ตอนที่ 66 : สุสานกลางเมืองหลวง
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะเจ้าคะท่านแม่” นางกลับเข้ามายังเรือนที่พักหลังจากนัดแนะกับพ่อบ้านหม่าเรื่องที่จะไปดูจวนร้างหลังนั้นในวันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว “สบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
“สบายมาก แม่ไปเที่ยวเล่นในวังมาสนุกเชียวล่ะ แม่คอยดูเสี่ยวจิงให้เจ้าด้วยนะ”
“ลูกไปหาพี่เสี่ยวจิงบ่อยครั้ง ใยไม่เคยพบท่านแม่เลยเจ้าคะ”
“แม่ไม่ได้อยู่กับนางตลอดเสียหน่อย เจ้าคิดดีแล้วหรือเรื่องจะเอาพื้นที่ของจวนร้างหลังนั้นมาทำเป็นโรงเตี๊ยม”
“คงต้องไปดูก่อนเจ้าค่ะ ลูกยังไม่ได้ตัดสินใจ ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านแม่รู้สิ่งใดมา”
“เจ้าไปดูประเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ พักผ่อนเถิด แม่เพียงมาพบเจ้าให้คลายเป็นห่วงเท่านั้น รักษาตัวด้วยนะเหมยเอ๋อร์ เรื่องเสี่ยวจิงนั้นไม่ต้องกังวลมากนัก หากเกิดสิ่งใดขึ้นแม่จะรีบมาแจ้งเจ้าในทันที” ท่านแม่เข้ามากอดนางแล้วก็หายวับไปพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆเช่นเคย
รุ่งขึ้นนางตื่นตั้งแต่ยามอิ๋นเพื่อลุกออกกำลังกายด้วยการวิ่งรอบจวน จากนั้นก็เข้าครัวเพื่อทำอาหารให้ท่านพ่อกับแม่ใหญ่ทาน เป็นข้าวต้มทรงเครื่องที่โรยกระเทียมเจียวหอมๆ ใจความอร่อยของข้าวต้มอยู่ที่น้ำซุป หากเคี่ยวไม่ดีน้ำซุปจะมีสีขุ่นไม่น่ารับประทาน นางใช้ผักที่มีอย่างหัวไชเท้ากับผักกาดขาวในการทำซุป รับรองว่าหวานหอมจนลืมกลืนเลยล่ะ
“อาหารของเจ้าไม่เคยทำให้พ่อผิดหวังเลยเหมยเอ๋อร์”
“ท่านพ่อกับแม่ใหญ่ชอบลูกก็ดีใจเจ้าค่ะ” นางรับหน้าที่ป้อนข้าวให้กุ้ยอันที่โตพอจะกินข้าวเละๆได้แล้ว ปากเล็กๆเคี้ยวข้าวแจ่บๆจนแก้มป่องน่าเอ็นดู “วันนี้ท่านพ่อจะเข้าวังหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้ามีสิ่งใดจะให้พ่อทำหรือ”
“ท่านพ่อช่างรู้ใจลูก วันนี้ลูกจะไปดูจวนร้างหลังหนึ่งเจ้าค่ะ พ่อบ้านหม่าบอกว่าเป็นที่ที่เหมาะทีเดียวสำหรับสร้างโรงเตี๊ยม ลูกจึงอยากไปสำรวจดูสักหน่อย จึงอยากชวนท่านพ่อไปดูด้วยกันเจ้าค่ะ”
“จวนร้างมีอยู่หลายจวน จวนที่พ่อบ้านหม่าบอกเจ้าคงไม่ใช่จวนร้างที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดหรอกใช่หรือไม่”
“เป็นจวนนั้นขอรับนายท่าน”
“เจ้าไม่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับจวนนั้นหรือพ่อบ้านหม่า”
“ได้ยินขอรับ แต่ข้าน้อยคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น หาได้มีผู้ใดพบเจอด้วยตนเองไม่ คุณหนูเป็นผู้มีความสามารถ หากมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากล ข้าน้อยคิดว่าคุณหนูคงจะทราบด้วยตนเองขอรับ”
“ไปดูสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะท่านพ่อ หากไม่เหมาะลูกก็ไม่ดึงดันจะเอาหรอกเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปดูกัน” นอกจากนี้นางยังให้คนไปแจ้งแก่พี่น้องตระกูลจ้าวอีกด้วย
เข้ายามซื่อนางกับท่านพ่อ พี่หยาง ไท่หลง พร้อมด้วยเสี่ยวหู่ เสี่ยวหลาน พ่อบ้านหม่าและองครักษ์ของท่านพ่ออีกจำนวนหนึ่งก็มายืนอยู่หน้าจวนร้างหลังนั้น ที่ตรงนี้อยู่ไม่ไกลจากตลาดจนไม่อยากจะเชื่อว่ามีจวนร้างหลังนี้อยู่
“เป็นที่ที่เหมาะจะสร้างโรงเตี๊ยมจริงๆ” ดูจากภายนอกก็ไม่ได้ต่างจากจวนทั่วไป เจ้าของจวนคนเก่าคงเป็นขุนนางหรือไม่ก็คหบดีร่ำรวยผู้หนึ่ง แม้จะไม่ใหญ่เท่าจวนท่านพ่อแต่ก็มีบริเวณกว้างขวางมากทีเดียว “เข้าไปดูข้างในกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าว่าที่นี่น่าสนใจมากทีเดียว”
“น่ากลัวล่ะสิไม่ว่า น่าสนใจตรงไหนกัน” จ้าวไท่หลงเบะปากแต่ก็ยอมเดิมตามทุกคนเข้าไปข้างในจวน
จิวเหมยชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวผ่านหน้าประตูจวน เมื่อทันทีที่พ่อบ้านหม่าเปิดประตู กลิ่นสาปรุนแรงมากก็ลอยมาให้ได้กลิ่นจนต้องยกแขนขึ้นปิดจมูก ไม่มีกลิ่นอายพลังมืดแต่เหตุใดกลิ่นสาปถึงได้รุนแรงนัก
“ที่นี่เย็นยะเยือกราวกับสุสาน เจ้าจับสัมผัสสิ่งใดได้หรือไม่จิวเหมย” ก็เพราะมันเป็นสุสานอย่างไรเล่า
“ท้ายจวน” นางกึงเดินกึ่งวิ่งนำทุกคนไปท้ายจวนที่เป็นพื้นที่โล่งกว้างไม่มีต้นไม้หรือเรือนใดตั้งอยู่เลย “หาสิ่งใดก็ได้มาขุดดินบริเวณนี้” คนของท่านพ่อได้ยินนางสั่งเช่นนั้นก็แยกย้ายกันหาอุปกรณ์มาขุดดิน ที่ตรงนี้มีกลิ่นสาปรุนแรงกว่าที่อื่น หากให้คาดเดานางคิดว่าคงเป็นศพที่ถูกฝังไว้ แต่ไม่มีจิตวิญญาณใดหลงเหลืออยู่ที่นี่นางจึงไม่มั่นใจนัก
“มีสิ่งใดหรือเหมยเอ๋อร์”
“ลูกคิดว่ามีศพถูกฝังอยู่บริเวณนี้เจ้าค่ะท่านพ่อ”
“จับสัมผัสของวิญญาณได้หรือเหมยเอ๋อร์ เหตุใดจึงคิดว่าจะมีศพฝังอยู่ตรงนี้”
“ไม่ได้เจ้าค่ะพี่หยาง แต่ข้าได้กลิ่นสาปที่รุนแรงมาก หากไม่ใช่ศพก็ต้องมีสิ่งใดฝังอยู่เป็นแน่” ได้ยินนางพูดเช่นนั้น ท่านพ่อก็สั่งให้องครักษ์เร่งมือขุดกันเร็วขึ้น ตอนนี้เรียกว่าแทบพลิกหน้าดินของจวนนี้ทั้งจวน
“เจอแล้วขอรับ!”
“นี่มัน...!”
“โครงกระดูก!” คิดไว้ไม่มีผิด กลิ่นสาปเช่นนี้เป็นของมนุษย์เท่านั้นแหละ จากนั้นองครักษ์ก็ขุดพบเรื่อยๆ ด้วยจำนวนที่มากขึ้นทำเอาจ้าวไท่หลงไปแอบเกาะอยู่ด้านหลังของพี่ใหญ่ตนเอง “ขุดให้ทั่วจวนเลย รบกวนท่านพ่อให้คนไปแจ้งมือปราบมาดูด้วยเถิดเจ้าค่ะ มีศพฝังอยู่ในจวนมากมายเช่นนี้ลูกคิดว่าคงจัดการเองและปล่อยผ่านไปไม่ได้” นับดูตอนนี้ได้ยี่สิบศพพอดี มิน่าเล่ากลิ่นสาปถึงได้รุนแรงนัก
“น่าแปลก พบโคงกระดูกมากมาย แต่เหมยเอ๋อร์กลับจับสัมผัสวิญญาณไม่ได้เลย”
“สภาพโครงกระดูกเช่นนี้เหมือนที่เราพบในถ้ำที่หมู่บ้านจินหลันเลยขอรับพี่ใหญ่” นางหันขวับไปมองสหายจนจ้าวไท่หลงสะดุ้ง นั่นสิ สภาพโครงกระดูกสมบูรณ์เช่นนี้เหมือนที่ถ้ำนั้นไม่มีผิด หรือว่า...
“หลัวจิงเฉิง!” ไท่หลงอุทานออกมาตาโต “ที่เจ้าจับสัมผัสวิญญาณไม่ได้ข้าว่าเพราะเหตุนี้แน่ๆ”
“เจ้าของจวนเป็นผู้ใดหรือพ่อบ้านหม่า”
“เจ้าของคนแรกนั้นเป็นขุนนางขอรับ ภายหลังย้ายไปอยู่กับบุตรชายที่เป็นเจ้าเมืองอยู่ทางใต้จึงประกาศขายจวนนี้ วันหนึ่งก็มีคนผู้หนึ่งมาซื้อ ไม่มีผู้ใดรู้ที่มาที่ไป ตั้งแต่มาอยู่ที่จวนนี้ก็เก็บตัวเงียบ มีเพียงสาวใช้ผู้หนึ่งออกไปตลาดเท่านั้น ไม่มีผู้ใดเคยพบเจ้าของจวนเลยขอรับ แม้แต่องครักษ์ พ่อบ้าน หรือผู้อื่นที่อยู่ในจวนก็ไม่มีผู้ใดเคยพบ”
“จวนนี้ร้างนานเท่าใดแล้ว”
“ห้าปีมานี้เองขอรับคุณหนู” หากเป็นหลัวจิงเฉิงจริง นั่นหมายความว่าเขาฝึกวิชามารมานานแล้ว ไม่อยากคาดเดาว่ามีผู้บริสุทธิ์ตายเพราะคนผู้นี้มากเท่าใดแล้ว
ไม่ถึงครึ่งชั่วยามมือปราบที่คนของท่านพ่อไปแจ้งก็มาถึง แต่ละคนตัวใหญ่โตน่าเกรงขามและน่ากลัวสุดๆ นางกับไท่หลงยืนตัวหลีบอยู่ข้างๆพ่อบ้านหม่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านพ่อกับพี่หยางเป็นผู้จัดการคุยกับหัวหน้ามือปราบหน้าดุ การขุดค้นทั่วจวนจึงเกิดขึ้น ตอนนี้บริเวณหน้าจวนก็มีชาวบ้านมามุงดูกันจำนวนมากจากการเล่ากันปากต่อปาก โครงกระดูกที่ขุดพบทั้งหมดมีถึงสี่สิบสองศพ สั่นสะเทือนเมืองหลวงเป็นอย่างมาก
“ช่างใจคอโหดเหี้ยมยิ่งนัก!” เสียงชาวบ้านต่างด่าทอกับเซ็งแซ่ มีจ้าวไท่หลงพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
“วิญญาณสี่สิบสองตนนี้คงทำให้พลังของหลัวจิงเฉิงพัฒนาขึ้นมากทีเดียว”
“ยังไม่แน่ชัดเลยนะไท่หลงว่าเป็นหลัวจิงเฉิง”
“แล้วจะเป็นผู้ใดได้เล่า สาวใช้ที่พ่อบ้านหม่าพูดถึงก็คงเป็นจูลี่อินเป็นแน่ แต่ข้าสงสัยอยู่หนึ่งเรื่อง เหตุใดต้องมาพักอยู่ในเมืองหลวง ทั้งยังนานหลายปีไร้คนสงสัย ไม่มีญาติคนตายไปร้องทุกข์บ้างเลยหรือว่ามีคนหาย” นั่นสิ สมัยนี้พิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลไม่ได้เสียด้วยว่าคนตายเป็นผู้ใด “หรือว่าจะเป็นขอทาน”
“หากเป็นขอทานก็ไม่แปลกที่จะไม่มีผู้ใดสงสัยหรือร้องทุกข์”
“เหมยเอ๋อร์ มือปราบจะย้ายโครงกระดูกออกจากจวนแล้ว เจ้ามีสิ่งใดอยากบอกพวกเขาหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ เชิญมือปราบทำตามหน้าที่ได้เลย” เมื่อโครงกระดูกถูกย้ายออกจากจวนไปพร้อมกับมือปราบ นางก็ให้เสี่ยวหู่กับเสี่ยวหลานตรวจดูรอบๆจวนเผื่อยังมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่ เมื่อพบว่าปลอดภัยนางก็ให้พ่อบ้านหม่าไปจัดการติดต่อซื้อขายจวนหลังนี้ทันที ด้วยทำเลที่ดีมากของจวนนี้นั้นนางไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปเป็นแน่
“พ่อจะให้คนมารื้อจวนออก ไม้พวกนี้ยังสภาพดีอยู่มาก เจ้าอยากเอาไปทำสิ่งใดหรือไม่เหมยเอ๋อร์”
“เก็บส่วนที่ดีไว้เจ้าค่ะ ส่วนที่ใช้ไม่ได้ก็นำไปเป็นฝืนเก็บไว้ใช้ที่เหลาอาหาร จากนี้รบกวนท่านพ่อด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้ พ่อจะติดต่อช่างไม้ประจำของเจ้าให้เข้ามาทำได้เลย”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ แบบของโรงเตี๊ยมนั้นลูกได้ร่างเตรียมไว้ให้ท่านพ่อแล้ว หากช่างไม้ได้เห็นก็คงจะเข้าใจได้เองเจ้าค่ะ” ช่างไม้ทำงานกับนางมานานย่อมรู้ใจนางเป็นที่สุดว่านางต้องการสิ่งใด นางไม่มีความกังวลเรื่องก่อสร้างเลยสักนิด
“เจ้าไม่เคยบอกเลยว่าจะสร้างโรงเตี๊ยม”
“คิดไว้นานแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวข้าจึงคิดขยับขยาย เช่นไรข้าก็ต้องให้เจ้าเป็นหุ้นส่วนข้าอยู่แล้วไท่หลง เอาเงินมาด้วย โรงเตี๊ยมของข้าต้องใช้เงินจำนวนมากทีเดียว” นางแบมือกระดิกนิ้วใส่สหายอย่างกวนๆ ไท่หลงเห็นเช่นนั้นก็เอามะเหงกลงบนกลางหัวนางจนปวดร้าวไปทั้งหัว “ข้าเจ็บนะไท่หลง”
“เจ้าจะเอาเท่าไหร่ก็บอก ข้าพอมีเก็บอยู่บ้าง หากไม่พอก็คงต้องเอาจากท่านพ่อก่อนแล้วข้าจะเอาไปคืนทีหลัง”
“เอาเท่าที่เจ้ามีนั่นแหละ ข้าจะลงบัญชีไว้ ได้ส่วนแบ่งก็หักออก กว่าเจ้าจะได้เงินไปใช้คงสี่ห้าปีต่อจากนี้”
“เอาเถิด ข้าไม่รีบใช้หรอก”
“ก็เผื่อว่าเจ้าอยากแต่งฮูหยินเข้าจวน”
“ให้ข้ามีจวนเป็นของตนเองก่อนเถิดค่อยคิดเรื่องนั้น บอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่รีบ” นางพูดคุยกับไท่หลงจนท่านพ่อมาตามให้ไปดูในจวน เครื่องเรือนภายในยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แม้จะมีชำรุดไปบ้างแต่ไม่ใช่ของมีค่าอะไร ที่ยังใช้ได้นางก็ให้เก็บเอาไปให้คนงานที่ไร่ไว้ใช้งาน “หรือว่าหลัวจิงเฉิงจะใช้จวนนี้เป็นที่ฝึกวิชามาร”
“ก็เป็นไปได้ พ่อบ้านหม่า...ข่าวลือที่ทำให้ชาวบ้านย้ายออกคือเรื่องใดเจ้าคะ”
“ลือกันว่ายามค่ำคืนนั้นจะได้เสียงร้องโหยหวนออกจากภายในจวนแทบทุกคืนเลยขอรับคุณหนู พวกชาวบ้านหวาดกลัวจนย้ายออกขอรับ” อืม ก็ไม่แปลก “บางคืนอากาศก็เย็นขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุขอรับ ทั้งๆที่ไม่ใช่ช่วงฤดูเหมันต์”
“ไม่พบห้องลับหรือห้องใต้ดินขอรับคุณหนู” องครักษ์ผู้หนึ่งเข้ามารายงาน ได้ยินเช่นนั้นนางก็ชวนทุกคนออกจากจวนแล้วฝากให้พ่อบ้านหม่าจัดการต่อ ออกจากจวนก็ยังพบชาวบ้านชาวมุงยังยืนออกันอยู่หน้าจวนไม่ไปไหน เมื่อเห็นท่านพ่อเดินนำออกไปก็ตะโกนสอบถามกันอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ท่านแม่ทัพ! เหตุใดจึงเกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ขึ้นได้ขอรับ มันเป็นผู้ใดกัน! ช่างชั่วช้ายิ่งนัก”
“พวกข้าเพียงบังเอิญมาพบเท่านั้น เนื่องจากบุตรสาวคนโตของข้าต้องการใช้พื้นที่ตรงนี้สร้างโรงเตี๊ยมจึงมาตรวจสอบดู แล้วก็พบเรื่องเลวร้ายนี้โดยบังเอิญเช่นกัน ยังต้องมีการสืบหาความจริงกันต่อไป จากนี้จะเป็นหน้าที่ของมือปราบที่จะหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ”
“จะใช้ที่อัปมงคลเช่นนี้สร้างโรงเตี๊ยมเช่นนั้นหรือขอรับ จะดีหรือ”
“ไม่ใช่ที่อัปมงคลหรอกเจ้าค่ะ ที่นี่หาได้มีวิญญาณใดอาศัยอยู่อีกแล้ว”
“เช่นไรที่นี่ก็มีคนตาย มีศพฝังอยู่ตั้งมากมาย จะมีผู้ใดกล้าเข้ามาพักกันเล่าคุณหนูจิวเหมย”
“อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ ก่อนก่อสร้างข้าจะให้นักบวชมาทำการปัดเป่าสิ่งที่พวกท่านกังวลออกไปให้หมดเจ้าค่ะ” ชาวบ้านได้ยินเช่นนั้นก็คลายกังวลจนนางแทบอยากจะหัวเราะ หากทำเช่นนี้แล้วชาวบ้านจะสบายใจนางคงต้องให้งานพ่อบ้านหม่าเพิ่มอีกอย่างเสียแล้ว “รู้ใช่หรือไม่เจ้าคะพ่อบ้านหม่าว่าต้องทำเช่นไร” พ่อบ้านหม่าหัวเราะแล้วก็พยักหน้ารับ
นางตัดสินใจจะอยู่ที่เมืองหลวงต่ออีกสองวัน คืนนี้จึงจำต้องกลับไปแจ้งแก่ท่านน้าทั้งสองด้วยตนเอง นางเดินทางผ่านมิติพร้อมกับเสี่ยวหู่และเสี่ยวหลานที่ตอนนี้ช่วยใช้ปากคาบตะกร้าอาหารเย็นสำหรับท่านน้าทั้งสองมาด้วย ช่วยเบาแรงนางได้มากทีเดียว แม้กลิ่นหอมๆของอาหารจะทำให้ทั้งสองต้องคอยเก็บน้ำลายที่จะไหลออกจากปากอยู่บ่อยครั้ง
“ท่านน้า ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ” นางมาถึงก็เห็นท่านน้าทั้งสองกำลังก่อไฟไล่ยุงกันอยู่พอดี “ข้าเอาอาหารมาให้ด้วยเจ้าค่ะ ยังไม่ได้ทานมื้อเย็นกัน่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ยังหรอก อี้เทียนกำลังว่าจะเข้าไปล่าไก่ป่ามาย่างอยู่พอดี แล้วนี่สองพี่น้องนั่นไม่กลับมาด้วยหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ ปกติสองคนนั้นไม่เคยห่างตัวเจ้าเลยนะ”
“ข้าจะมาแจ้งท่านน้าทั้งสองว่าจะอยู่เมืองหลวงต่ออีกสองวันเจ้าค่ะ ข้าจะสร้างโรงเตี๊ยมจึงอยากอยู่ดูให้แน่ใจเสียก่อนว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย แล้วก็จะว่ามีเรื่องก็มีอยู่หรอกเจ้าค่ะ ตอนที่ข้าไปดูที่ทางสำหรับทำโรงเตี๊ยม บังเอิญว่าได้จวนร้างหลังหนึ่งมา แต่ภายในบริเวณจวนนั้นมีศพถูกฝังจนเหลือแต่กระดูกถึงสี่สิบสองศพ ลักษณะคล้ายกับโครงกระดูกที่เราพบในถ้ำที่หมู่บ้านจินหลันเลยเจ้าค่ะ ไม่พบที่มาที่ไปของเจ้าของจวน ซึ่งน่าแปลกมาก”
“พวกเจ้าจึงคิดว่าอาจจะเป็นหลัวจิงเฉิงอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ ก็มีความเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก ตอนนี้มือปราบกำลังสืบอยู่แต่คิดว่าคงไม่ได้ความมากนัก”
“เจ้าอยู่ที่นั่นก็ตามสืบดูอีกแรงเถิด ทางนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้ากับอี้เทียนเอง เจ้าไม่ต้องกังวล”
“สบายใจได้สาวน้อย หากได้พบหลัวจิงเฉิงอีกครั้งข้าจะไม่ปล่อยให้เขาหนีไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง”
“เจ้าค่ะท่านน้าอี้เทียน เช่นนั้นพวกท่านก็ทานมื้อเย็นแล้วก็พักผ่อนกันเถิดเจ้าค่ะ จะให้เสี่ยวหู่หรือเสี่ยวหลานอยู่ด้วยหรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าพยัคฆ์เมฆาจะช่วยเหลือท่านน้าทั้งสองได้”
“ไม่ต้องหรอก ข้าเลี้ยงสัตว์อสูรไม่เป็น”
“เช่นนั้นข้าขอตัวกลับจวนก่อนนะเจ้าคะ” จัดเตรียมอาหารออกมาวางไว้ให้พร้อมทานแล้วนางก็กลับเข้ามิติเดินทางกลับจวน วันนี้นางให้เสี่ยวหลานอยู่ในมิติเพื่อดูดซับพลัง ผลัดเปลี่ยนกับเสี่ยวหู่คนละวัน เช่นไรในยามนี้หากมีมันสองตัวอยู่กับนางด้วยนางจะอุ่นใจที่สุด เมื่อออกจากมิติก็พบกับท่านพ่อมารออยู่แล้ว “ท่านพ่อเจ้าคะ”
“กลับมาแล้วหรือ มาเถิด พ่อได้ข่าวจากมือปราบมาแล้ว รองแม่ทัพจ้าวรออยู่ที่ห้องรับแขก” นางเดินตามท่านพ่อออกมาที่ห้องรับแขกก็พบกับพี่หยาง ไท่หลง แล้วก็หัวหน้ามือปราบหน้าดุ ซุนอี้เยว่ “ขออภัยที่ให้รอ ได้ข่าวเช่นไรมาก็แจ้งแก่บุตรสาวของข้าได้เลยมือปราบซุน”
“ขอรับท่านแม่ทัพ ข้าตามสืบได้ความว่า ผู้ที่มาซื้อจวนต่อจากใต้เท้าหนานนั้นเป็นชายหญิงคู่หนึ่งขอรับ ตอนซื้อขายนั้นเป็นสตรีผู้นั้นที่ลงชื่อเป็นเจ้าของ นามว่าจูลี่อินขอรับ ส่วนชายผู้นั้นนางแจ้งเพียงว่าเป็นนายท่านของตนเองที่เป็นคหบดีมาจากต่างเมือง ตั้งใจมาปักฐานที่เมืองหลวงจึงตัดสินใจซื้อจวนนี้ ในราคาหนึ่งหมื่นตำลึงทองขอรับ”
หลัวจิงเฉิง!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จิวเหมยเจ้านี่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยนะ
ขอบคุณที่กลับมาต่อนะคะ สนุกมากค่า
ขอบคุณค่ะ อ่านจุใจเลย
รอลุ้นอยู่นะมาไวๆ