ตอนที่ 42 : จวนสกุลหลิวที่เปลี่ยนไป
“ข้ากลัว” ก็สมควรจะกลัวอยู่หรอก สภาพของชาวบ้านที่เป็นโรคนี้นั้นไม่น่าดูชมสักนิด พวกนางมาถึงเมืองฉางแล้วเมื่อสองชั่วยามก่อน หลังจากได้เข้าพบท่านเจ้าเมืองและนำราชโองการของฮ่องเต้ที่พี่หยางยื่นให้นางก่อนเดินทางมอบให้ท่านเจ้าเมืองฉางแล้ว นางก็ขอให้เรียกตัวชาวบ้านทุกคนที่ติดโรคมาพบนางที่ลานหน้าที่ว่าการเจ้าเมืองฉางทันที
“ข้าจนใจจะหาทางรักษาพวกเขาแล้วคุณหนูหลิว”
“ท่านเจ้าเมืองไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้ารักษาพวกเขาได้อย่างแน่นอน หากหมอหลวงมาถึงแล้วข้ารบกวนท่านเจ้าเมืองให้การต้อนรับพวกเขาด้วยนะเจ้าคะ แล้วพามาพบข้าที่นี่” ระหว่างทำการรักษานางจะพักอยู่ที่จวนของเจ้าเมือง โดยให้ชาวบ้านที่ติดโรคมารักษากับนางที่นี่ทุกวันไม่ให้ขาดจนกว่าจะอาการดีขึ้น
นางตรวจอาการของผู้ป่วยทุกคนอย่างละเอียด สำหรับคนที่กำลังอยู่ในระยะเริ่มต้นนางก็จะใช้วิธีทางการแพทย์ในการรักษา ส่วนผู้ที่อาการหนักหน่อยเช่นผู้ที่เริ่มเป็นหนองลุกลามนางจะใช้ธาตุของนางในการรักษา ไม่คิดว่าจะมีผู้ที่ติดโรคมากมายเช่นนี้ ส่วนมากก็มาจากครอบครัวเดียวกัน เป็นเช่นที่นางคาดไม่มีผิด
“เตรียมน้ำกับหม้อต้มน้ำให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะต้มสมุนไพรให้พวกเขาลงแช่ตัว” นางให้ทุกครอบครัวเอาโอ่งน้ำหรือสิ่งใดก็ได้ที่สามารถลงไปแช่ตัวได้มาให้นาง เพราะหากให้ท่านเจ้าเมืองหาให้เกรงว่าจะลำบากเกินไป และที่สำคัญมันไม่ทันใจนาง ให้ทุกครอบครัวได้มีส่วนร่วมจะดีที่สุด เมื่อได้โอ่งมาแล้วนางก็ต้มน้ำที่นางใช้ธาตุดึงสิ่งสกปรกออกมาจนหมดแล้วต้มกับสมุนไพรที่นางเตรียมมา อีกหม้อหนึ่งนางให้ต้มน้ำกับเกลือจำนวนมาก เอาไว้เพื่อเช็ดแผลที่ตุ่มใสเริ่มแตกแล้ว วิธีนี้จะช่วยให้แผลแห้งเร็วขึ้นอีกด้วย “ห้ามสัมผัสตัวผู้ป่วยเป็นอันขาดนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นจะติดไปด้วย”
“แล้วจะให้ทำเช่นไรหรือ”
“หากผู้ใดพอจะมีแรงเช็ดแผลเองได้ก็เพียงยื่นผ้าชุบน้ำเกลือให้พวกเขาเจ้าค่ะ หากผู้ใดไม่มีแรงจะช่วยเหลือตนเองก็ให้ใช้ตะเกียบคีบผ้าวางลงบนแผลแล้วทิ้งไว้สักครู่ก็เป็นอันใช้ได้เจ้าค่ะ” ได้ยินนางพูดเช่นนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปช่วยกันคนละไม้คนละมือ เจ้าเมืองส่งคนมาช่วยนางมากมายจนเกินพอจึงไม่ต้องลำบากทำทุกอย่างด้วยตนเอง
“สมุนไพรของเจ้าจะพอหรือจิวเหมย ใช้มากมายเช่นนี้”
“หมอหลวงคงกำลังนำมันมาให้ข้าเพิ่มเจ้าค่ะท่านน้า หากในวังหลวงมีเก็บไว้มากก็คงจะพอ” เพราะนางให้เปลี่ยนน้ำทุกครั้งที่ผู้ใดผู้หนึ่งแช่ตัวเสร็จแล้ว ไม่ให้ใช้ร่วมกันเป็นอันขาด จึงทำให้ต้องใช้สมุนไพรจำนวนมาก หากไม่พอก็เข้าไปเอาในมิติของท่านแม่ก็สิ้นเรื่อง “แต่ข้าก็มีสำรองไว้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“สำรองหรือ ข้าเห็นเจ้าใช้จนหมดย่ามของเจ้าแล้ว สำรองไว้ที่ใดกัน”
“ท่านแม่อย่างไรเล่าเจ้าคะท่านน้า” ได้ยินเช่นนั้นท่านน้าลู่ไป๋ก็ไม่ถามสิ่งใดนางอีก
“พวกเขาจะหายใช่หรือไม่จิวเหมย เห็นสภาพร่างกายพวกเขาแล้ว ข้าสงสารยิ่งนัก”
“นี่เจ้าพูดอยู่กับผู้ใดหรือจ้าวไท่หลง ข้าหลิวจิวเหมยนะ ข้าเคยรักษาผู้ใดไม่หายด้วยเช่นนั้นหรือ”
“ก็จริง สหายของข้าเป็นหมอที่เก่งที่สุดในแคว้นซานแล้วกระมัง”
“เจ้าก็พูดเกินไป”
“แต่โรคนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
“ผู้ใดก็เป็นโรคนี้กันได้ทั้งนั้นไท่หลง สักวันเจ้าอาจจะเป็นก็ได้ผู้ใดจะรู้ โรคนี้หากรักษาไม่ถูกจุดก็ถือว่าเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงทีเดียว แต่หากรักษาได้ถูกจุดและถูกวิธีนั้น ไม่เกินสามถึงห้าวันก็จะหายดี เหลือเพียงร่องรอยของแผลบนตัวที่ต้องรักษาต่อไปเท่านั้น” นางจึงต้องมาที่นี่เพื่อทำให้พวกเขารู้ว่าวิธีการรักษาโรคนี้นั้นทำเช่นไรได้บ้าง
หมอหลวงมาถึงในอีกสองชั่วยามต่อมา และมาพร้อมกับสมุนไพรที่นางต้องการจำนวนมาก นางถึงกับยิ้มกว้างอย่างพอใจที่ฮ่องเต้ทรงเห็นเรื่องนี้สำคัญถึงกับให้ขนสมุนไพรของวังหลวงมามากมายเช่นนี้ เมื่อชาวบ้านทราบก็สรรเสริญฮ่องเต้กันไม่หยุด นี่นางมาเพื่อช่วยให้สหายของนางมีผลงานนะใยเป็นฮ่องเต้ได้หน้าไปกันล่ะเนี้ย
“ต้มเลยเจ้าค่ะ ยังมีชาวบ้านอีกมากที่รอแช่ตัวอยู่ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
พวกนางรีบเร่งช่วยเหลือชาวบ้านทุกคนอย่างสุดความสามารถ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดอาการหนักมากจนถึงขั้นถึงแก่ชีวิต นางมาเร็วและมาทันพอที่จะช่วยชาวบ้านเมืองฉางไว้ได้ เมื่อทุกคนแช่ตัวเสร็จนางก็ให้เช็ดแผลต่อ บางคนที่ตุ่มเริ่มพองนางก็ใช้เข็มหรือหนามปลายแหลมเจาะให้น้ำไหลออกมาเสียก่อนจึงจะให้ไปแช่ตัว แม้จะแสบไปบ้างแต่ก็จะหายเร็วขึ้น อันนี้ประสบการณ์ตรงล้วนๆ เพราะเคยเป็นและก็ใช้วิธีนี้มาแล้ว ไม่ทิ้งรอยดำไว้อีกด้วย
ในขณะที่จิวเหมยกำลังรักษาชาวบ้านเมืองฉางอยู่นั้น ที่เมืองหลวงเองท่านแม่ทัพใหญ่ก็กำลังกุมศรีษะอย่างเคร่งเครียดเมื่อจ้าวไท่หยางมารายงานว่าบุตรสาวคนโตของเขานั้นเดินทางไปเมืองฉางเพื่อรักษาโรคประหลาดให้ชาวบ้านที่นั้น หนำซ้ำยังลืมมาแจ้งแก่เขาผู้ซึ่งเป็นบิดาแท้ๆ แต่กลับทราบเรื่องทีหลังจ้าวไท่หยาง
“นางเดินทางไปพร้อมกับไท่หลง ประมุขฟ่าน แล้วก็เสี่ยวจิงขอรับ”
“จะกลับเมื่อใด”
“ยังไม่ทราบได้ขอรับ จนกว่านางจะแน่ใจว่าชาวบ้านที่นั่นหายจากโรคกันทุกคนแล้ว”
“ที่เจ้าไม่ไปกับนางด้วยเพราะเรื่องที่แคว้นเหลียวจะมาเจริญสัมพันธไมตรีเช่นนั้นหรือ”
“ขอรับ ฮ่องเต้ยังไม่ทรงแต่งตั้งฮองเฮา ข้าเกรงว่า...”
“เป็นเช่นที่เจ้าคิดรองแม่ทัพจ้าว แคว้นเหลียวได้ส่งองค์หญิงจินซูฮวามาที่แคว้นซานจริง และคงไม่พ้นการถวายตัวให้ฮ่องเต้ แต่เช่นไรก็อยู่ที่ฝ่าบาทด้วยเช่นกันว่าจะรับนางไว้ตำแหน่งใด เจ้ากับข้าก็ทราบกันดีว่าฝ่าบาททรงมีสตรีในดวงใจอยู่แล้ว และเป็นผู้ใด”
“ข้าทราบขอรับ เพียงแต่สตรีผู้นั้นยืนกรานหนักแน่นเช่นกันว่าจะไม่เข้าวังถวายตัวให้ฮ่องเต้เป็นเด็ดขาด ตำแหน่งฮองเฮาจะเว้นว่างนานไปกว่านี้ก็คงจะไม่ดีนัก ข้าเกรงว่าแคว้นเหลียวจะให้โอกาสนี้ต่อรองกับฝ่าบาทก็เป็นได้ และหากฝ่าบาทไม่ตอบรับแคว้นซานคงได้ทำศึกกับแคว้นเหลียวเป็นแน่ขอรับ”
“ใยเจ้าไม่พูดคุยกับสตรีผู้นั้นดูอีกสักคราเล่า นางอาจจะเปลี่ยนใจก็เป็นได้” เพราะหากต้องทำสงครามกับแคว้นเหลียวจริงจะใช้แค่กำลังทหานคงสู้ไม่ได้เป็นแน่ ด้วยเพราะแคว้นเหลียวนั้นใหญ่กว่าแคว้นซานมาก แต่ก็ไม่อาจให้องค์หญิงจากแคว้นเหลียวขึ้นเป็นฮองเฮาได้เช่นกัน มิเช่นนั้นแคว้นเหลียวคงใช้โอกาสนี้เอาเปรียบแคว้นซานจนล่มจมเป็นแน่
“หากพูดคุยด้วยได้ง่ายๆก็เป็นเรื่องดีไม่น้อยขอรับ”
“เช่นนั้นก็คงต้องมีผู้ช่วยสักหน่อยกระมัง” ท่านแม่ทัพใหญ่ยกยิ้มเมื่อนึกไปถึงผู้ช่วยที่คาดว่าเช่นไรก็ต้องช่วยให้เรื่องมันง่ายดายอย่างแน่นอน “อยู่ที่ว่าจะช่วยหรือไม่เพียงเท่านั้น”
“หากเป็นผู้ที่ข้าคิด เห็นทีจะยากขอรับ”
“เช่นไรเราก็ต้องหาหนทางเตรียมไว้สำหรับเรื่องนี้ เจ้าไปหารือกับฝ่าบาทดูเถิด”
“ท่านแม่ทัพไม่เข้าวังหรือขอรับ”
“ไม่ล่ะ ข้าจะดูช่างมาปรับปรุงจวนเสียหน่อย”
“ปรับปรุงจวนหรือขอรับ”
“ใช่ อีกไม่นานข้าจะให้เหมยเอ๋อร์ย้ายกลับมาอยู่ที่จวน ที่บ้านนั้นนับวันคนงานจะยิ่งมีมากขึ้นทุกวัน พ่อครัวแม่ครัวเองก็ต้องตื่นแต่เช้ามาทำอาหารที่บ้านของนาง คงไม่สะดวกสบายนักหากต้องเดินจากเรือนคนงานมาถึงบ้านของนางทั้งที่ยังฟ้ามืด แต่เช่นไรก็ต้องถามนางก่อน จวนนี้กับที่บ้านของนางก็ไม่ได้ไกลกันนักและใกล้ตลาดมากกว่าหากจะไปเยี่ยมเยียนหรือไปที่ร้านกับโรงหมอก็คงเดินทางไปมาได้ทุกวันไม่ลำบาก”
“แต่นางกับจวนหลังนี้นั้น...”
“ข้ารู้ว่าเหมยเอ๋อร์มีความทรงจำที่ไม่ดีนักกับจวนนี้ ข้าจึงต้องให้ช่างมาปรับปรุงเสียใหม่ เรือนใดที่ไม่จำเป็นก็ให้รื้อออกให้หมดไม่ให้เหลือ ปรับพื้นที่ปลูกดอกไม้ต้นไม้ให้งดงาม ข้าเพียงหวังว่ามันจะทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง พ่อไม่เอาไหนเช่นข้าก็อยากทำเพื่อนางบ้างเช่นกัน แม้จะเล็กน้อยก็ตามที” จ้าวไท่หยางไม่กล่าวสิ่งใดอีก ในเมื่อท่านแม่ทัพได้ตัดสินใจแล้ว แต่เช่นไรเรื่องนี้ก็ต้องสุดแล้วแต่เหมยเอ๋อร์ว่าจะตัดสินใจเช่นไร แต่จวนของท่านแม่ทัพก็ใกล้กับจวนของเขากว่าบ้านหลังนั้นมากทีเดียว คงต้องสนับสนุนท่านแม่ทัพเสียแล้วกระมัง
ทางด้านจิวเหมยที่ยังไม่ทราบว่าจ้าวไท่หยางกำลังวางแผนสิ่งใดไว้ก็กำลังช่วยวางผ้าชุบน้ำเกลือบนหลังชาวบ้านที่ติดโรค วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่นางอยู่ที่เมืองฉาง อาการของชาวบ้านที่ติดโรคดีขึ้นทันตาเห็นจนนางเองก็ยังแปลกใจ แต่คิดไปคิดมาหากน้ำที่ใช้ต้มนั้นบริสุทธิ์ไร้สิ่งปนเปื้อนก็คงจะช่วยเสริมสรรพคุณของสมุนไพรได้มากทีเดียว
ผ่านมาสามวันร่างกายของชาวบ้านก็ไร้ซึ่งตุ่มใสอีกต่อไป หลงเหลือไว้เพียงรอยแดงที่ต้องรอให้แห้งกว่านี้เท่านั้น ผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ท่านเจ้าเมืองฉางแทบจะก้มกราบนางเมื่อเห็นชาวบ้านทุกคนอาการดีขึ้น ถือว่าเจ้าเมืองผู้นี้ก็เป็นผู้ที่ใช้ได้ผู้หนึ่ง หากกลับเมืองหลวงนางจะสนับสนุนเรื่องนี้กับฮ่องเต้ก็แล้วกัน
“อีกสองวันแผลของทุกท่านก็คงจะแห้งแล้วนะเจ้าคะ หลังจากนี้ก็เพียงรอให้รอยจางลงไปเอง”
“พวกเราขอบพระคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ มาจากเมืองหลวงเพื่อรักษาพวกเราแท้ๆ ลำบากท่านหมอยิ่งนัก”
“เช่นไรพวกท่านก็เป็นคนของแคว้นซาน จะให้ทำเมินเฉยไม่ดูดำดูดีได้เช่นไรกันเจ้าคะ องค์ฮ่องเต้เองก็ทรงมีเมตตาให้หมอหลวงนำสมุนไพรมากมายมาช่วยราษฎรของพระองค์ ขอบคุณข้าผู้เดียวคงไม่ถูกนักเจ้าค่ะ”
“ช่างเป็นสตรีที่ประเสริฐยิ่งนัก ท่านแม่ทัพใหญ่จะต้องภูมิใจในตัวบุตรสาวเช่นท่านเป็นแน่ขอรับ”
“ใช่ๆ ข้าคิดว่าข้าจะไม่มีชีวิตรอดแล้วขอรับ”
“มันไม่ใช่โรคร้ายแรงเจ้าค่ะ เพียงแต่ยังไม่มีผู้ใดทราบว่าต้องรักษาเช่นไรเท่านั้น จากนี้ทุกคนที่เคยเป็นหรือไม่เคยเป็นอาจจะกลับมาเป็นอีกก็ได้ ได้เห็นวิธีของข้าแล้วก็คงรักษาตนเองได้แล้วเจ้าค่ะ” พูดจบนางก็ขอตัวกลับไปพักเพราะวันนี้นั้นทุกคนได้รับการรักษาจนหมดแล้ว นางเองก็ทั้งเหนื่อยแล้วก็เพลียมาก
“ช่างเป็นยอดสตรีแห่งแคว้นซานโดยแท้”
“ใช่ขอรับ สหายของข้านั้นเก่งทุกด้าน ทำงานหาเงินซื้อที่ดินสร้างบ้านด้วยตนเองเลยนะขอรับ ผู้ใดเดือดร้อนก็ช่วยเหลือเต็มที่ เปิดโรงหมอรักษาให้โดยไม่คิดเงินด้วย ผู้ใดไปรักษาด้วยก็บอกว่าหายเป็นปลิดทิ้งกันทุกคน อีกทั้งยังเปิดร้านอาหารช่วยเหลือขอทานให้ได้มีงานทำจนตอนนี้เมืองหลวงแทบจะไร้ขอทานแล้วขอรับ”
“จริงหรือคุณชาย!”
“จริงขอรับ! ยังมีอีกหลายเรื่องนักที่นางทำแต่ข้านั้นพูดไม่ได้ แต่สหายของข้านั้นช่างเป็นสตรีที่แสนดียิ่งนัก” ฟ่านลู่ไป๋ได้ฟังจ้าวไท่หลงโอ้อวดสหายของตนอย่างออกรสก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แม้เรื่องที่ไท่หลงพูดมาจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดก็เถอะ “แต่นางมีคู่หมายแล้วนะขอรับ ห้ามให้บุรุษผู้ใดมาเกี้ยวพานางเป็นอันขาด”
“บุรุษใดช่างโชคดียิ่งนัก”
“พี่ใหญ่ของข้าเองขอรับ” สุดท้ายก็วกมาอวยพี่ชายตนเองให้ผู้อื่นฟังอีกเช่นเคย
“ท่านยังไม่ชินอีกหรือ คุณชายรองก็เป็นเช่นนี้มานานแล้ว เขาชื่นชมจ้าวไท่หยางยิ่งนัก”
“มันก็ชิน แต่บ่อยครั้งเข้าข้าก็ระอาเช่นกัน ข้าไปพักก่อนล่ะนะ เจ้าก็พักเสียบ้างเถิดเสี่ยวจิง อย่าคิดเยอะนัก”
“ท่านพูดเรื่องใดกัน ข้าไม่ได้คิดเยอะเรื่องใดเสียหน่อย”
“ปิดจิวเหมยกับผู้อื่นได้แต่เจ้าปิดข้าไม่ได้หรอก จะทำสิ่งใดก็รีบทำ ก่อนจะสายเกินไป ข้าเตือนเจ้าได้เท่านี้” อีกหน่อยคงได้ถูกจิวเหมยซักถามจนหมดเปลือกเป็นแน่ หึหึ
เข้าสู่วันที่ห้า วันนี้ชาวบ้านทุกคนหายกันหมดแล้ว เหลือเพียงรอยตามตัวเท่านั้น ซึ่งนางก็บอกว่ามันจะจางหายไปเองในเวลาไม่นาน หลังจากรักษาชาวบ้านจนหายดีแล้วสิ่งที่สองที่นางได้รับรู้ปัญหาก็คือ ชาวบ้านเมืองฉางนั้นเพาะปลูกข้าวได้ไม่ดีนัก พอรู้เรื่องนางก็ขอไปดูที่ดินทำนาในทันที แต่เมื่อไปดูนั้นพบว่าดินไม่ได้มีปัญหาใดเลย ที่ปลูกแล้วได้ผลไม่ดีนักคงเป็นเพราะไม่ใส่ปุ๋ยเลยไม่ว่าจะก่อนปลูกหรือหลังปลูก แต่ยุคนี้คงทำได้เพียงใส่ปุ๋ยก่อนปลูกข้าวเท่านั้น
“เมืองฉางเลี้ยงสัตว์ชนิดใดบ้างเจ้าคะ”
“ก็มีหมู ม้า วัว ไก่ แล้วก็แพะขอรับ”
“แล้วมูลสัตว์พวกนั้นพวกท่านนำไปทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
“มันใช้ประโยชน์ได้หรือขอรับ” แทบจะกุมขมับ
“มันเป็นปุ๋ยชั้นดีเลยล่ะเจ้าค่ะ ที่นาของพวกท่านไม่ได้ไม่ดีแต่เพราะพวกท่านไม่มีการบำรุงดินเลยเจ้าค่ะ วิธีที่ง่ายที่สุดคือให้นำมูลสัตว์พวกนั้นมาทำปุ๋ยเจ้าค่ะ แต่ต้องเป็นมูลสัตว์ที่แห้งแล้วหรือสะสมมานานแล้วเท่านั้น หากพวกท่านเลี้ยงไก่หรือหมูก็มั่นกวาดมูลของมันกองรวมกันไว้ ก่อนถึงฤดูทำนาก็ให้เอามูลพวกนั้นไปหว่านบนหน้าดินเอาไว้ ถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็คงใช้ได้เจ้าค่ะ นอกจากนี้มูลสัตว์พวกนั้นยังสามารถใส่พืชผักได้อีกด้วยนะเจ้าคะ ผักจะงอกงามมาก”
“โอ้ ดีเพียงนั้นเชียวหรือขอรับ”
“ใช่เจ้าค่ะ มูลสัตว์จะทำให้ดินร่วนซุยเหมาะแก่การเพาะปลูกมากยิ่งขึ้น เช่นไรก็ลองทำตามที่ข้าแนะนำดูนะเจ้าคะ เพราะข้าก็ใช้วิธีนี้ที่บ้านของข้าเช่นกัน ข้าวกับผักของข้างอกงามดีมาก”
“ขอรับๆ พวกข้าจะลองทำตามดู ท่านหมอช่างมาโปรดพวกข้าแท้ๆ”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงแนะนำในสิ่งที่ข้าทราบมากเท่านั้น” นางอยู่แนะนำอีกนิดหน่อยก็ขอตัวกลับเพราะวันพรุ่งพวกนางจะเดินทางกลับเมืองหลวงกันตั้งแต่เช้า จึงใช้โอกาสนี้ลาชาวบ้านทุกคนที่นางช่วยรักษาเสียเลย ได้รับคำอวยพรขอให้นางโชคดีมาไม่ขาดจนนางอิ่มเอมเป็นอย่างมาก
วันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางในทันที ไม่ลาเจ้าเมืองเพราะลาไปแล้วเมื่อวาน นางอยากจะเดินทางแบบค่อยเป็นค่อยไปเพราะการอยู่หลังม้าเป็นเวลานานๆก็ทำเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไม่น้อย จ้าวไท่หลงที่หอบของมามากมายนั้นตอนกลับดันกลับตัวเบาหวิวเพราะให้ชุดสวยๆที่เอามากับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันไปจนหมดแล้ว ช่างใจดียิ่งนักนะสหาย
ถึงเมืองหลวงนางก็ควบม้าตรงไปที่ร้านของนางในทันที เพราะถึงกลับบ้านก็ไม่มีผู้ใดอยู่ อีกอย่าง นางต้องไปรายงานตัวกับท่านพ่อ ลืมบอกตอนไปว่าแย่แล้ว ตอนกลับมาหากลืมอีกนางคงไม่พ้นถูกดุเป็นแน่
“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะคุณหนู เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
“เรียบร้อยดีเจ้าค่ะพี่เสี่ยวอิง ท่านพ่อได้มาที่ร้านบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ได้มาเลยเจ้าค่ะ คุณหนูถามทำไมหรือเจ้าคะ”
“ข้าไปเมืองฉางโดยไม่ได้แจ้งท่านพ่อน่ะสิเจ้าคะ เช่นนั้นข้าไปพบท่านพ่อที่จวนนะเจ้าคะ ท่านน้าลู่ไป๋กับพี่เสี่ยวจิงกลับไปพักที่บ้านก็ได้นะเจ้าคะ เดินทางมาเหนื่อยๆ ส่วนเจ้านะไท่หลง กลับจวนไปได้แล้ว ช่วงเย็นเจ้าค่อยออกมาเที่ยวหรือจะมาช่วยข้าวันพรุ่งเลยก็ได้” วันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานเฉลิมฉลองเสียด้วยสิ
“เช่นนั้นข้ากลับไปหาท่านแม่ก่อนแล้วจะกลับมาอีกครั้ง”
“ส่วนข้าจะไปกับเจ้า”
“เช่นนั้นเจ้าไปกับเสี่ยวจิงนะจิวเหมย ข้าจะอยู่ดูแลที่ร้านต่อเอง” เมื่อท่านน้าว่ามาเช่นนั้นนางก็สุดแล้วแต่ นางกับพี่เสี่ยวจิงควบม้ามาที่จวนของท่านพ่อ องครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเมื่อเห็นนางก็เปิดให้แต่โดยดี นางส่งม้าให้องครักษ์แล้วเดินเข้าไปในจวนพร้อมกับพี่เสี่ยวจิงที่มองทางนั้นทีทางนี้อย่างสนใจ
“ข้ามาผิดจวนหรือไม่เจ้าคะพี่เสี่ยวจิง” เหตุใดมันงดงามเช่นนี้ ไม่หลงเหลือความเป็นจวนของท่านพ่อที่นางคุ้นเคยเอาเสียเลย นางไม่ได้กลับมานานจนทุกอย่างเปลี่ยนไปมากเพียงนี้เชียวหรือ
“คารวะคุณหนูใหญ่ขอรับ”
“พ่อบ้านหม่า ข้ามาถูกจวนแล้วสินะ เหตุใดจึงตกแต่งจวนงดงามเช่นนี้เล่าเจ้าคะ จะมีงานหรือ”
“นายท่านทำทั้งหมดนี้เพื่อคุณหนูใหญ่ขอรับ เชิญทางนี้ขอรับ นายท่านรอพบคุณหนูอยู่”
“อ่า ข้ามาโดยไม่ได้หวังให้ท่านพ่ออยู่จวนเลยนะเจ้าคะ เหตุใดไม่เข้าวังกัน” พ่อบ้านหม่าเพียงยิ้มให้นางแล้วพานางกับพี่เสี่ยวจิงเดินไปยังห้องรับแขกที่ก็ตกแต่งใหม่เช่นกันจนจำแทบไม่ได้ “คารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ”
“กลับมาแล้วหรือเหมยเอ๋อร์”
“ท่านพ่อทราบหรือเจ้าคะว่าลูกไปทีใดมา”
“รองแม่ทัพจ้าวมาแจ้งแก่พ่อเสียนานแล้ว เป็นเจ้าที่ลืมแจ้งแก่พ่อ”
“ขออภัยเจ้าค่ะ ลูกรีบจึงไม่ทันคิด แล้วนี่ ท่านพ่อตกแต่งจวนใหม่หรือเจ้าคะ งดงามยิ่งนัก”
“หากงดงามถูกใจเจ้าก็กลับมาอยู่กับพ่อเสียที่นี่สิเหมยเอ๋อร์” นางจ้องท่านพ่ออย่างุนงงไปชั่วครู่ กลับมาอยู่ที่นี่เช่นนั้นหรือ “พ่อเปลี่ยนทุกอย่างในจวนนี้ใหม่ทั้งหมด หากเจ้ามีความทรงจำที่ไม่ได้พ่อก็จะลบมันออกไป แม้จะช่วยได้ไม่มากแต่พ่อก็อยากจะทำเพื่อเจ้า พ่ออยากให้เจ้ากลับมาอยู่ที่จวนนี้กับพ่อ กับแม่ใหญ่แล้วก็ฟางเอ๋อร์”
“แต่ว่า...”
“หากลูกกังวลเรื่องบ้านของลูกนั้น พ่อคิดเห็นว่าพ่อครัวแม่ครัวของลูกเองก็อายุมากแล้ว อีกทั้งเรือนนอนของคนงานกับบ้านของเจ้าก็ห่างกันพอสมควร ให้ทั้งสองเดินมาทำอาหารที่บ้านของเจ้าทุกเช้าทั้งที่ยังมืดๆเกรงว่าสักวันคงได้เป็นอันตรายหกล้ม ให้เสี่ยวอิงกุ้ยผิงกุ้ยอันมาอยู่ที่นี่ด้วย พ่อจัดเตรียมที่ทางไว้หมดแล้ว แต่เช่นไรพ่อก็ต้องฟังความเห็นของเจ้าอยู่แล้วลูกพ่อ หากเจ้าตัดสินใจเช่นไรพ่อก็จะเคารพการตัดสินใจของเจ้า”
“ท่านพ่อ”
“จวนนี้ใกล้กับร้านและโรงหมอของเจ้านะเหมยเอ๋อร์ เจ้าไปมาหาสู่คนงานที่บ้านของเจ้าได้ไม่ลำบาก พ่อไม่ห้ามเจ้าเรื่องทำงาน แต่พ่อเพียงอยากให้เจ้ามาอยู่ด้วยกันที่จวน” หัวแทบระเบิดเลยทีเดียว นางไม่เคยคิดที่จะได้กลับมาอยู่ที่จวนอีกเลยตั้งแต่ออกไป แต่เหตุผลที่ท่านพ่อกล่าวมานั้นก็จริงอยู่ไม่น้อย อีกทั้ง ท่านแม่ของนางก็สนับสนุนเสียด้วย
“ขอลูกตัดสินใจก่อนเถิดเจ้าค่ะ” นางยังอยู่บ้านนั้นไม่คุ้มเงินที่สร้างไปเลยนะ
“พ่อรอเจ้าได้เสมอ ไหน เล่าให้พ่อฟังสิว่าเจ้าไปที่เมืองฉางมาเป็นเช่นไรบ้าง” ท่านพ่อรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวว่านางจะอึดอัดหากเร่งรัดมากเกินไป ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะนางสบายใจขึ้นมาก นางจึงเล่าเรื่องที่เมืองฉางให้ท่านพ่อฟังโดยละเอียด ไม่มีตกหล่นแม้เพียงนิด “ช่างโชคดียิ่งนักที่เจ้ารู้วิธีรักษาพวกเขา พ่อภูมิใจในตัวเจ้ามากเหมยเอ๋อร์”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านพ่อไม่ออกไปเที่ยวงานเฉลิมฉลองสักหน่อยหรือเจ้าคะ วันสุดท้ายแล้วด้วย”
“ช่วงนี้พ่อต้องเตรียมตัวต้อนรับแคว้นนเหลียวที่จะมาเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นซานในอีกสามวันข้างหน้า จึงไม่ค่อยมีเวลาจะสนใจงานเฉลิมฉลองนัก เจ้าต่างหากลูกพ่อที่ควรจะไปเที่ยวเล่นเสียบ้าง”
“เจริญสัมพันธไมตรีเช่นนั้นหรือเจ้าคะ เหตุใดต้องมีทำเช่นนั้น”
“ก็คงอยากจะส่งองค์หญิงสักพระองค์มาเป็นฮองเฮากระมัง”
“สนมออกเต็มวังเช่นนั้นไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมเลยหรือเจ้าคะ”
“สนมก็เป็นได้เพียงสนมนะเหมยเอ๋อร์ หากไม่คู่ควรจริงๆฝ่าบาทไม่มีทางยกสตรีใดขึ้นมาเป็นฮองเฮาเป็นแน่ แต่พ่อทราบมาว่า ฝ่าบาททรงมีสตรีในดวงใจและหมายตาจะให้ขึ้นเป็นฮองเฮาแล้ว เพียงแต่นางไม่ตอบรับ”
“อ่า หากรักก็ย่อมต้องการเคียงคู่ ใยจึงปฎิเสธเล่าเจ้าคะ”
“อาจจะเพราะนางเป็นสตรีที่คิดเยอะ พ่อเองก็ยั่งจิดใจนางได้ยากเช่นกัน”
“ท่านพ่อรู้จักนางหรือเจ้าคะ”
“รู้จักสิ เจ้าเองก็รู้จักนะเหมยเอ๋อร์”
“ผู้ใดหรือเจ้าคะ”
“ให้นางบอกเจ้าด้วยตนเองจะดีกว่านะ เจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆ กลับไปพักผ่อนดีหรือไม่ หรือจะพักที่เรือนของแม่เจ้า พ่อตกแต่งใหม่แล้ว เจ้าเข้าไปพักได้เลยหากต้องการ” ใจนางก็อยากกลับไปที่ร้านแต่สายตาท่านแม่ที่ส่งมาเว้าวอนนางนั้นก็ไม่อาจปฎิเสธได้เช่นกัน นางจึงตกลงจะพักผ่อนที่เรือนท่านแม่ชั่วคราว
“หากเจ้าจะอยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าจะกลับไปที่ร้านนะ จะได้ช่วยเสี่ยวอิงดูเด็กๆด้วย”
“ไม่พักสักหน่อยหรือเจ้าคะ”
“ไม่ล่ะ ข้าไม่เหน็ดเหนื่อยเท่าใดนัก เจ้าไปพักเถิด” เช่นนั้นนางจึงเดินตามพ่อบ้านหม่าไปยังเรือนที่เคยเป็นของท่านแม่ นางยอมรับว่าท่านพ่อปรับปรุงจวนใหม่จนภาพเก่าๆที่หลิวจิวเหมยคนก่อนจำได้นั้นเลือนรางเต็มที ตอนนี้นางเห็นแต่ความงดงามของดอกไม้นานาพันธุ์ ท่านแม่เองก็ดูจะชอบมากไม่น้อยถึงได้ยิ้มไม่หุบเลย
“เอาล่ะลูกแม่ เรามาเล่นขุดสมบัติกันเถิด!”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นางในดวงใจฮ่องเต้นี่จะใช่พี่เสี่ยวจิงไหมนะ หรือเป็นใครกัน
ท่านแม่อะไรคือขุดสมบัติ!?
ออดอ้อนให้ขุดสมบัติ55
ขอบคุณค่ะ
เมื่อไหร่ท่านพ่อจะได้เห็นท่านแม่บ้าง อยากให้คู่นี้พบเจอกันบ้าง