ตอนที่ 52 : พรรคหยกจันทรา 1
“ที่นี่หรือเจ้าคะ”
“ใช่” นางมองรอบๆบริเวณที่เป็นเพียงป่ารกทึบ ไร้เสียงใดรบกวน ไม่มีแม้แสงจากคบไฟ “ตามข้ามาทางนี้เถิด” นางกับพี่หยางเดินตามท่านน้าลู่ไป๋เข้าไปด้านในป่า ที่นี่มีกองกำลังลับของท่านน้าหลบซ่อนตัวอยู่ หลังจากเมื่อช่วงกลางวันท่านน้าเข้ามาขอให้นางช่วย ซึ่งเรื่องที่ขอก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของนางนัก
ท่านน้ากำลังจะส่งผู้ที่เหมาะสมขึ้นครองตำแหน่งประมุขพรรคหยกจันทรา
แต่กองกำลังของท่านน้านั้นนอกจากจะจำนวนน้อยกว่าอีกฝ่ายแล้วยังขาดสิ่งที่จำเป็นที่สุดนั่นก็คืออาวุธ แม้จะมีทั้งดาบและกระบี่ชั้นยอดแต่แค่นี้หากบุกเข้าไปคงตายเรียบตั้งแต่บันใดทางขึ้นพรรคแล้วกระมัง ด้วยเหตุนี้ท่านน้าจึงมาขอให้นางช่วยและนางก็ได้มายิ้มแป้นแล้นเดินเล่นอยู่ในป่ายามค่ำคืนเช่นนี้ ส่วนพี่หยางที่ตามมาด้วยเพราะนางอยากมีคนช่วยตัดสินใจ ส่วนเจ้าไท่หลงน่ะหรือ อย่าให้ต้องพูดเลย...ป่านนี้คงนอนท้องอืดหายใจไม่ออกไปแล้วกระมัง
“ถึงแล้วจิวเหมย” เดินลึกเข้ามามากพอสมควรเลยทีเดียว ในนี้มีกระโจมตั้งอยู่มากมายจนเรียกว่าแน่นหนา ท่านน้าพานางกับพี่หยางเข้าไปยังกระโจมหนึ่งที่มีคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว “นี่จูจางเหว่ย ผู้ที่ข้าจะให้ขึ้นเป็นประมุขแทนข้า”
“คารวะคุณหนูหลิว ท่านผู้นี้คงเป็นรองแม่ทัพจ้าว ข้าขอคารวะขอรับ”
“คารวะเจ้าค่ะท่านจูจางเหว่ย”
“คารวะท่านจูจางเหว่ยขอรับ”
“ท่านทั้งสองไม่ต้องเกรงใจข้าถึงเพียงนี้หรอกขอรับ” นี่กระมังศิษย์เอกของท่านน้าที่หวังจะให้ขึ้นเป็นประมุขพรรคแทน นางแอบส่งธาตุดำไปประเมินดูก็พบว่าเป็นผู้มีคุณธรรมไม่น้อย เช่นนี้นางย่อมยินดีช่วย
“จากที่ข้าเห็นกระโจมด้านนอก กองกำลังของท่านน้าคงไม่ถึงห้าร้อยคนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่จิวเหมย คนของข้านั้นแม้จะน้อยแต่ก็มากฝีมือ ข้าฝึกพวกเขาด้วยตัวข้าเองย่อมรู้ดี แต่แม้จะยอดฝีมือเพียงใดก็คงสู้กับคนจำนวนมากกว่าถึงสิบส่วนไม่ได้ ข้าจึงอยากขอให้เจ้าช่วย”
“เรื่องเล็กน้อยเจ้าค่ะ ข้าพร้อมช่วยท่านน้าเสมอ” นางยิ้มกว้างแล้วเอาย่ามออกมาวางบนโต๊ะ “อาวุธพวกนี้ข้าทำแก้เบื่อยามว่างน่ะเจ้าค่ะแต่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้ ยังไม่ได้ทดลองเลยสักครั้ง ท่านน้าจะย่อมเสี่ยงหรือไม่เล่าเจ้าคะ หากเกิดสิ่งใดพลาดพลั้งขึ้นมา พรรคหยกจันทราอาจจะพังราบไม่เหลือชิ้นดี”
“เอ่อ...”
“ข้าล้อเล่นเจ้าค่ะ คิกๆ” แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาวุธของนางก็ไม่อาจดูแคลนได้เช่นเดียวกัน “มีแผนที่พรรคหยกจันทราทั้งหมดหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะได้วางแผนว่าควรเริ่มที่จุดใด” ท่านน้าพยักหน้าแล้วลุกไปหยิบม้วนผืนผ้าออกมากาง บนผ้านั้นมีแผนที่ถูกวาดไว้อย่างละเอียด “โห พรรคของท่านน้าก็ใหญ่ใช่เล่นนะเจ้าคะ ตั้งอยู่บนภูเขาสูง อีกทั้งยังมีหุบเขาล้อมรอบ แต่น่าแปลกที่เข้าออกได้ทางเดียว เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเจ้าคะ”
“อันที่จริงเข้าได้หลายทาง แต่เพื่อความปลอดภัยท่านพ่อของข้าจึงเปิดให้เข้าออกเพียงทางเดียวเท่านั้น มีเพียงผู้ที่ได้ขึ้นเป็นประมุขเท่านั้นจึงจะได้รู้เส้นทางอื่น”
“แล้วหากข้าอยากรู้เล่าเจ้าคะ ข้าต้องขึ้นเป็นประมุขก่อนหรือไม่”
“เหมยเอ๋อร์”
“ข้าล้อเล่นเองเจ้าค่ะ ท่านน้าจะบอกข้าได้หรือไม่เจ้าคะว่าเส้นทางอื่นนั้นมีเส้นทางใดบ้าง” ท่านน้าชี้จุดให้นางโดยไม่ลังเล แต่ละจุดนั้นเป็นป่าทึบหากไม่ชินเส้นทางคงจะไม่มีทางเข้าไปถึงพรรคหยกจันทราได้เป็นแน่ อีกทั้งเส้นทางก็ดูวกวนราวกับเขาวงกต ยากกว่าเส้นทางเข้าสำนักเพลิงมารเสียอีก “ท่านน้ารู้จักเส้นทางพวกนี้เป็นอย่างดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าย่อมรู้เป็นอย่างดี ยามเบื่อข้าก็ออกสำรวจเส้นทางพวกนี้เอาไว้ มิเช่นนั้นคงชี้จุดให้เจ้าได้ไม่แม่นยำเช่นนี้”
“เช่นนั้นท่านน้าคิดว่าเส้นทางใดเหมาะกับการลอบเข้าพรรคหยกจันทราที่สุดเจ้าคะ”
“ลอบเข้าหรือ”
“ท่านน้าจะนำกองกำลังบุกเข้าไปตรงๆหรืออย่างไรเล่าเจ้าคะ เช่นนั้นต่อให้มีอาวุธของข้าท่านน้าก็คงไม่อาจเอาชนะได้เช่นกัน งานนี้เราต้องลอบเข้าไปเจ้าค่ะ เช่นที่ข้าเคยทำมาก่อน”
“ระเบิดอีกแล้วหรือ!”
“แหม เพียงสร้างสถานการณ์เท่านั้นแหละเจ้าค่ะ หากพวกท่านเข้าไปในพรรคได้โดยที่พวกมันไม่รู้ตัวย่อมจัดการได้ง่ายและมีโอกาสชนะมากกว่า ข้ากับพี่หยางจะเป็นคนจุดระเบิดเองเจ้าค่ะ หายห่วง”
“เพราะเป็นเจ้านั่นแหละจึงน่าห่วง”
“นอกจากระเบิดแล้วข้ายังมีเจ้านี่อีกเจ้าคะ” นางหยิบหน้าไม้ออกมาหนึ่งอันพร้อมลูกศรออกมาจำนวนหนึ่ง “ข้าเพิ่งลองทำเมื่อไม่นานมานี้ ท่านน้าอยากลองดูหรือไม่เจ้าคะ” นางยังไม่เคยเห็นผู้ใดใช้หน้าไม้มาก่อน อาจจะมีแต่ถ้าเป็นของนางย่อมต้องดีกว่าและรุนแรงกว่า แรงพุ่งของลูกศรนั้นอยู่ราวๆยี่สิบเมตร ความแรงของมันอาจจะมากกว่ากระสุนปืนไรเฟิลด้วยซ้ำ นางเวอร์ไปเอง มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอก ฮ่าๆ แต่รับรองว่าหวังผลได้แน่นอน
“หน้าไม้หรือ”
“ท่านน้ารู้จักหรือเจ้าคะ”
“อืม ข้าเคยเห็นพรานล่าสัตว์ใช้แต่ก็ไม่เหมือนของเจ้านักหรอก”
“เช่นนั้นมาดูกันเจ้าค่ะว่าของที่ข้าทำกับของนายพรานล่าสัตว์ ของผู้ใดจะรุนแรงกว่ากัน” นางส่งกระบอกใส่ลูกศรหน้าไม้ให้ท่านน้าถือไว้ “ข้ามีลูกศรให้ท่านน้าเท่านี้เจ้าค่ะ หากหมดแล้วท่านน้าต้องทำลูกศรเองนะเจ้าคะ แต่หากท่านน้ายิงออกไปแล้วก็สามารถไปเก็บลูกศรที่ข้าทำคืนจำศพที่ท่านน้าสังหารก็ได้เจ้าค่ะ ทำความสะอาดหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”
“เจ้าพูดจริงหรือ!”
“จริงสิเจ้าคะ หากท่านน้าไม่อยากทำใหม่ก็แค่เก็บเอาจากศพ ยิ่งหลายศพก็จะยิ่งขลังนะเจ้าคะ”
“ขลังหรือ”
“ก็...ช่างเถิดเจ้าค่ะ ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง” อันที่จริงคือนางใช้ธาตุดำเคลือบหัวลูกศรไว้ หากมันถูกตัวผู้ใดวิญญาณของผู้นั้นก็จะถูกมันกลืนกิน แต่จะบอกได้เช่นไรว่านางใช้วิธีนี้เพราะนางเองก็ยังไม่ไว้ใจจูจางเหว่ยมากนัก “ระวังอย่าสัมผัสหัวลูกศรนะเจ้าคะ ข้าทาพิษไว้อาจจะทำให้เป็นอันตรายได้”
“ขอบใจเจ้ายิ่งนักจิวเหมย”
“เล็กน้อยเจ้าค่ะ ข้าไปพักผ่อนได้หรือยังเจ้าคะท่านน้า วันนี้ข้าเหนื่อยและเพลียมาก”
“ได้สิ กระโจมของเจ้าอยู่ใกล้ๆกระโจมข้า มาสิข้าจะนำทาง” ออกมานอกกระโจมนางก็สอดส่องสายตาสำรวจ ท่านน้าคงจะรักธรรมชาติมากเป็นแน่เพราะตั้งกระโจมโดยไม่ตัดต้นไม้ใหญ่เลยสักต้น หลบเลี่ยงและตั้งกระโจมตามพื้นที่ที่มี เล็กบ้างใหญ่บ้างแต่ก็ดูจะไม่เป็นปัญหา “กระโจมนี้ของเจ้าจิวเหมย ส่วนกระโจมนั้นของรองแม่ทัพจ้าว”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ/ขอบพระคุณขอรับ”
“อืม พักผ่อนเถิด วันพรุ่งค่อยมาคิดวางแผนกันอีกครั้ง” นางกับพี่หยางแยกกันเข้ากระโจม ภายในกระโจมไม่ได้มีสิ่งใดมากนักนอกจากเตียงเล็กๆกับโต๊ะเก้าอี้เข้าชุดกันหนึ่งชุด ตัวกระโจมก็กันความหนาวได้ในระดับหนึ่ง แต่นางไม่สนใจเพราะนางจะเข้าไปอยู่ในมิติที่อบอุ่นกว่าตรงนี้ แล้วค่อยกลับออกมาตอนใกล้รุ่งเช้าก็ได้
“มาแล้วหรือจิวเหมย เจ้าดูเสี่ยวหู่สิ มันกินจนตัวมันจะแตกอยู่แล้วนะ”
“ข้าก็จนใจจะห้ามเจ้าค่ะพี่เสี่ยวจิง เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่เสี่ยวหู่ว่าเจ้าตัวอ้วนมากเพียงใด ยังจะกินอยู่อีกหรือ” มันตาปรือมองนางแล้วส่งแอปเปิ้ลเข้าปากไปอีกลูก “วันๆก็กินแต่ผลไม้ เหตุใดเจ้าถึงได้อ้วนถึงเพียงนี้”
“กินแต่ผลไม้ที่ใดกัน ปลาในลำธารหมดไปแล้วกระมัง”
“เสี่ยวหู่! ข้าบอกว่าอย่ากินปลาอย่างไรเล่า!” มันเถียงนางกลับมาว่ามันเป็นสัตว์กินเนื้อ เฮ้อ “พี่เสี่ยวจิงอยากกลับวังหลวงหรือยังเจ้าคะ ฮ่องเต้เริ่มจะคลั่งแล้ว ข้าเกรงว่าวังหลวงจะวุ่นวายไม่น้อย”
“ยัง ปล่อยให้คลั่งไปเช่นนั้นแหละ แต่อยู่ในนี้ข้าก็เริ่มเบื่อแล้วเช่นกัน”
“เช่นนั้นออกไปยืดเส้นยืดสายทำเรื่องสนุกๆกับข้าดีหรือไม่เจ้าคะ เจ้าด้วยเสี่ยวหู่ ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วย” มันบอกนางว่านางต้องสัญญากับมันว่าจะให้มันล่าสัตว์ในป่าจนกว่ามันจะพอใจ “อย่าให้ถึงกับสูญพันธ์ก็แล้วกัน” นางเปลี่ยนมิติที่สว่างไสวให้เป็นกลางคืนที่งดงาม ดวงดาวพราวระยับบนท้องฟ้าพาให้คิดถึงคนที่นอนอยู่กระโจมข้างๆที่ด้านนอกเสียจริง
“เพราะแบบนี้ข้าถึงได้ชอบมิติของเจ้ายิ่งนักจิวเหมย”
“ข้าก็ชอบเจ้าค่ะ” เสี่ยวหู่ก็บอกว่ามันก็ชอบเช่นกัน เพราะในนี้มีของให้มันกินได้ตลอดไม่มีเบื่อ
“แล้วเรื่องสนุกที่เจ้าพูดถึงคือเรื่องใดหรือ”
“ช่วยท่านน้าลู่ไป๋จัดการคนของพรรคหยกจันทราเจ้าค่ะ”
“ถึงเวลาที่ท่านลู่ไป๋จะส่งคนขึ้นเป็นประมุขแล้วอย่างนั้นหรือ น่าสนุกเช่นที่เจ้าว่า ข้าเอาด้วย”
“แต่ หากฝ่าบาททรงทราบว่าข้าพาพี่เสี่ยวจิงไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ ข้าจะไม่ถูกสั่งประหารใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“มีข้าอยู่เจ้าจะกลัวสิ่งใดเล่า” นางยกยิ้มอย่างพอใจ เพราะตั้งแต่พี่เสี่ยวจิงเข้าวังชีวิตนางก็ขาดสีสันไปเยอะ ท่านน้าลู่ไป๋เองก็ยุ่งมาก ฤดูเหมันต์ที่ยาวนานจึงทำให้นางเบื่อหน่ายไม่น้อย นางกับพี่เสี่ยวจิงเข้านอนส่วนเสี่ยวหู่ก็ยังคงนอนกินแอปเปิ้ลต่อไป มันชอบแอปเปิ้ลที่หล่นจากต้นเองมากที่สุดเพราะจะหวานฉ่ำกว่าที่เด็ดเอง
แต่นอนไปได้สักพักนางก็ได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจของผู้ใดผู้หนึ่งดังมาก ลองจับสัญญาณเสียงดูก็พบว่ามาจากพี่เสี่ยวจิง ยิ่งเข้าใกล้เสียงหัวใจนั้นก็ยิ่งดังมากยิ่งขึ้น แต่เป็นจังหวะแปลกๆที่นางไม่คุ้นชิน เหมือนหัวใจสองดวงกำลังเต้นประสาน หัวใจสองดวงงั้นหรือ
“ไม่จริงน่า” นางรีบจับชีพจรของพี่เสี่ยวจิงดูด้วยความตื่นเต้น แต่แค่นั้นนางยังแน่ใจไม่พอนางจึงส่งธาตุขาวเข้าไปตรวจดูอีก ผลที่ได้ทำนางเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้น “ท้องงั้นหรือ พี่เสี่ยวจิงท้อง” นางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากพี่เสี่ยวจิงออกไปทำเรื่องสนุกกับนางแล้วจะเกิดสิ่งใดขึ้น เกือบไปแล้ว นางเกือบไปแล้ว นางออกไปหาเสี่ยวหู่ที่ยังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาสบายใจ “เจ้าเลิกกลิ้งก่อนเสี่ยวหู่ ข้ามีเรื่องจะถาม” มันหาวออกมาแล้วเดินมานั่งลงตรงหน้านาง “เจ้าจับสัญญาณชีวิตของเด็กในท้องพี่เสี่ยวจิงได้หรือไม่” มันมองหน้านางแล้วพยักหน้า แต่สิ่งที่มันบอกนางต่อมาทำให้นางเข่าอ่อนอีกครั้ง “ไม่ได้มีแค่หนึ่งเช่นนั้นหรือ”
สวรรค์เมตตาหลิวจิวเหมยแล้ว!
“ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากพี่เสี่ยวจิงไปทำเรื่องอันตรายกับข้าแล้ว...ข้าไม่อยากจะคิด” นางนั่งปรับลมหายใจตัวเองอยู่ชั่วครู่ก็เข้ามานอนต่อ จากการตรวจคร่าวๆนั้นอายุครรภ์ของพี่เสี่ยวจิงประมาณแปดสัปดาห์ หึ ที่หายออกไปกลางคืนบ่อยๆนี่คงไม่ได้ไปหาฮ่องเต้เฉยๆแล้วกระมัง หากพี่เสี่ยวจิงเด็กกว่านางสักหน่อยนางจะจับตีตูดเสียให้เข็ด เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าพี่เสี่ยวจิงอาจจะท้องก่อนไปแคว้นเยี่ยนหรือหลังกลับจากแคว้นเยี่ยนก็เป็นได้
“มีสิ่งใดหรือจิวเหมย ข้าเห็นเจ้าถอนหายใจทิ้งอยู่นานแล้ว”
“เฮ้อ ข้ากำลังโล่งใจเจ้าค่ะ”
“โล่งใจหรือ เรื่องใดกัน”
“เรื่องที่พี่เสี่ยวจิงจะไม่ได้ออกไปทำเรื่องสนุกกับข้าน่ะสิเจ้าคะ”
“นี่เจ้าไม่อยากให้ข้าไปด้วยหรือ”
“อยากให้ไปเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ไม่อยากแล้ว พี่เสี่ยวจิงต้องพักผ่อนให้มากๆนะเจ้าคะ ทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ร่างกายจะได้แข็งแรง...น้องของข้าในท้องพี่เสี่ยวจิงก็จะได้แข็งแรงไปด้วย”
“เจ้า...เมื่อครู่เจ้าพูดว่ากระไรนะ”
“ในท้องของพี่เสี่ยวจิงมีน้องของข้าอยู่เจ้าค่ะ น่าจะแปดสัปดาห์แล้ว อีกทั้ง...มีถึงสองคน” พี่เสี่ยวจิงกระพริบตาปริบๆมองนางก่อนจะเอามือลูกหน้าท้องตัวเองเบาๆอย่างเม่อลอย “ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะเจ้าคะ ต้องระวังให้มาก”
“ข้า...ท้อง”
“ข่าวดีใช่หรือไม่เล่าเจ้าคะ ข้าว่าฝ่าบาทจะต้องสั่งฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืนเป็นแน่” นางนั่งยิ้มมองพี่เสี่ยวจิงยิ้มทั้งน้ำตา รอยยิ้มแห่งความยินดีและมีความสุข “เช่นนี้ก็ควรกลับวังแจ้งข่าวดีนี้กับฝ่าบาทนะเจ้าคะ ป่านนี้คงพังวังหลวงไปแล้วกระมังที่หาฮองเฮารักไม่พบเสียที แต่พี่เสี่ยวจิงต้องระวังให้มากขึ้นนะเจ้าคะ โดยเฉพาะเรื่องพิษ เช่นไรก็ใช้เข็มตรวจทุกครั้งก่อนเวลาอาหารทุกมื้อนะเจ้าคะ”
“จิวเหมย”
“ท้องก่อนแต่งมิใช่เรื่องยุ่งยากเท่าใดหรอกเจ้าค่ะ พี่เสี่ยวจิงไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ ฝ่าบาทจัดการได้อยู่แล้ว”
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้น แต่เรื่องพิษ”
“พี่เสี่ยวจิงตั้งครรภ์รวดเร็วเช่นนี้ย่อมต้องมีผู้อยากกำจัดเป็นแน่เจ้าคะ ข้าจึงอยากให้พี่เสี่ยวจิงระวังให้มาก หากเป็นไปได้ ถ้าคืนใดฝ่าบาทไม่ไปหาพี่เสี่ยวจิงที่ตำหนัก ข้าจะให้พี่เสี่ยวจิงเข้ามาอยู่ในมิติเพื่อความปลอดภัยนะเจ้าคะ อย่าไว้ใจผู้ใดทั้งนั้นเจ้าค่ะ ข้าจะรีบจัดการเรื่องของท่านน้าให้เสร็จโดยเร็วจะได้ไปดูแลพี่เสี่ยวจิงนะเจ้าคะ”
“อืม ข้าจะเชื่อเจ้า” รุ่งเช้านางก็พาพี่เสี่ยวจิงออกมาส่งที่ตำหนัก ทันได้เห็นสภาพขององค์เหนือหัวแคว้นซานที่กำลังนอนกอดผ้าห่มราวกับเด็กสามขวบก็ไม่ปาน ทั้งยังทำตัวโรคจิตทั้งจูบทั้งดมผ้าห่มผืนนั้นจนนางทนไม่ได้ เห็นโถทองเหลืองอยู่ก็เลยใช้กระบี่ที่พกมาเคาะเสียงดังเพื่อปลุกคนโรคจิต ฝ่าบาทสะดุ้งตื่นมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นฮองเฮารักยืนยิ้มอยู่ข้างๆนางก็กุลีกุจอลุกมาหา แต่งตัวก็ไม่เรียบร้อย!
“จิงเอ๋อร์ เจ้ากลับมาหาเจิ้นแล้วหรือ เจิ้นคิดถึงเจ้ายิ่งนักจิงเอ๋อร์ของเจิ้น”
“เฮ้อ ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท” นางย่อกายถวายความเคารพคนที่ไม่สนใจใยดีแม้แต่จะมองหน้านาง “ฝ่าบาทเพคะ ให้ฮองเฮานั่งพักสักหน่อยเถิดเพคะ ฮองเฮามีเรื่องจะทูลให้ฝ่าบาททราบด้วยเพคะ”
“มีเรื่องใดหรือจิงเอ๋อร์ บอกเจิ้นได้เลย” เสียงอ่อนเสียงหวานจริงๆ! ฝ่าบาทประคองพี่เสี่ยวจิงมานั่ง นางก็รินน้ำชาที่ตรวจจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีพิษให้ “ว่าแต่ เจ้าเอาจิงเอ๋อร์ของเจิ้นไปจริงๆใช่หรือไม่หลิวจิวเหมย!”
“ฝ่าบาทอย่ากริ้วจิวเหมยเลยเพคะ หม่อมฉันขอนางเอง”
“เจ้าอยากหนีเจิ้นหรือจิงเอ๋อร์ เจิ้นนอนไม่หลับเลย” เมื่อครู่นางยังเห็นกอดผ้าห่มหลับสบายอยู่เลย
“ฝ่าบาททำผิดกับจิวเหมยก่อนนะเพคะ หม่อมฉันเพียงอยากลงโทษฝ่าบาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลาเพคะ หม่อมฉันมีภารกิจต้องไปช่วยเหลือชาวโลก” ฝ่าบาทโบกมือไล่นางอย่างไม่ใส่ใจ ไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาเขาจะบอกเรื่องลูกกันเช่นไรแต่นางกำชับพี่เสี่ยวจิงไว้แล้วเรื่องความปลอดภัย นางกลับมายังกระโจมในป่าก็พบว่าฟ้ายังไม่สว่างมากนัก แต่ระหว่างนั้นก็เข้ามิติไปเอาเจ้าเสี่ยวหู่ออกมาด้วย “อย่าบ่นน่า มันก็หนาวเช่นนี้แหละ”
“เหมยเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือ พี่มาเรียกเจ้าเมื่อครู่แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ” เสียงพี่หยางอยู่หน้ากระโจม นางก็เลยต้องเปิดรับความหนาวเย็นให้เข้ามาข้างใน เสี่ยวหู่ส่งเสียงแง้วๆต่อว่านางในทันที บ่นมากจริง ตัวก็ออกจะใหญ่โตขนฟูเช่นนั้น ไขมันเจ้าไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ! “เสี่ยวหู่ นี่ขยายร่างหรือตัวใหญ่ขนาดนี้แล้วจริงๆ”
“มันอ้วนเจ้าค่ะ” มันสะบัดหน้าใส่นางแล้วกระโดดขึ้นไปนอนเตียงจนเตียงสะเทือน “พี่หยางมาหาข้าแต่เช้ามีเรื่องใดหรือเจ้าคะ หรือว่าท่านน้าเรียกหารือแล้ว”
“ไม่ใช่หรอก แต่ที่นี่ไม่มีสิ่งใดพอจะทำอาหารได้เลย เจ้าพอจะแบ่งให้พวกเขาได้หรือไม่”
“แล้วที่ผ่านมาพวกเขาทานสิ่งใดกันเล่าเจ้าคะ”
“เนื้อแห้งกับหัวมันเพียงน้อยนิดเท่านั้น หาซื้อก็ยากในป่าเองก็ไม่มีสัตว์ให้ล่าเท่าใดนัก” นั่นสินะ ท่านน้าเองก็ไม่เคยเอ่ยปากกับนางเรื่องอาหารเลยสักครั้ง หากบอกนางคงไม่ปล่อยให้อดอยากถึงเพียงนี้
“ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นพี่หยางเข้าไปขนจากในมิติกับข้านะเจ้าคะ” นางพาพี่หยางเข้ามาในมิติแล้วให้มิติสร้างเข่งใส่ของให้สักสี่อัน นางเอาทั้งผักและผลไม้ใส่ในนั้น หัวมันที่มีทั้งมันเกาหลีญี่ปุ่น มันม่วงมันเหลือง นางมีหมด หัวใหญ่ๆทั้งนั้น เนื้อแห้งปลาแห้งอีกมาก ข้าวสารเองก็ขนออกจากมิติไม่มีหวง “เท่านี้พอหรือไม่เจ้าคะพี่หยาง”
“พอแล้ว พวกเราคงอยู่ที่นี่ไม่นานนักหรอก”
“เจ้าค่ะพี่หยาง เช่นนั้นให้คนมาขนไปทำอาหารเถิดเจ้าค่ะ ส่วนของข้ากับพี่หยางนั้นข้าจะกลับไปเอาที่จวน เพราะที่นี่ข้าคงทำสิ่งใดไม่ได้มากนัก พี่หยางรอก่อนนะเจ้าคะ” นางกลับเข้ามิติแล้วออกมายังจวนของนางอีกครั้ง แต่โผล่ออกมากลางโถงห้องรับประทานอาหารทำเอานางได้ยินเสียงตะเกียบร่วงจนน่าขัน “ขออภัยเจ้าค่ะ แหะๆ”
“รีบจนกำหนดจุดไม่ถูกอีกแล้วหรือเหมยเอ๋อร์”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกเพียงกลับมาขอแบ่งมื้อเช้าเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“พ่อบ้านหม่า”
“ไม่ต้องๆเจ้าค่ะ ลูกไปที่ครัวเองเจ้าค่ะท่านพ่อ ขออภัยที่ทำให้ตกอกตกใจกันนะเจ้าคะ” นางอมยิ้มแล้วถอยออกมาเพื่อตรงไปห้องครัว เมื่อห่างจากเรือนใหญ่มากพอนางก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น แกล้งท่านพ่อกับแม่ใหญ่ยามเช้าๆเป็นเรื่องที่สร้างความสดใสให้นางไม่น้อย ท่านลุงเหวินกับท่านป้ากงเห็นนางก็รีบยกปิ่นโตที่เตรียมไว้มาให้ถึงสองอัน เพราะก่อนออกเดินทางนางได้แจ้งแก่ท่านลุงท่านป้าไว้แล้วว่าจะกลับมาเอาอาหารที่จวนทุกเช้า เที่ยง เย็น ท่านลุงท่านป้าจึงเตรียมไว้ให้เช่นนี้อย่างไรเล่า ที่โผล่ออกไปกลางห้องโถงเช่นนั้นนางเพียงอยากแกล้งทุกคนให้ยามเช้าสดใสเท่านั้น
หอบปิ่นโตทั้งสองกลับมายังกระโจมที่พี่หยางรออยู่ เมื่อเห็นว่านางถือของมาตัวเอียงก็รีบลุกมาช่วย เสี่ยวหู่ที่ได้กลิ่นอาหารก็ผงกหัวขึ้นมามองแล้วลุกมายืนข้างๆนาง รู้ดีจริงๆเลยนะว่าท่านลุงเหวินกับท่านป้ากงเตรียมไว้ให้มันด้วย
“ทานให้อร่อยนะเจ้าคะพี่หยาง”
“มีสิ่งใดจากจวนเจ้าไม่อร่อยด้วยหรือ”
“ย่อมไม่มีเจ้าค่ะ คิกๆ เอ้านี่เสี่ยวหู่ เนื้อชิ้นโตย่างกำลังดี กินแต่ปลากับผลไม้มาหลายวันคงจะเบื่อใช่หรือไม่” มันไม่ตอบแต่งับเนื้อเข้าไปทั้งชิ้นอย่างเอร็ดอร่อย “อ้อ อีกไม่นานนี้พี่หยางคงจะได้ยินข่าวดีเป็นแน่เจ้าค่ะ”
“ข่าวดีเรื่องใดหรือ”
“ไม่บอกเจ้าค่ะ ปล่อยให้ลุ้น ข้าเอาปิ่นโตนี้ไปให้ท่านน้าลู่ไป๋ก่อนนะเจ้าคะ”
“พี่เอาไปให้เอง เจ้านั่งทานข้าวเถิดเหมยเอ๋อร์ อ่อ พวกเขาฝากขอบคุณเจ้าด้วยที่มีน้ำใจแบ่งปันอาหารให้พวกเขา” พี่หยางออกจากกระโจมไปพร้อมปิ่นโต นางเองก็ทำให้น้ำชาแสนจืดชืดรสดีขึ้นด้วยด้วยการดึงสิ่งสกปรกออกให้มากที่สุด ไม่รู้เรียกน้ำชาได้เช่นไรเพราะมันก็เป็นเพียงน้ำร้อนธรรมดาเท่านั้น นางทนไม่ได้ก็เลยเข้ามิติเอาชาเขียวที่นางปลูกไว้มาทำชาด้วยตนเอง ได้กลิ่นชาเขียวที่คุ้นเคยค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
“จิวเหมย!/เหมยเอ๋อร์!” ตกใจจนตะเกียบร่วงเลยนะ!
“มีเรื่องใดกันเจ้าคะ เหตุใดต้องเสียงดังกันเช่นนี้”
“เสี่ยวจิง...เสี่ยวจิงท้องงั้นหรือ!”
“อ่า ข่าวยังเร็วเช่นเดินเลยนะเจ้าคะ ใช่เจ้าค่ะ หากข้าตรวจไม่ผิดก็แปดสัปดาห์แล้ว”
“มีเรื่องยุ่งยากตามมาอีกเป็นแน่”
“อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ ทุกอย่างจะต้องออกมาดีเป็นแน่”
“ท่านประมุข! ท่านประมุขขอรับ เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ” ศิษย์ของพรรคหยกจันทราวิ่งเข้ามาในกระโจมของนางอย่างรีบร้อน ดูจากท่าทางก็คงเรื่องใหญ่ไม่น้อย วันนี้นางจะได้ทานมื้อเช้าหรือไม่นะ
“มีเรื่องใดก็รีบพูดมา!”
“จะมีการแต่งตั้งประมุขพรรคหยกจันทราคนใหม่ในวันพรุ่งขอรับ เราต้องรีบกันแล้ว”
อ่า เห็นทีจะไม่ได้ทานมื้อเช้าแล้วกระมัง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ให้กินข้าวเช้าก่อน เดี๋ยวไม่มีแรง
ขอบคุณค่ะ
ปล่อยให้มันจัดกันไป....แล้วค่อยปาระเบิดใส่กลางงานไปเลยได้มั้ยคะ 555+ ปาลงหัวคนที่ทางนั้นจะให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าเลย จบข่างแน่55555555+
น่าสงสารน้องเหมย 555
ขอบคุณค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ รอจร้า
รอๆๆค่ะไรท์