที่ตึกร้างที่เราเคยพบกัน แต่มันก็มีเพียงความว่างเปล่า

    ถึงแม้จะเศร้าแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ผมล้มลงนั่งพิงกับกำแพงบนดาดฟ้า นั่งนึกย้อนถึงความรักสมัยมัธยมต้น เสียงของผู้เด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในครั้งกระนู้น ดังขึ้น

    “บุญเปร่ง หลับอีกแล้วนะ เดี๋ยวครูว่าหรอก”

    ผมสะดุ้งตื่นด้วยความงัวเงีย หันมามองหน้า เพื่อนรักเรียนหญิง คนนี้ เธอชื่อโม เธอเป็นเพื่อนที่นั่งเรียนด้วยกันประจำมาสองปีแล้ว เธอเป็นเด็กเรียบร้อยน่ารัก ที่ไม่เคยรังเกียจและนั่งเรียนด้วยกันกับคนไม่ได้เรื่องอย่างผม แต่เราก็ไม่ได้เป็นมากกว่าคำว่าเพื่อน ตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้คิดไปไกล แต่เพื่อนกลุ่มที่สนิทกับผมมักจะเอามาล้อว่าเราเป็นแฟนกันอยู่เรื่อยเลยเชียว

    จนในที่สุดวันวาเลนไทน์มาถึง เทศกาลวันแห่งความรักที่เป็นวัฒนธรรมของชาวตะวันตกผู้ชายจะมอบดอกกุหลาบสีแดงให้แก่หญิงที่ตนรัก ใช่มันครึกครื้นไปหมดด้านล่างของตึกเรียนมีแม่ค้าเอาดอกกุหลาบมาขายด้วยเช่นกัน วันนั้นผมก็มาโรงเรียนเช้ากว่าปกติ ก็ลองนึกดูว่าถ้าโมได้ดอกกุหลาบสีแดงของผมจะดีใจไหมนะ ในที่สุดผมก็ซื้อมันมาจนได้ และตั้งใจที่จะมอบให้เธอ ผมกำดอกกุหลาบช่อเล็ก ๆ ก้าวขึ้นบันไดเพื่อขึ้นห้องเรียน เมื่อผมเข้ามาถึงห้องเรียน ผมก็เห็นโมนั่งหันหลังคุยกับเพื่อนของเธออยู่ ผมจึงรวบรวบความกล้าตรงเข้าไปเพื่อส่งดอกไม้ให้ตรง ๆ เธอหันมาเห็นดอกไม้ก็อึ้งนิด ๆ เหมือนกัน

    “ดอกไม้นี่ ให้ฉันเหรอ”

    ผมได้แต่ยิ้มไม่ตอบ แต่โมก็รับไว้แล้วเอ่ยว่า

    “ขอบคุณนะ”

    แต่บังเอิญว่าวันนั้นคนที่ให้ดอกกุหลาบแก่โมไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว ยังมีเพื่อนในห้องอีกคนเขาก็ยื่นดอกกุหลาบก้านยาวให้กับโมเช่นกัน โมก็รับไว้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอก แต่สำหรับผมก็รู้สึกว่ามันเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ผมได้ทำลงไป และแล้วหลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมต้น ผมก็ต้องย้ายโรงเรียน และได้นัดเจอกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากไม่ได้เจอกันเป็นปี ผมเลิกเรียนแล้วรีบซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับมาโรงเรียนเก่าเพื่อรอโม และไปกินข้าวที่ห้างด้วยกัน ตอนนั้นมีคนทักว่าเป็นแฟนกันเหรอ โมพูดว่า

    “เปล่าค่ะ แค่คนรู้จักกันเท่านั้นคะ”

    ในใจผมก็นึกเสียดาย แล้วเธอก็บอกว่า “นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ก็คงไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ลาก่อนนะ” สุดท้ายผมกับโมก็มีเพียงรูปสติ๊กเกอร์ที่ถ่ายด้วยกันเป็นที่ระลึก ซึ่งผมเองก็ยังเก็บไว้ในกระเป๋าตังค์มานานนับปี

    ในที่สุดเวลาก็ผ่านพ้นมาจนถึงตอนนี้ ตอนที่ผมกำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่บนดาดฟ้าของตึกร้างของลานโบว์ลิ้งเก่าที่ไม่มีใครเข้ามา มีเพียงความเศร้าและความเหงาเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อน แต่หูผมก็ได้ยินเสียง ๆ หนึ่งเขยิบเข้ามาทางด้านหลัง ผมหันไปมองก็เห็น

    “เหมี๊ยว...วว”

    แมวจรจัดสีขาวตัวหนึ่งเดินมา ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ผมจึงลุกขึ้นยืนแล้วตัดสินใจที่จะกลับบ้าน ด้วยความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ ผมกลับมาถึงบ้านแล้วตรงเข้าห้องนอน เปิดไฟให้มันสว่าง เห็นดอกคาร์เนชั่นสีขาวที่เสียบไว้ในแจกันข้างคอมพิวเตอร์มันแห้งเหี่ยวเสียแล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมดาของดอกไม้ที่ต้องมีผลิบานและร่วงโรยเช่นเดียวกับดอกกุหลาบที่ผมให้กับโม ผมต่อเน็ตแล้วเปิดอีเมลด้วยความสิ้นหวังเช่นเคย มันบอกว่ามีจดหมายที่ยังไม่ได้อ่าน อยู่17ฉบับ แต่ว่านะส่วนใหญ่มักจะเป็นโฆษณาสินค้าที่เจ้าของเวปไซด์ขายข้อมูลให้กับบริษัทขายสินค้าทั้งนั้น แต่ว่าในนั้นเอง ผมพยายามเปิดดูจนหมดแต่ก็ไม่พบอีเมลของคาร์เนชั่นเลยสักฉบับ

    ผมปั้นยิ้ม แล้วถอนหายใจ เพื่อความมั่นใจอีกครั้งผม refresh อีเมลของผมเพื่อดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ปรากฏว่ามีจดหมาย 1 ฉบับที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน ผมรีบเปิดมันทันทีมันเป็นจดหมายของคาร์เนชั่นที่เพิ่งส่งมาสด ๆ ร้อน ๆ

    “to bunpeng

    ขอโทดนะทีตอบช้า พอดีฉันงานยุ่ง นายรู้สึกดีขึ้นรึเปล่า คงจะคิดไม่ฆ่าตัวตายแล้วนะ ถ้ามีอะไรปรึกษาถ้าช่วยได้ฉันก็จะช่วย

    from carnation”

    เมื่อผมอ่านจดหมายฉบับนี้จบ ผมเองก็ไม่รู้ว่า สิ่งที่พูดมาของเธอจะเป็นความจริงรึเปล่า ใจของเธอจะมองว่าผมเป็นคนแบบไหนกัน สำหรับคนที่ไร้อนาคตที่ติดอยู่ในทางตัน การที่เธอมาช่วยเหลือให้กำลังใจผมแบบนี้ มันจะเหมือนกับการโปรดสัตว์รึอย่างไร แต่ถ้าเขียนตอบกลับไปตรง ๆ คงต้องโดนโกรธแน่ ผมจึงขอคิดดูก่อน

    - 3 วัน ผ่านไป -

    ผมยังนอนอยู่กับบ้านไม่ได้ออกไปไหน ความรู้สึกเหงามันกัดกินหัวใจของผมจนกร่อน นี่ผมคงเป็นผู้ชายที่แย่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ผมหยิบรูปถ่ายสติ๊กเกอร์ที่ผมถ่ายเก็บไว้กับโมไว้ในกระเป๋าตังค์ออกมาดู ผมคงจะไม่มีทางยิ้มได้อย่างมีความสุขแบบนั้นอีกแล้ว เวลาผ่านไปตั้งขนาดนี้แล้วโมคงจะมีแฟนแล้วก็คงจะมีความสุขดีและคงลืมผมไปเรียบร้อยแล้ว จริงสินะในเวลาแบบนี้ถ้าได้ออกไปเที่ยวที่ไหนคงจะดีไม่น้อย แต่ถ้าไปคนเดียวมันก็เหงาอีกนั่นแหละ ถ้าเป็นเพื่อนผู้ชายก็คงจะชวนไปด้วยง่ายกว่าล่ะมั๊ง แต่ว่าเพื่อนแต่ละคนมันก็ดันมีแฟนไปหมดแล้ว ก็คงจะไม่มีเวลามาเสียให้กับเรา แต่ยังไงโทรไปมันก็ยังดีกว่าไม่โทรไป ผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา และเลือกเบอร์ของเพื่อนสนิทเพื่อโทรคุย ผมได้ฟังเสียงรอรับโทรศัพท์ของเพื่อนผมนานสักครึ่งนาที เขาก็รับโทรศัพท์ขึ้นมา

    “หวัดดี เจ๋ง สบายดีป่าว”
    “อ่าว บุญเปร่งเหรอ มีอะไรกำลังทำงานอยู่มีอะไรก็ไว้พูดกันวันหลังแล้วกัน ขอโทษนะ”

    เจ๋งพูดตัดบทแล้ววางสายไป ก็คงต้องเข้าใจว่ามันงานยุ่งจริง ๆ ตั้งแต่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการหัวหน้าแผนกโทรไปทีไรก็ไม่ได้คุยกันซักที นี่ผมคงจะถูกสังคมทอดทิ้งโดยปริยาย ด้วยความซึมเศร้าที่ไม่สามารถหาที่ระบายออกได้ จิตใจเหมือนล่องลอยเคว้งคว้างไม่มีที่ยึดติด เมื่อรู้สึกตัวอีกทีถึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน นั่งรถเมล์ขับไปตามถนนสายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน มันมืดวังเวง ตายล่ะ เฮ้ย!!

    “นี่ผมเป็นบ้าอะไรถึง มานั่งรถเมล์ที่ไม่รู้ว่าจะไปไหนได้ล่ะเนี่ย”

    ผมสะดุ้งและรีบลุกขึ้น จากนั้นวิ่งไปที่กริ่งประตู

    “จอด ๆ ผมจะลง”

    ผมพูดไปดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยิน ผู้โดยสารทุกคนนั่งนิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วก็มีเสียงจากคนขับ

    “ลงไม่ได้หรอกครับ เราจะจอดก็ต่อเมื่อถึงจุดหมายแล้ว”
    “แล้วจุดหมายมันอยู่ที่ไหนล่ะ”

    แล้วคนขับก็หันหน้ามาพร้อมกับแววตาที่ลุกวาว แล้วพูดด้วยเสียงแหบเย็นที่ฟังดูน่าขนลุก

    “นรกยังไงล่ะ”
    “บัดซบน่า ผมยังไม่ตายสักหน่อย”

    ผมรีบโต้แย้ง แต่คนขับก็ยังพูดต่อ

    “คนที่ไร้ซึ้งความหวังอย่างคุณอยู่ไปมันก็เหมือนกับตายแล้วอย่างงั้นแหละ ถ้าตายรึหายไปเลยก็ย่อมน่าจะดีกว่า ไม่ใช่รึไง คนที่นั่งอยู่ในรถคันนี้ก็เป็นคนที่ไร้ซึ่งความหวังเช่นเดียวกับคุณ เขาก็ยังนั่งสงบเสงี่ยมเลย ชีวิตในโลกน่ะ มีเรื่องที่เป็นทุกข์ ตั้งแต่เกิดความทุกข์เป็นสิ่งที่หลีกหนีไปไม่ได้ ความตายนั่นย่อมดีกว่า...”

    “คุณพูดอาจจะถูก แต่ว่า...ในโลกนี้ก็ยังมีคนที่ต้องต่อสู้กับโชคชะตาของตนเองอยู่เลย แล้วตัวผมจะตายโดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้อะไรเลยเนี่ยนะ”

    “งั้นก็ลงไปสิ รถคันนี้ไม่ต้องการคนที่ยังอยากมีชีวิตอยู่”

    จู่ ๆ รถโดยสารก็จอด ผมเดินลงอย่างงุนงง เสียงของคนขับรถพูดตบท้ายว่า

    “ถ้าเกิดนึกเบื่อหน่ายชีวิตอีก อย่าลืมขึ้นรถของเรานะ”

    หลังจากผมลงจากรถโดยสารคันนั้นแล้ว ก็เพิ่งรู้ตัวว่านั่นคือความฝัน เพราะผมหลับไปบนที่นอน ผมก็ยังมีชีวิตอยู่ในห้องของตนเอง ห้องมืดไปหมดแต่มีแสงจากจอคอมพิวเตอร์สว่างอยู่ ลมโชยจากหน้าต่างเข้ามายังในห้องของผมทำให้สัมผัสได้ถึงความหนาวของตอนค่ำคืน แต่น้ำตาของผมก็ไหลออกมาเองไม่มีสาเหตุ แต่มันก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าและความสงบ ผมไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มีจดหมายส่งมาถึงผม มันเป็นของคาร์เนชั่น ก็ผมยังไม่ได้ตอบเลย แล้วเธอยังเขียนถึงผมอีกรึน่าแปลก แต่ก็น่าลองอ่านดู

    “to bunpeng

    นี่นายยังคงซึมเศร้าอยู่อีกรึ ถ้าไม่เล่าอะไรคนแปลกหน้าอย่างฉันก็คงจะช่วยอะไรนายไม่ได้ อย่าคิดว่าโลกนี้มีนายเศร้าอยู่คนเดียวที่ไหนล่ะ อย่างฉันพูดไม่ได้ยังไม่โทษใครเลย จริงสิฉันมีบัตรดูหนังสองใบได้มาฟรี ถ้าไปดูคนเดียว บัตรอีกใบก็ไม่ได้ใช้ ว่าไง วันอาทิตย์น่ะว่างรึเปล่า

    From carnation”
    วันไหนผมก็ว่างทั้งนั้นแหละ แต่คนอย่างผมมันยังมีคนชวนไปดูหนังด้วยเหรอ แต่มันก็น่าสนุกดี นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้ไปดูหนังที่โรงหนัง ผมมักจะเลือกซื้อวีซีดีแผ่นก็อปราคาถูกมาดูคนเดียวมากกว่า ผมจึงตอบรับคำชวนไปโดยไม่มีลังเล

    หลังจากนั้นวันนัดพบ ผมแต่งชุดที่คิดว่าเท่ห์ที่สุดออกไปจากบ้าน นั่งรถไฟฟ้าไปลงเซ็นเตอร์พ้อย ใจก็เต้นตุบ ๆ ต้อม ๆ ไม่รู้ว่าผลลัพท์ของวันนี้จะเป็นเช่นไร เมื่อผมมาถึงน้ำพุใจกลางย่านเซ็นเตอร์พ้อยก็ยืนรอด้วยความกระสับกระส่าย แน่ละสิแถวนี้มันใกล้จุฬา นักศึกษาดี ๆ มาเดินเที่ยวแถวนี้มันเป็นคนละโลกกับคนอย่างผมที่อาศัยอยู่ ผมก้มอยู่เห็นเท้าของคนมายืนอยู่ต่อหน้า ผมเงยหน้าขึ้นเห็นคาร์เนชั่นอยู่ต่อหน้าผม เธอเป็นเด็กแนวจริง ๆ ด้วย สายเดี่ยว กางเกงลายพรางสีขาว แต่ก็สวยมากครับผมชอบ

    “นี่จะไปดูหนังที่ไหนเหรอ”

    เธอกวักมือเรียกให้ผมเดินตามมา เราทั้งสองเดินคู่กันตัวของเธอเตี้ยกว่าผมหัวอยู่แค่บ่าเท่านั้นเอง ความสูงของเธอคงสัก 150 ซม. ล่ะมั๊ง เธอพาผมไปที่ลานจอดรถ นี่เธอขับรถมาด้วยเหรอ แล้วคาร์เนชั่นก็หยุดอยู่ที่ช็อปเปอร์คันหนึ่ง

    “เป็นช็อปเปอร์หรอกเหรอ แต่ให้ผมซ้อนท้ายคงไม่ดีมั๊ง”

    แต่เธอกลับเปิดประตูรถเฟอร์รารี่สีแดงเปิดประทุนแทนซะนี่

    “ฟ...เฟอร์รารี่!!”

    ผมเองความจริงไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถเท่าไหร่หรอก แต่ว่าที่เห็นมันเป็นเฟอร์รารี่ไม่ผิดแน่ เท่าที่เคยได้ยินมามันแพงกว่าเบนซ์เสียอีก มีแต่เศรษฐีเท่านั้นที่จะได้ขับมัน แล้วนี่เธอเป็นใครกันเนี่ยผมไม่รู้เรื่องเลย แต่เท่าที่รู้เธอมันโคตรไฮโซเลย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×