ตอนที่ 8 : ครอบครัว
ร่างสูงใหญ่ของท่านแม่ทัพปรากฏต่อสายตาเพราะรั้วบ้านของนางนั้นไม่ได้สูงมากนัก ท่านพ่อมาทำอะไรที่นี่ ทั้งยังมาพร้อมฮูหยินใหญ่และหลิวรุ่ยฟาง นางเดินออกไปเปิดประตูรั้วให้เพราะไหนๆก็มาแล้วจะไม่ต้อนรับได้เช่นไร
“คารวะท่านพ่อ ฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ สบายดีนะฟางเอ๋อร์”
“เพราะได้พี่ใหญ่ช่วยชีวิตน้องไว้เจ้าค่ะ”
“ดีแล้วล่ะ เชิญในบ้านก่อนเถิดเจ้าค่ะ” นางเดินนำทั้งสามคนเข้ามาในห้องรับแขกของบ้านมีจ้าวไท่หลงเดินตามมาห่างๆ พอทั้งสามคนนั่งลงไท่หลงก็เอ่ยทักทายแล้วออกไปช่วยท่านน้าลู่ไป๋ทำงานด้านนอก พี่เสี่ยวอิงยกน้ำชากับขนมมาให้อย่างรู้หน้าที่ “ท่านพ่อมาหาลูกด้วยเรื่องใดหรือเจ้าคะ ถึงได้มาไกลถึงเพียงนี้”
“พ่อมาเยี่ยมเจ้า อีกทั้งฮูหยินใหญ่และฟางเอ๋อร์ก็อยากมาขอบคุณเจ้าที่ช่วยชีวิตฟางเอ๋อร์ไว้”
“น้องแข็งแรงดีแล้วเจ้าค่ะ” จิวเหมยสังเกตุสีหน้าของน้องสาวตัวน้อยก็เห็นว่าสดใสมีเลือดฝาดเหมือนเช่นเด็กสุขภาพดี “ขอบคุณพี่ใหญ่ที่เมตตาเจ้าค่ะ”
“ข้าช่วยเพราะเจ้าเป็นน้อง อย่าได้เก็บมาเป็นบุญคุณเลย อีกอย่างท่านพ่อเองก็มอบรางวัลให้ลูกแล้ว”
“รางวัลแค่นั้นจะเทียบกับชีวิตของน้องเจ้าได้เช่นไร พ่อต้องขอบคุณเจ้าจริงๆเหมยเอ๋อร์” ท่านแม่ทัพมองดูบ้านหลังเล็กแล้วอดทึ่งกับความสามารถของบุตรสาวคนโตไม่ได้ นางอยู่ตัวคนเดียวได้ดั่งเช่นที่เคยวาจากับเขาไว้ทั้งยังอยู่ได้ดีจนมีพื้นที่เพาะปลูกกว้างขวางเช่นนี้ “พื้นที่บ้านของเจ้ากว้างขวางน่าอยู่นัก ลำบากเจ้าแล้วลูกพ่อ”
“ไม่ลำบากนักหรอกเจ้าค่ะ ลูกอยู่ที่นี่สุขกายสบายใจดี”
“คุณชายจ้าวก็อยู่ที่นี่กับเจ้าเช่นนั้นหรือ”
“ไท่หลงเพียงมาเยี่ยมเยียนลูกเท่านั้นเจ้าค่ะ เราเป็นสหายและเขาช่วยเหลือลูกไว้มากทีเดียว ส่วนชายอีกคนนั้นคือท่านน้าลู่ไป๋เจ้าค่ะ ลูกบังเอิญพบท่านน้าบาดเจ็บก็เลยช่วยเหลือไว้ เห็นว่าท่านน้าไม่มีที่ไปก็เลยชวนอยู่ด้วยกันที่นี่ให้ช่วยลูกปลูกข้าวและดูแลสวนเจ้าค่ะ อีกไม่กี่วันจะมีช่างมาสร้างบ้านให้ท่านน้าแยกต่างหากอยู่ทางต้นไม้ใหญ่ด้านโน้นเจ้าค่ะ ส่วนพี่เสี่ยวอิงเป็นสาวใช้ที่รองแม่ทัพจ้าวไท่หยางหามาให้แต่ลูกนับนางเป็นพี่สาวเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพ่อก็หายห่วงที่เห็นเจ้าอยู่อย่างสุขสบาย” แต่ที่เขามาวันนี้ก็เพราะชายผู้นี้นี่แหละ รองแม่ทัพจ้าวไปรายงานเรื่องนี้กับเขาถึงที่จวน นึกห่วงบุตรสาวคนโตยิ่งนักจึงได้มาหานางในวันนี้ มาดูให้แน่ใจว่านางอยู่สุขสบายดีเช่นที่รองแม่ทัพจ้าวรายงาน หากแต่เมื่อฮูหยินใหญ่รับรู้จึงขอมาด้วยและฟางเอ๋อร์ก็ขอมาด้วยอีกคน “ขาดเหลือสิ่งใดบอกพ่อได้เลยนะเหมยเอ๋อร์ อย่าได้เกรงใจ”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกอยู่ได้สบายมาก ว่าแต่แม่รองสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
“นางสบายดี” สบายดีมากเสียด้วย
“แม่ใหญ่เล่าเจ้าคะ สบายดีหรือไม่เหตุใดจึงหน้าตาซีดเซียวเช่นนี้เล่าเจ้าคะ” ความสวยงดงามที่เคยมีกลับทรุดโทรมไม่น่าชม เกิดอะไรขึ้นกับฮูหยินใหญ่ผู้งดงามกัน ฟางเอ๋อร์เองก็หายดีแล้วมิใช่หรือ
“ตั้งแต่ฟางเอ๋อร์นอนไม่ได้สติแม่ใหญ่ก็เจ็บป่วยมาตลอด นี่ก็ฝืนจะออกจากจวนมาขอบใจเจ้าด้วยตนเอง”
“ได้ดื่มยาบำรุงบ้างหรือไม่เจ้าคะแม่ใหญ่”
“ดื่มไม่ได้ขาด แต่ยิ่งดื่มข้าก็ยิ่งอ่อนแรง”
“เช่นนั้นข้าขอตรวจดูหน่อยนะเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยอมยื่นแขนออกมาให้นางได้จับชีพจร แต่ที่นางทำนอกจากจับชีพจรก็คือการส่งธาตุดำเข้าไปตรวจสอบเพราะเกรงว่านางจะได้รับพิษดั่งเช่นบุตรสาว แล้วก็เป็นจริงเพราะร่างกายฮูหยินใหญ่เริ่มร้อนและขับของเสียออกทางผิวหนังเป็นสีดำ “ท่านโดนพิษเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นพิษชนิดใด อาจจะมากับสมุนไพรที่ท่านดื่มหรือจากอย่างอื่นก็เป็นได้ทั้งนั้น”
“เช่นนั้นเจ้าช่วยนางได้หรือไม่เหมยเอ๋อร์!”
“ได้เจ้าค่ะ แต่ข้ามีเรื่องจะเอ่ยถามความจริงจากแม่ใหญ่สักหน่อย ฟางเอ๋อร์ พี่ทำขนมหวานไว้ในครัวเจ้าไปหาพี่เสี่ยวอิงให้เขาตักขนมให้เจ้าชิมสักหน่อยเป็นอย่างไร” เด็กน้อยเมื่อได้ยินว่าขนมก็พยักหน้าแล้ววิ่งไปหาพี่เสี่ยวอิงที่อยู่ในครัวเฝ้าสังขยาฟักทองกับทำน้ำมันมะพร้างให้นางอยู่ “ข้าไม่อ้อมค้อมนะเจ้าคะ ข้าอยากรู้ว่าคนคิดอุบายลวงข้าให้ไปตายถึงป่าทมิฬกาลนั้นเป็นแม่ใหญ่ใช่หรือไม่เจ้าคะ!”
“เหมยเอ๋อร์!”
“ลูกเพียงอยากรู้ความจริงเจ้าค่ะท่านพ่อ เพราะลูกจำได้ว่าผู้ที่มาแจ้งข่าวแก่ลูกนั้นเป็นสาวใช้ของแม่ใหญ่”
“สาวใช้คนนั้นเป็นคนที่อนุรองหามาให้ข้า แล้วก็เป็นอนุรองที่วางยาพิษฟางเอ๋อร์ ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดกับเจ้าเลยจิวเหมย แต่ข้ารู้ว่าพวกนางเป็นผู้ทำแต่ถึงเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจบอกผู้ใดได้เพราะสาวใช้ผู้นั้นขู่ข้าว่าจะไม่ยอมมอบยาแก้พิษให้ฟางเอ๋อร์หากข้าปริปากบอกท่านแม่ทัพหรือผู้อื่น” ฮูหยินใหญ่เริ่มร่ำไห้เพราะนางเองก็ทนทุกข์กับเรื่องนี้เช่นกัน
“เป็นแม่รองเองสินะเจ้าคะ”
“นางวางยาพิษฟางเอ๋อร์มานานแล้วแต่ข้าไม่กล้าบอกผู้ใดแม้แต่ท่านแม่ทัพ ข้าทุกข์ใจยิ่งนักจนได้เจ้ามาช่วยถอนพิษให้ฟางเอ๋อร์ ขอบคุณเจ้าจริงๆจิวเหมย ข้าจะไม่ลืมบุญคุณที่เจ้าช่วยฟางเอ๋อร์เลยชั่วชีวิตนี้”
“เหมยเอ๋อร์ พ่อเองก็ขอโทษลูกที่ไม่สืบหาความจริงของเรื่องนี้อย่างจริงจังเช่นที่เคยพูด”
“อย่าโทษตัวเองเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านพ่อเองก็กังวลเรื่องของฟางเอ๋อร์ไม่น้อย เรื่องนี้ลูกจะจัดการเอง ใครทำสิ่งใดก็ย่อมได้สิ่งนั้นตอบแทน เช่นนั้นแม่ใหญ่ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะขับพิษออกจากร่างแม่ใหญ่ชุดสวยๆคงเลอะแต่ของเสียเป็นแน่ ลูกรบกวนท่านพ่อไปดูแลฟางเอ๋อร์ก่อนนะเจ้าคะ อย่าให้ผู้ใดเข้ามาในนี้เป็นอันขาด”
“ได้ พ่อจะทำตามเช่นที่เจ้าบอก” คล้อยหลังท่านพ่อออกไปจิวเหมยก็เริ่มจับชีพจรของฮูหยินใหญ่แล้วส่งธาตุดำเข้าไปขับพิษออกมา ร่างกายของนางเต็มไปด้วยพิษเช่นบุตรสาวไม่รู้ว่าแม่รองเอาสมุนไพรชนิดใดมาให้นางดื่มบ้างถึงได้มีพิษเยอะแยะเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่เองก็กัดฟันทนกับความร้อนภายในร่างกายที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆจนแทบหมดสติแต่ฉับพลันความเย็นวาบก็เข้ามาแทนที่ราวกับกำลังรักษาร่างกายของนาง
เพียงครึ่งเค่อจิวเหมยก็ละมือจากแขนฮูหยินใหญ่
“เชิญแม่ใหญ่ไปอาบน้ำชำระร่างกายที่ห้องน้ำทางด้านโน้นก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะเตรียมชุดไว้ให้”
“ร่างกายข้า...หายแล้วงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ เพียงทานยาบำรุงอย่างระมัดระวังอีกไม่นานก็จะแข็งแรงเช่นเดียวกับฟางเอ๋อร์”
“ขอบใจ ขอบใจเจ้ามากจิวเหมย ขอบใจจริงๆที่ช่วยข้า”
“เจ้าค่ะ” นางประคองฮูหยินใหญ่ไปส่งที่ห้องน้ำแล้วกลับมาเตรียมชุดใหม่ที่เป็นของพี่เสี่ยวอิงไว้ให้ฮูหยินใหญ่ได้ผลัดเปลี่ยน ด้านนอกบ้านได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของหลิวรุ่ยฟางเอ่ยถามบิดาไม่ขาดถึงสิ่งแปลกใหม่ที่นางไม่เคยเห็น จิวเหมยถึงกับหัวเราะในความช่างพูดของน้องสาว พอรู้ความจริงนางก็มองเด็กน้อยผู้นั้นดีขึ้นมากทีเดียว
“ขนมของข้าเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะพี่เสี่ยวอิง”
“พี่ยกลงจากเตาแล้วเจ้าค่ะ เปิดฝารอให้หายร้อนเช่นที่คุณหนูบอก” จิวเหมยเดินไปดูสังขยาฟักทองที่ทำไว้แล้วเห็นว่าตัวสังขยาออกมาเนื้อเนียนสวยอย่างที่ควรจะเป็นก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข รสชาติเป็นอย่างไรต้องรอลุ้นอีกที
“พี่เสี่ยวอิงไปช่วยแม่ใหญ่แต่งตัวหน่อยนะเจ้าคะ แล้วค่อยมาช่วยข้าเตรียมมื้อเที่ยง” แต่เห็นของสดที่มีแล้วก็ต้องถอนหายใจ ไม่เหลือสิ่งใดเลย ทางเดียวคือต้องให้จ้าวไท่หลงไปตลาดซื้อของให้ ควบม้าไปคงใช้เวลาไม่นานกระมัง คิดได้เช่นนั้นก็เดินไปหาสหายที่ยังช่วยท่านน้าลู่ไป๋หยิบจับของอยู่ “ไท่หลง เจ้าไปตลาดให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยากได้เนื้อหมูแล้วก็ปลาตัวใหญ่สักสองตัว”
“ให้คนของพ่อไปซื้อมาให้ก็ได้ลูก ไท่หลงเองก็ยังช่วยท่านลู่ไป๋อยู่มิใช่หรือ”
“เช่นนั้นก็รบกวนคนของท่านพ่อด้วยนะเจ้าคะ แล้วก็เชิญท่านพ่อ แม่ใหญ่แล้วก็ฟางเอ๋อร์อยู่รับประทานมื้อเที่ยงด้วยกันนะเจ้าคะ ลูกจะเข้าครัวเอง”
“ได้สิ”
“อยู่เจ้าค่ะ ขนมของพี่ใหญ่อร่อยยิ่งนัก น้องชอบมากเจ้าค่ะ” ทาสบัวลอยอีกคนแล้ว
นางส่งเงินให้คนของท่านพ่อแต่พวกเขากลับไม่รับเพราะท่านพ่อจะเป็นคนจ่ายเองนางก็ไม่ขัดศรัทธา นางเข้าครัวเตรียมเครื่องสมุนไพรไว้สำหรับทำปลานึ่งและปลาทอด ส่วนเนื้อหมูจะทำผัดคะน้า หมูทอด หมูย่างนมสด แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วสำหรับมื้อเที่ยง คนเยอะก็เลยต้องทำเยอะขึ้น
รอไม่นานคนของท่านพ่อที่ออกไปซื้อของที่ตลาดก็กลับมา นางให้พี่เสี่ยวอิงนำปลาไปขอดเกล็ดและล้างด้วยเกลือดับกลิ่นคาว ยัดสมุนไพรใส่ในตัวปลาแล้วใส่หม้อนึ่ง โรยด้วยขิงดับกลิ่นคาวอีกทีก็ปิดฝานึ่งได้ ส่วนอีกตัวนั้นหมักไว้เตรียมทอดหลังสุด เนื้หมูที่จะทอดกับย่างก็ต้องหมักเช่นกัน ฮูหยินใหญ่พอเปลี่ยนชุดใหม่แล้วก็มาช่วยนางในครัวเช่นกัน
“แม่ใหญ่ช่วยย่างหมูนะเจ้าคะ อย่าให้ไหม้ พี่เสี่ยวอิงทอดหมูนะเจ้าคะ ข้าจะผัดผักกับทอดปลาเอง” กระทะนางมีเยอะไม่ต้องแย่งกัน อิอิ “นี่ถ้ามีมะนาวคงจะดีกว่านี้”
“มะนาวหรือเจ้าคะ ให้รสชาติเช่นใดเจ้าคะ”
“เปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟันเลยเจ้าค่ะพี่เสี่ยวอิง กินกับปลานึ่งอร่อยอย่าบอกใครเชียว รีบทำกันเถิดเจ้าค่ะ สามหนุ่มกับอีกหนึ่งเด็กน้อยด้านนอกคงจะหิวแย่แล้ว” ยิ่งได้กลิ่นก็ยิ่งหิว จ้าวไท่หลงแทบจะไม่มีสมาธิทำงานแล้ว
อาหารทุกอย่างถูกจัดขึ้นโต๊ะอย่างสวยงาม วันนี้ทุกคนล้อมวงกินพร้อมกันเพราะจิวเหมยไม่ได้ทำแยก หากจะมากินข้าวที่บ้านนางก็ต้องกินพร้อมกันแบบนี้ไม่มีแบ่งแยกชนชั้น หมูย่างแม้จะยังหมักไม่เข้าเนื้อดีแต่ก็รสชาติดีทีเดียว ฮูหยินใหญ่ย่างออกมาได้ดีมาก ปลาทอดหมูทอดก็อร่อยไม่อมน้ำมัน ปลานึ่งไม่มีกลิ่นคาวกินกับขิงเข้ากันมาก ผัดผักเองก็สดกรอบสีสวย เรียกว่ามื้อนี้ทุกคนอิ่มหนำกันมาก แต่ที่มากกว่าใครก็เห็นจะเป็นจ้าวไท่หลง
“นี่เจ้าเพิ่มข้าวเป็นรอบที่สามแล้วนะไท่หลง”
“ก็อาหารอร่อยนี่นา โดยเฉพาะปลานึ่งกับหมูย่างนี่ ข้าชอบมาก เจ้าไม่เห็นบ่นน้องสาวเจ้าบ้างเลย” เด็กนี่ก็เติมข้าวไปหลายรอบไม่แพ้เขาหรอกน่า ใครๆก็เติมข้าวกันทุกคนนั่นแหละแม้แต่ฮูหยินจ้าวเองก็เถอะ
“ฟางเอ๋อร์กำลังโต กินเยอะๆไว้เป็นดี”
“ข้าก็กำลังโตเช่นกัน กำลังจะสิบสามหนาวเองนะ” แต่ตัวเจ้าน่ะโตเท่าอายุสิบห้าสิบหกแล้วกระมังจ้าวไท่หลง
“เดี๋ยวจะได้อ้วนเป็นหมูตอน”
“พ่อได้ยินไท่หลงบอกว่าลูกจะซื้อที่ดินเพิ่มงั้นหรือเหมยเอ๋อร์”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกอยากมีที่ไว้ปลูกข้าวเพิ่ม อีกไม่นานนี้ลูกจะเปิดเหลาอาหารที่โรงเตี๊ยมหมิงอันเจ้าค่ะ ท่านป้าจางเจ้าของคนเก่าย้ายไปอยู่ต่างเมืองก็เลยขายให้ลูกแล้ว” ท่านแม่ทัพได้ยินเช่นนั้นก็ชื่นชมบุตรสาวคนโตของตนเองยิ่งนัก นางเข้มแข็งและยืนหยัดได้ด้วยตนเองอย่างสง่างามจริงๆ เจ้าคงหลับได้อย่างหมดห่วงแล้วล่ะเหมยอิง
“เช่นนั้นให้พ่อซื้อให้เจ้าดีหรือไม่ พ่อเองก็ผิดสัญญากับลูกเรื่องบ้าน ให้พ่อได้ตอบแทนเจ้าบ้างเถิดเหมยเอ๋อร์”
“เช่นนั้นลูกจะรับไว้เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพ่อมากเจ้าค่ะ”
“พี่ใหญ่เจ้าคะ น้องอยากมาอยู่กับพี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
“หืม เหตุใดเจ้าถึงอยากมาอยู่กับพี่เล่าฟางเอ๋อร์” แม้แต่ท่านพ่อกับแม่ใหญ่ยังแปลกใจที่ฟางเอ๋อร์พูดมันออกมาเช่นนั้น “มาอยู่กับพี่เจ้าไม่ใคร่สบายนักหรอกนะ พี่ต้องทำงานทั้งวันอยู่เล่นสนุกกับเจ้าไม่ได้หรอก”
“น้องจะช่วยพี่ใหญ่ทำงานเองเจ้าค่ะ”
“เจ้าอยากทานอาหารกับขนมฝีมือพี่สาวเจ้ามากกว่ากระมัง” เด็กน้อยเอามือปิดปากหัวเราะคิกกับคำพูดของไท่หลง นี่คงไม่ได้เป็นจริงเช่นที่สหายเขาพูดใช่หรือไม่ “น้องเจ้าแย่งบัวลอยที่ข้าเก็บไว้กินจนหมดเลย”
“ให้น้องมาอยู่กับเจ้าก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน เพราะพ่อคงจะเรียกอนุรองมาคุยในเร็ววันนี้”
“ก็ได้เจ้าค่ะ มาอยู่กับลูกคงจะปลอดภัยกว่าจริงๆ”
“ฝากน้องด้วยนะลูก” เอาเถอะ มาอยู่กับนางนางจะเขี่ยวเข็ญให้ป็นอัจฉริยะตัวน้อยให้ดู ปริญญาเอกสามใบของจันทร์ จัทรสุบรรณคงได้งัดออกมาใช้ก็คราวนี้ ตกลงกันได้แล้วนางก็ยกจานเปล่าทั้งหมดไปเก็บที่ครัวแล้วยกสังขยาฟักทองที่แบ่งเป็นแปดชิ้นออกมา อีกหนึ่งลูกจะฝากไปให้ครอบครัวจ้าว อีกลูกคิดไว้ว่าจะแจกเพื่อนบ้าน
“สังขยาฟักทองเจ้าค่ะ”
“อึก”
“เช็ดน้ำลายเจ้าด้วยไท่หลง” แต่ดูเหมือนสาวน้อยหนึ่งเดียวก็จะมีอาการไม่ต่างกัน นางตักแบ่งใส่จานให้คนละชิ้น นี่ถ้ามีกล้องถ่ายรูปคงจะออกมาน่ารักสุดๆ
“นุ่มละลายในปาก หวานอร่อยมาก” จ้าวไท่หลงหลับตาพริ้มลิ้มรสของหวานอย่างช้าๆ “ไม่น่าเชื่อว่าแค่ไข่กับน้ำผึ้งจะอร่อยถึงเพียงนี้ ขอข้าเอากลับจวนซักลูกได้หรือไม่ นะจิวเหมย”
“ข้าก็ทำเผื่อให้เจ้าเอากลับไปนั่นแหละ แต่ต้องกินให้หมดในวันเดียวนะทิ้งไว้ข้ามวันมันจะเน่าเสีย”
“ไม่มีเหลืออยู่แล้ว” กลัวสหายจะเป็นเบาหวานจริงๆ
“ท่านพ่อ แม่ใหญ่พอจะทานได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าทำครั้งแรกไม่รู้ว่าจะหวานไปหรือรสอ่อนไปไหม”
“พ่อก็ไม่รู้ว่าหวานไปหรือไม่เพราะพ่อเพิ่งจะเคยทาน แต่พ่อว่าหวานกำลังดีนะ ฮูหยินว่าเช่นไร”
“น้องก็เห็นว่าหวานกำลังดีเจ้าค่ะ หากหวานกว่านี้อาจจะแสบคอ” เห็นว่าทุกคนลงความเห็นแบบนั้นนางก็จะจดสูตรไว้ว่าใช้น้ำผึ้งเท่าไหร่ไข่ไก่เท่าไหร่ พอทำออกขายจะได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ช่วงบ่ายท่านพ่อให้คนไปแจ้งแก่พ่อบ้านหม่าให้ไปตามคนของเสนาบดีกังปู้มาวัดที่ดินตามที่ข้าต้องการ คราแรกอยากได้เพียงผืนเล็กๆพอขยับขยายเท่านั้นแต่ท่านพ่อกลับกวาดซื้อจนแทบหมดเหลือไว้แค่อีกฝั่งที่ฝากแม่น้ำเท่านั้น นี่หากนางปลูกข้าวเต็มพื้นที่คงได้ข้าวหลายตันเลยทีเดียว
“ลูกขอบพระคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ แต่ลูกว่ามันเยอะไปนะเจ้าคะ”
“ลูกก็เก็บไว้ใช้อย่างอื่นยามเมื่อลูกมีสิ่งอยากทำอย่างไรเล่า ที่ดินแถวนี้ก็ไม่แพงอะไรเลย” ก็เพราะมันถูกไงนางถึงซื้อได้เยอะขนาดนี้ แค่เงินขายเครื่องสำอางกับสินเดิมท่านแม่ก็พอจ่ายเองได้อยู่แล้ว นี่หมอผู้เก่งกาจเช่นนางจะต้องทำไร่ทำนาแล้วจริงๆนะหรือ ก็ดี จะได้ปลูกสมุนไพรไว้ช่วยเหลือผู้อื่นเยอะๆเลย
“เช่นนั้นคงต้องเปลี่ยนที่สร้างบ้านให้ท่านน้าแล้วล่ะเจ้าค่ะ เพราะใต้ต้นไม้นั่นข้าจะทำเป็นที่นั่งเล่นให้ฟางเอ๋อร์ แล้วก็คงต้องต่อเติมบ้านสร้างอีกห้องให้พี่เสี่ยวอิง ห้องเดิมของพี่เสี่ยวอิงนั้นคงต้องยกให้ฟางเอ๋อร์”
“พี่นอนห้องเดียวกับคุณหนูก็ได้เจ้าค่ะจะได้ไม่สิ้นเปลือง”
“เช่นนั้นข้าจะสั่งให้เขาทำเตียงเพิ่มให้นะเจ้าคะ” เพราะห้องนางเองก็กว้างมาก กินพื้นที่ไปเกือบครึ่งของบ้าน นอนสองคนได้สบายไม่อึดอัด นี่ครอบครัวข้ากำลังจะใหญ่ขึ้นแล้วใช่หรือไม่ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก
“เอะ นั่นช่างไม้ที่เจ้าไปสั่งทำของมิใช่หรือจิวเหมย”
“จริงด้วย! ท่านพ่อพาแม่ใหญ่เข้าร่มกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ ส่วนเจ้าตามข้ามาไท่หลง” จิวเหมยรีบวิ่งไปที่หน้าประตูบ้านทันทีเพราะหากช่างไม้มาถึงบ้านนางเช่นนี้เห็นทีว่าของที่นางสั่งทำคงเสร็จแล้วเป็นแน่
“คุณหนูหลิว ข้าเอาของมาส่งขอรับ” ช่างไม้เมื่อเห็นนางวิ่งออกมาหาก็ยิ้มแย้มเอ่ยทักทาย
“มาเองเลยหรือเจ้าคะ โห ทำได้เยอะเชียว”
“ขอรับ ข้ารับคนงานเพิ่มก็เลยทำงานได้เร็วแต่ก็ยังไม่เสร็จทั้งหมดนะขอรับ”
“เอาเท่าที่ได้ก่อนก็ได้เจ้าค่ะ” นางให้ไท่หลงขนของเข้าไปไว้ในบ้านโดยมีท่านน้าลู่ไป๋ออกมาช่วยด้วยอีกแรง “รบกวนช่างไม้แล้วเจ้าค่ะ ช่วงนี้ข้าต้องเร่งทำของออกมาขายก็เลยต้องเร่งช่างไม้ด้วย เกรงใจจริงๆ”
“ไม่เป็นอันใดหรอกขอรับ เพราะคุณหนูหลิวจ้างข้าก็เลยทำให้ข้ามีอยู่มีกิน เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะขอรับ หากที่เหลือเสร็จแล้วข้าจะรีบนำมาส่งให้เช่นเดิม”
“ประเดี๋ยวเจ้าค่ะ พอดีข้าอยากให้ช่างไม้ทำเตียงนอนแบบของข้าเพิ่มอีกสองเตียงพอจะได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้ขอรับ แต่คงต้องใช้เวลาหน่อยนะขอรับ”
“ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่รีบ เอาไว้วันพรุ่งข้าจะไปชำระเงินให้นะเจ้าคะ รบกวนช่างไม้คิดราคาไว้ให้ข้าด้วย”
“ได้ขอรับคุณหนู เช่นนั้นข้าขอลาขอรับ” คล้อยหลังรถม้าของช่างไม้กลับไปนางก็ยิ้มร่าเข้ามาในบ้าน เปิดดูของที่ได้มาแล้วปรากฎว่าเป็นตลับใส่ลิปบาล์มร้อยอันและตลับอายแชโดว์อีกห้าสิบอัน
“เข้าครัวกันเจ้าค่ะพี่เสี่ยวอิง ข้าจะทำลิปบาล์ม” นางแยกเอาตลับใส่ลิปบาล์มาสิบอันเพื่อทดลอง โดยใช้ไขผึ้งหนึ่งส่วนกับน้ำมันมะพร้าวสามส่วนและน้ำสีที่ได้จากดอกไม้แห้งอีกหนึ่งส่วน นำทุกอย่างไปตั้งไฟเพื่อให้ไขผึ้งละลายจากนั้นคนให้เข้ากันทิ้งให้เย็นเล็กน้อยแล้วเทลงตลับ “แค่นี้ก็รอให้มันเย็นตัวเป็นอันใช้ได้” สีออกมาสวยมากเพราะนางใช้สีแดงของเหมยกุ้ยเพียงอย่างเดียว รอสักสองชั่วยามก็น่าจะได้ที่แล้ว
“สิ่งที่เจ้าทำเรียกว่าสิ่งใดหรือเหมยเอ๋อร์”
“ลิปบาล์มเจ้าค่ะท่านพ่อ เอาไว้ทาปากให้ปากชุ่มชื้น อันที่ไม่มีสีท่านพ่อสามารถใช้ได้เจ้าค่ะ แต่ที่มีสีนั้นเหมาะสำหรับสตรีเท่านั้นเจ้าค่ะ” นางทำไว้อย่างละครึ่ง หากออกมาได้ผลนางก็จะแจกให้ทุกคนเอาไว้ใช้
รอถึงสองชั่วยามนางก็กลับเข้าไปดูผลงานอีกครั้ง ปรากฏว่าไขผึ้งแข็งตัวเข้ากับน้ำมันมะพร้าวได้ดีทีเดียว แต่หากจะทำให้เป็นลิปเนื้อแมทกว่านี้คงต้องลดน้ำมันมะพร้าวลงอีกแต่แค่นี้ก็ถือว่าใช้ได้ นางเอาลิปบาล์มแบบมีสีส่งให้ฮูหยินใหญ่ลองใช้ ใบหน้านางซีดขาวไร้สีเลือดพอดีเหมาะกับการทดลอง
“ใช้นิ้วถูเพียงเบาๆแล้วแตะลงที่ริมฝีปากได้เลยเจ้าค่ะแม่ใหญ่” จิวเหมยใช้นิ้วถูวนให้ดูแล้วเอามาแตะที่ริมฝีปากของนางเองเป็นตัวอย่าง สีแดงระเรื่อของเนื้อลิปช่วยให้ริมฝีปากของนางอมชมพูระเรื่อขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติทั้งยังมันวาวดูสุภาพดี ฮูหยินใหญ่เห็นเช่นนั้นก็ลองดูบ้าง ปรากฏว่าถูกใจนางมาทีเดียว “พี่เสี่ยวอิงก็ลองด้วยสิเจ้าคะ”
“ข้าลองด้วยสิ! ข้าอยากปากสีแดงบ้าง” แต่เจ้าเป็นชายนะไท่หลง!!
“ห้าสิบตำลึงทอง” คุณชายจ้าวถึงกับอ้าปากค้างกับราคาที่สบายพูดมา “ของมันหายาก” เจ้างกต่างหากเล่า!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รักภาษาอะไร
ต้องขอบาย ก่อนไปก็ขอระบายนิดเฮ้อ
นี่มันนิยายจีนโบราณหรือนิยายทำอาหารกันเนี่ย?
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 19 มิถุนายน 2563 / 21:03
ความย้อนแย้งนี้
ตัวแค่นี้เก่งจริง ๆ เลย
ฟังความข้างเดียว พ่อก็ลำเอียง
ชีวิตลูกคนเล็กหมื่นทองก็น้อยเกินไป
แต่ชิวิตลูกคนโตที่ว่ารักนักนักหนา ใครจะฆ่าก็ปล่อยไป ไม่มีเวลาสืบหา ไม่ช่วยอะไรเลย คือไรอ่ะ
สงสารแม่ของนางเอกอ่ะ ที่มีสามีแบบนี้ ไม่แปลกใจที่เมียตาย ลูกก็ตาย เหอะๆ
.
.
แค่ความคิดเห็นส่วนตัวจ้า....อย่าด่าเรานะ
กลับกลายเป็นฮูหยินรอง ร้ายลึกนะ # ขายลิปซะแพงเลย ฟันกำไรสุดๆ 55
เรื่องบ้านก็ด้วยมันประหลาดและฟังไม่ขึ้นมากๆ เห็นว่าวุ่นวายลูกคนเล็กป่วยไม่มีเวลาบอกพ่อบ้านแต่ดันมีเวลาบอกเรื่องสินเดิม...จะบอกพร้อมๆกันไม่ได้หรือไง บอกเรื่องหนึ่งแล้วไม่บอกอีกเรื่องเนี่ยนะ ห่วงคนเล็กแต่คนโตอยู่นอกบ้านนี่ไม่ห่วงเลย จริงๆก็ตั้งแต่ยอมให้อยู่นอกบ้านแล้วด้วย ไม่สิตั้งแต่ตอนกลับมาขี่ม้าผ่านเห็นลูกสาวอยู่นอกบ้านดันไม่ให้คนไปดูแลก่อนเลือกมุ่งหน้าเข้าวังรายงานไม่กลัวว่ากลับมาอีกทีลูกไม่อยู่แล้วหรือไง ไม่สื่อสารกันสักคำสั่งทหารในส้งกัดช่วยดูแลแล้วตัวเองค่อยไปรายงานไม่ได้หรอพูดสั่งแค่คำเดียวมันไม่เสียเวลามากหรอกนะบอกว่ารักมากนี่เชื่อไม่ลงจริงๆ
เราก็อยากลองอ่านดู
จนถึงตอนนี้ เออ จริงแฮะ ไม่สมเหตุสมผลเยอะแยะเลย อย่างบอกว่าแม่ทัพรักลูกสาวอนุสามมาก มองไม่เห็นเลย ปล่อยลูกสาวสิบขวบใช้ชีวิตข้างนอก โดยไม่ใส่ใจ นี่เรียกว่า ชังและไม่แยแสค่ะ รักแต่ลูกสาวเกิดจากฮูหยินใหญ่
อีกอย่างชังให้ตายก็จะไม่ปล่อยให้ลูกสาวออกมาใช้ชีวิตข้างนอก(ตัวคนเดียว) เพราะหมายถึงความเสื่อมเสียของผู้พ่อเจ้าของจวนและฮูหยินใหญ่