ตอนที่ 6 : พิษแมงป่องเหมันต์
หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ!
“เจ้าอยากมาเองไม่ใช่หรือไง เหตุใดทำหน้าเบื่อหน่ายเช่นนั้นเล่า” จ้าวไท่หลงเอ่ยกลั้วหัวเราะในขณะที่จิวเหมยหน้าเป็นยักษ์ จิวเหมยไปลากเขาออกจากจวนให้มาเป็นเพื่อนนางแต่พอมาถึงจวนของบิดาตนเองดันไม่กล้าเข้าไปทั้งยังมายืนพิงม้าทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ข้างกำแพงจวนไม่ยอมขยับไปไหน “จะเข้าไปได้หรือยัง”
“เจ้าว่าข้าคิดถูกหรือคิดผิดที่มาที่นี่”
“ถ้าพูดถึงเรื่องจริยธรรมเจ้าย่อมคิดถูก” ทำไมฟังแล้วรู้สึกยุบยิบในใจชะมัด
“เจ้าเดินก่อนข้าจะเดินตาม” นั่นหมายความว่าจ้าวไท่หลงต้องออกหน้าอีกแล้วสินะ
จิวเหมยเดินตามหลังคุณชายจ้าวไปเงียบๆ แต่จวนท่านแม่ทัพนั้นใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆและนางเองตอนอาศัยอยู่นี่ก็ใช่จะได้เดินไปไหนมาไหนให้ผู้ใดได้รู้จัก ทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูย่อมจำหน้านางไม่ได้ เช่นนั้นให้ไท่หลงออกหน้านั่นแหละถูกแล้ว เพราะเพียงสหายของนางชูป้ายประจำตัวก็สามารถเข้าไปได้แบบง่ายๆสบายๆ
“คารวะคุณชายจ้าว คุณหนูใหญ่ขอรับ” พ่อบ้านหม่าเดินออกมาต้อนรับแต่พอเห็นหน้านางก็อึกอักไปเล็กน้อย
“ข้ามาเยี่ยมคุณหนูหลิวรุ่ยฟาง”
“ข้าน้อยจะไปแจ้งท่านแม่ทัพเดี๋ยวนี้ขอรับ เชิญคุณชายจ้าว คุณหนูใหญ่รอทางด้านนี้ขอรับ” พ่อบ้านหม่าพาพวกเขาไปรอยังห้องโถงสำหรับรับแขกของจวนแล้วหายไปยังเรือนของฮูหยินใหญ่ ท่านพ่อและน้องสาวของนางคงอยู่ที่นั่น
“เหมยเอ๋อร์! พ่อไม่คิดว่าเจ้าจะมา”
“คารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ ข้ากับคุณชายจ้าวมาเยี่ยมฟางเอ๋อร์เจ้าค่ะ” หลิวรุ่ยฟาง น้องน้อยแสนน่าเอ็นดู หึ
“เช่นนั้นก็ตามพ่อมาเถิด เชิญทางนี้คุณชายจ้าว”
“รบกวนท่านแม่ทัพแล้วขอรับ” ท่านพ่อพานางและไท่หลงมาที่เรือนของฮูหยินใหญ่ สตรีที่เคยงดงามอยู่ตลอดเวลาตอนนี้กลับดูทรุดโทรมคล้ายคนไม่ได้นอน นางคงเป็นห่วงลูกมากกระมังจึงไม่ได้ดูแลตนเองเช่นนี้ ร่างของหลิวรุ่ยฟางนั้นอยู่บนเตียงของฮูหยินใหญ่ ดูจากสภาพแล้วนางก็ไม่แน่ใจว่าร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือสิ้นใจไปแล้ว น่าอดสูยิ่งนัก “นางเป็นเช่นไรบ้างขอรับท่านแม่ทัพ ท่านพ่อท่านแม่เป็นห่วงยิ่งแต่งานนั้นมีมากก็เลยยังไม่มีโอกาสมาด้วยตนเอง”
“อาการของฟางเอ๋อร์ย่ำแย่ลงทุกวัน ข้าเพียรหาหมอที่เก่งที่สุดมารักษาแต่ก็ไม่มีผู้ใดรักษานางได้เลย” ฮูหยินใหญ่เบนสายตาจากร่างของบุตรสาวมามองแขกที่มาเยือน ดวงตากลมสวยนั้นจะเบิกกว้างขึ้นยามเมื่อเห็นหน้าหลิวจิวเหมยก่อนจะหลบสาตาที่สั่นระริกนั้นกลับไปมองบุตรสาวเช่นเดิม
เห็นแบบนี้ถึงนางจะเกลียดแม่เด็กแต่ก็อดจะสงสารไม่ได้
“ท่านพ่อพาแม่ใหญ่ไปพักสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากจะขอตรวจฟางเอ๋อร์ดูบ้าง”
“ไม่” หึ นี่แหละนะเขาเรียกว่าวัวสันหลังหวะ ทำร้ายคนอื่นไว้มากก็เลยกลัวจะโดนแว้งกลับ
“ลูกพอจะได้เรียนรู้วิชาจากท่านตาที่ช่วยเหลือลูกมาบ้าง หากท่านพ่อเชื่อใจลูกก็ได้โปรดพาแม่ใหญ่ออกไปพักสักนิดเถิดเจ้าค่ะ” ผู้เป็นบิดามองนางนิ่งแต่นางก็สบตาผู้บิดาอย่างแน่วแน่ “หากท่านพ่อไม่อยากให้ลูกช่วย ลูกจะกลับออกไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ ไปกันเถอะไท่หลง”
“ช้าก่อนเหมยเอ๋อร์! พ่อเชื่อใจเจ้า ฝากน้องด้วยนะ ออกไปพักสักหน่อยเถิดฮูหยิน”
“แต่ท่านพี่เจ้าคะ”
“ข้าเชื่อใจเหมยเอ๋อร์” แม้ฮูหยินใหญ่จะไม่ใคร่อยากออกไปนักแต่ด้วยแรงอันน้อยนิดของนางไม่อาจขัดขืนแรงของท่านพ่อได้ เมื่อพ้นร่างของทั้งสองคนไปแล้วนางก็เอ่ยปากกับองครักษ์ทั้งหมดที่นางก็ไม่รู้ว่ามีตัวตนไหมแต่ป้องกันเอาไว้ก่อน แต่ดูเหมือนนางจะคิดถูกเพราะทันทีที่เอ่ยปากขอให้ออกไปก็มีเงาสายหนึ่งหลบออกไปทันที
“เรื่องที่ข้าจะทำต่อไปนี้เจ้าต้องสาบานกับข้าไท่หลง ว่าเจ้าจะไม่เอาไปบอกผู้ใดแม้แต่กับครอบครัวเจ้า”
“มันลับสุดยอดเช่นนั้นหรือ”
“สัญญากับข้า”
“ก็ได้ๆ ข้าสัญญา” สัจจะลูกผู้ชายของบุตรชายอัครเสนาบดีคงเชื่อได้อยู่กระมัง
จิวเหมยขยับเข้าไปใกล้ร่างหลิวรุ่ยฟางที่หลับไม่ได้สติ ปากสีม่วงคล้ำ ร่างกายเองก็มีจุดสีม่วงดำอยู่ประปรายหลายจุด เนื้อตัวขาวซีดแทบไร้สีเลือด นางโดนพิษและก็เป็นพิษที่ยากจะแก้ พิษชนิดนี้ไม่ได้ทำให้คนโดนพิษตายตกในเร็ววันแต่หากเข้าฤดูเหมันต์คงได้ทรมานจนแทบอยากตายเป็นแน่
“พิษแมงป่องเหมันต์ ใครช่างใจร้ายกับเด็กน่ารักเช่นนางกันนะ”
“มิน่า แม้แต่หมอหลวงก็ไม่อาจรักษา เพราะคนถอนพิษได้ย่อมต้องเป็นคนทำพิษ หากหาคนทำพิษไม่เจอนางก็คงทรมานไปตลอดชีวิต” ถือว่าสหายนางยังพอมีปัญญาอยู่บ้าง “เจ้าช่วยนางได้หรือไม่”
หลิวจิวเหมยไม่ตอบแต่นางจับจุดชีพจรที่ข้อมือของหลิวรุ่ยฟางไว้แน่นแล้วส่งพลังงานธาตุดำเข้าไปในร่างกายของนางเพื่อดูดซับพิษและขับพิษออกทางร่างกาย เป็นครั้งแรกที่นางรักษาคนเช่นนี้และนางก็เพิ่งจะเห็นกับตาว่าธาตุดำของนางดูดกลืนกินพิษเช่นไร เพียงครึ่งชั่วยามของเหลวสีดำก็เริ่มไหลซึมออกจากร่างของเด็กน้อยจนที่นอนนองไปด้วยของเหลวจากพิษ ไท่หลงก้าวถอยห่างจากเตียงโดยทันทีทั้งยังมองสหายของเขาด้วยสายตาเหลือเชื่อ ร่างของหลิวรุ่ยฟางกระอักเลือดสีดำออกมาจนกลิ่นคลุ้ง จากเลือดสีดำกลายเป็นสีแดงจนจิวเหมยมั่นใจว่าพิษได้ออกจากร่างของหลิวรุ่ยฟางหมดแล้วก็ส่งธาตุขาวเข้าไปช่วยรักษาร่างกายภายในของนาง ตอนนี้ดวงตาที่เคยปิดสนิทกลับลืมขึ้นมองคนที่ช่วยเหลือนางอย่างซาบซึ้ง
“พี่ใหญ่”
“เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไรเลยฟางเอ๋อร์ เจ้าปลอดภัยแล้ว”
“น้องขอบพระคุณพี่ใหญ่ที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ” ช่างพูดยิ่งนัก
“เจ้าเป็นน้องข้า ข้าก็ต้องช่วยเจ้าสิ พักผ่อนเถิด” หลิวรุ่ยฟางหลับไปเพราะอ่อนเพลียนางถึงได้สังเกตุว่ามีของเหลวสีดำนองอยู่เต็มเตียงอย่างน่าสยดสยอง นี่พิษอยู่ในร่างกายของฟางเอ๋อร์มากมายเพียงนี้เชียวรึ เมื่อหันไปมองสหายเพื่อขอให้ช่วยเรียกท่านแม่ทัพกับฮูหยินใหญ่ก็เห็นว่าจ้าวไท่หลงกำลังมองนางอย่างหวาดกลัว
“เจ้ากลัวข้าหรือไท่หลง”
“เจ้าทำแบบนั้นได้เช่นไรกันจิวเหมย!”
“เจ้าไม่ต้องรู้หรอก แล้วก็อย่าลืมสัญญาว่าห้ามบอกผู้ใด เข้าใจหรือไม่” คุณชายจ้าวพยักหน้ารับอย่างโง่งม เมื่อครู่นางไม่ได้ทำสิ่งใดเลยนอกจากจับที่แขนของหลิวรุ่ยฟาง แต่จู่ๆก็มีของเหลวสีดำไหลออกจากร่างคุณหนูเล็กตระกูลหลิวไม่หยุด นางไม่ได้ทำสิ่งใดเลยจริงๆเพียงแค่แตะแขนเท่านั้น นี่มันการรักษาแบบไหนกัน! “เจ้าไปเรียกท่านพ่อกับฮูหยินใหญ่ให้ข้าหน่อย กลิ่นนี่ไม่พึงประสงค์อย่างแรง” ระหว่างที่จ้าวไท่หลงออกไปตามคนทั้งสองนางก็นั่งปรับลมปราณภายในให้คงที่เพราะพิษแมงป่องเหมันต์กินแรงนางไปไม่น้อย
ปัง!
ประตูถูกเปิดออกอย่างแรงด้วยมือของท่านแม่ทัพใหญ่เจ้าของจวนที่ประคองฮูหยินใหญ่เข้ามาพร้อมกัน ทันทีที่เห็นว่ามีของเหลวสีดำที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเลือดหรือสิ่งใดฮูหยินใหญ่ก็ขาอ่อนล้มพับไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง ท่านพ่อเองก็มองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“ฟางเอ๋อร์ถูกพิษแมงป่องเหมันต์เจ้าค่ะ ลูกถอนพิษออกให้แล้ว ท่านพ่อกับแม่ใหญ่ให้นางดื่มยาบำรุงอีกสักหน่อยก็จะกลับมาแข็งแรงเช่นเดิมเจ้าค่ะ”
“พิษแมงป่องเหมันต์เช่นนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ เป็นหนึ่งในพิษที่ยากจะถอนได้เอง ยาถอนพิษส่วนใหญ่ผู้ปรุงจะเก็บไว้ที่ตัวหากผู้ใดโดนพิษนี้แล้วไม่ได้ยาถอนพิษก็ยากจะหายขาด หากเข้าฤดูเหมันต์ร่างกายจะหนาวทิ่มแทงไปถึงกระดูกจนความตายดูจะง่ายกว่ามีชีวิต ต่อไปจะให้นางดื่มหรือทานสิ่งใดก็คงต้องระวังกันสักหน่อยนะเจ้าคะ”
“เหมยเอ๋อร์ พ่อขอบใจเจ้านักที่ช่วยน้อง”
“นางเป็นน้องของลูก เช่นไรก็เป็นครอบครัวเดียวกันเจ้าค่ะ ลูกจะเมินเฉยได้เช่นไร หากไม่มีสิ่งใดแล้วลูกขอลานะเจ้าคะ อ้อ แม่ใหญ่ก็ทานข้าวบ้างเถิดนะเจ้าคะ จะได้มีแรงดูแลฟางเอ๋อร์” ไท่หลงถึงกับลอบเบ้ปากเมื่อได้ฟังที่สหายพูด ข้าหรือก็ไปบอกเจ้าตั้งหลายวันแล้วหากไม่เมินเฉยจริงคงมาช่วยเสียนานแล้ว “จริงสิ ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกขอรับรางวัลที่ท่านพ่อตั้งรางวัลไปด้วยเลยนะเจ้าคะ” ครานี้ไท่หลงอ้าปากจนแทบไม่สนใจว่าจะแมลงตัวเล็กบินเข้าไปหลบภัยในนั้น
แหม เงินตั้งหมื่นตำลึงทอง ไม่เอาก็โง่สิ
“ได้สิ พ่อบ้านหม่าช่วยจัดการรางวัลให้เหมยเอ๋อร์ด้วย”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกขอลา”
“เดี๋ยวเหมยเอ๋อร์ เรื่องบ้านของลูกเรียบร้อยดีหรือไม่ พ่อยุ่งเรื่องของฟางเอ๋อร์จึงไม่ได้สอบถามเจ้าเลย”
“เรื่องบ้านนั้นเรียบร้อยดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านพ่อที่ช่วยเหลือ”
“พี่ไม่ได้ช่วยสิ่งใดเจ้าเลย เป็นเจ้าเองต่างหากที่ช่วยตนเอง เอาไว้พ่อจะไปเยี่ยมเจ้าที่บ้านนะลูกพ่อ”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” จิวเหมยลาท่านพ่อกับฮูหยินใหญ่ที่ยังคงนั่งร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่ได้ยินว่าบุตรสาวของนางปลอดภัยแล้ว ไท่หลงเองก็ตามนางออกมาเช่นกันเพราะไม่มีเรื่องอื่นให้ต้องอยู่ต่อแล้ว ออกมาถึงหน้าจวนก็เจอกับพ่อบ้านหม่าและหีบไม้หนึ่งใบคาดว่าจะเป็นเงินหนึ่งหมื่นตำลึงทองที่นางได้เป็นรางวัล “ขอบคุณพ่อบ้านหม่าที่เป็นธุระให้เจ้าค่ะ”
“คุณหนูใหญ่อย่าได้เกรงใจขอรับ ท่านสมควรได้รับมัน”
“เช่นนั้นข้าขอรับรางวัลไปเลยแล้วกันนะเจ้าคะ ข้าลาพ่อบ้านหม่า” สั่งไท่หลงด้วยสายตาให้ยกหีบใบนั้นมาด้วย
“เจ้าจะกลับบ้านเลยหรือไม่ แต่ข้าว่าให้ข้าไปส่งดีกว่านี่มันก็ใกล้มืดแล้ว”
“ไม่เป็นไร เจ้าแบ่งรางวัลไปบ้างสิ เช่นไรวันนี้เจ้าก็ช่วยข้าไว้มาก”
“เรื่องแค่นี้ข้าจะกล้ารับส่วนแบ่งกับสหายเช่นเจ้าได้เช่นไร เจ้าเก็บไว้เถิด ไว้ทำอาหารเลี้ยงข้าสักมื้อก็พอ”
“ขอบใจไท่หลง เจ้าเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า งั้นข้ากลับล่ะ”
“นายท่านให้เอารถม้าไปส่งคุณหนูที่บ้านขอรับ” พ่อบ้านหม่าผายมือไปทางรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกลจากม้าของนางนัก “นี่ก็มืดค่ำแล้วนายท่านเป็นห่วงคุณหนูขอรับจึงให้ข้าจัดเตรียมรถม้าไว้ให้”
“ให้รถม้าไปส่งก็ดีนะจิวเหมย เจ้าจะได้นั่งสบายๆ ข้าเองก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าด้วย”
“เช่นนั้นก็รบกวนด้วยนะเจ้าคะ แล้วม้าของข้าเล่าเจ้าคะ”
“องครักษ์จะขี่ตามไปส่งให้คุณหนูถึงที่บ้านขอรับ” เช่นนั้นนางไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ โบกมือลาสบายเสร็จก็ยกหีบขึ้นรถม้าตรงกลับบ้านในทันที วันนี้ทั้งเหนื่อยล้าและอ่อนแรงยิ่งนัก นางต้องการพักผ่อนเต็มที
วันต่อมาที่นางมาขายของที่ตลาดก็ได้ยินชาวบ้านพูดกันปากต่อปากว่าบุตรสาวของท่านแม่ทัพนั้นหายดีแล้ว ลือกันไปต่างๆนาๆว่านางหายได้เพราะหมอเทวดามาช่วย หมอตัวจริงได้แต่ส่ายหัวให้กับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ วันนี้นางขายได้ไม่ค่อยดีนักอาจจะเพราะพวกพี่สาวมาซื้อเก็บไว้หมดแล้วเพราะเหตุนี้นางจึงไปปรึกษาช่างไม้เรื่องทำปลอกลิปสติก หากมันหมุนได้คงน่าตื่นตาตื่นใจพิลึก หรือหากหมุนไม่ได้ก็ทำแบบที่นิ้วดันเอาก็ได้ คงต้องกลับไปคิดค้นอะไรใหม่ๆเสียแล้ว
“พวกเจ้าได้ข่าวเรื่องที่โรงเตี๊ยมหมิงอันจะปิดตัวหรือไม่ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”
“เพราะเหตุใดถึงปิดเล่า”
“ได้ยินว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นก็เลยประกาศขาย หากข้ามีตำลึงทองมากมายเพียงนั้นข้าก็คงไม่เสียดายที่จะซื้อเอาไว้เองหรอก ทำเลค้าขายก็ดี”
คงต้องแวะไปดูเสียหน่อย
โรงเตี๊ยมที่เคยคึกคักบัดนี้กลับถูกปิดเงียบ ด้านหน้าประตูโรงเตี๊ยมมีกระดาษติดประกาศขายไว้ สามพันตำลึงทองถือว่าไม่แพงมากนัก แต่สำหรับคนทั่วไปก็ออกจะแพงไปมาก จิวเหมยรู้สึกสนใจก็เลยร้องเรียกคนด้านในมาสอบถาม ท่านป้าจางที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยะที่นางคุ้นเคยดีเป็นคนมาเปิดก่อนจะเชื้อเชิญนางเข้าไปนั่งด้านใน
“ท่านป้าจะขายจริงๆหรือเจ้าคะ”
“เป็นจริงคุณหนูหลิว ข้านั้นแก่แล้วอยากจะย้ายไปอยู่กับญาติที่พู่ตงก็เลยอยากจะขายเป็นทุนไปเริ่มต้นที่นู้น”
“เช่นนั้นข้าสนใจจะซื้อเจ้าค่ะ ท่านป้าจะเดินทางเมื่อใดหรือเจ้าคะ”
“หากคุณหนูหลิวจะซื้อข้าคงเดินทางวันพรุ่งเลยเพราะทุกอย่างก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว เพียงแต่รั้งรอให้ขายโรงเตี๊ยมได้ก็จะเดินทางทันที”
“เช่นนั้นท่านป้ารอข้าประเดี๋ยวนะเจ้าคะ ข้าจะกลับไปเอาสามพันตำลึงทองมาให้ ข้าตกลงซื้อเจ้าค่ะ”
“ได้ๆ ข้าไม่รีบไปไหนหรอกคุณหนูหลิว ไม่ต้องรีบๆ” จู่ๆก็มีโชคหล่นทับให้มีที่ค้าขายซะอย่างนั้น
จิวเหมยรีบควบม้ากลับไปที่บ้านเพื่อเอาสามพันตั๋วเงินตำลึงทองไปให้ท่านป้าจาง ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามนางก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมพร้อมตั๋วเงินตำลึงทองที่อยู่ในถุงผ้าอย่างดี ท่านป้าจางรับเงินไปแล้วก็มอบสัญญาซื้อขายมาให้เป็นลายลักษร์อักษร วันพรุ่งนี้ท่านป้าจะเดินทางแต่เช้าเพื่อที่จะเร่งเดินทางให้ถึงเมืองเฉิงกวนก่อนพระอาทิตย์ตกดิน พู่ตงนั้นต้องเดินทางถึงสามวันทีเดียวกว่าจะถึง จิวเหมยอวยพรให้ท่านป้าจางโชคดีแล้วก็ขอตัวกลับบ้าน
นางควบม้ากลับบ้านอย่างไม่รีบร้อนนักเพราะพระอาทิตย์กำลังอัสดง ท้องฟ้างดงามจนเผลอสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ระหว่างทางก็สวนกับคนที่กำลังเดินทางเข้าเมืองบ้าง คนในหมู่บ้านเดียวกันบ้าน ทักทายกันไปตลอดทางอย่างเพลิดเพลินจนสายตาเหลือบไปเห็นก้อนดำก้อนใหญ่อยู่ในพงหญ้า
“นั่นคนไม่ใช่หรือ” นางกระโดดลงจากหลังม้าเข้าไปดูในทันที “ตายหรือเปล่าเนี้ย” จับพลิกตัวถึงได้เห็นว่าเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้จ้าวไท่หยาง จับชีพจรดูถึงรู้ว่ายังไม่ตายแต่ชีพจรก็อ่อนเต็มที “หาเรื่องซวยอีกแล้วจิวเหมย” ช่วยไม่ได้ มาเจอแล้วก็ต้องช่วยจะปล่อยให้นอนตายอยู่ข้างถนนได้เช่นไร นางตะโกนเรียกพี่ชายคนหนึ่งที่นางเคยจ้างให้ไปทำนาให้และกำลังเดินผ่านมาให้มาช่วยเหลือ “จับเขาพาดกับม้าก็ได้เจ้าค่ะพี่ชาย”
“หากเขาเป็นคนไม่ดีเล่าขอรับคุณหนูหลิว”
“แล้วแต่โชคพาวาสนาส่งเจ้าค่ะ” พี่ชายคนนั้นอาสาจูงม้าที่มีชายปริศนานอนอยู่บนหลังม้ามาส่งถึงที่บ้าน ช่วยนางพาคนเจ็บไปนอนที่แคร่หน้าบ้านเพราะนางคงให้เขานอนตรงนี้ หมอนมุ้งก็มีให้จะเป็นอะไร “ขอบคุณพี่ชายเจ้าค่ะ รอประเดี๋ยวนะเจ้าคะ ข้าทำปลาตากแห้งไว้เยอะเชียวข้าจะแบ่งให้เจ้าค่ะ” ปลาแห้งแบบแดดเดียวเหมาะสำหรับปิ้งหรือทอดกินกับข้าวต้มเปล่าๆก็อร่อย “นี่เจ้าค่ะ ข้าตากเพียงแดดเดียวพี่ชายให้พี่สาวเอาไปตากอีกสักแดดนะเจ้าคะ”
“ขอบใจคุณหนูหลิว หากมีสิ่งใดให้ข้าช่วยไปเรียกข้าที่บ้านได้เลยนะขอรับ” นางเอ่ยขอบคุณแล้วออกไปส่งเขาที่นอกรั้วก่อนจะปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา
“เป็นใครกัน ผ่านกำแพงเมืองมาได้แต่ดันมาใกล้ตายอยู่พงหญ้า เอาเถอะ ถือว่าช่วยเอาบุญ” นางใช้มีดตัดเสื้อส่วนบนออกแล้วตรวจหาร่องรอยแผลก่อนจะเจอที่กลางหลัง โดนดาบฟันมาแน่ๆแบบนี้ หลายแผลเสียด้วย รอดมาได้แต่ต้องมาเกือบตายเพราะพิษบาดแผล นางใช้ธาตุดำตรวจดูพิษแต่ไม่เจอก็เลยใช้ธาตุขาวช่วยสมานแผล “รอดชัวร์”
นางไม่ได้ทำให้แผลหายสนิดเร็วนักเพราะกลัวเป็นที่สงสัย หลังจากเช็ดเนื้อเช็ดตัวเขาให้สะอาดก็เอาสมุนไพรที่มีสรรพคุณห้ามเลือดและสมานแผลมาทาไว้พันด้วยผ้าพันแผลผืนเล็กที่นางประยุกต์ใช้เองก็เป็นอันเสร็จ เอามุ้งออกมากางให้ด้วยเพราะกลัวแมลงมากัดคลี่ผ้าห่มผืนบางห่มไว้ให้กันหนาว เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรก็กินข้าวเย็นแล้วก็เข้านอน วันพรุ่งนี้คงไม่ได้ไปขายของเป็นแน่
วันรุ่งขึ้นนางตื่นตามเวลาปกติ ในโลกก่อนตื่นเช้ายังไงโลกนี้ก็เช้าอย่างนั้น หลังล้างหน้าแปรงฟันก็ไปรดน้ำผัก สมุนไพรและต้นไม้เหมือนเช่นทุกวันแต่มีกิจวัตรอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาในวันนี้คือชายแปลกหน้าที่นอนหลับสนิทอยู่บนแคร่หน้าบ้านของนาง ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นเลย หรือว่าตายแล้วนะ ไม่น่าตายนี่นา คิดเช่นนั้นก็เอานิ้วไปอังที่จมูกเห็นว่ามีลมเบาๆสัมผัสนิ้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อืม แค่กๆ น้ำ”
“ฟื้นแล้ว! นี่น้ำ ค่อยๆจิบนะ” นางยกหัวคนเจ็บขึ้นแล้วเอาขันน้ำไปจ่อที่ปาก เขาคงกระหายมากเพราะรีบดื่มจนสำลัก “ข้าบอกว่าค่อยๆดื่ม อยากสำลักน้ำตายแทนที่จะตายเพราะพิษบาดแผลหรืออย่างไรกัน”
“เจ้าช่วยข้าไว้หรือ”
“เจ้าค่ะ เห็นคนใกล้ตายอยู่ตรงหน้าหากไม่ช่วยก็ดูจะไร้น้ำใจ ท่านมาทำอะไรที่เมืองหลวงงั้นหรือเจ้าคะ” ถามแล้วก็ไม่ตอบนางก็เลิกถาม คิดว่าสติคงยังไม่มาเต็มร้อยนัก “ช่วงนี้ท่านต้องนอนคว่ำไปก่อนนะเจ้าคะไม่เช่นนั้นแผลจะฉีก”
“เจ้าเป็นหมอ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าพอรู้เรื่องสมุนไพรบ้าง ท่านพักผ่อนต่ออีกสักหน่อยเถิดข้าจะไปทำอาหารเช้าให้ ทานข้าวแล้วจะได้ทานยา แผลท่านยังสดต้องระวังให้มาก หากเหนียวตัวก็เช็ดตัวได้นะเจ้าคะแต่ข้าไม่ช่วย”
“ขอบใจแม่นางที่ช่วยเหลือ” นางเห็นคนเจ็บพลิกตัวนอนคว่ำไปแล้วก็เข้าครัวเตรียมมื้อเช้า ข้าวต้มหมูสับง่ายๆก็แล้วกัน หวังว่าหมูที่ซื้อมาเมื่อวานจะยังไม่มีกลิ่นเท่าไหร่หรอกมั้งแต่มีกลิ่นก็ช่างมันเถอะเพราะนางจะเอามาตากแห้งเก็บไว้กินหน้าหนาวต่างหาก นางเริ่มกักตุนอาหารมาสักพักแล้วเพราะแคว้นซานหนาวยาวนานถึงห้าเดือน หากไม่วางแผนดีๆนางต้องลำบากมากเป็นแน่
ข้าวต้มหมูสับหอมฉุยสองชามถูกยกมาที่โต๊ะนั่งเล่นหน้าบ้าน นางให้ช่างไม้ทำไว้ให้เหมือนที่เคยเห็นในโลกก่อนทั้งยังเหมาะสำหรับต้อนรับแขก คนเจ็บที่นางคิดว่าหลับกำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวเขาด้วยตัวเองโดยไม่ร้องขอให้นางช่วย
“ข้าวพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
“ลำบากแม่นางแล้ว”
“ข้าวต้มง่ายๆเจ้าค่ะ ไม่ได้ลำบากอะไร” ถึงจะเป็นข้าวต้มง่ายๆแต่นางก็เคี่ยวซุปกระดูกหมูเป็นอย่างดีทำให้รสชาติดีโดยไม่ต้องใส่เครื่องปรุงรสเลย แล้วอีกอย่างยุคโบราณนี้ไม่มีผงปรุงรส!
“จิวเหมย! นี่เจ้าพาบุรุษเข้าบ้านเช่นนั้นหรือ!!!” เจ้าเองก็เป็นบุรุษไม่ใช่หรืออย่างไรจ้าวไท่หลง!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตัวเองก็ผู้ชายเพื่อนจะพาผู้ชายเข้าผิดตรงไหนไท่หลง
พ่อนางเอกเนี่ย ทุเรศจริงๆไม่สนใจไม่ใส่ใจนางเอกเลย ว่าจะอยู่ลำบากหรือเปล่า
ขอตำหนิอีกสักหน่อยเถอะ
คือบ่นทุกบทจนไม่รู้จะทำยังไงแล้วให้หายเคืองใจ คับแค้นใจแทนคนเดิมที่ตายไปก่อน
หรือเกิดโลกสวยอยากทำตัวเป็นนางเอกนิยาย?? อ้อ! แล็วก็ที่ว่าจะแก้แค้นให้เนี่ยไหนอ่ะ??? #นางเอกเห็นแก่ตัว
ตัวละครใหม่จ้าาา
พี่ไม่ได้ช่วยสิ่งใดเจ้าเลย - ตรงนี้น่าจะเป็นพ่อไม่ได้ช่วยสิ่งใดเจ้าเลย
รักเหมยเอ๋อร์
แต่การกระทำตรงกันข้ามสุดๆ
การกระทำแสดงให้เห็นว่ารักฮูหยินใหญ่และลูกของยัยนั่นมากกว่าเหมยเอ๋อร์ชิ
แต่ชื่อตอนกับตอนที่รักษา
บอกว่าแมงป่อง..
คาดว่าไรท์กำลังสับสน อิอิ