ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 : การพบกันครั้งแรก (50%)
Chapter 1 : การพบกันครั้งแรก
'ทิวากร' ชายหนุ่มผู้มีรูปโฉมงดงามราวกับเทพบุตร ผู้คนในเมืองไม่มีผู้ใดไม่รู้จักเขาลูกชายคนโตของขุนนางใหญ่แห่งวังหลวงเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว...
"นายน้อยเจ้าค่ะ รีบกลับกันดีกว่านะเจ้าค่ะ ในป่าแห่งนี้น่ากลัวยิ่งนัก"
"โธ่ ผกา เจ้าจักกลัวสิ่งใดกันเล่า ป่าทางตะวันออกแห่งนี้นั้นเป็นป่าโปร่งมิใช่ป่าทึบดั่งป่าทางตะวันตก" จะมิให้นางไม่กลัวได้อย่างไร ต่อให้เป็นป่าโปร่งก็มิได้หมายความว่าจะไม่มีสัตว์ร้ายอยู่ในป่าแห่งนี้...
"แต่ก็มิมีสิ่งใดยืนยันได้นะเจ้าค่ะว่าที่ป่าแห่งนี้จะไม่อันตราย ขึ้นชื่อว่าป่าก็อันตรายทั้งนั้นนะเจ้าคะ" หญิงสาวเอ่ยตอบผู้เป็นนายดังที่คิด
"เจ้าอย่ากลัวไปเลยผกา เจ้ามิได้มาที่แห่งนี้กับข้าเพียงสองคน หากแต่มีคนคุ้มกันติดตามมาด้วย ทั้งเก่งกาจและห้าวหาญ" ทิวากรนั้นพูดความจริง หากคนคุ้มกันของเขามิเก่งกาจจะปกป้องเขาจากการถูกรอบทำร้ายตลอดเวลาได้เยี่ยงไรเล่า ถึงเขาจะมีฝีมือดาบที่มิเป็นรองผู้ใด แต่หากเจอศัตรูจำนวนมากเขาก็รับมือไม่ไหวเช่นกัน
"โธ่ นายน้อย แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังกลัวอยู่ดี เพราะที่นี่....." หญิงสาวพูดได้เพียงเท่านี้ก่อนที่จะถูกผู้เป็นนายตัดบทเอาเสียดื้อๆ
"หากเจ้ากลัวนักเจ้าก็กลับไปคนเดียวละกันผกา" ผู้ใดจะกล้าทิ้งนายน้อยไว้ในป่ากันเล่า มีหวังนางได้ถูกประหารเป็นแน่
"ผู้ใดจะกล้าทิ้งนายน้อยไว้กลางป่าเช่นนี้ละเจ้าคะ" ชายหนุ่มรู้ดีว่าสาวรับใช้ผู้นี้นั้นกลัวแค่ไหน แต่ที่ยังยืนยันว่าจะอยู่กับเขาในป่านี้นั้น เพราะกลัวจะถูกลงโทษเสียมากกว่า
"ถ้างั้นเจ้าก็เลิกบ่นได้แล้วผกา" ชายหนุ่มพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าที่งดงามราวกับเทพบุตร
"เจ้าคะนายน้อย" นางกล่าวอย่างจำยอม...
สายลมที่พัดพานำกลิ่นหอมของมวลบุปผามานั้นทำให้ชายหนุ่มถึงกับหยุดชะงัก
"กลิ่นหอมนี้มัน..." ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ "เราไปทางนั้นกันเถอะ" ชายหนุ่มหันไปบอกกับสาวรับใช้และคนคุ้มกันของตน ก่อนจะนำขบวนไปในทางดังกล่าว
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้ชายหนุ่มรวมทั้งบรรดาผู้ติดตามทั้งหมดตะลึง มิใช่ภาพทิวทัศน์ที่เป็นดังทุ่งดอกไม้เบื้องหน้า แต่เป็นหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางทุ่งนั่นต่างหากเล่า
"สวยยิ่งกว่าหญิงงามแห่งเมืองสะอีก..." ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเบาๆ
"พวกท่านเป็นใคร ทำไมถึงมายังป่าแห่งนี้เล่า" ชายหนุ่มแทบหยุดหายใจ เมื่อหญิงสาวเอ่ยถาม
หากจะบรรยายถึงหญิงงามตรงหน้าละก็คง ใบหน้างดงามราวกับเทพธิดา เรือนร่างนั้นสมส่วนไม่ผอมและไม่อ้วน คงเรียกได้ว่ามีน้ำมีนวล ผิวพรรณนั้นขาวผ่องดังจันทรา น้ำเสียงนั้นหวานปานน้ำผึ้ง คงไม่มีสิ่งใดที่จะเอ่ยออกมาได้เท่ากับประโยคนี้ นางในฝันของหนุ่มทุกคน
"นามของข้าคือ 'ทิวากร' ข้ามาเดินเล่นในป่าแห่งนี้ ได้กลิ่นหอมของเล่าบุปผา ข้าจึงตามกลิ่นนี้มา ว่าแต่แม่หญิงชื่ออะไรรึ" ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ผู้หญิงทุกคนต่างต้องหลงใหลในตัวเขา แต่กับหญิงตรงหน้ากลับไม่ได้ผลและยังคงความนิ่งเอาไว้ดุจดั่งหินผา ที่เขามิเคยพบเจอหญิงงามคนใดทำเยี่ยงนี้ได้
"ทิวากร...แปลว่า ดวงอาทิตย์ สินะ เหมาะสมกับท่านมาก" นางเอ่ยกับตนเองเบาๆ ก่อนที่จะตอบกลับไป "ช่างเป็นนามที่เหมาะกับท่านยิ่งนัก ข้าชื่อ 'จันทิรา' ท่านบอกข้าว่าท่านมาเดินเล่น แต่ท่านกลับมีผู้ติดตามที่ดูเก่งกาจและห้าวหาญถึงเพียงนี้ ท่านเป็นผู้ใดกัน"
"นี้เจ้าไม่รู้จักนายน้อยรึ" ผกาเอ่ยถามคนที่อยู่เบื้องหน้า
"หากข้ารู้จักท่านผู้นั้น ข้าจะถามทำไมเล่าแม่นาง" นางเอ่ยตอบตามที่คิด
ผกาคิดในใจ นางผู้นี้มิธรรมดา วาจารวมทั้งกิริยาที่แสดงออกนั้นเปรียบดั่งผู้สูงศักดิ์ก็มิปาน "นายน้อยของข้าเป็นถึงบุตรคนโตของขุนนางใหญ่ที่เก่งกาจในหหวังหลวง เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้จักกันเล่าแม่นาง"
"ข้ามิรู้จักดอกแม่นาง ข้าเติบโตในป่าแห่งนี้ มิเคยคิดที่จะเยือนเมืองหลวงสักครั้ง ก็มิแปลกมิใช่หรือที่ข้าจะไม่รู้จักท่านผู้นั้น" ช่างเก่งกล้ายิ่งนัก มิมีผู้ใดที่จักพูดคุยกับผกาโดยมิเกรงกลัวต่องสายตาของนางเช่นนี้
"แต่ถึงอย่างนั้น..."
"พอได้แล้วผกา จะถามนางทำไมให้มากความ"
"ขออภัยเจ้าคะนายน้อย" จริงดั่งที่นายน้อยว่า ถึงจะถามและใช้สายตาคาดคั้นนางอย่างไร นางก็ยังคงสงบนิ่งดุจหินผามิเปลี่ยนแปลง ช่างเป็นหญิงที่งามพร้อมทั้งรูปโฉม วาจา และกิริยาท่าทาง
"ข้าว่าพวกท่านควรรีบกลับเข้าเมืองจักดีกว่า ตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที พวกท่านอาจจะเป็นอันตรายได้" นางกล่าวเตือนด้วยความหวังดี เพราะนางรู้จักป่าแห่งนี้ดียิ่งกว่าใคร ว่ามันอันตรายเพียงใด
"ข้าว่าทำตามที่นางบอกเถอะเจ้าคะนายน้อย" ถ้านางอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้จริง การเชื่อคำเตือนของนางนั้นถือว่าดีแล้ว ผกาคิดเช่นนี้
"แล้วข้าจะได้พบเจ้าอีกหรือไม่แม่หญิง" เขาถามออกไป เพราะอยากพบกับนางอีกจริงๆ
"เราจะเจอกันอีกเมื่อท่านมาที่ป่าแห่งนี้ สักที่ในป่าแห่งนี้เราจักได้พบกับอีกแน่นอน" จันทิรากล่าวออกไปตามความจริง
"ข้าจะรอวันที่จะได้พบกับเจ้าอีก แม่หญิงจันทิรา"
"ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย ท่านทิวากร..." เสียงหวานเอ่ยบอกกับชายหนุ่ม ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาและเดินทางกลับเมืองหลวง โดยคิดว่าอีกสองสามวันเขาจะต้องมาพบนางอีกให้ได้
คฤหาสน์แสงตะวัน
"นั่นลูกชายข้าเป็นอะไรรึถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเช่นนั้นเล่า แม่ผกา"
"นั้นสิ ท่านพี่ดูแปลกๆตั้งแต่กลับมา ข้าขนลุกชอบกล" ผกาได้แต่ยิ้ม แล้วตอบเจ้านายทั้งสองไปว่า
"นายน้อยได้พบกับนางผู้หนึ่งในป่าตะวันออกเจ้าคะ" ยิ่งคิดถึงนางผู้นั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ท่าทีและใบหน้าขณะคุยกับนายน้อยนั้นเรียบนิ่ง จะมีก็แต่รอยยิ้มจางๆ ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดมีกิริยาเช่นนี้มาก่อน ก็มิแปลกที่นายน้อยจะถูกใจนาง
"เอ๋!!" 'ทินกร'กล่าวออกมาอย่างตกใจที่ไม่คิดว่าลูกชายของตนจะถูกใจหญิงผู้ใดมาก่อน
"เล่าให้ข้ากับท่านพ่อฟังเดี๋ยวนี้นะผกา" 'รวีวรรณ' กล่าวออกมาอย่างตะลึงและต้องการรู้เรื่องราว
"เจ้าคะคุณหนู" ผกาไม่ได้ตอบแบบจำยอม แต่หากตอบกลับผู้เป็นนายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเล่าเรื่องราวให้ผู้เป็นนายทั้งสองฝัง
"คือว่า ตอนที่นายน้อยเข้าไปในป่าตะวันออกก็ได้กลิ่นของเล่าบุปผา เลยตามกลิ่นหอมไปเจ้าคะ แล้วก็ไปพบกับทุ่งของเหล่าบุปผาที่งดงามมาก แต่ก็มิอาจเทียบความงดงามของหญิงนางหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางบุปผาเล่านั้นเจ้าคะ" ผกาเล่าพร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงก่อน
"แล้วเป็นอย่างไรต่อ นางรูปโฉมเป็นเช่นไร" ทินกรเอ่ยถามผู้รับใช้ของลูกชายตนอย่างสนอกสนใจ
"แล้วนางชื่ออะไร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เหตุใดนางถึงทำให้ท่านพี่เป็นเยี่ยงนี้" รวีวรรณถามอย่างต้องการรู้ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่ท่านพี่ของเธอจะสนใจ และเก็บเอามาคิดจนยิ้มออกมาคนเดียวแบบนี้
"ใจเย็นๆเจ้าคะ ข้าจะเล่าต่อ" ผกาเห็นปฏิกิริยาของทั้งสองก็อดขำมิได้ อย่างว่าแต่เจ้านายทั้งสองเลย นางเองที่เป็นผู้รับใช้อยู่ข้างกายของทิวากรก็ยังมิเคยเห็นอาการเช่นนี้
"มิเพียงแค่นายน้อยเท่านั้นที่ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น พวกข้าก็เช่นกัน นางสวยกว่าหญิงงามแห่งเมืองอีกนะเจ้าคะ" ผกาเอ่ยออกมาอย่างเบาพลางนึกถึงตอนที่เจอกับ แม่นางจันทิรา
"รูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดา ผิวพรรณนั้นขาวผ่องดุจจันทรา เรือนร่างนั้นมีน้ำมีนวล กิิริยามารยาทและวิธีการวางตัวต่อคนแปลกหน้าราวกับหญิงผู้สูงศักดิ์ น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นหวานปานน้ำผึ้ง ใครได้ฟังต่างก็ต้องเกือบหยุดหายใจ" ผกาเอื้อนเอ่ยออกมาราวกับคนเม่อลอย นั่นทำให้ผู้เป็นนายทั้งสองนั้นถึงกับนิ่งเงียบไปครู่นึง
"ข้าไม่อยากจะเชื่อ ว่าจะมีหญิงใดงามเกินกว่าหญิงงามแห่งเมืองผู้นั้นอีก ถ้าจะมีข้าว่านางนั้นแหละที่จะได้เป็นหญิงงามแห่งเมือง" เพราะว่าตัวเค้านั่นแหละที่เป็นคนเลือกหญิงงามแห่งเมืองเองกับมือ หากนางผู้นั้นงดงามราเทพธิดาจริงละก็ นางคงจะถูกเลือกเป็นหญิงงามแห่งเมือง
"ข้าก็คิดเช่นนั้นท่านพ่อ แล้วนางเป็นลูกของผู้ใดผกา"
"ข้าก็ไม่ทราบว่านางเป็นลูกของผู้ใด นางบอกว่า นางชื่อ จันทิรา นางนั้นเติบโตในป่าแห่งนั้น มิแปลกหรอกที่จะไม่รู้จักนายน้อย เพราะนางมิเคยคิดที่จะเหยียบย่างไปที่เมืองหลวงเลยสักครั้ง แล้วจู่ๆนางก็บอกกับพวกข้าและนายน้อยว่า ให้รีบกลับออกจากป่า ไม่อย่างนั้นจะอันตราย นายน้อยก็เลยออกจากป่าตามที่นางผู้นั้นบอกเจ้าคะ และนางยังบอกอีกว่าถ้าอยากพบกับนางเพียงแค่ท่านนั้นเข้าป่าตะวันออก แล้วสักที่ในป่านั้นท่านจักได้พบกับนางเอง เรื่องก็มีเท่านี้แหละเจ้าคะ"
พอเล่าจบผกาก็ขอตัวไปทำอาหารกับผู้เป็นนายทั้งสอง
"ท่านพ่อ คิดเหมือนที่ลูกคิดไหมเจ้าคะ" นางเอ่ยถามผู้เป็นพ่อพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"พ่อก็คิดอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ รวีรรณ" ผู้เป็นพ่อเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม
"ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้เราไปที่ป่าตะวันออกกันนะเจ้าคะ ท่านพ่อ"
"ดีเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้ท่านพี่ของเจ้าติดงาน มิสามารถไปไหนได้"
"ถ้าเช่นนั้นก็ตามนี้นะเจ้าคะ" เพราะนางสังหรณ์ใจว่า นางผู้นั้นจะต้องเป็นพี่สะใภ้ของนางแน่ นางรู้สึกได้
By...NightMareLove
'ทิวากร' ชายหนุ่มผู้มีรูปโฉมงดงามราวกับเทพบุตร ผู้คนในเมืองไม่มีผู้ใดไม่รู้จักเขาลูกชายคนโตของขุนนางใหญ่แห่งวังหลวงเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว...
"นายน้อยเจ้าค่ะ รีบกลับกันดีกว่านะเจ้าค่ะ ในป่าแห่งนี้น่ากลัวยิ่งนัก"
"โธ่ ผกา เจ้าจักกลัวสิ่งใดกันเล่า ป่าทางตะวันออกแห่งนี้นั้นเป็นป่าโปร่งมิใช่ป่าทึบดั่งป่าทางตะวันตก" จะมิให้นางไม่กลัวได้อย่างไร ต่อให้เป็นป่าโปร่งก็มิได้หมายความว่าจะไม่มีสัตว์ร้ายอยู่ในป่าแห่งนี้...
"แต่ก็มิมีสิ่งใดยืนยันได้นะเจ้าค่ะว่าที่ป่าแห่งนี้จะไม่อันตราย ขึ้นชื่อว่าป่าก็อันตรายทั้งนั้นนะเจ้าคะ" หญิงสาวเอ่ยตอบผู้เป็นนายดังที่คิด
"เจ้าอย่ากลัวไปเลยผกา เจ้ามิได้มาที่แห่งนี้กับข้าเพียงสองคน หากแต่มีคนคุ้มกันติดตามมาด้วย ทั้งเก่งกาจและห้าวหาญ" ทิวากรนั้นพูดความจริง หากคนคุ้มกันของเขามิเก่งกาจจะปกป้องเขาจากการถูกรอบทำร้ายตลอดเวลาได้เยี่ยงไรเล่า ถึงเขาจะมีฝีมือดาบที่มิเป็นรองผู้ใด แต่หากเจอศัตรูจำนวนมากเขาก็รับมือไม่ไหวเช่นกัน
"โธ่ นายน้อย แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังกลัวอยู่ดี เพราะที่นี่....." หญิงสาวพูดได้เพียงเท่านี้ก่อนที่จะถูกผู้เป็นนายตัดบทเอาเสียดื้อๆ
"หากเจ้ากลัวนักเจ้าก็กลับไปคนเดียวละกันผกา" ผู้ใดจะกล้าทิ้งนายน้อยไว้ในป่ากันเล่า มีหวังนางได้ถูกประหารเป็นแน่
"ผู้ใดจะกล้าทิ้งนายน้อยไว้กลางป่าเช่นนี้ละเจ้าคะ" ชายหนุ่มรู้ดีว่าสาวรับใช้ผู้นี้นั้นกลัวแค่ไหน แต่ที่ยังยืนยันว่าจะอยู่กับเขาในป่านี้นั้น เพราะกลัวจะถูกลงโทษเสียมากกว่า
"ถ้างั้นเจ้าก็เลิกบ่นได้แล้วผกา" ชายหนุ่มพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าที่งดงามราวกับเทพบุตร
"เจ้าคะนายน้อย" นางกล่าวอย่างจำยอม...
สายลมที่พัดพานำกลิ่นหอมของมวลบุปผามานั้นทำให้ชายหนุ่มถึงกับหยุดชะงัก
"กลิ่นหอมนี้มัน..." ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ "เราไปทางนั้นกันเถอะ" ชายหนุ่มหันไปบอกกับสาวรับใช้และคนคุ้มกันของตน ก่อนจะนำขบวนไปในทางดังกล่าว
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้ชายหนุ่มรวมทั้งบรรดาผู้ติดตามทั้งหมดตะลึง มิใช่ภาพทิวทัศน์ที่เป็นดังทุ่งดอกไม้เบื้องหน้า แต่เป็นหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางทุ่งนั่นต่างหากเล่า
"สวยยิ่งกว่าหญิงงามแห่งเมืองสะอีก..." ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเบาๆ
"พวกท่านเป็นใคร ทำไมถึงมายังป่าแห่งนี้เล่า" ชายหนุ่มแทบหยุดหายใจ เมื่อหญิงสาวเอ่ยถาม
หากจะบรรยายถึงหญิงงามตรงหน้าละก็คง ใบหน้างดงามราวกับเทพธิดา เรือนร่างนั้นสมส่วนไม่ผอมและไม่อ้วน คงเรียกได้ว่ามีน้ำมีนวล ผิวพรรณนั้นขาวผ่องดังจันทรา น้ำเสียงนั้นหวานปานน้ำผึ้ง คงไม่มีสิ่งใดที่จะเอ่ยออกมาได้เท่ากับประโยคนี้ นางในฝันของหนุ่มทุกคน
"นามของข้าคือ 'ทิวากร' ข้ามาเดินเล่นในป่าแห่งนี้ ได้กลิ่นหอมของเล่าบุปผา ข้าจึงตามกลิ่นนี้มา ว่าแต่แม่หญิงชื่ออะไรรึ" ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ผู้หญิงทุกคนต่างต้องหลงใหลในตัวเขา แต่กับหญิงตรงหน้ากลับไม่ได้ผลและยังคงความนิ่งเอาไว้ดุจดั่งหินผา ที่เขามิเคยพบเจอหญิงงามคนใดทำเยี่ยงนี้ได้
"ทิวากร...แปลว่า ดวงอาทิตย์ สินะ เหมาะสมกับท่านมาก" นางเอ่ยกับตนเองเบาๆ ก่อนที่จะตอบกลับไป "ช่างเป็นนามที่เหมาะกับท่านยิ่งนัก ข้าชื่อ 'จันทิรา' ท่านบอกข้าว่าท่านมาเดินเล่น แต่ท่านกลับมีผู้ติดตามที่ดูเก่งกาจและห้าวหาญถึงเพียงนี้ ท่านเป็นผู้ใดกัน"
"นี้เจ้าไม่รู้จักนายน้อยรึ" ผกาเอ่ยถามคนที่อยู่เบื้องหน้า
"หากข้ารู้จักท่านผู้นั้น ข้าจะถามทำไมเล่าแม่นาง" นางเอ่ยตอบตามที่คิด
ผกาคิดในใจ นางผู้นี้มิธรรมดา วาจารวมทั้งกิริยาที่แสดงออกนั้นเปรียบดั่งผู้สูงศักดิ์ก็มิปาน "นายน้อยของข้าเป็นถึงบุตรคนโตของขุนนางใหญ่ที่เก่งกาจในหหวังหลวง เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้จักกันเล่าแม่นาง"
"ข้ามิรู้จักดอกแม่นาง ข้าเติบโตในป่าแห่งนี้ มิเคยคิดที่จะเยือนเมืองหลวงสักครั้ง ก็มิแปลกมิใช่หรือที่ข้าจะไม่รู้จักท่านผู้นั้น" ช่างเก่งกล้ายิ่งนัก มิมีผู้ใดที่จักพูดคุยกับผกาโดยมิเกรงกลัวต่องสายตาของนางเช่นนี้
"แต่ถึงอย่างนั้น..."
"พอได้แล้วผกา จะถามนางทำไมให้มากความ"
"ขออภัยเจ้าคะนายน้อย" จริงดั่งที่นายน้อยว่า ถึงจะถามและใช้สายตาคาดคั้นนางอย่างไร นางก็ยังคงสงบนิ่งดุจหินผามิเปลี่ยนแปลง ช่างเป็นหญิงที่งามพร้อมทั้งรูปโฉม วาจา และกิริยาท่าทาง
"ข้าว่าพวกท่านควรรีบกลับเข้าเมืองจักดีกว่า ตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที พวกท่านอาจจะเป็นอันตรายได้" นางกล่าวเตือนด้วยความหวังดี เพราะนางรู้จักป่าแห่งนี้ดียิ่งกว่าใคร ว่ามันอันตรายเพียงใด
"ข้าว่าทำตามที่นางบอกเถอะเจ้าคะนายน้อย" ถ้านางอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้จริง การเชื่อคำเตือนของนางนั้นถือว่าดีแล้ว ผกาคิดเช่นนี้
"แล้วข้าจะได้พบเจ้าอีกหรือไม่แม่หญิง" เขาถามออกไป เพราะอยากพบกับนางอีกจริงๆ
"เราจะเจอกันอีกเมื่อท่านมาที่ป่าแห่งนี้ สักที่ในป่าแห่งนี้เราจักได้พบกับอีกแน่นอน" จันทิรากล่าวออกไปตามความจริง
"ข้าจะรอวันที่จะได้พบกับเจ้าอีก แม่หญิงจันทิรา"
"ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย ท่านทิวากร..." เสียงหวานเอ่ยบอกกับชายหนุ่ม ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาและเดินทางกลับเมืองหลวง โดยคิดว่าอีกสองสามวันเขาจะต้องมาพบนางอีกให้ได้
'หากเชื่อมั่นในชะตาฟ้าลิขิต เราจักต้องได้พบกันอีกแน่นอน'
จันทิรา
จันทิรา
คฤหาสน์แสงตะวัน
"นั่นลูกชายข้าเป็นอะไรรึถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเช่นนั้นเล่า แม่ผกา"
"นั้นสิ ท่านพี่ดูแปลกๆตั้งแต่กลับมา ข้าขนลุกชอบกล" ผกาได้แต่ยิ้ม แล้วตอบเจ้านายทั้งสองไปว่า
"นายน้อยได้พบกับนางผู้หนึ่งในป่าตะวันออกเจ้าคะ" ยิ่งคิดถึงนางผู้นั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ท่าทีและใบหน้าขณะคุยกับนายน้อยนั้นเรียบนิ่ง จะมีก็แต่รอยยิ้มจางๆ ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดมีกิริยาเช่นนี้มาก่อน ก็มิแปลกที่นายน้อยจะถูกใจนาง
"เอ๋!!" 'ทินกร'กล่าวออกมาอย่างตกใจที่ไม่คิดว่าลูกชายของตนจะถูกใจหญิงผู้ใดมาก่อน
"เล่าให้ข้ากับท่านพ่อฟังเดี๋ยวนี้นะผกา" 'รวีวรรณ' กล่าวออกมาอย่างตะลึงและต้องการรู้เรื่องราว
"เจ้าคะคุณหนู" ผกาไม่ได้ตอบแบบจำยอม แต่หากตอบกลับผู้เป็นนายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเล่าเรื่องราวให้ผู้เป็นนายทั้งสองฝัง
"คือว่า ตอนที่นายน้อยเข้าไปในป่าตะวันออกก็ได้กลิ่นของเล่าบุปผา เลยตามกลิ่นหอมไปเจ้าคะ แล้วก็ไปพบกับทุ่งของเหล่าบุปผาที่งดงามมาก แต่ก็มิอาจเทียบความงดงามของหญิงนางหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางบุปผาเล่านั้นเจ้าคะ" ผกาเล่าพร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงก่อน
"แล้วเป็นอย่างไรต่อ นางรูปโฉมเป็นเช่นไร" ทินกรเอ่ยถามผู้รับใช้ของลูกชายตนอย่างสนอกสนใจ
"แล้วนางชื่ออะไร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เหตุใดนางถึงทำให้ท่านพี่เป็นเยี่ยงนี้" รวีวรรณถามอย่างต้องการรู้ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่ท่านพี่ของเธอจะสนใจ และเก็บเอามาคิดจนยิ้มออกมาคนเดียวแบบนี้
"ใจเย็นๆเจ้าคะ ข้าจะเล่าต่อ" ผกาเห็นปฏิกิริยาของทั้งสองก็อดขำมิได้ อย่างว่าแต่เจ้านายทั้งสองเลย นางเองที่เป็นผู้รับใช้อยู่ข้างกายของทิวากรก็ยังมิเคยเห็นอาการเช่นนี้
"มิเพียงแค่นายน้อยเท่านั้นที่ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น พวกข้าก็เช่นกัน นางสวยกว่าหญิงงามแห่งเมืองอีกนะเจ้าคะ" ผกาเอ่ยออกมาอย่างเบาพลางนึกถึงตอนที่เจอกับ แม่นางจันทิรา
"รูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดา ผิวพรรณนั้นขาวผ่องดุจจันทรา เรือนร่างนั้นมีน้ำมีนวล กิิริยามารยาทและวิธีการวางตัวต่อคนแปลกหน้าราวกับหญิงผู้สูงศักดิ์ น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นหวานปานน้ำผึ้ง ใครได้ฟังต่างก็ต้องเกือบหยุดหายใจ" ผกาเอื้อนเอ่ยออกมาราวกับคนเม่อลอย นั่นทำให้ผู้เป็นนายทั้งสองนั้นถึงกับนิ่งเงียบไปครู่นึง
"ข้าไม่อยากจะเชื่อ ว่าจะมีหญิงใดงามเกินกว่าหญิงงามแห่งเมืองผู้นั้นอีก ถ้าจะมีข้าว่านางนั้นแหละที่จะได้เป็นหญิงงามแห่งเมือง" เพราะว่าตัวเค้านั่นแหละที่เป็นคนเลือกหญิงงามแห่งเมืองเองกับมือ หากนางผู้นั้นงดงามราเทพธิดาจริงละก็ นางคงจะถูกเลือกเป็นหญิงงามแห่งเมือง
"ข้าก็คิดเช่นนั้นท่านพ่อ แล้วนางเป็นลูกของผู้ใดผกา"
"ข้าก็ไม่ทราบว่านางเป็นลูกของผู้ใด นางบอกว่า นางชื่อ จันทิรา นางนั้นเติบโตในป่าแห่งนั้น มิแปลกหรอกที่จะไม่รู้จักนายน้อย เพราะนางมิเคยคิดที่จะเหยียบย่างไปที่เมืองหลวงเลยสักครั้ง แล้วจู่ๆนางก็บอกกับพวกข้าและนายน้อยว่า ให้รีบกลับออกจากป่า ไม่อย่างนั้นจะอันตราย นายน้อยก็เลยออกจากป่าตามที่นางผู้นั้นบอกเจ้าคะ และนางยังบอกอีกว่าถ้าอยากพบกับนางเพียงแค่ท่านนั้นเข้าป่าตะวันออก แล้วสักที่ในป่านั้นท่านจักได้พบกับนางเอง เรื่องก็มีเท่านี้แหละเจ้าคะ"
พอเล่าจบผกาก็ขอตัวไปทำอาหารกับผู้เป็นนายทั้งสอง
"ท่านพ่อ คิดเหมือนที่ลูกคิดไหมเจ้าคะ" นางเอ่ยถามผู้เป็นพ่อพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"พ่อก็คิดอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ รวีรรณ" ผู้เป็นพ่อเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม
"ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้เราไปที่ป่าตะวันออกกันนะเจ้าคะ ท่านพ่อ"
"ดีเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้ท่านพี่ของเจ้าติดงาน มิสามารถไปไหนได้"
"ถ้าเช่นนั้นก็ตามนี้นะเจ้าคะ" เพราะนางสังหรณ์ใจว่า นางผู้นั้นจะต้องเป็นพี่สะใภ้ของนางแน่ นางรู้สึกได้
By...NightMareLove
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น