ตอนที่ 7 : ท่านน้ากับพี่สาวคนใหม่
“เจ้าจะตะโกนให้คนรู้ทั้งหมู่บ้านเลยหรือไท่หลง มาทำไมแต่เช้า” ร่างสูงที่ยังโตไม่เต็มที่ของคุณชายรองจ้าวไท่หลงเดินอาดๆเข้ามายืนจังก้าอยู่หน้าบุรุษรูปร่างสูงใหญ่แม้ยามนั่งอย่างประเมิน “สนใจอาหารเช้าหรือ”
“สน ข้าขอเยอะๆ ข้าหิวมาก”
“หิวแล้วทำไมไม่ทานก่อนออกจากจวน” ถึงจะบ่นแต่นางก็ลุกไปตักข้าวต้มให้สหายอยู่ดี ไท่หลงก็เลยมีเวลาประเมินชายที่ไม่น่าไว้วางใจที่นั่งกินข้าวต้มไม่พูดไม่จาไม่สนแม้แต่สายตาไม่เป็นมิตรที่จ้าวไท่หลงส่งไปให้
“ท่านเป็นผู้ใดมาจากที่ใดแล้วเหตุใดมาอยู่กับจิวเหมย!”
“นางช่วยข้าไว้”
“ใช่ ข้าช่วยเขาไว้เอง เห็นคนเจ็บจะให้ปล่อยทิ้งให้ตายได้เช่นไร” ไท่หลงยื่นมือมารับถ้วยข้าวต้มที่นางส่งให้ก่อนจะนั่งลงฝั่งเดียวกับนาง “แต่ข้าก็ยังไม่ได้ถามเลยว่าท่านน้าชื่ออะไรข้าจะได้เรียกถูก” คนถูกเรียกว่าท่านน้าถึงกับสำลักข้าวหน้าดำหน้าแดง นี่เขาเพิ่งจะยี่สิบห้าเองนะ เป็นพี่ชายของนางหนูนี่ได้ด้วยซ้ำ
“ข้ามีนามว่าลู่ไป๋ เรียกข้าว่าพี่ชายก็ได้”
“เจ้าค่ะท่านน้า” ไท่หลงก้มหน้ากลั้นขำไอขลุกๆอยู่ในคอ รู้จักหลิวจิวเหมยน้อยไปเสียแล้วชายแปลกหน้า “ว่าแต่หลังจากหายดีท่านน้าจะไปที่ใดต่อหรือเจ้าคะ”
“ข้าไม่มีที่ไปหรอกคุณหนู ข้าเพียงเข้าเมืองหลวงมาหางานทำ”
“เช่นนั้นท่านน้าทำสิ่งใดเป็นบ้างหรือเจ้าคะ” ไท่หลงหันควับคอแทบเคล็ดมามองสหาย นี่นางคงไม่ได้คิดจะจ้างชายแปลกหน้าผู้นี้ไว้เองหรอกใช่หรือไม่ “ข้ามีที่นาผืนเล็กอยู่ทางด้านนู้นเจ้าค่ะ แต่ข้าทำนาไม่เป็นเจ้าค่ะ ตอนปลูกข้าวก็ได้จ้างคนในหมู่บ้านมาทำให้ หากท่านน้าไม่มีที่จะไปและพอทำนาเป็นก็มาทำงานกับข้าก็ได้นะเจ้าคะ ข้ามีบ้านให้อยู่มีข้าวให้ทานครบสามมื้อ รับรองว่าไม่มีอดอยากแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ข้าปวดหัวจี๊ดเลย”
“เจ้าไม่สบายหรือไท่หลง รู้สึกเช่นไรอีกบ้าง”
“ข้าสบายดี แต่ที่ข้าปวดหัวก็เพราะเจ้าเอ่ยชวนชายแปลกหน้าที่รู้จักกันเพียงวันเดียวมาทำงานด้วยแถมยังให้นอนบ้านเดียวกัน หากเขาเป็นคนไม่ดีเล่าจิวเหมย เจ้าไม่กลัวหรือ!”
“ท่านน้าเป็นคนไม่ดีหรือเจ้าคะ” ยัง ยังมีหน้าไปถามเขาอีก!
“หึ หากข้าเป็นคนไม่ดีเจ้าคงตายไปตั้งแต่ข้าฟื้นสติได้แล้ว ไม่ต้องห่วงคุณชายน้อยข้าไม่ทำอันตรายใดต่อผู้มีพระคุณหรอก ส่วนเรื่องงานข้าเคยทำนามาบ้างหากคุณหนูไว้ใจ ข้าย่อมยินดีทำงานกับคุณหนู”
“แต่พวกข้ายังไม่รู้เลยว่าท่านมาจากที่ใด เหตุใดมานอนเจ็บให้จิวเหมยได้รักษา”
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าก็ว่าจะถามท่านน้าอยู่เช่นกันว่าแผลที่หลังของท่านนั้นคล้ายกับถูกฟันด้วยมีดหรือดาบ ท่านน้าถูกทำร้ายมาเช่นนี้ข้าจะเป็นอันตรายหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้ารับรองได้ว่าข้าจะไม่เป็นอันตรายต่อพวกเจ้า ระหว่างทางเดินทางมาเมืองหลวงข้าถูกโจรป่าดักปล้น ถูกพวกมันทำร้ายจนปางตายแทบเอาชีวิตไม่รอดเช่นที่เจ้าเห็น”
“เพราะแบบนั้นท่านน้าจึงมานอนสลบอยู่ที่พงหญ้านี่เอง ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านก็ทำงานกับข้าเลยก็แล้วกันนะเจ้าคะ แล้วก็เรียกข้าว่าจิวเหมยก็พอเจ้าค่ะ นี่จ้าวไท่หลง สหายของข้าเองเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้นะจิวเหมย เจ้าจะอยู่ในบ้านกับบุรุษสองต่อสองไม่ได้นะ ใครมาเห็นเข้าเจ้าจะเสียหาย”
“ข้าไม่ได้บอกจะให้ท่านน้าอยู่บ้านเดียวกับข้าเสียหน่อย ที่ดินตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงนู้นยังว่างข้าจะให้ช่างเขามาสร้างบ้านใหม่ให้ท่านน้าต่างหากเล่า ข้าเป็นหญิงข้าก็คิดได้หรอกน่าว่าสิ่งใดควรไม่ควร ช่วงระหว่างรอบ้านเสร็จท่านน้าคงต้องนอนแคร่เดิมไปก่อนนะเจ้าคะ”
“ได้สิ ข้าไม่เรื่องมากอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าควรมีสาวรับใช้อีกสักคนนะ อย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัย หากเจ้าตกลงข้าจะให้พี่ใหญ่หามาให้”
“ที่คุณชายน้อยพูดมาก็ถือเป็นเรื่องดี มีสาวใช้มาอยู่อีกสักคนจะได้ไม่ต้องมีคำครหา”
“เช่นนั้นข้าจะให้พี่ใหญ่หามาให้เจ้าสักคนนะจิวเหมย” นี่ตัดสินใจกันเองโดยไม่รอนางตัดสินใจสักคำ แต่ก็เอาเถิด นางรู้ว่าสหายนั้นเป็นห่วงและการมีสาวใช้มาอยู่ด้วยอีกคนก็คงจะเบาแรงนางไปได้บ้าง ไหนจะต้องเตรียมของไปขายไหนจะต้องทำงานบ้าน มีผู้ช่วยอีกสักคนก็ไม่เลวนัก “ข้าวต้มวันนี้รสชาติดียิ่ง”
ช่วงสายนางทิ้งให้ท่านน้าลู่ไป๋อยู่เฝ้าบ้านคนเดียวส่วนนางก็หอบของมาขายที่ตลาดเช่นเดิม ไท่หลงกลับจวนไปแล้วหลังจากมาช่วยนางตั้งร้านเห็นว่าจะไปคุยกับจ้าวไท่หยางเรื่องหาสาวใช้มาให้นาง วันนี้มีคนแต่งตัวสวยงามแต่ไม่ใช่แบบที่สาวชาวบ้านหรือคุณหนูตระกูลใดเคยใส่มาซื้อของกับนางไปหลายชิ้น เรียกว่าแทบเหมาแผงไปเลยก็ได้ นางเองก็ไม่ได้เอ่ยถามว่าซื้อไปทำไมเยอะแยะขอแค่นางขายได้เป็นพอ
และวันนี้ระหว่างเดินตลาดนางก็พบของที่สามารถทำเงินให้นางได้เพิ่มเติม นั่นก็คือ ไขผึ้ง ที่จะละลายเอาจากขี้ผึ้งอีกที นางกวาดซื้อรังผึ้งจากพ่อค้าที่นั่งเหงาหงอยเพราะไม่มีผู้ใดซื้อมาจนหมดทั้งยังสั่งเพิ่มหากเขาหาได้ให้เอาไปขายให้นางที่บ้าน พ่อค้ายิ้มหน้าบานเอ่ยขอบคุณนางไม่ขาดปาก นางต่างหากที่ต้องขอบคุณเขาที่ชี้ช่องทางรวยให้นาง
นางแวะซื้อโถสำหรับใส่น้ำผึ้งอีกหลายใบและยังแวะไปหาช่างไม้สั่งทำตลับใส่สีทาปากที่โลกก่อนเรียกว่าลิปบาล์มอีกเป็นจำนวนมาก สูตรง่ายๆที่นางจะทำคือใช้ไขผึ้งกับน้ำมันมะพร้าวเพราะแผ่นดินซานมีพ่อค้าจากต่างเมืองนำมะพร้าวเข้ามาขายซึ่งนางซื้อเก็บไว้หลายวันแล้ว วันนี้คงต้องคั้นน้ำผึ้งให้เสร็จก่อนแล้วค่อยสกัดขี้ผึ้งเอาไขผึ้งเก็บไว้
กลับมาถึงบ้านด้วยความลิ่งโลด ท่านน้าลู่ไป๋เข้ามาช่วยนางขนของลงจากหลังม้าเพราะแผลเริ่มจะหายดีบ้างแล้ว เห็นนางขนของมากมายไปขายเช่นนี้ทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกผิดอยู่มากที่มาเป็นภาระให้นาง
“ท่านน้า วันนี้ท่านต้องช่วยข้าคั้นน้ำผึ้งนะเจ้าคะ ข้าได้มาเยอะมาก แล้วก็ข้าติดต่อช่างมาสร้างบ้านให้ท่านแล้วนะเจ้าคะ คิดว่าสองวันนี้พวกเขาจะเข้ามาทำให้เจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก อ่อ มีคนมารอพบเจ้าอยู่นานแล้ว” ยังไม่ทันที่นางจะเอ่ยถามว่าใคร จ้าวไท่หยางก็เดินออกจากบ้านมาพร้อมกับหญิงสาวอีกหนึ่งคน นี่ไท่หลงจะทำงานดีเกินไปหรือไม่นะ
“คารวะพี่หยางเจ้าค่ะ”
“ข้าพาสาวใช้มาให้เจ้าตามที่ไท่หลงบอก”
“ข้าน้อยหวังเสี่ยวอิงเจ้าค่ะคุณหนูจิวเหมย”
“ลำบากท่านพี่หยางแล้วเจ้าค่ะ ตามสบายเถิดเจ้าค่ะพี่สาวเสี่ยวอิง เราอยู่กันแบบพี่น้องจะดีกว่านะเจ้าคะ ว่าแต่วันนี้พี่หยางจะอยู่รับประทานมื้อเย็นด้วยกันหรือไม่เจ้าคะ” คิดซะว่าตอบแทนที่หาคนมาให้ก็แล้วกัน
“ข้าชอบให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่หยางนะเหมยเอ๋อร์ และข้าจะอยู่รับประทานมื้อเย็นกับเจ้า หลงเอ๋อร์เล่าเรื่องท่านลู่ไป๋ให้พี่ฟังแล้ว ก่อนเจ้ากลับก็ได้สนทนากันอยู่บ้าง เขาให้สัจจะกับพี่ว่าจะดูแลเจ้าและช่วยเหลือเจ้าอย่างดี”
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ หากพี่หยางพูดคุยแล้วข้าก็เบาใจเจ้าค่ะ”
“เขาไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง แต่พี่ก็อยากให้เจ้าระวังตนเองไว้ให้มากเข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้ากับพี่เสี่ยวอิงเข้าครัวก่อนนะเจ้าคะ รบกวนพี่หยางกับท่านน้าช่วยคั้นน้ำผึ้งใส่โถให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะไปหาผ้าขาวบางมาให้” ไหนๆก็มาแล้วนางก็ขอให้ช่วยหน่อยก็แล้วกัน นางเข้าครัวไปเอาถาดไม้ที่นางสั่งทำมาสองถาดเพื่อจะใส่รังผึ่งและขี้ผึ้งไว้แยกกัน แล้วก็ผ้าขาวผืนใหญ่เอามาตัดเพื่อกรองน้ำผึ้งกับเศษขี้ผึ้ง “ทำเช่นนี้นะเจ้าคะ เอารังผึ้งใส่ผ้าขาวบางแล้วคั้นใส่โถไว้ หากเต็มให้ใช้ผ้าขาวบางผืนเล็กกว่านี้ปิดปากโถแล้วมัดให้แน่ด้วยเชือกก็เป็นอันเสร็จเจ้าค่ะ อ่อ เอาขี้ผึ้งที่คั้นเสร็จแล้วใส่อีกถาดแยกไว้ด้วยนะเจ้าคะ ห้ามทิ้งเด็ดขาด!”
ท่านน้าลู่ไป๋แล้วพี่หยางลองทำตามที่นางแนะนำ เมื่อเห็นว่าทั้งสองทำได้ดีและถูกต้องนางก็ชวนพี่เสี่ยวอิงเข้าครัวเตรียมอาหาร ระหว่างทำก็สอบถามนางไปด้วยว่าเป็นใครมาจากไหน ได้ความว่านางเป็นบุตรสาวของแม่นมหวังที่ดูแลเหล่าคุณชายตระกูลจ้าวมาสามรุ่นแล้วทั้งยังเป็นคนสนิทของฮูหยินใหญ่อีกด้วย แบบนี้ค่อยน่าไว้ใจหน่อย
มื้อเย็นวันนี้เป็นหมูย่างสมุนไพรนมสด นางได้นมแพะสดๆมาจากตลาดก็เลยเอามาหมักเนื้อหมูส่วนคอกับกระเทียมพริกไทย พักไว้ราวๆครึ่งชั่วยามก็เอาออกมาย่างถ่านเบาๆกินกับน้ำจิ้มแจ่วสูตรเด็ดที่นางทำเอง พริกคั่ว ข้าวคั่วที่นางทำเอง รสหวานจากน้ำผึ้ง รสเค็มจากเกลือ แค่นี้ก็อร่อยเด็กแล้ว เมนูอื่นก็มีไข่ตุ๋นที่นึ่งบนซึ้งอย่างดี อันนี้นางก็สั่งทำมาเองเช่นกัน และเมนูสุดท้ายเป็นเนื้อหมูสามชั้นตุ๋นสมุนไพร
“กลิ่นหอมยิ่งนักเจ้าค่ะคุณหนู ยกออกไปเลยนะเจ้าคะ” นางกับพี่เสี่ยวอิงช่วยกันยกไปขึ้นโต๊ะที่ห้องรับแขก
“กับข้าวอร่อยๆมาแล้วเจ้าค่ะ พวกท่านไปล้างมือกันเถิดเจ้าค่ะที่เหลือค่อยช่วยกันทำหลังทานเสร็จ”
“กลิ่นหอมมาก”
“แน่นอน ก็ข้าทำเองเสียอย่าง พี่เสี่ยวอิงก็มาทานด้วยกันนะเจ้าคะ” เป็นอีกมื้อที่นางไม่ต้องกินข้าวคนเดียวเหงาๆ การไม่ได้อยู่คนเดียวมันก็ดีแบบนี้สินะ
“หมูย่างนี่นุ่มอร่อยยิ่งนัก”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ ไข่ตุ๋นก็ละมุนลิ้น คุณหนูทำอาหารได้เลิศรสยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“ชมข้าเกินไปแล้ว หากอร่อยก็ทานกันให้เยอะๆนะเจ้าคะ” ลู่ไป๋ก้มหน้ากินไม่พูดไม่จาเพราะรสชาติอาหารนั้นช่างอร่อยล้ำแบบที่เขาไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน “วันนี้ข้ามีขนมหวานไว้ล้างปากด้วยนะเจ้าคะ” ทุกคนจะต้องหลงรักบัวลอยของนางเป็นแน่ กะทิหอมๆกับความหวานของน้ำผึ้งเข้ากับบัวลอยดีนักเชียว รู้สึกโชคดีที่โลกก่อนถูกเขี่ยวเข็ญให้เก่งทุกด้าน ของคาวของหวานนางทำได้ดีไม่แพ้กัน สมกับที่เสียเงินมากมายไปร่ำเรียนจนได้ใบประกาศ
ของคาวหมดก็ต่อด้วยของหวาน นางให้พี่เสี่ยวอิงไปตักบัวลอยที่ทำไว้ออกมา แต่บัวลอยที่นางทำออกจะลูกใหญ่ไปสักหน่อยเพราะนางเอารังผึ้งตัดเป็นชิ้นใส่เป็นไส้ ถ้ากินเข้าปากไปทั้งลูกความหวานจากน้ำผึ้งจะฉ่ำไปทั่วทั้งปาก
อร่อยไม่อร่อยก็ดูจากหน้าพวกเขาเอาเถอะ หลับตาพริ้มเชียว
“หอมหวานยิ่งนัก เจ้าเรียกว่าอะไรนะเหมยเอ๋อร์”
“บัวลอยเจ้าค่ะ กินเยอะไประวังเลี่ยนนะเจ้าคะ” แต่หาได้มีคนฟังที่นางเตือนไม่ เอาเถิด ถ้าเป็นเบาหวานค่อยรักษาให้ก็แล้วกัน “ข้าทำแบ่งให้พี่หยางเอากลับไปฝากท่านลุงกับท่านน้าแล้วก็ไท่หลงไท่เว่ยด้วยนะเจ้าคะ”
“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าฝากไปคราใดท่านแม่ทานได้มากกว่าปกติทุกครา”
“เอาน้ำผึ้งกลับไปด้วยสักโถนะเจ้าคะ ข้าเก็บไว้ก็ทานไม่ทัน”
“แล้วเหตุใดจึงซื้อมาเสียมากมายเช่นนี้เล่า”
“ข้าต้องการขี้ผึ้งของมันต่างหากเจ้าค่ะ เอาไว้หากข้าทำสำเร็จแล้วข้าจะบอกนะเจ้าคะว่าเป็นสิ่งใด”
“ตามใจเจ้าเถิด เช่นนั้นพี่คงต้องกลับแล้ว ป่านนี้ท่านแม่คงรอทานข้าวจะได้เอาบัวลอยของเจ้าไปฝากด้วย” จิวเหมยให้พี่เสี่ยวอิงเอาปิ่นโตที่นางเตรียมไว้ออกมาให้จ้าวไท่หยางรวมทั้งโถน้ำผึ้งอีกหนึ่งโถ ถือขี่ม้ากลับไปคงไม่หกเลอะเทอะระหว่างทางหรอกกระมัง “หากมีเรื่องใดก็ให้คนไปแจ้งที่จวนได้ตลอดเวลานะเหมยเอ๋อร์”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะพี่หยาง ข้าจะจำเอาไว้” คล้อยหลังม้าตัวโตถูกควบออกไป นางก็มาช่วยท่านน้าลู่ไป๋คั้นน้ำผึ้งต่อโดยปล่อยให้พี่เสี่ยวอิงเก็บล้างอยู่คนเดียว นางได้น้ำผึ้งถึงหกโถใหญ่หลังจากคั้นเสร็จ ปวดหลังปวดมือไปหมด วันนี้ถึงกับต้องให้ท่านน้าลู่ไป๋เข้าไปนอนในบ้านเพราะแคร่ที่เขานอนเมื่อคืนนั้นเหนียวเพราะน้ำผึ้งจนนอนไม่ได้
“ข้านอนได้นะ ปูผ้าหน่อยก็นอนได้แล้ว”
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ข้ากลัวมดจะขึ้น หากกังวลท่านน้านอนที่ห้องรับแขกก็ได้เจ้าค่ะ”
“เอาเช่นนั้นก็ได้” นางให้พี่เสี่ยวอิงจัดหาที่นอนให้ท่านน้าลู่ไป๋รวมทั้งของพี่เสี่ยวอิงเองที่จิวเหมยยกห้องว่างอีกห้องหนึ่งให้ หลังจากไล่ให้ท่านน้าลู่ไป๋ไปเช็ดตัวเปลี่ยนชุดใหม่ที่นางแวะซื้อให้วันนี้ก็ให้มานั่งเปิดแผลให้นางดู
“แผลเริ่มแห้งแล้วเจ้าค่ะ แต่วันนี้ยังต้องนอนคว่ำไปก่อน ข้าจะใส่สมุนไพรให้อีกจะได้แห้งเร็วขึ้น” นางทำเป็นหยิบสมุนไพรมาบดแล้วทาลงบนแผลในขณะเดียวกันก็ส่งธาตุขาวเข้าไปรักษา คิดว่าวันพรุ่งแผลคงแห้งสนิทแต่ยังคงเหลือรอยแผลไว้เพราะนางต้องระวังไม่ให้เป็นที่สงสัย แรงงานของท่านน้าลู่ไป๋คือสิ่งที่นางต้องการ ยิ่งหายเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ หากวันพรุ่งแผลท่านแห้งท่านก็อาบน้ำได้แล้วเจ้าค่ะ”
“ขอบเจ้าใจมากจิวเหมย”
“ก็ท่านเป็นคนในครอบครัวของข้าแล้วนี่เจ้าคะ แค่นี้ไม่มากมายอะไร ท่านเข้าไปพักเถิดเจ้าค่ะข้าให้พี่เสี่ยวอิงเตรียมที่นอนให้แล้ว” นางเก็บอุปกรณ์ทำแผลแล้วไปช่วยพี่เสี่ยวอิงยกโถน้ำผึ้งไปเก็บในห้องครัว วันพรุ่งนางจะหยุดไปขายของสักวันเพราะอยากจะทำไขผึ้งและน้ำมันมะพร้าวเตรียมไว้ หากไปขายอีกครั้งจะได้เปิดตัวสินค้าตัวใหม่ไปเลย
“วันพรุ่งคุณหนูจะทำสิ่งใดบ้างหรือเจ้าคะ”
“เรียกข้าว่าเหมยเอ๋อร์เช่นพี่หยางก็ได้เจ้าค่ะพี่เสี่ยวอิง วันพรุ่งข้าจะต้มขี้ผึ้งแล้วก็เตรียมน้ำมันมะพร้าวเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นบ่าวให้เรียกตีเสมอนายเช่นนั้นคงไม่เหมาะ”
“พี่เสี่ยวอิงมาอยู่กับข้าก็เหมือนเป็นคนของข้า ข้านับพี่เสี่ยวอิงเป็นเหมือนพี่สาว เป็นครอบครัว หาใช่เจ้านายลูกน้องไม่ เรียกข้าว่าเหมยเอ๋อร์เถิดเจ้าค่ะข้าจะได้สบายใจ” เพื่อไม่ให้พี่เสี่ยวอิงปฎิเสธนางก็เลยเอาความสบายใจเป็นข้อบังคับ แต่ถึงพี่เสี่ยวอิงจะยอมเรียกตามที่นางขอแต่เชื่อเถอะว่าพี่เสี่ยวอิงก็คงจะทำงานดั่งเช่นสาวใช้อยู่ดี “วันนี้พี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเข้านอนเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้จะทำสิ่งใดแล้ว”
วันรุ่งขึ้นจิวเหมยตื่นขึ้นมาสูดอากาศอย่างสดชื่นแต่ก็เกือบหัวใจวายเพราะมีบุรุษหน้ายักษ์มายืนเฝ้าอยู่หน้าประตูบ้าน “ตกใจหมดเลย! เจ้ามาทำไมแต่เช้านักไท่หลง แล้วนั่นเป็นอะไรใครขัดใจมาอีกเล่า” หน้าบึ้งตึงไม่รับแขกราวกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ แต่สหายของนางก็ยังไม่โตจริงๆนั่นแหละนะ
“ข้าอยากทานบัวลอย!”
“เมื่อวานที่ข้าฝากพี่หยางไปเล่าเจ้าไม่ได้ทานหรอกหรือ”
“ไม่! ท่านพ่อท่านแม่แล้วก็เว่ยเอ๋อร์แย่งข้าหมดเลย! พี่ใหญ่เองก็ด้วยทั้งที่ได้ทานมาแล้วแท้ๆ!”
“ใยต้องเสียงดัง วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าก็แล้วกันนะแต่เจ้าต้องช่วยข้ารดน้ำผัก สมุนไพรพวกนั้นก่อน”
“ก็ได้ แต่ข้าขอเยอะๆนะ” นางรับปากแล้วไล่ให้สหายไปรดน้ำผักกับสมุนไพรเป็นค่าแรงสำหรับขนม วันนี้นางคิดว่าจะทำสังขยาฟังทองอยู่แล้วไม่คิดว่าต้องทำบัวลอยเพิ่มอีกอย่าง แต่ถ้าไม่ทำจ้าวไท่หลงได้งอแงจนน่ารำคาญเป็นแน่
“อ่าว พี่เสี่ยวอิงตื่นแล้วหรือเจ้าคะ โห หุงข้าวแล้วด้วย”
“เจ้าค่ะ อยู่ที่จวนท่านอัครเสนาบดีพี่ก็ตื่นเวลานี้”
“เช่นนั้นพี่เสี่ยวอิงช่วยผสมแป้งทำบัวลอยเหมือนเมื่อวานให้ข้าหน่อยนะเจ้าคะ มีคนมาขอขนมทานตั้งแต่เช้า” นางชี้ไปที่คนงานจำเป็นที่กำลังตักน้ำรดผักให้นางอย่างขะมักเขม้น “อีกอย่างวันนี้ข้าจะทำสังขยาฟักทองด้วยเจ้าค่ะ”
“สังขยาฟักทองหรือเจ้าคะ คือสิ่งใดเจ้าคะพี่ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“เดี๋ยวข้าจะสอนนะเจ้าคะ เราต้มข้าวกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ กินง่ายๆแต่อุ่นท้อง” นางลงมือต้มซุปกระดูกหมูกับหัวไชเท้าด้วยตัวเองและให้พี่เสี่ยวอิงสับหมู ท่านน้าลู่ไป๋คงได้ยินเสียงสับปังตอของพี่เสี่ยวอิงก็เลยตื่น ตอนนี้ออกไปช่วยไท่หลงรดน้ำผักกับสมุนไพร ส่วนแปลงข้าวนั้นไม่ต้องทำสิ่งใดเพียงแต่ปล่อยให้มันโตเองเท่านั้น
จิวเหมยทำบัวลอยเป็นของหวานสำหรับมื้อเช้า จ้าวไท่หลงถึงกับยิ้มแก้มปริเมื่อได้ทานอย่างที่หวัง อร่อยสมที่ท่านพ่อท่านแม่เอ่ยชม หอมหวานละมุนลิ้น กินแล้วเหมือนขึ้นสวรรค์เหมือนที่น้องเล็กพูดเลย
“ข้าได้ยินว่าเจ้าซื้อโรงเตี๊ยมหมิงอันหรือจิวเหมย”
“ใช่ ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะใช้ทำสิ่งใดดี เหลาอาหารหรือจะทำโรงเตี๊ยมเช่นเดิม เจ้าว่าสิ่งใดดีกว่ากัน”
“ข้าว่าเหลาอาหารก็ไม่เลว โรงเตี๊ยมนั้นหากไม่มีผู้เข้าพักก็ยากจะได้เงิน ยิ่งเดี๋ยวนี้โรงเตี๊ยมผุดขึ้นราวดอกเห็ด ข้าว่าทำเหลาอาหารยังได้กำไรมากกว่า เจ้าเองก็ทำอาหารอร่อยหากเจ้าเอาสูตรของเจ้าไปทำขายข้าว่าน่าจะขายได้นะ”
“เช่นนั้นหรือ”
“ใช่ ยิ่งถ้ามีบัวลอยนี่ขายด้วยนะข้าจะไปร้านเจ้าทุกวันเลย” แค่นี้เจ้าก็มาบ้านข้าทุกวันอยู่แล้ว
“ท่านน้ากับพี่เสี่ยวอิงคิดเห็นเช่นไรเจ้าคะหากข้าจะทำเหลาอาหาร”
“ข้าแล้วแต่เจ้า” ท่านน้าลู่ไป๋นั้นล้วนแล้วแต่นาง พี่เสี่ยวอิงก็เช่นกัน หากคิดง่ายๆการทำเหลาอาหารนั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากเท่าใดนัก เพียงแต่ต้องปรับปรุงร้านเพิ่มสักหน่อย เอาห้องพักชั้นบนทำเป็นห้องอาหารที่เป็นส่วนตัว เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นบรรดาคุณหนูคุณชายที่ชอบนัดเพื่อนฝูงมาพบปะ ความคิดนี้ไม่เลว
“ข้าคงต้องปรับปรุงร้านเพิ่ม”
“สหายข้าจะร่ำรวยแล้วใช่หรือไม่”
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน เจ้าก็รู้ว่าเป้าหมายของข้าคือสิ่งใด”
“ใช่ สหายของข้าหวังจะเป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแคว้นซาน” นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นความฝันของนางเท่านั้น
เนื่องด้วยวันนี้จ้าวไท่หลงจะอยู่ที่บ้านของนางทั้งวันนางก็เลยใช้ให้คุณชายรองของจวนตระกูลจ้าวคว้านเอาไส้ของฟักทองออกแล้วเลือกเก็บเมล็ดไว้เพราะนางจะเอาไปปลูกที่สวน ส่วนนางก็เข้าครัวตั้งหม้อต้มขี้ผึ้งเพื่อเอาไขผึ้ง อีกหม้อก็ให้พี่เสี่ยวอิงทำน้ำมันมะพร้าว นางอธิบายแค่รอบเดียวพี่เสี่ยวอิงก็ทำเองได้แล้ว
“ข้าเอาไส้ฟักทองออกหมดแล้วจิวเหมย”
“เช่นนั้นยกมาให้ข้า” นางยกหม้อนึ่งขึ้นตั้งไฟให้น้ำเดือด ระหว่างรอก็ตอกไข่ใส่ชามผสมกับน้ำผึ้งแทนน้ำตาลไม่รู้จะออกมาดีไหมแต่ก็อยากลองทำ ใส่ใบเตยหอมลงไปขยำเพื่อให้มีกลิ่นหอม เพิ่มรสด้วยเกลือแล้วเอาทุกอย่างกรองให้เนื้อละเอียดผ่านผ้าขาวบาง จากนั้นก็เทใส่ฟักทองสามลูกที่เตรียมไว้แล้วปิดฝาหม้อนึ่งรอสุก ไท่หลงมองอย่างสนใจว่าแค่ไข่กับน้ำผึ้งจะออกมาเป็นขนมเช่นไร “นี่ไท่หลง ข้าอยากได้ที่ดินเพิ่มอีก เจ้าไปติดต่อให้ข้าได้หรือไม่”
“ตอนนี้หรือ”
“ตอนเจ้ากลับก็ได้ วันพรุ่งค่อยให้พวกเขามาวัดพื้นที่ ข้าอยากได้ที่ปลูกข้าวเพิ่ม หากทำเหลาอาหารจริงข้าก็อยากใช้ข้าวของตัวเองมากกว่าไปซื้อของคนอื่น ไหนจะผักอีกหากปลูกเองได้ก็จะดี”
“นี่เจ้าคิดจะทำเองหมดเลยหรือ”
“ก็แค่ผักกับข้าวเท่านั้นแหละ เนื้อสัตว์ข้าก็คงต้องซื้อเช่นเดิม ไม่กล้าเลี้ยงแล้วฆ่าเองหรอก” ระหว่างที่นางกำลังวางแผนชีวิตสายตาของไท่หลงก็เหลือบไปเห็นบางอย่างจอดอยู่หน้าบ้านสหายเข้า ผู้ใดมาหาจิวเหมยกัน
“นั่นรถม้าของผู้ใดมาจอดหน้าบ้านเจ้าน่ะจิวเหมย”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เรื่องจริงอะที่เลี้ยงแล้วไม่กล้าฆ่า เราเลี้ยงวัวไว้ตัวนึงตั่งแต่มันยังเล็กๆทีเเลกว่าจะเลี้ยงไว้ฆ่าเวลาเหงาๆแล้วก็ขายแต่ตอนนี้คือหวงมากรักมาก555อายุน้องก็6-7ปีละรู้ความน่ารักด้วยนะใครจะขายลง555
เหนื่อยแย่เลย ตัวก็แค่นี้เอง
น่าจะปรับอีกหน่อย
สูตรอาหารก็ศึกษาซักนิดก่อนเขียนก็ได้ เครื่องสำอางค์ก็เหมือนกัน
มันไม่ได้มีดอกไม้แห้งกับน้ำสะอาดแล้วจบเนอะ
ถ้าไรท์ทำให้มันดูสมเหตุสมผลกว่านี้เรื่องจะสมู๊ทน่าติดตามมากขึ้นนะคะ
เรื่องพ่อสาเหตุที่หายก็น้อยไปนะคะ ดูไม่ใส่ใจนางเอกเท่าที่ควร ปกครองคนตั้งเยอะแยะแต่แค่หาบ้านให้ลูกยังทำไม่ได้
ปรับปรุงนะคะ รอติดตามค่ะ
แหมๆ จ้าวไท่หลง นี่โมโหหิวมานี่เอง น่ารักเชียว
สนุกค่ะ แอบผิดหวังกับคนเป็นพ่อโหวงในอารมณ์เลยค่ะ
สนุกมากเลยค่ะ...จะติดตามนะค่ะ