ตอนที่ 60 : แมลงตัวนี้ช่างน่าตายนัก
การเดินทางด้วยวิชาตัวเบาเป็นอะไรที่รวดเร็วและสะดวกสบาย แต่ก็กินพลังงานร่างกายไปมากพอดี ระยะทางจากหมู่บ้านมายังจุดที่ท่านน้าทั้งสองพบหัวกะโหลกนั้นไกลมากพอสมควร ไกลขนาดที่ว่าหากนางมาเองคนเดียวคงหาทางกลับหมู่บ้านไม่ได้ ท่านน้าทั้งสองพาพวกนางเดินลึกเข้าไปในถ้ำขนาดใหญ่ในหุบเขา ลึกจนน่ากลัว
“กลิ่นสาปรุนแรงยิ่งนัก” ทุกคนยกมือขึ้นปิดจมูกเมื่อกลิ่นสาปลอยมาปะทะพร้อมกับสายลม เหม็นจนแสบจมูก
ภายในถ้ำนั้นกว้างขวางมาก ทั้งอากาศก็อบอุ่น แม้จะมีลมเข้ามาเป็นระยะแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวเช่นอากาศด้านนอก เมื่อเดินเข้าไปจนถึงด้านในสุดของถ้ำนางเห็นมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ และสิ่งที่ทำให้พวกนางต้องมาถึงนี่ก็กองกันอยู่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น
“มากมายเพียงนี้เชียวหรือ!”
“มีทั้งกะโหลกและโครงกระดูก เป็นร้อยๆชีวิตได้กระมัง แต่เหตุใดไม่มีวิญญาณภูตผีอยู่ในถ้ำนี้เลย” นางคิดตามที่พี่หยางพูดแล้วหวนไปนึกถึงป่าที่นางกักขังภูตผีเอาไว้ หรือว่าภูตผีที่ควรจะอยู่ที่นี่จะไปอยู่ที่นั้น แล้วจะไปอยู่ที่นั้นด้วยเหตุใดกัน “คิดอะไรอยู่หรือเหมยเอ๋อร์”
“ข้ากำลังนึกถึงภูตผีที่ข้ากังขังไว้เจ้าค่ะ ป่านั้นไม่ควรจะมีภูตผีแต่กลับมีจนสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน แต่ที่นี่ควรจะมีแต่กลับสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่ตนเดียว”
“เจ้าคิดว่าภูตผีพวกนั้นคือ...”
“ก็มีความเป็นไปได้เจ้าค่ะท่านน้าลู่ไป๋ ที่นี่มีกะโหลกและโครงกระดูกมากมายขนาดนี้แต่กลับเงียบสงบ”
“เจ้าดูสักหน่อยเถิดอี้เทียนว่ามีสิ่งใดผิดสังเกตุไปหรือไม่” ท่านน้าอี้เทียนใช้กระบี่เขี่ยกะโหลกพวกนั้นออกดูแต่ก็ไม่พบสิ่งใดเลย ไม่มีร่องรอยว่าคนพวกนี้ตายเพราะอะไร นางเองก็พยายามเปิดสัมผัสเผื่อว่าจะมีภูตผีหลงเหลืออยู่สักตน ใช้ธาตุตรวจสอบดูก็ไม่พบว่ากะโหลกและโครงกระดูกพวกนี้มีพิษ แล้วจะตายเพราะสาเหตุใดกัน
“คนตายต้องมีสาเหตุเจ้าค่ะ ยิ่งตายกันมากมายเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
“หรือว่าจะเป็นสุสานของหมู่บ้านนี้ขอรับ”
“ไม่ใช่หรอกไท่หลง ข้ากับอี้เทียนพบสุสานของหมู่บ้านนี้อยู่อีกที่หนึ่ง อีกอย่าง ผู้ใดจะเอาศพมากองกันไว้ให้เน่าเปื่อยไปเองเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้หรอก”
“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ หากให้ร่างกายเน่าเปื่อยไปเองย่อมต้องหลงเหลือร่องรอยอยู่บ้าง อีกทั้งต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะย่อยสลายจนหมด แต่กะโหลกและโครงกระดูกพวกนี้น่าจะเพิ่งตายเมื่อไม่นานมานี้”
“จริงด้วย”
“ข้าว่าเราคงต้องอยู่หมู่บ้านนี้อีกหลายวันเลยล่ะเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเจ้าก็กลับหมู่บ้านก่อนเถิด ข้ากับไป๋เอ๋อร์จะสำรวจแถวนี้ต่ออีกสักพัก” จ้าวไท่หลงหลิ่วตามองทั้งคู่ แมลงกัดทั้งตัวแล้วยังจะอยู่ต่ออีกหรือ แต่ก็ช่างเถิด เขาจะสงบปากสงบคำ มิเช่นนั้นหากท่านน้าลู่ไป๋โกรธขึ้นมาจริงๆเขาอาจจะได้ลงไปนอนคลุกดินอยู่นอกบ้านเป็นแน่
ระหว่างทางกลับบ้านจิวเหมยก็ไม่ทำให้การออกมาครั้งนี้เสียเปล่าด้วยการเดินเก็บสมุนไพรที่จะเบ่งบานในยามค่ำคืนกลับไปด้วย ไหนจะผลไม้ป่าที่ส่งกลิ่นหอมยวนใจ เก็บเพลินกินเพลินจนถึงหมู่บ้านเลยทีเดียว
“พวกท่านไปที่ใดมาหรือขอรับ” กู่จูไห่
“พวกข้านอนไม่หลับน่ะเจ้าค่ะจึงออกมาเดินเล่น ได้กลิ่นหอมของผลไม้พวกนี้จึงนึกอยากลองทานดูบ้างเจ้าค่ะ”
“ใช่ขอรับ หอมหวานยิ่งนัก ไม่เหมือนผลไม้ที่พวกข้าเจอตามป่าอื่นเลยขอรับ วันพรุ่งข้าว่าจะไปขอท่านกู่จูไห่อยู่พอดี อยากจะเก็บติดตัวไปด้วยสักสองสามลูก” ไท่หลงกัดผิงกั่วในมือให้กู่จูไห่ดูว่าเขานั้นเอร็ดอร่อยกับมันเพียงใด คิดจะมาจับผิดพวกเขางั้นหรือ หึ “ท่านกู่จูไห่ก็ออกมาชมจันทร์เช่นกันหรือขอรับ วันนี้กลมโตยิ่งนัก ใครไม่ได้ชมช่างน่าเสียดาย”
“พวกท่านไม่ควรออกมาเดินเล่นในยามวิกาลนะขอรับ”
“อ่า ทำไมหรือขอรับ ข้าไม่เห็นว่าหมู่บ้านนี้จะมีอันตรายอะไรเลย หรือว่าเพราะเหตุใดขอรับ”
“หลงเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท”
“ขออภับขอรับพี่ใหญ่ ขออภัยขอรับท่านกู่จูไห่”
“ป่าที่พวกท่านเข้าไปนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ป่าดุร้าย ข้าเพียงเป็นห่วงเท่านั้นขอรับ หากพวกท่านกลับมาปลอดภัยก็ดีแล้วขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนขอรับ” จิวเหมยมองตามกู่จูไห่ไปจนอีกฝ่ายลับสายตาไป ไท่หลงมองรอยยิ้มมุมปากของสหายแล้วขนลุกขนผองขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หลิวจิวเหมยยิ้มเช่นนี้ทีไรคงได้มีเรื่องให้ต้องออกแรงอีกเป็นแน่
“มีสิ่งใดหรือเหมยเอ๋อร์”
“ท่านกู่จูไห่ช่างไม่ธรรมดาจริงๆเจ้าค่ะ เรากลับกันดีกว่าเจ้าค่ะ ดึกมากแล้ว”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ เจ้าเห็นสิ่งใดงั้นหรือจิวเหมย”
“เจ้าจะถามข้าให้มากความทำไม ข้าไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น กลับกันได้แล้วไท่หลง ผลไม้นั่นก็เก็บไว้ทานพรุ่งนี้บ้าง” ก็มันอร่อย จะเก็บไว้ทำไมเล่า เสียรสชาติกันพอดี
รุ่งเช้านางให้ท่านน้าลู่ไป๋กับท่านน้าอี้เทียนที่เพิ่งจะกลับมาเอาตอนที่นางลุกมาหุงข้าวไปแจ้งแก่กู่จูไห่ว่าจะขอพักอยู่ที่หมู่บ้านอีกสองสามวันเพราะนางนั้นไม่ค่อยสบาย เกรงว่าหากเดินทางช่วงนี้จะทำให้อาการหนักขึ้น พี่หยางกับไท่หลงถึงกับมองนางด้วยความงุนงงเพราะนางนั้นสบายดี หาได้เจ็บป่วยไม่สบายเช่นที่บอกท่านน้า
“ท่านน้าไปนอนให้แมลงกัดมาหรือขอรับ เหตุใดมีรอยแดงมากกว่าเมื่อวานเสียอีก”
“อื้อ แมลงตัวนี้มันร้ายมาก ข้าอยากจะฆ่ามันยิ่งนัก!”
“แล้วเหตุใดไม่ฆ่ามันเล่าขอรับ ปล่อยให้มันกัดทำไม มันต้องตัวใหญ่มากเป็นแน่ รอยกัดถึงได้น่ากลัวเช่นนี้” จิวเหมยกลั้นหัวเราะเอาจนข้าวเกือบติดคอ เดือดร้อนพี่หยางต้องช่วยทุบหลังให้ จ้าวไท่หลงช่างไร้เดียงสา นี่ไปถึงหอนางโลมก็คงไปแค่นั่งกินถั่วสินะถึงไม่รู้ว่ารอยที่เห็นนั่นน่ะเขาเรียกรอยดูด ไม่ใช่รอยแมลงกัดอย่างที่เจ้าตัวเขาเข้าใจ “เจ้าหัวเราะสิ่งใดจิวเหมย ท่านน้าโดนแมลงกัดจนตัวลายเช่นนี้เจ้ายังจะหัวเราะอีกหรือ”
“เอาน่าๆ แมลงตัวนี้ไม่เป็นอันตรายหรอก มันกัดเฉพาะคนที่มันชอบเท่านั้นแหละ”
“จริงหรือ”
“จริงสิ มิเช่นนั้นมันจะกัดแค่ท่านน้าลู่ไป๋ได้เช่นไร ทั้งๆที่ท่านน้าอี้เทียนก็ออกไปด้วย คิดสิคิด”
“จริงด้วย อ่า นี่ท่านน้าลู่ไป๋งดงามจนแมลงตัวนี้ชอบเลยหรือขอรับ ช่างเป็นบาปยิ่งนัก” จิวเหมยไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป ฮ่าๆ ไท่หลงมองสหายที่หัวเราะจนแทบหงายหลังอย่างไม่เข้าใจ มันน่าขันตรงไหนกัน มีแมลงมากัดนี่ใช่เรื่องต้องหัวเราะหรือ แม้แต่พี่ใหญ่ยังหัวเราะไปด้วย นี่มันเรื่องตลกหรืออย่างไร!
“เจ้ามีสิ่งใดคืบหน้าหรือไม่จิวเหมย”
“เจ้าค่ะท่านน้าลู่ไป๋ เมื่อคืนนี้ข้าใช้ธาตุตรวจสอบท่านกู่จูไห่ดู คนผู้นั้นไม่ได้มีคุณธรรมเช่นความอ่อนน้อมที่แสดงออกเลย ข้าจำได้ว่าท่านน้าอี้เทียนเคยพูดถึงบิดาของท่านกู่จูไห่ว่าเป็นผู้ใช้เวทย์สำหรับฝึกวิชามารใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าหัวกะโหลกกับโครงกระดูกพวกนั้นเป็นผลจากการฝึกวิชามารของบิดากู่จูไห่ใช่หรือไม่”
“ข้ายังไม่แน่ใจนักเจ้าค่ะว่าเป็นบิดาของท่านกู่จูไห่หรือตัวท่านกู่จูไห่เองที่เป็นผู้ฝึก แต่ที่แน่ๆข้าคิดว่าไม่ใช่ศพของชาวบ้านจากหมู่บ้านนี้เป็นแน่”
“หากเขาฝึกวิชามารอยู่จริงมันก็มีความเป็นไปได้นะอี้เทียน”
“ฝึกวิชามารแบบใดกันขอรับถึงได้สังเวยชีวิตผู้คนมากมายเช่นนั้น”
“วิชามารแบบที่กลืนกินจิตวิญญาณ เลือด และร่างกายของมนุษย์อย่างไรเล่าเจ้าคะพี่หยาง”
“เจ้าจะบอกว่าคนพวกนั้นถูกลืนกินร่างกายจนเหลือเพียงโครงกระดูกอย่างนั้นหรือจิวเหมย”
“ใช่เจ้าค่ะท่านน้า เพราะจากที่ข้าสังเกตโครงกระดูกแล้ว มันไม่ใช่กระดูกที่เกิดจากการย่อยสลายของศพ เพราะหากกระดูกยังใหม่เช่นนั้นย่อมต้องมีชิ้นเนื้อติดอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ถ้ำนั้นเหมือนเอาไว้เก็บโครงกระดูกพวกนั้นโดยเฉพาะ เช่นไรก็ไม่ใช่สุสานเป็นแน่เจ้าค่ะ” ด้วยประสบการณ์การเป็นหมอมาหลายปี นางฟันธงได้เลยว่านี่ไม่ใช่การตายแบบธรรมชาติแน่นอน อีกทั้งธาตุดำของนางก็ดูจะชื่นชอบกู่จูไห่ไม่น้อยเลยทีเดียว “ข้าต้องการให้จับตาดูท่านกู่จูไห่เจ้าค่ะ หากเขาได้เรียนเวทย์จากบิดามาจริง การฝึกวิชามารก็ไม่ใช่เรื่องยากที่บิดาของเขาจะสอนให้”
“อืม ข้ากับอี้เทียนจะจับตาดูให้เอง”
“ข้าว่าท่านน้าลู่ไป๋พักสักวันเถิดขอรับ ให้จิวเหมยรักษารอยแมลงกัดพวกนั้นให้เสียก่อน”
“นี่เจ้าจะอะไรกับรอยบนตัวของข้านักจ้าวไท่หลง หา!”
“ก็ข้าไม่เคยเห็นนี่ขอรับ”
“เจ้าโตกว่านี้ก็ได้รู้เองหลงเอ๋อร์”
“ข้าโตแล้วนะขอรับพี่ใหญ่”
“โตแล้วเจ้าก็ควรจะรู้ว่ารอยบนตัวท่านน้าไม่ใช่รอยแมลงกัด เข้าใจหรือไม่จ้าวไท่หลง”
“หลิวจิวเหมย!” คนที่เข้าใจมาตลอดว่าเป็นรอยแมลงกัดถึงกับตาโตแล้วถลาเข้าไปหาฟ่านลู่ไป๋ด้วยความเร็วแต่ถูกอู๋อี้เทียนกันไว้เสียก่อน ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กวัยสิบสามปีกำลังพลุ่งพล่านเป็นอย่างมากจนจิวเหมยต้องลากสหายลงจากบ้านไปเดินดูชาวบ้านเขาทำงาน
“มันคือรอยอะไรหรือจิวเหมย”
“เช่นที่พี่หยางบอก เอาไว้เจ้าโตกว่านี้เจ้าก็จะรู้เอง”
“เจ้าก็โตเท่าข้าเหตุใดเจ้าถึงรู้เล่า แล้วนี่เจ้าจะไปที่ใดหรือ เดี๋ยวกู่จูไห่ก็มาเจอเข้าอีกหรอก”
“ข้าเป็นคนป่วย ข้าอยากมาสูดอากาศ ไปดูชาวบ้านเขาทำงานกัน เผื่อเจอสิ่งใดน่าสนใจ”
“แต่ข้ายังทานข้าวไม่อิ่มเลยนะ”
“มื้อเที่ยงข้าจะจัดให้เจ้าเต็มที่เลย” ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างแล้วเดินตามสหายไปโดยไม่อิดออด
จิวเหมยเดินผ่านบ้านเรือนของชาวบ้านมาเรื่อยๆ ยามเช้าเช่นนี้ทุกคนต่างก็มีงานต้องทำ ให้อาหารสัตว์ที่เลี้ยงไว้เอย รดน้ำพืชผักเอย เด็กๆก็วิ่งเล่นกันไปมาอยู่ลานหน้าบ้าน ดูแลก็เป็นวิถีชีวิตทั่วไปไม่มีสิ่งใดแปลก นางกับไท่หลงรีบหลบเข้าหลังต้นไม้ใหญ่เมื่อเห็นกู่จูไห่เดินทักทายชาวบ้านมาแต่ไกล ทุกคนก็ดูชื่นชมคนผู้นี้ไม่น้อย หรือว่าจะไม่ใช่เขา
“กู่จูไห่ผู้นี้ก็ดูแลชาวบ้านเป็นอย่างดีเลยนี่นาจิวเหมย หรือว่าเราจะคิดไปเอง”
“ยังด่วนสรุปตอนนี้ไม่ได้หรอกไท่หลง กู่จูไห่ผู้นี้อันตรายกว่าที่เราคาดคิดมากนัก” ขณะที่นางกำลังคิดว่าจะออกไปพบกู่จูไห่ดีหรือไม่นั้นก็มีเด็กคนหนึ่งวิ่งร้องไห้ผ่านหน้านางกับไท่หลงไปเสียก่อน และมีเด็กอีกหลายคนวิ่งตามไป
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านแม่” ท่านแม่งั้นหรือ อ่า จริงสิ นางมีสุดยอดผู้ช่วยอยู่นี่นา
“เจ้าคิดสิ่งใดได้อีกแล้วใช่หรือไม่สหาย ยิ้มเช่นนี้ทีไรข้าล่ะขนลุกทุกที” นางหลับตาลงกำหนดจิตนึงถึงสตรีที่งดงามที่สุดของนาง ไม่ได้พบหน้ากับเสียนาน ท่านแม่มาช่วงลูกก่อนเถิดนะเจ้าคะ
“เจ้าเรียกแม่ทำไมหรือเหมยเอ๋อร์ แม่เพิ่งจะได้นอนเองนะ” สตรีที่งดงามยืนกอดอกหน้าบึ้งอยู่เบื้องหน้านาง เป็นวิญญาณแต่กลับชอบงีบหลับเป็นที่สุด “มีเรื่องให้แม่ช่วยอีกแล้วใช่หรือไม่เล่า”
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านแม่เห็นบุรุษผู้นั้นหรือไม่เจ้าคะ” ท่านแม่เบนสายตาไปยังจุดที่นางมองอยู่
“เห็นสิ ทำไมหรือ ก็รูปงามดีอยู่หรอกแต่ไม่เท่าว่าที่ลูกเขยแม่ นี่ลูกพึงใจบุรุษผู้นั้นหรือ”
“หาได้เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะท่านแม่ เพียงแต่ลูกสงสัยว่าเขาอาจจะฝึกวิชามารกับบิดาของเขา”
“จึงอยากให้แม่ช่วยจับตาดูสินะ ได้เลยลูกรัก เรื่องง่ายๆเช่นนี้ เชื่อมือแม่ได้เลย” นางสื่อสารกับท่านผ่านทางจิตไท่หลงจึงไม่รับรู้ว่าท่านแม่มาปรากฎตัวแล้วและก็หายวับไปยืนเกาะติดกู่จูไห่แล้ว คงต้องเตรียมของเซ่นไหว้ท่านแม่ชุดใหญ่สักหน่อยเพื่อเป็นการขอบคุณ นางไม่กังวลหรอกว่าท่านกู่จูไห่จะจับได้ว่าท่านแม่แอบติดตาม เพราะฝีมือท่านแม่เองก็ไม่ธรรมดา ใช่ว่าจะจับได้ง่ายดาย เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดต้องกังวลจึงชวนไท่หลงกลับบ้าน กลับมาถึงบ้านก็เห็นเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ตัวไม่น้อยแล้วของนางกำลังนอนอาบแดดอยู่ สุขกายสบายใจจริงเชียวเจ้าอ้วน!
“อ้วนจนตัวจะแตก” มันปรายตามองนางเล็กน้อยแล้วก็นอนต่อ “อีกหน่อยก็วิ่งไม่ไหว” มันส่งเสียงแง้วตอบกลับมาว่า ‘รำคาญ’ โอ้ย เจ็บปวดใจ จะทำโทษให้มันอดข้าวก็ไม่ได้เพราะมันล่าอาหารเองได้ หึ้ย
“ไปที่ใดมาหรือเหมยเอ๋อร์”
“เดินดูชาวบ้านเจ้าค่ะพี่หยาง อ้อ ท่านน้าลู่ไป๋กับท่านน้าอี้เทียนไม่ต้องไปตามดูท่านกู่จูไห่แล้วนะเจ้าคะ”
“ทำไมเล่า หรือว่าที่เราคิดมันผิด”
“ไม่ใช่เจ้าคะ แต่ข้ามีผู้ช่วยที่รับรองได้ว่ายากจะจับได้แต่เข้าถึงตัวได้แบบใกล้ชิดสุดๆ” ท่านน้าลู่ไป๋เข้าใจได้ทันทีว่านางหมายถึงผู้ใด ท่านน้าอี้เทียนกับพี่หยางเลือกที่จะไม่ถาม แต่จ้าวไท่หลงนี่สิ สะกิดนางจนเนื้อจะถลอกอยู่แล้ว “เลิกสะกิดข้าได้แล้ว หากมีวาสนาเจ้าก็ได้เห็นผู้ช่วยของข้าเองนั่นแหละ”
“ต้องรออีกแล้วหรือ”
“เจ้ารอไม่ได้หรือ”
“ก็...”
“เหมยเอ๋อร์!”
“เฮ้ย! ผ ผ ผู้ใดกัน” จ้าวไท่หลงตกใจจบเกือบตกแคร่เมื่อท่านแม่ของนางจู่ๆก็โผล่มาให้ทุกคนได้เห็นตัว ไม่รู้เพราะอะไรแต่ร่างของท่านแม่นั้นอยู่ได้ไม่นานนักก็กลับมาโปร่งแสงเช่นเดิม “ผี! ต้องเป็นผีแน่ๆ!”
“กลับมาเร็วเช่นนี้มีข่าวให้ลูกแล้วหรือเจ้าคะท่านแม่” เมื่อเห็นท่านแม่กันแล้วก็ใช่จำเป็นต้องปกปิด
“ได้สิ! แม่ตามบุรุษผู้นั้นไปจนถึงบ้านของเขาทีเดียว เรื่องฝึกวิชามารนั่นอย่าเพิ่งกังวลเลย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสงสัยในตัวพวกเจ้าแล้ว ตัวบุรุษผู้นั้นน่ะไม่เท่าใดหรอก แต่บิดาของเขาต่างหาก พลังเวทย์ใดกันถึงได้น่าสะอิดสะเอียนชวนขนลุกเช่นนั้น หากจะมีผู้ใดฝึกวิชามารก็ต้องบิดาของเขานั่นแหละเหมยเอ๋อร์”
“สงสัยในตัวพวกข้าแล้วอย่างไรเจ้าคะท่านแม่”
“ก็บิดาของบุรุษผู้นั้นสั่งให้หาทางสังหารพวกเจ้าน่ะสิลูกรัก!”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เค้ามาช่วยดูแลคนในหมู่บ้านแล้วยังคิดจะสังหารเค้าอีก คนพวกนี้นี่น่าตายซะจริง
ข้าว่ามิน่ามีหมู่บ้านไหนปกติหรอกเจ้าคะ ท่องไว้เจ้าค่ะ นี่คือนิยายทุกอย่างไม่มีทางปกติ
ขอบคุณค่ะ
รอเลยค่ะ
ได้เวลาบู๊แล้วละ
ไท่หลงนี่โตแต่ตัวจริง ๆ ไหวพริบยังตามเพื่อนไม่ทันเลย 555
มาแล้วๆ ไห่หลงนี่ปากเป็นเหตุจริงๆ จะต้องไปฝึกจับแมลงที่หอคณิกาาาา