ตอนที่ 17 : เยือนจวนสกุลเยว่
“ขออภัย แต่วันนี้เห็นทีจะไม่ได้”
“พวกข้าไม่ได้มาเพื่อให้คุณหนูปฎิเสธขอรับ ตามพวกข้าไปดีๆเถิดขอรับ”
“เขาเชิญคนไปพบกันแบบนี้หรือ กลับไปบอกท่านรองเสนาบดีด้วยนะเจ้าคะว่าข้าจะไปพบท่านด้วยตัวข้าเองแน่นอน เพราะมีหลายเรื่องนักที่ข้าอยากจะสนทนาด้วย แต่หากวันนี้พวกท่านยังดึงดันจะให้ข้าไปพบท่านรองเสนาบดีให้ได้ข้าเองก็จะไม่เกรงใจเช่นกัน” คนยิ่งง่วงๆอยู่ยังจะมาขวางทางอีก อยากลองวิชาชะมัด!
“เกรงว่าจะไม่ได้”
“พวกท่านฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรืออย่างไรกัน ข้าบอกว่าข้าไม่ไปวันนี้ไม่เข้าใจหรือไง!” ร่างกายของนางร้อนวูบขึ้นมาด้วยความโมโห เหมือนมีบางอย่างจากข้างในจะล้นทะลักออกมา “หากยังอยากกลับไปพบลูกเมียหรือญาติพี่น้องก็กลับไปแจ้งนายของพวกท่านซะว่าข้าไม่ไป แต่จะไปพบเองในวันหลังไม่ต้องให้มาเชิญ ช่วยหลีกทางด้วย!” นางไม่สนใจว่าพวกนั้นจะว่าเช่นไร นางใช้เท้ากระทุ้งม้าให้ออกวิ่งในทันที แต่พวกนั้นคงฉลาดพอตัวถึงไม่ตามมา
“กลับมาแล้วหรือจิวเหมย” มาถึงบ้านนางก็เห็นแม่ใหญ่กับสาวใช้คนสนิทที่ชื่อแม่นมกุ้ยนั่งแกะนุ่นกันอยู่
“เจ้าค่ะแม่ใหญ่ เหตุใดไม่นอนพักอีกซักหน่อยเล่าเจ้าคะ มัวแต่แกะนุ่นอยู่ได้”
“นอนพอแล้ว อีกอย่างศพของอนุรองยังติดตาไม่หาย คงนอนไม่ลงหรอก เจ้านั่นแหละควรไปนอนพักได้แล้ว”
“ตระกูลตงไม่ยอมรับศพแม่รองกลับตระกูล ท่านพ่อเองก็มีคำสั่งให้ส่งกลับไป ข้าก็เลยตัดสินใจให้ฝังร่างนางที่สุสานสำหรับศพไร้ญาติ แม่ใหญ่คิดเห็นเช่นไรเจ้าคะ”
“หากเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ตัดสินใจได้ถูกแล้ว”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าไปนอนก่อนนะเจ้าคะ ง่วงเต็มทีแล้ว” ฮูหยินใหญ่มองตามแผ่นหลังเล็กของจิวเหมยแล้วถอนหายใจ นางเองพอได้อยู่ที่นี่ก็ไม่อยากกลับจวนอีกแล้ว จวนนั้นกว้างใหญ่แต่ช่างเงียบเหงาแต่ที่นี่แม้จะไม่ใหญ่โตแต่ก็ทำให้นางรู้สึกอบอุ่น นางเองก็ไม่ได้เกลียดชังจิวเหมยดั่งเช่นคนอื่นคิด เพียงแต่นางไม่รู้จะต้องแสดงความรู้สึกเช่นไรกับบุตรสาวของสตรีที่เป็นศัตรูหัวใจของนาง นางรักท่านแม่ทัพและก็รู้ดีเช่นกันว่าท่านแม่ทัพนั้นรักเยว่เหมยอิง แต่ถึงเช่นนั้นนางก็ยังเอ่ยขอสมรสพระราชทานจนได้แต่งเข้าจวนเป็นฮูหยินใหญ่
“คุณหนูใหญ่เดิบโตได้งดงามมากนะเจ้าคะฮูหยิน”
“ใช่ นางเติบโตมาได้งดงามทั้งกายและใจ นางยังเด็กแต่กลับเป็นที่พึ่งให้คนมากมายเหลือเกิน”
“ตั้งแต่ฮูหยินมาอยู่ที่นี่ท่านดูสดใสขึ้นมากนะเจ้าคะ”
“เจ้าก็ดูบรรยากาศรอบๆบ้านของจิวเหมยดูสิ เป็นเช่นนี้จะไม่ให้ข้าสดใสได้หรือ”
“จริงเจ้าค่ะ มองไปทางใดก็รู้สึกสดชื่น แปลงผักและแปลงนาพวกนั้นก็สบายตา คุณหนูใหญ่ช่างเก่งกาจ”
“ใช่ นางเก่งมาก ดูอย่างนุ่นที่เราแกนี่สิ จะมีใครรู้บ้างว่ามันเอาใช้ประโยชน์เช่นใดได้บ้าง แต่นางกลับเอามาทำเป็นผ้าห่ม ข้าได้ลองห่มแล้วเมื่อคืนมันทั้งนุ่ม อุ่น สบายมาก ฤดูหนาวนี้คงไม่ต้องจุดเตาผิงไว้ใต้เตียงอีกแล้วกระมัง” เห็นคราแรกนางนึ่งทึ่งไม่น้อย ยิ่งพอได้ลองใช้ก็ยิ่งทึ่งไปอีก ไม่คิดว่านุ่นเบาๆจะทำให้ผ้าห่มทั้งหนาและนุ่มน่านอนเช่นนั้น
ส่วนจิวเหมยนั้นหัวถึงหมอนก็หลับสนิทชนิดที่กรนสนั่นก็ไม่มีทางรู้สึกตัว มาตื่นเอาอีกทีก็ตะวันตรงหัวแล้ว นางอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็มาช่วยพี่เสี่ยวอิงเตรียมมื้อเที่ยง ท่านน้าลู่ไป๋เองก็เพิ่งกลับจากในตัวตลาดเพราะไปสั่งทำของที่นางสั่งไว้เมื่อคืน กลับมาถึงก็ขึ้นบ้านตัวเองแล้วเงียบไป คงไม่พ้นนอนหลับ
“พี่เสี่ยวจิงไม่อยู่หรือเจ้าคะ”
“เข้าไปดูเหลาอาหารตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”
“จริงสิ ข้าลืมให้ท่านน้าลู่ไป๋ไปคุยกับช่างเรื่องสร้างบ้านให้คนงานเลย แต่ว่าให้อยู่ที่นั้นไปก่อนก็ได้กระมัง”
“พี่เสี่ยวจิงบอกพี่ว่าไม่มีอะไรเสียหายไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“ใช่ แต่มันไกลจากบ้านข้านี่นา เดี๋ยวกินข้าวเที่ยงเสร็จเราเข้าไปดูที่เหลาอาหารกันนะเจ้าคะพี่เสี่ยวอิง ข้าจะแวะไปที่ร้านของช่างไม้ด้วย ให้ท่านน้าลู่ไป๋ได้พักบ้าง”
นางรีบทำรีบกินมื้อเที่ยงให้เสร็จแล้วชวนพี่เสี่ยงอิงเข้าไปในตัวตลาดทันที ได้มาเห็นซากอันย่อยยับของเหลาอาหารแล้วอาการโมโหก็ปะทุขึ้นมา โชคยังดีที่พี่เสี่ยวอิงเก็บเงินกลับบ้านทุกวันไม่มีเก็บไว้ที่นี่ คนงานกำลังช่วยกันเก็บแยกซากไม้ไว้กองใหญ่อะไรที่ยังพอใช้ได้นางให้เก็บขนไปไว้ที่บ้านเพราะยังใช้เป็นฝืนได้
“ช่วงนี้ต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนนะเจ้าคะ รอให้บ้านใหม่เสร็จก่อนค่อยย้ายไป”
“คุณหนูยังจะจ้างพวกเราอยู่หรือเจ้าคะ”
“จ้างสิเจ้าคะท่านป้า ที่สวนของข้าก็มีงานให้ทำเยอะเลย หวังว่าพวกท่านจะไม่ทิ้งข้าไปไหน หรือหากใครอยากไปก็ให้มาแจ้งแก่พี่เสี่ยวจิงหรือพี่เสี่ยวอิงได้เลยนะเจ้าคะ ข้าจะให้เงินไว้เป็นทุน”
“พวกข้าน้อยไม่ไปไหนหรอกขอรับ คุณหนูมีพระคุณพวกข้าน้อยจะอยู่รับใช้ทำงานด้วยจนกว่าจะหมดแรง”
“งานจากนี้อาจจะหนักหน่อยนะเจ้าคะ” นางฝากฝังเรื่องเหลาอาหารกับคนงานแล้วก็ชวนพี่เสี่ยวอิงไปที่ร้านของช่างไม้ ทันทีที่เห็นหน้านางก็โอดครวญที่นางสั่งงานจนทำไม่ทัน แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มอย่างร่าเริง “ร้านใหญ่โตขึ้นนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้มาเยี่ยมท่านเพียงไม่กี่วันเท่านั้น” คนงานมีเพิ่มมาอีกหลายสิบคน งานที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ของที่นางสั้งทั้งนั้น
“ก็เพราะได้คุณหนูหลิวเมตตาให้งานข้า หากไม่มีงานข้าก็คงไม่ได้ขยับขยายร้านได้ใหญ่ถึงเพียงนี้ขอรับ”
“เพราะฝีมือของช่างเองต่างหากเจ้าค่ะ แล้วนี่ที่ข้าให้ท่านน้าลู่ไป๋มาสั่งทำให้ล่ะเจ้าคะพอจะทำได้ไหม”
“ขอรับ ไม่ยากนัก ได้ยินว่าคุณหนูอยากได้เกวียนไว้ใช้งาน เอาเกวียนของข้าไปใช้ก่อนดีหรือไม่ขอรับ”
“ข้ารอเกวียนของข้าดีกว่าเจ้าค่ะ ช่างไม้เองก็ต้องใช้เกวียนขนของเช่นกัน”
“เช่นนั้นข้าจะเร่งทำให้นะขอรับ” นี่ท่านน้าลู่ไป๋มาสั่งเกวียนที่นี่งั้นหรือ จะไม่ให้ช่างไม้ได้หายใจหายคอกันหรืออย่างไร แต่คนงานเยอะเช่นนี้คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง “ข้าเสียใจเรื่องเหลาอาหารของคุณหนูด้วยนะขอรับ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ เพียงแวะมาเยี่ยมเยียนเท่านั้น” ออกจากร้านของช่างไม้นางก็ควบม้าไปที่จวนของอัครเสนาบดีจ้าวส่วนพี่เสี่ยวอิงนั้นแยกไปหาพี่เสี่ยวจิงที่เหลาอาหาร “ข้ามาพบคุณชายจ้าวไท่หลงเจ้าค่ะ” แจ้งแก่ยามหน้าประตูแล้วก็ผ่านเข้ามาอย่างง่ายดายมีสหายยืนยิ้มรอต้อนรับอยู่หน้าเรือน
“ลมอะไรหอบเจ้ามาหาข้าหรือสหาย”
“ไปกับข้าหน่อย มีเรื่องให้รีบจัดการ”
“มีเรื่องอีกแล้วหรือ!”
“ใช่ เมื่อตอนที่ข้ากลับจากจวนของท่านพ่อมีคนของรองเสนาบดีคลังมาดักข้าไว้เพื่อเชิญข้าไปพบ ข้าก็เลยจะไปพบเช่นที่เขามาเชิญแต่จะให้ไปคนเดียวก็จะดูไม่ปลอดภัยนักก็เลยมาชวนเจ้าอย่างไรเล่าไท่หลง”
“เช่นนั้นควรเอาองครักษ์ไปด้วยซักสิบคน ไม่สิ ยี่สิบคนไปเลย พี่ใหญ่ก็ไม่อยู่ด้วยสิ”
“เจ้ากลัวหรือ”
“จิวเหมย เรายังเป็นเด็ก ถึงแม้เจ้าหรือข้าจะเก่งกาจเพียงใดแต่เราไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้ใหญ่หรอกนะ เช่นไรหากจะเข้าถ้ำเสือเราก็ต้องมีอาวุธในมือ และพี่ใหญ่ของข้าก็เป็นอาวุธที่เป็นสหายขององค์ไท่จื่อ ใครจะอยากมีปัญหากับองค์รัชทายาทกันล่ะ คิดซักนิดสิสหาย” ใช่ นางคิดน้อยไปจริงๆนั่นแหละ “ถึงพี่ใหญ่ไม่อยู่แต่ท่านพ่อข้าอยู่นะ”
“ข้าจะกล้ารบกวนได้เช่นไร”
“เช่นนั้นข้าจะให้คนไปตามพี่ใหญ่ดูก่อน เจ้าเข้ามารอก่อนเถิด เสียดายที่วันนี้ท่านแม่เข้าวังก็เลยไม่ได้พบเจ้า” ไท่หลงเรียกองครักษ์ให้ไปตามจ้าวไท่หยางที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนแต่ถ้าให้เดาคงเป็นในวัง “แล้วเรื่องเหลาอาหารเจ้าจะทำเช่นไรต่อ จะเปิดอีกหรือไม่ครานี้ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
“ข้าจะทำแบบอื่นแต่ก็ยังขายอาหารอยู่เหมือนเดิม เอาไว้ข้าเริ่มขายเมื่อไหร่จะบอกเจ้าก็แล้วกัน”
“จริงสิ อีกหนึ่งเดือนองค์ฮ่องเต้จัดให้มีเทศกาลล่าสัตว์ เจ้าอยากไปด้วยหรือไม่ ท่านพ่อของข้าต้องตามเสด็จด้วย ท่านแม่กับข้าแล้วก็เว่ยเอ๋อร์ก็เลยต้องตามไปด้วย หากเจ้าอยากไปข้าจะแจ้งท่านพ่อให้”
“มีอะไรให้น่าไปหรือ ข้าไม่นิยมล่าสัตว์หรอกนะ”
“ไม่รู้สิ แต่ป่าที่จะไปพี่ใหญ่เล่าให้ฟังว่ามีสัตว์อสูรอยู่เต็มไปหมด คงมีอะไรซักอย่างให้เจ้าได้เก็บกลับมาบ้าง”
“คงมีสมุนไพรล้ำค่าอยู่เยอะเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะไปด้วย” หวังว่าคงไม่ใช่ป่าที่หลิวจิวเหมยเอาชีวิตไปทิ้งหรอกนะ แต่ป่าใหญ่ทั้งยังมีสัตว์อสูรคงมีของดีให้นางค้นหาเป็นแน่ นั่งคุยกันนานพอควรคุณชายใหญ่ของจวนก็กลับมา นางจึงได้ฤกษ์ควบม้าไปที่จวนของรองเสนาบดีคลังเสียที จวนใหญ่โตสมกับเป็นรองเสนาบดีคลัง
“ข้ารองแม่ทัพจ้าวไท่หยาง พวกข้ามาพบรองเสนาบดีเยว่ โปรดไปแจ้งแก่ท่านด้วย” ยามเฝ้าประตูจวนหนึ่งคนเข้าไปแจ้งแก่นายท่านของจวน ไม่นานก็กลับมาพร้อมชายชราหนึ่งคนที่แนะนำตัวเองว่าเป็นพ่อบ้านของจวนนี้
“นายท่านรอพวกท่านอยู่ขอรับ เชิญ” พวกนางเดินตามพ่อบ้านชราเข้าไปโดยมีจ้าวไท่หยางเดินนำ โถงรับแขกของจวนนี้ช่างหรูหรา โต๊ะแต่ละตัวทำจากไม้เนื้อดี ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะบิดาของเยว่ฉินหรงเป็นถึงคหบดีผู้ร่ำรวย “มาแล้วขอรับนายท่าน” จิวเหมยสังเกตชายวัยกลางคนที่ยังดูหนุ่มแน่นและอายุคงไม่ห่างจากท่านพ่อของนางมากนัก รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หล่อเหลาราวกับคุณชายสูงศักดิ์ ดวงหน้าละม้ายคล้ายกับมารดาในความทรงจำของหลิวจิวเหมย
“คารวะท่านรองเสนาบดีขอรับ”
“ไม่ต้องมากพิธีหรอกรองแม่ทัพจ้าว คนกันเองทั้งนั้น มานั่งก่อนๆ” นางหันไปยิ้มมุมปากกับจ้าวไท่หลง คนกันเองงั้นหรือ หึ “เจ้าเองสินะหลิวจิวเหมย บุตรสาวของเยว่เหมยอิงกับท่านแม่ทัพหลิวตงเฉิน”
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยหลิวจิวเหมย”
“เช่นนั้นเจ้าก็เป็นหลาน ‘ลุง’ ยินดีจริงๆที่ได้รู้ว่าเหมยอิงมีบุตรสาว”
“ข้าเองก็ยินดีที่ได้พบท่านลุงเช่นกันเจ้าค่ะ มีเรื่องมากมายที่ข้านั้นสงสัยและอยากได้คำตอบ ที่มาพบช้าไปซักหน่อยด้วยเพราะข้านั้นไม่ค่อยประทับใจในการเชิญคนมาพบของคนที่ท่านลุงส่งไปซักเท่าไหร่ หวังว่าท่านลุงจะไม่ถือสา”
“ต้องขอโทษเจ้าแล้ว ลุงจะลงโทษพวกเขาให้เจ้าดีหรือไม่”
“สุดแล้วแต่ท่านลุงเจ้าค่ะ ว่าแต่ให้ข้ามาพบด้วยเรื่องใดหรือเจ้าคะ”
“ลุงเพียงอยากพบอยากสนทนากับหลานเพียงเท่านั้น ตั้งแต่ได้ข่าวว่าเหมยอิงมีบุตรกับท่านแม่ทัพลุงก็ให้คนออกตามหาเจ้ามาตลอด จนแน่ใจว่าเจ้าเป็นบุตรของน้องสาวลุงจริงจึงให้คนไปเชิญเจ้ามาพบ”
“ท่านเข้าเรื่องเลยดีกว่าเจ้าค่ะว่าต้องการอะไรจากข้ากันแน่”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า ลุงเพียงอยากพบเจ้าเท่านั้น” หึ คิดว่านางใสซื่อไม่รู้ความมากหรืออย่างไร ถึงได้คิดว่านางจะเชื่อน้ำคำที่เสแสร้งไม่จริงใจเช่นนี้ “ลุงเห็นเจ้าไปเปิดเหลาอาหารทั้งยังออกไปอยู่นอกจวนตั้งแต่ยังเด็กก็เลยนึกห่วง ท่านแม่ทัพคงดูแลเจ้าไม่ดีนักเจ้าถึงทำเช่นนี้ ลุงเพียงหวังดีอยากช่วยเหลือเจ้าเท่านั้น”
“ช่วยเหลือเช่นไรหรือเจ้าคะ”
“จวนของลุงกว้างขวาง หากมีเจ้ามาอยู่ด้วยคงไม่เหงา” อยากจะกรอกตามองบนจริงๆ
“แก้ไขความเข้าใจผิดของท่านลุงก่อนนะเจ้าคะ ท่านพ่อไม่ได้ทอดทิ้งข้าเพียงแต่ข้าเป็นคนออกปากเองว่าอยากออกมาอยู่ข้างนอก และข้ามีบ้านเป็นของตัวเอง อยู่ที่นั้นมีความสุขดีท่านลุงไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ นี่ลุงคงจะเป็นห่วงหลานมากไปสินะ”
“เจ้าค่ะ แต่นอกจากเรื่องนี้ท่านลุงมีเรื่องใดอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่มีแล้ว แค่รู้ว่าเจ้าสบายดีอยู่อย่างมีความสุขลุงก็หมดห่วง”
“เช่นนั้นข้ามีคำถามจะถามท่านลุงเจ้าค่ะ เหตุใดท่านลุงถึงให้คนไปเผาเหลาอาหารของข้าเจ้าคะ!” สองพี่น้องตระกูลจ้าวถึงกับสำลักน้ำชาที่นางถามไปตรงๆเช่นนั้น คนถูกถามก็สะอึกไปเช่นกัน
“หลานพูดเรื่องอะไร ลุงจะทำกับหลานแบบนั้นได้เช่นไร”
“เช่นนั้นเหตุใดองครักษ์ของข้าถึงเห็นพ่อบ้านของท่านจ่ายเงินให้เด็กที่ไปวางเพลิงเหลาอาหารของข้าหรือเจ้าคะ อีกทั้งคนของข้าติดตามผู้ที่เข้าไปถามหาข้าที่เหลาแทบทุกวันก็ไม่พ้นเป็นคนของจวนท่านทั้งนั้น โปรดบอกหลานคนนี้หน่อยเถิดเจ้าค่ะท่านลุง ว่าท่านทำแบบนั้นเพื่อต้องการสิ่งใดจากข้า”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้วหลานลุง ลุงเพียงให้คนไปสอบถามเท่านั้นเผื่อว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ แล้วเรื่องวางเพลิงลุงก็ไม่รู้เรื่องอันใดเลย นี่หลานกำลังใส่ร้ายลุงอยู่นะ” ไท่หลงได้ฟังแล้วอยากลุกไปชกหน้าจริงๆ จิวเหมยเองก็ไม่ต่างกัน นางไม่คิดว่าคนๆนี้จะกล้าปฎิเสธทั้งๆที่นางจับได้เช่นนี้แล้ว “เจ้ายังเด็ก ครั้งนี้ลุงจะไม่ถือสาก็แล้วกัน”
“ไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แต่ข้าจะพูดกับท่านตรงนี้ ไม่ว่าท่านจะต้องการอะไรจากข้า จะใช้ข้าเป็นเครื่องมือต่อรองกับท่านพ่อเช่นที่ท่านเคยทำกับท่านแม่ของข้า ไม่ว่าจะเรื่องอะไรท่านจะไม่ได้อะไรจากข้าแม้ซักอย่างเดียว หากท่านมีใจคิดว่าข้าเป็นลูกหลานจริงๆ ก็ได้โปรดอย่ามายุ่งกับข้าอีก ความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติของเราจบลงตั้งแต่ท่านแม่ตายไปแล้วเจ้าค่ะ ขออภัยที่เสียมารยาท แต่วันนี้ข้าต้องขอลาก่อน” พูดจบนางก็ลุกขึ้นโค้งให้แล้วเดินออกจากจวนไปในทันที เพราะตอนนี้นั้นนางโมโหจนแทบฆ่าคนได้อยู่แล้ว ไท่หลงเมื่อเห็นสหายลุกเดินออกไปก็ลุกโค้งให้เจ้าบ้านแล้วตามนางออกไปเช่นกัน
“ขออภัยที่มารบกวนขอรับท่านรองเสนาบดี พวกเขายังเด็กหวังว่าท่านจะไม่ถือสาหาความ” เห็นสันกรามที่นูนขึ้นอย่างชัดเจนแล้วเห็นทีจะเคืองมากทีเดียว “แต่ที่นางพูดไปทั้งหมดนั้นเพราะพวกข้ามั่นใจว่าเป็นคนของท่าน ท่านอาจจะไม่รู้ว่าข้ากับท่านพ่อนั้นดูแลเหมยเอ๋อร์ดีเพียงใด ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับนางเล็ดลอดสายตาของข้ากับท่านพ่อไปได้” ไท่หยางยกน้ำชาขึ้นจิบจนหมดจอกแล้ววางลงอย่างใจเย็น “รวมทั้งของเรื่องของท่านด้วย”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตระกูลจ้าว! พวกเจ้าอย่ามายุ่งจะดีกว่า”
“จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ถูกนักขอรับ เหมยเอ๋อร์เป็นหลานที่ท่านพ่อท่านแม่ของข้ารักมาก หากนางเดือดร้อนตะกูลจ้าวจะไม่นิ่งนอนใจ และท่านควรกลัวที่สุดไม่ใช่พวกข้าแต่คือท่านแม่ทัพหลิว หวังว่าท่านจะเข้าใจในสิ่งที่ข้าจะบอกนะขอรับ” จ้าวไท่หยางลุกขึ้นโค้งคำนับให้อย่างสง่างามแล้วเดินออกจากจวนไปไม่เหลี่ยวหลัง แต่ยังไม่ทันพ้นประตูหน้าจวนก็ได้ยินเสียงขว้างปาข้าวของตกแตกจนอดจะยกยิ้มมุมปากไม่ได้ คิดอยากเป็นศัตรูกับท่านพ่อก็เหมือนหาเรื่องใส่ตัวนั่นแหละ
“จิวเหมยกลับแล้วไปแล้วขอรับพี่ใหญ่”
“เช่นนั้นเราก็กลับจวนกันเถิด แล้วก็ไม่ต้องให้เหมยเอ๋อร์มาที่นี่อีกแม้ว่าเขาจะไปเชิญมา เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับ จิวเหมยคงไม่มาอีกแล้วขอรับ แต่ท่านพี่กลับไปก่อนนะขอรับข้าจะตามจิวเหมยไปที่บ้าน” มีขนมแสนอร่อยรออยู่เขาต้องรีบไป “ฝากบอกท่านแม่ไม่ต้องรอทานข้าวนะขอรับ”
จ้าวไท่หลงรีบควบม้ามาที่บ้านของสหาย แม้จะเกือบพลบค่ำแล้วแต่บรรยากาศแถบประตูเมืองก็คึกคักไม่น้อย ด้วยเพราะวันพรุ่งจะเป็นวันที่พ่อค้าแม่ค้าต่างแดนเอาของมาวางขายที่ตลาด จิวเหมยเองพอรู้ก็ตื่นเต้นไม่น้อยเพราะมีของที่นางอยากหาซื้อมากมาย ช่วงนี้ก็เลยมีพ่อค้าแม่ค้าทยอยเดินทางมาเมืองหลวงกันเยอะ
“มาแล้วหรือไท่หลง จิวเหมยเข้าครัว เจ้ามาช่วยข้าแกะนุ่นนี่มา”
“โธ่ ข้ายังไม่ทันได้นั่งเลยนะขอรับท่านน้าลู่ไป๋ แล้วนี่ยังไม่เสร็จอีกหรือขอรับ”
“ยังหรอก ต้องใช้อีกเยอะ จิวเหมยจะทำให้เจ้าด้วยซักผืนหากอยากได้ก็มาช่วยกัน” พอได้ยินว่ามีของตัวเองด้วยเขาก็ไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วยท่านน้าลู่ไป๋แกะนุ่น “ไปกันวันนี้ได้ความเช่นไรบ้าง จิวเหมยไม่ยอมปลุกให้ข้าไปด้วย”
“หากไม่อยากเดือดร้อนก็คงฟังที่จิวเหมยเตือน แต่ถ้าหากยังมาวุ่นวายกับนางอีกเห็นทีท่านแม่ทัพคงไม่อยู่เฉยอีกต่อไป แต่อันที่จริงท่านแม่ทัพก็ไม่ได้นิ่งเฉยมานานแล้วเพียงแต่ไม่ได้บอกผู้ใดเท่านั้น ที่พี่ใหญ่ของข้ากลับมาพร้อมข้ากับจิวเหมยก็เพราะท่านแม่ทัพวานให้กลับมาจัดการเรื่องนี้นั่นแหละขอรับ แต่ข้าไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรเช่นกัน” ถามพี่ใหญ่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบ บอกเพียงว่าถึงเวลาก็รู้เอง ก็เขาอยากรู้ก่อนนี่นา
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านแม่ทัพมานาน ชายผู้นั้นอันตรายเกินกว่าผู้ใดจะคาดคิด ข้าคิดว่าที่เขายังยอมลงให้ครอบครัวฝั่งอนุภรรยานั่นก็เพราะเห็นแก่แม่นางเหมยอิง เรื่องอนุรองก็เช่นกัน คิดจริงๆหรือว่านางจะถูกขังไว้ให้นอนสบายๆอยู่ในคุกเช่นนั้น เพียงแต่เราคาดเดาอะไรท่านแม่ทัพไม่ได้เท่านั้นเอง”
“จริงขอรับ ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นซานตั้งแต่อายุยังน้อย”
“คนที่อันตรายที่สุดคือคนที่มักจะเงียบไม่มีพิษสงนั่นแหละไท่หลง ไม่เช่นนั้นจะคุมกองทัพนับแสนคนได้เช่นไร”
“ขอรับ เอ่อ ข้าขอไปหาจิวเหมยในครัวนะขอรับ” กลิ่นหอมลอยมาให้ได้กลิ่น ท้องของเขาก็คราญคราง
“อ้าว มาแล้วหรือไท่หลง พี่หยางมาด้วยหรือไม่เล่าข้าจะได้ทำเพิ่ม”
“พี่ใหญ่ต้องกลับจวน คิดว่าคงเข้าวังอีก ตั้งแต่กลับมาไม่เคยอยู่ติดจวนซักวัน วันนี้ขนมหวานเป็นอะไรหรือ”
“เผือกน้ำกะทิ” นางเอาเผือกที่ได้จากเพื่อนบ้านเมื่อนานมาแล้วไปนึ่ง ตอนแรกก็ไม่รู้จะทำอะไรดีแต่พอเห็นหน้าสหายแล้วขนมหวานชนิดนี้ก็ลอยขึ้นมา ไท่หลงเองก็มองอย่างสนใจเพราะไม่เคยเห็น นางเทน้ำผึ้งกับเกลือลงไปในกะทิแล้วคนเล็กน้อยก็จะยกลงจากเตา ส่วนเผือกที่นางบอกนั้นเขาเห็นอยู่ในอีกหม้อหนึ่งที่ยังตั้งไฟอยู่ “หอมใช่ไหมล่ะ”
“หอมมาก ให้กินคนเดียวยังไหว”
“เออนี่ไท่หลง ข้าคิดอะไรขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จะทำดีหรือไม่”
“อะไรหรือ”
“ติดบุญคุณย่อมต้องทดแทน มีแค้นก็ต้องชำระใช่หรือไม่สหาย” แม้จะไม่เข้าใจแต่ไท่หลงก็พยักหน้ารับ “ข้าอยากเผาคลังเก็บสินค้าของคหบดีเยว่ เจ้าพอรู้หรือไม่ว่ามันอยู่ที่ใด” เจ้ากำลังทำให้ข้าขนลุกนะหลิวจิวเหมย!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มีแค้นก็ต้องชำระน่ะถูกแล้ว
โอมายก็อด
ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หยางหลงคนเผือก
เผามาเผากลับไม่โกงจ่ะ จัดไป ทบต้นทบดอกเลย
งงท่านพ่อมาก เป็นเพื่อนกับฮ่องเต้ พอได้สมรสพระราชทาน ทำอะไรไม่ได้เลยอ๋อ เป็นเพื่อนกับฮ่องเต้เลยนะ ดูเหมือนท่านแม่ทัพจะรักแม่นางเอกแต่ปากอ่ะ มันมีวิธีแก้ปัญหาได้เยอะมากก แต่ไม่ทำ นี่คงไม่ใช่เก่งแต่ซ่อนคมแล้วมั้ง ให้คนที่ตัวเอกรักเป็นอนุเนี่ยนะ ผชไร ไม่แมนเลย ไม่ให้เกียรติคนรักตัวเอกเลยอ่า ซวยจริงๆแม่นางเอกที่แต่งให้ท่านแม่ทัพ ขนาดโดยวางยาจนตายแม่ทัพยังไม่เดือดร้อนเลยจ้า
ชิ้นมาเสียบไว้เป็นกากบาด นำไปปั่นนุ่นให้ปุยนุ่นฟูและแยกให้เม็ดสีดำๆ ตกอยู่ใต้กระบุง ทำให้ปุยนุ่นแยกจากเม็ด เวลานำนุ่นไปใช้จะไม่ถูกหนูแทะค่ะ (หนูชอบกินเม็ดนุ่นมากคะ) ที่บ้านผู้อ่านทำแบบนี้ค่ะ