ตอนที่ 48 : สตรีวังหลวงช่างน่ารำคาญยิ่งนัก!
วันนี้เป็นวันที่พี่เสี่ยวจิงจะต้องเข้าวัง ฮ่องเต้ทรงออกมารับว่าที่ฮองเฮาของพระองค์ด้วยตัวพระองค์เองถึงจวนอัครเสนาบดีจ้าว แม้จะมีเสียงคัดค้านมากมายจนมาถึงหูนาง แต่ฮ่องเต้หน้าเหม็นกลับไม่สะทกสะท้านสิ่งใดเลย อีกทั้งยังเตรียมตำหนักให้ฮองเฮาของพระองค์อย่างงดงามจนนางพอใจเป็นอย่างมาก
พี่สาวของนางในวันนี้นั้นงดงามยิ่งนัก ใบหน้าสวยถูกแต่งแต้มอย่างพอเหมาะด้วยเครื่องสำอางของนางเอง ทันทีที่เกี้ยวจากวังหลวงมาถึงพร้อมกับฮ่องเต้ผู้ยิ้มแย้มหน้าบานเหนือบุรุษผู้ใด พี่เสี่ยวจิงเข้าไปกอดลาแม่นมหวังและน้องสาวอย่างพี่เสี่ยวอิง ก่อนขึ้นเกี้ยวไปนั้นพี่เสี่ยวจิงได้หันมายกยิ้มให้นางด้วยรอยยิ้มที่นางคิดว่าอ่อนหวานที่สุดเท่าที่พี่เสี่ยวจิงเคยยิ้มให้นางมา จู่ๆน้ำตาของนางก็ไหลออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ขอบใจสำหรับทุกอย่างนะ...เหมยเอ๋อร์” เพียงประโยคสั้นๆแต่กลับทำให้นางร้องไห้ออกมาสะอึกสะอื้น พี่เสี่ยวจิงไม่เคยเรียกนางว่าเหมยเอ๋อร์เลยสักครั้งตั้งแต่รู้จักกันมา ความรู้สึกเหมือนจะไม่ได้เจอกันอีกนี่มันคืออะไรกัน เหตุใดมันรุนแรงเช่นนี้ ทันทีที่ขบวนเสด็จของฮ่องเต้จากไปนางก็ทรุดลงไปนั่งร้องไห้กับพื้น
“เหมยเอ๋อร์!”
“ลูกไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะท่านพ่อ เพียงรู้สึกขาไม่ค่อยมีแรงเท่านั้น”
“เช่นนั้นกลับไปพักที่จวนเถิด พ่อจะให้คนเตรียมรถม้าประเดี๋ยวนี้” ท่านพ่อสั่งองครักษ์ให้ออกไปเตรียมรถม้าแล้วเดินไปลาอัครเสนาบดีจ้าวและฮูหยินจ้าว ส่วนพี่หยางนั้นตามขบวนเสด็จไป
“มีอะไรหรือจิวเหมย” จ้าวไท่หลงเข้ามาประคองนางพร้อมกับพี่เสี่ยวอิง
“ไม่มีอะไร ข้าคงพักผ่อนไม่พอ เรากลับจวนกันเถิดเจ้าค่ะพี่เสี่ยวอิง” นางถูกประคองขึ้นรถม้าโดยพี่เสี่ยวอิงกับไท่หลง ท่านพ่อเองก็ขึ้นมานั่งรถม้าคันเดียวกับนาง ส่วนพี่เสี่ยวอิงนั้นนางให้อยู่เยี่ยมแม่นมหวังแล้วจะส่งรถม้ามารับอีกครั้ง ให้แม่ลูกเขาได้อยู่พูดคุยกันบ้างหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน เด็กๆที่จวนท่านพ่อนั้นมีคนช่วยเลี้ยงอยู่แล้ว แต่หน้าที่หลักที่เลี้ยงกุ้ยผิงกุ้ยอันก็คือแม่ใหญ่ “ลูกอยากจะรบกวนท่านพ่อให้คนของเราจับตาดูคนที่มาจากแคว้นเหลียวได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิ เจ้ากังวลสิ่งใดหรือ”
“การที่ฝ่าบาททรงเลือกพี่เสี่ยวให้ขึ้นเป็นฮองเฮาคงจะทำให้พวกเขาไม่พอใจอยู่มาก ลูกเกรงว่าพี่เสี่ยวจิงจะเป็นอันตรายเจ้าค่ะ” นางเชื่อในลางสังหรณ์ของตนเอง นางคิดว่ามันต้องมีสักอย่างเกิดขึ้นในเร็ววันนี้เป็นแน่ มิเช่นนั้นความรู้สึกรุนแรงเมื่อสักครู่คงไม่ทำให้นางหลั่งน้ำตาได้มากมายเช่นนั้นเป็นแน่
วันนี้ท่านน้าลู่ไป๋ไม่อยู่ ออกไปพบสหายจางอี้ชิงที่พบกันเมื่อครั้งไปแคว้นเยี่ยน คงมีเรื่องต้องหารือกันจึงรีบร้อนออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ต้องรอให้ท่านน้ากลับมาเสียก่อนจึงค่อยพูดคุยกันอีกครั้ง มิใช่ไม่ไว้ใจท่านพ่อแต่ท่านพ่อมีงานให้ต้องจัดการมากมายอยู่แล้ว ให้มากังวลกับเรื่องที่นางก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ได้เช่นไร
“พ่อจะต้องเข้าวังต่อ เจ้าก็อย่าเพิ่งออกไปข้างนอกนะเหมยเอ๋อร์ ให้ประมุขฟ่านกลับมาเสียก่อน เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” หนาวเช่นนี้นางคงไม่คิดจะออกไปที่ใดเป็นแน่ และที่ท่านพ่อต้องเข้าวังก็เพราะต้องเข้าไปปกป้องพี่เสี่ยวจิงแทนนาง ขุนนางที่มักใหญ่ไฝ่สูงคงไม่พอใจนักหากฮองเฮามาจากหญิงสามัญชนที่เป็นเพียงบุตรีของแม่นมในจวนของอัครเสนาบดี หากนางเข้าไปเองได้นางไม่ลังเลที่จะเข้าไปจัดการตาแก่พวกนั้นด้วยตนเอง คิดจะรังแกพี่สาวนางก็ต้องเจอฤทธิ์เดชนางเสียบ้าง แต่ท่านพ่อบอกว่าเป็นเรื่องภายในหลวง ไม่อยากให้นางเข้าไปยุ่ง นางเองก็เข้าใจดี
ว่างๆเช่นนี้นางไม่มีสิ่งใดทำนอกจากช่วยคนงานเย็บผ้าทำนู้นทำนี่ไปเรื่อย เพราะอยู่นิ่งไม่ได้จึงต้องหางานทำ เห็นคนงานตำข้าวเปลือกเพื่อเอาข้าวสารนางก็อยากทำบ้าง แต่ข้าวที่นางตำก็แหลกละเอียดทั้งข้าวสารข้าวเปลือก แต่ถามว่าใช้ได้ไหม ก็ย่อมได้ เช่นไรนางก็เอาข้าวพวกนี้ไปทำเป็นโจ้กแจกจ่ายอยู่แล้ว
“หัวไชเท้านี้ยังสดยิ่งนักเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่”
“ข้าฝังดินเอาไว้เจ้าค่ะ ผักสดอย่างอื่นก็เช่นกัน แต่อย่าฝังรวมกันมากนักมิเช่นนั้นมันจะเน่า” ที่บ้านของนางจึงเต็มไปด้วยหลุมที่นางให้คนงานขุดไว้สำหรับใช้เป็นตู้เย็นในหน้าหนาว หิมะบนดินจะช่วยให้ผักพวกนี้อยู่ได้นานขึ้น อยากทานเมื่อใดก็แค่เปิดหลุมที่นางเอาฟางข้าวมามัดเป็นจุกแล้วปิดไว้นั้นออกแล้วใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มขึ้นมา นางเห็นวิธีนี้จากรายการทีวีของเกาหลีรายการหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว แต่วิธีนี้ใช้ได้กับผักบางชนิดเท่านั้น เช่น หัวไชเท้า ผักกาดขาว เป็นต้น
“ข้ากลับมาแล้วจิวเหมย”
“สหายของท่านน้าเล่าเจ้าคะ”
“พักอยู่ที่โรงเตี๊ยม วันพรุ่งก็ออกเดินทางแล้ว เสี่ยวจิงเข้าวังไปแล้วสินะ”
“เจ้าค่ะ แต่ท่านน้าเจ้าคะ ข้ารู้สึกไม่ดี เหมือนกับว่าจะไม่ได้เจอพี่เสี่ยวจิงอีกแล้ว”
“เจ้าไม่ได้คิดไปเองใช่หรือไม่”
“ข้าเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองเจ้าค่ะท่านน้า ข้าว่าจะต้องมีสักเรื่องเกิดขึ้นเป็นแน่ คืนนี้เราเข้าวังกันดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าเป็นห่วงพี่เสี่ยวจิง ยิ่งคนจากแคว้นเหลียวยังอยู่ที่วังหลวงเช่นนี้ไม่มีสิ่งใดปลอดภัยเจ้าค่ะ” ท่านน้าไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ก็ตกลงเห็นด้วยกับนาง การจะเข้าวังหลวงนั้นไม่ยากสำหรับนางอีกต่อไปเพราะสามารถเดินทางผ่านมิติได้ แต่นางยังไม่รู้ตำแหน่งแน่ชัดของตำหนักที่ฮองเฮาอยู่ จึงจำต้องให้พี่หยางช่วยเสียก่อน
ตกดึกนางกับท่านน้าลู่ไป๋ก็มารอพี่หยางที่จุดนัดพบที่เดิมเช่นครั้งที่แอบเข้าไปพบฮ่องเต้ พี่หยางถึงกับถอนหายใจเมื่อมาถึง นางจึงต้องยิ้มประจบไว้ก่อนจะได้ไม่โดนดุ
“ข้าเป็นห่วงพี่เสี่ยวจิงเจ้าค่ะพี่หยาง”
“พี่รู้ แต่มันอันตราย พี่เป็นห่วงเจ้าเหมยเอ๋อร์”
“ข้าเพียงอยากรู้ที่ตั้งของตำหนักฮองเฮาเท่านั้นเจ้าค่ะพี่หยาง หากลอบเข้าไปคืนนี้ได้ต่อไปข้าก็จะใช้มิติในการเดินทาง รับรองว่าปลอดภัยแน่นอนเจ้าค่ะ ช่วยข้าอีกสักครั้งนะเจ้าคะพี่หยาง”
“พี่ช่วยเจ้าได้ทุกเรื่องและทุกเมื่อเหมยเอ๋อร์ แต่พี่อยากให้เจ้าระวังตัวให้มากๆ”
“เจ้าค่ะพี่หยาง” พี่หยางบอกว่าในยามวิกาลเช่นนี้หากมีผู้มาพบเข้าเกรงว่าจะมีโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารก็เป็นได้ ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกหวั่นใจไม่น้อย นางน่ะไม่เท่าไหร่หรอกเพราะพี่เสี่ยวจิงอาจจะช่วยไว้ได้ แต่พี่หยางกับท่านน้าที่เป็นชายนี่สิ เรื่องอาจจะยากขึ้น “เอ่อ เช่นนั้นเราค่อยเข้าเฝ้าฮองเฮากันวันพรุ่งจะดีกว่าหรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้ว เจ้าเข้าวังพร้อมท่านแม่ทัพและขอเข้าเฝ้าฮองเฮาจะดีกว่าใช้วิธีนี้มากนัก”
“เจ้าค่ะพี่หยาง ขออภัยเจ้าค่ะที่รบกวนพี่หยางดึกๆเช่นนี้”
“ไม่รบกวน พี่มาหาเจ้าได้ทุกเมื่อเหมยเอ๋อร์ วันนี้กลับไปพักผ่อนเสียเถิด” นางจึงคอตกกลับบ้านแล้วรอเข้าวังพร้อมท่านพ่อในตอนเช้า ด้วยความใจร้อนและเป็นห่วงพี่เสี่ยวจิงจึงทำให้นางไม่คิดให้ละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้ เกือบจะทำให้ท่านน้ากับพี่หยางต้องเป็นอันตรายไปด้วย ช่างไม่เอาไหนจริงๆหลิวจิวเหมย
“จ้าวไท่หยางเพียงเป็นห่วงเจ้ามาก”
“ข้ารู้เจ้าค่ะ พี่หยางทำถูกต้องแล้วที่ห้ามไม่ให้ข้าเข้าวังในคืนนี้ ข้าไม่รอบคอบเอง ข้าไปพักผ่อนนะเจ้าคะ”
วันรุ่งขึ้นนางรีบตื่นแล้วมารอพบท่านพ่อตั้งแต่เช้า เมื่อเห็นว่านางแต่งตัวสวยงามกว่าทุกวันก็เข้าใจในทันทีว่านางต้องการสิ่งใด รถม้าตระกูลหลิววิ่งมุ่งตรงสู่วังหลวงในยามเช้า ชาวบ้านกำลังเปิดบ้านเรือนออกมาทำงาน บ้างก็รีบเร่งไปตลาด บ้างก็ปัดกวาดเช็ดถู นางชอบบรรยากาศเช่นนี้มากที่สุด เมื่อถึงวังหลวงนางกับท่านพ่อก็ต้องลงเดินเท้าเข้าไปด้วยเพราะวังหลวงแสนใหญ่โตนั้นไม่อนุญาตให้นำรถม้าเข้าไปภายใน
“เจ้ากับประมุขฟ่านไปเฝ้าฮองเฮาเถิด พ่อจะให้ขันทีน้อยนำทาง ส่วนพ่อจะไปที่ลานฝึกเสียหน่อย หากเจ้าเข้าเฝ้าเสร็จแล้วก็ไปหาพ่อที่ลานฝึกได้ หรือหากจะกลับจวนก็กลับก่อนได้เลยนะเหมยเอ๋อร์” นางรับคำท่านพ่อแล้วเดินตามขันทีน้อยไปยังตำหนักของฮองเฮา
“หึ ข้าว่าที่เจ้าไท่หยางห้ามเจ้าเมื่อคืนนี้คงจะมีเหตุผลอื่นร่วมด้วยเป็นแน่”
“เหตุผลใดหรือเจ้าคะ”
“เมื่อคืนเป็นคืนแรกที่เสี่ยวจิงจะได้อยู่ในวังหลวงในฐานะฮองเฮา เจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะทรงอยู่ที่ใดเล่าหากมิใช่ตำหนักฮองเฮา หากเมื่อคืนเจ้าเข้าวังข้าเกรงว่าเราจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นนะสิ” อ่า จริงด้วยสินะ ไม่แน่ว่าตอนนี้ฮ่องเต้หน้าเหม็นก็อาจจะยังอยู่ที่ตำหนักฮองเฮาก็เป็นได้ ดีเลย จะได้พูดคุยให้จบในคราเดียว
“ถึงแล้วขอรับคุณหนูหลิว”
“ขอบใจมากขันทีน้อย” นางยื่นถุงเงินเล็กๆให้เป็นสินน้ำใจแล้วเดินเข้าไปแจ้งแก่นางกำนัลหน้าตำหนักว่านางมาเข้าเฝ้าฮองเฮา แจ้งชื่อเสร็จสรรพก็ยืนรออย่างสงบ ท่านน้านั้นไม่ได้เข้ามาถึงด้านในตำหนักด้วยเพียงรออยู่หน้าประตูใหญ่ทางเข้าตำหนักเท่านั้น รอไม่นานนางกำลังก็มาตามนางให้เข้าไปด้านใน “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
ด้านในตำหนักนั้นงดงามยิ่งนัก ฮ่องเต้หน้าเหม็นคงตั้งใจไม่น้อยที่จะทำให้พี่เสี่ยวจิงพอใจ แต่คนที่นางคิดว่าคงจะอยู่กับฮองเฮาเป็นแน่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา นางเห็นแต่พี่เสี่ยวจิงของนางที่ตอนนี้งดงามยิ่งนัก
“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ ขอพระองค์...”
“อย่ามากพิธีเลยจิวเหมย มานั่งเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะ” นางเดินไปทรุดนั่งลงตรงหน้าฮองเฮาที่ยังคงยิ้มอ่อนหวานให้นาง แหม พอมาเห็นพี่เสี่ยวจิงในรูปลักษณ์แบบนี้แล้วไม่ค่อยชินเลยจริงๆ “คืนแรกในวังหลวงเป็นเช่นไรบ้างเพคะ บรรทมสบายดีหรือไม่เพคะ”
“พูดเช่นที่เจ้าเคยพูดกับข้าเถิดจิวเหมย เช่นไรข้าก็เป็นพี่เสี่ยวจิงของเจ้าเช่นเดิม อย่ามากพิธีเลย ข้าไม่ชิน”
“หากมีผู้ใดมาได้ยินเข้า เกรงว่า...”
“ข้าอนุญาตเจ้าเอง จะมีผู้ใดกล้าหรือ”
“ก็ได้เจ้าค่ะ พี่สี่ยวจิงยังไม่บอกข้าเลยเจ้าค่ะว่าคืนแรกในวังหลวงเป็นเช่นไรบ้าง อันที่จริงข้าคิดจะมาหาพี่เสี่ยวจิงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ว่าพี่หยางห้ามไว้เสียก่อนเพราะมันดึกมากแล้ว อีกอย่าง กลัวว่าฮ่องเต้จะมาหาพี่เสี่ยวจิงที่นี่ด้วย” หน้าแดงเสียด้วย พี่เสี่ยวจิงเคยหน้าแดงเขินอายเสียที่ไหน อ่า ความรักนี่ดีเช่นนี้เองสินะ “มาจริงๆสินะเจ้าคะ”
“เจ้านี่ช่างรู้มาก มาหาข้าด้วยเรื่องใดหรือ อีกประเดี๋ยวบรรดาสนมจะมาเข้าเฝ้าข้าแล้ว”
“ข้าเพียงเป็นห่วงเจ้าค่ะ จึงอยากมาดูให้เห็นกับตาว่าพี่เสี่ยวจิงสบายดี และต่อไปข้าอาจจะมาหาพี่เสี่ยวจิงในห้องนี้บ่อยๆนะเจ้าคะ แล้วก็นี่เจ้าค่ะ” นางยืนกล่องไม้กล่องเล็กให้พี่เสี่ยวจริง “ในนี้เป็นเข็มพิสูจน์พิษ ข้าทราบว่าร่างกายพี่เสี่ยวจิงนั้นต้านพิษเช่นเดียวกับพี่หยางและฮ่องเต้ แต่ข้าไม่อยากประมาทเจ้าค่ะ อย่าไว้ใจผู้ใดเป็นอันขาดแม้แต่นางกำนัล แม้แต่ปากจอกน้ำชา ช้อนหรือตะเกียบก็ต้องตรวจนะเจ้าคะ แล้วก็มีอีกอย่างเจ้าค่ะ” นางยื่นกล่องไม้อันเล็กให้อีกอัน “ในนี้เป็นยาถอนพิษที่สามารถถอนพิษได้ทุกชนิด หากพลาดให้ทานยานี้เข้าไปหนึ่งเม็ดแล้วเดินลมปราณ จะดีขึ้นเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่รู้จะตอบแทนเจ้าเช่นไรดีจิวเหมย เจ้าช่างดีกับข้ายิ่งนัก”
“พี่เสี่ยวจิงเป็นเหมือนพี่สาวของข้า เรื่องแค่นี้นั้นเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“เจ้าอยากได้ตำลึงทองอีกหรือไม่ ข้าจะให้คนขนไปให้เจ้าถึงจวน”
“อย่าเลยเจ้าค่ะ แค่ที่ได้มาคราก่อนข้าก็ยังไม่รู้จะเอาไปทำสิ่งใดเลย ข้าเอาไปซื้อข้าวสารมาเตรียมจะทำโรงทานแต่หิมะก็ตกหนักเหลือเกิน เงินมากมายเช่นนั้นข้าคงเลี้ยงคนได้ทั้งเมืองหลวงเลยล่ะเจ้าค่ะ” พี่เสี่ยวจิงหัวเราะนางอย่างขบขัน มันไม่ได้น่าขันเลยสักนิด เพราะป่านนี้พ่อบ้านหม่ายังจัดการกับเงินจำนวนนั้นยังไม่เสร็จเลย
“ฝ่าบาททรงอยากตอบแทนเจ้าที่เกลี่ยกล่อมข้าสำเร็จกระมัง หากไม่ได้เจ้าเตือนสติวันนั้นข้าก็คงไม่มานั่งอยู่ที่นี้ในวันนี้หรอกนะจิวเหมย ข้าตัดสินใจสู้เช่นที่เจ้าแนะนำ ซึ่งมันก็ดีแล้วที่ข้าตัดสินใจเช่นนี้”
“เห็นพี่เสี่ยวจิงมีความสุขข้าก็ดีใจเจ้าค่ะ ว่าแต่ เหตุใดสนมพวกนั้นต้องมาเข้าเฝ้าพี่เสี่ยวจิงด้วยเล่าเจ้าคะ”
“เป็นธรรมเนียมปฎิบัติของวังหลวง”
“ไม่เห็นจะจำเป็น เอะ แต่ข้าว่าพี่เสี่ยวต้องใช้จังหวะนี้หาพรรคพวกไว้บ้างนะเจ้าคะ ข้าจะช่วยเอง”
“หาเรื่องเล่นสนุกอีกแล้วน่ะสิ” นางหัวเราะออกมาอย่างนึกสนุก ไม่ทันไรนางก็ได้ยินเสียงนางกำนัลหน้าห้องเอ่ยเรียกพี่เสี่ยวจิงเบาๆแจ้งว่าสนมทุกคนนั้นมารอเข้าเฝ้าแล้ว นางจึงหลบมาอยู่หลังฉากด้านหลังที่เป็นที่สำหรับเปลี่ยนชุดของฮองเฮา ไม่นานสตรีวังหลวงชั้นในก็เดินเรียงแถวกันเข้ามาตามลำกับขั้น หลังจากฟังบรรดาพระสนมแนะนำตัวแล้วนางแปลกใจไม่น้อยที่ฮ่องเต้ไม่มีสนมชั้นกุ้ยเฟย เอาเป็นว่านางนั่งฟังสตรีวังหลวงพวกนี้จนง่วงเลยทีเดียว
นางส่งธาตุดำไปสำรวจทีละคน หากธาตุดำของนางได้กลิ่นอายความชั่วร้ายหรือมีจิตใจที่ริษยามันจะแผ่ขยายธาตุดำครอบคลุมตัวสนมผู้นั้นไว้ นางก็จะรู้ได้ทันทีว่าผู้ใดไว้ใจได้หรือไม่น่าไว้ใจ เท่าที่ตรวจดูนางบอกได้เลยว่าสตรีวังหลวงพวกนี้นั้นช่างมีจิตใจที่ชั่วร้ายและริษยาผู้อื่นได้อย่างน่าชิงชัง แต่ก็มีอยู่สองคนที่ขาวสะอาดจนนางคิดไม่ออกว่ามาเป็นสนมได้เช่นไร เพราะเป็นสนมชั้นผู้น้อยที่น้อยมากๆ ขั้นต่ำจนพวกที่อยู่สูงกว่ามองไม่เห็นหัว ช่างน่าเวทนายิ่งนัก ดูจากชุดที่ใส่ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ค่อยได้รับการใส่ใจเท่าใดนัก ช่างเถิด จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง วันนี้ดีแต่วันหน้าอาจไม่ดีก็เป็นได้
“ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง” เมื่อสตรีวังหลวงออกไปนางก็โผล่ออกจากหลังฉากทันที
“หมายความเช่นไรกัน”
“นกแก้วนกขุนทองมันพูดไม่หยุดอย่างไรเล่าเจ้าคะ ช่างจ้อกันจริงๆ ว่าแต่เหตุใดพี่เสี่ยวจิงต้องเอาของมอบให้พวกนางด้วยเล่าเจ้าคะ ของดีๆทั้งนั้น” กำไลเอย สร้อยเอย แหวนเอย
“ฝ่าบาทบอกว่าจำเป็นต้องให้เพื่อแสดงน้ำใจที่พวกนางมาทำความเคารพข้า ข้าเองก็ไม่รู้สิ่งใดมากนักหรอก ยังต้องเรียนรู้อีกมาก ของพวกนี้ก็มีคนเตรียมไว้ให้ทั้งนั้น”
“สนมพวกนี้ไว้ใจไม่ได้เลยสักคนเจ้าค่ะ จะมีที่พอน่าคบหาอยู่สองคนเท่านั้นแต่ก็เป็นสนมขั้นที่ค่อนข้างไม่มีประโยชน์กับพี่เสี่ยวจิงเลยสักนิด ข้าไม่ได้ดูถูกพวกนางนะเจ้าคะ เพียงแต่สนมสองคนนั้นจะคานอำนาจหรือช่วยเหลือพี่เสี่ยวจิงในภายภาคหน้าไม่ได้ ที่น่าระวังที่สุดเห็นจะเป็นสนมชั้นเฟยลำดับที่สี่กับห้า พวกนางมีความทะเยอทะยานมากจนเกินไป อีกทั้งยังมีจิตใจที่ริษยาได้น่าชิงชังยิ่งนัก”
“ทุกคนย่อมต้องทะเยอทะยานจิวเหมย ตระกูลของพวกเขาต้องใช้ตำแหน่งสนมของพวกนางเพื่อคานอำนาจในราชสำนัก ยิ่งตำแหน่งสูงมากเท่าใดพวกเขาก็จะยิ่งมีอำนาจมากเท่านั้น”
“เช่นนี้หากภายหน้าพวกนางเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาจะไม่แก่งแย่งชิงดีเพื่อให้บุตรของตนเองเป็นใหญ่หรือเจ้าคะ”
“เจ้าจะเชื่อหรือไม่เล่าหากฝ่าบาทบอกกับข้าว่าพระองค์ไม่เคยแตะต้องพระสนมพวกนั้นเลย”
“ไม่จริง!” หรือว่าฮ่องเต้หน้าเหม็นจะเสื่อมแล้วนะ เช่นนี้พี่เสี่ยวจิงของข้าจะทำเช่นไรกัน แต่งงานแล้วแต่กลับนอนแห้งเหี่ยวอยู่เพียงลำพัง แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน "ข้าต้องปรุงยาเสริมสมรรถภาพทางเพศให้ฝ่าบาทแล้วล่ะเจ้าค่ะ!”
“เสริมสิ่งใดนะ”
“ก็สมรรถภาพทางเพศอย่างไรเล่าเจ้าคะพี่เสี่ยวจิง ยาที่จะช่วยให้บุรุษเพศรู้สึกคึกคักตื่นตัวชู่ซ่า เอาเป็นว่ามันเป็นยาที่ทำให้ชายที่เสื่อมอารมณ์ทางเพศกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งน่ะเจ้าค่ะ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ไม่ๆ จิวเหมย ฮ่าๆๆๆ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ฮ่าๆ”
“เข้าใจสิ่งใดผิดเจ้าคะ มีสตรีงดงามอยู่มากมายเต็มวังหลวงเช่นนี้แต่ฝ่าบาทกลับไม่เคยมีอะไรกับพวกนางเลยแม้แต่คนเดียว แบบนี้หากไม่เสื่อมก็อาจจะเสี่ยงเป็นต้วนซิ่วก็เป็นได้นะเจ้าคะ”
“ฮ่าๆๆๆๆ ฝ่าบาททรงแข็งแรงดีจิวเหมย ฮ่าๆ”
“เจ้าว่าผู้ใดเป็นต้วนซิ่วงั้นหรือหลิวจิวเหมย!”
“อุ้ย เอ่อ ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี” ร่างสูงใหญ่ของฮ่องเต้ในฉลองพระองค์สีทองอร่ามลวดลายมังกรเดินเข้ามาหานางอย่างคุกคามจนนางขาเริ่มสั่น ไม่ใช่เพราะกลัวแต่เพราะหนาว ก็นางกำนัลเล่นเปิดประตูกว้างออกปานนั้น
“ตอบคำถามเจิ้นมา เจ้าว่าผู้ใดเป็นต้วนซิ่วเช่นนั้นหรือ”
“เอ่อ หม่อมฉันเพียงเปรียบเปรยเท่านั้นเพคะ หาได้ชี้ชัดว่าผู้ใดเป็นต้วนซิ่วไม่เพคะ”
“เจิ้นได้ยินเจ้ากล่าวหาว่าเจิ้นเป็นต้วนซิ่วเต็มสองหูเจิ้น!”
“ก็ฝ่าบาทตรัสกับฮองเฮาเองนี่เพคะว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพระสนมผู้ใดเลย หากไม่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เอ่อ ความเป็นบุรุษเพศเสื่อมก็ต้องเพราะเป็นต้วนซิ่วเป็นแน่”
“เจิ้นสบายดี แข็งแรงจนพี่สาวเจ้าแทบลุกจากเตียงไม่ไหว เจ้ายังข้องใจสิ่งใดอีกหรือไม่” นางอ้าปากค้างเมื่อสตรีที่นั่งหัวเราะอ้าปากกว้างอยู่เมื่อครู่กำลังเขินอายจนตัวม้วน มาวันแรกก็เสร็จฮ่องเต้หน้าเหม็นไปแล้วเช่นนั้นหรือ “ข้าเพียงไม่อยากยุ่งกับพวกนางเพราะใจข้ามีเพียงจิงเอ๋อร์เท่านั้น หากจะมีโอรสธิดาก็ขอให้เกิดจากจิงเอ๋อร์เพียงผู้เดียว”
“ช่างรักมั่นดีแท้”
“เจ้าว่ากระไรนะ”
“หม่อมฉันไม่ได้พูดสิ่งใดเลยเพคะ หม่อมฉันมีของมาถวายฝ่าบาทด้วยเพคะ หม่อมฉันถวายฮองเฮาไปแล้วจึงให้ฝ่าบาทบ้าง” นางยื่นกล่องไม้อันเล็กสองกล่องให้ฮ่องเต้ แม้จะไม่ค่อยชอบหน้าแต่แคว้นซานจะเปลี่ยนฮ่องเต้บ่อยๆไม่ได้ อีกอย่าง นางกลัวพี่เสี่ยวจิงเสียใจหากต้องเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาวเช่นนี้ “เข็มตรวจพิษกับยาถอนพิษเพคะ”
“มาเป็นหมอหลวงให้เจิ้นเสียก็สิ้นเรื่อง”
“แล้วประชาชนข้างนอกวังหลวงจะเป็นเช่นไรเล่าเพคะ พวกเขาต้องการหมอที่ทั้งงดงามและใจดีเช่นหม่อมฉัน จะมีสักกี่คนที่รักษาให้โดยไม่คิดเงิน พวกเขายังต้องพึ่งพาหม่อมฉันเพคะ”
“เจิ้นเข้าใจ เจิ้นก็พูดไปอย่างนั้นเอง ถึงอยากให้มาเป็นหมอหลวงเพียงใด แต่เจ้าคิดหรือว่าจ้าวไท่หยางจะยอม เจ้าจะกลับไปได้หรือยัง เจิ้นต้องการอยู่กับฮองเฮาของเจิ้นตามลำพัง”
“เพคะๆ หม่อมฉันทูลลา” ค่อยดูเถิด คืนนี้นางจะเอาหมามุ่ยมาใส่ฉลองพระองค์ เอาให้คันคะเยอไปทั้งตัวเลย!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อย่าเลยจิวเหมยเดี๋ยวลำบากพี่เสี่ยวจิงมานั่งเกาให้ฮ่องเต้ซะเปล่า ๆ
ไหนตอนแรกนางบอกมีเรื่องจะคุยกับฮ่องเต้ด้วย หรือนางลืม?
พี่เสี่ยวจิงกับฮองเต้ต้องรอดนะห้ามตายเด็ดขาด...
พี่เสี่ยวจิงและฮ่องเต้ต้องรอดและไม่เป็นไรนะคะ
เพราะเชื่อมาตลอดว่า นิยายไรต์อ่านสบายๆ ไม่มาม่า
มีบ้างเล็กน้อยเป็นสีสรร แต่ไม่อืดจนเอียนค่ะ สู้ๆค่ะ
ขอบคุณค่ะ
Sumalee Kanking เค้าเห็นด้วย ห้ามพี่เสี่ยวจิง ตายทุกกรณี นะเจ้าคะ