ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้องรวมบทความดีๆ...แฝงข้อคิด

    ลำดับตอนที่ #69 : -:- พิมพวดีสื่อวิญญาณ ตอน 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.69K
      0
      8 ก.พ. 52

    เรื่องราวทั้งหมดนี้อาจมีเนื้อหาที่ยาวไปสักหน่อย
    แต่ส่งที่คุณจะได้...รับรองว่าคุ้มค่ากับการอ่านตั้งแต่ต้นจนจบแน่นอน

    พิมพวดีสื่อวิญญาน ตอนที่ 1

    บาป บุญ คุณ โทษ ตายแล้วเกิด

    คุณเชื่อว่ามีจริงหรือไม่?

    - - - - - - - -

    นายแพทย์ อาจินต์  บุณยเกตุ

    พบวิญญาณหนูพิมพวดี

    ณ โรงพยาบาลศิริราช




     

            เหตุที่ผมจะนำเรื่องนี้มาเขียนเล่าให้ท่านอ่านเพราะ ในปลายปี 2529 ตรงกับวันขึ้นปีใหม่ พ.. 2530 คณะพรรคสูงอายุหลายท่าน ซึ่งผมขออนุญาตเอ่ยนามของท่านไว้ ณ ที่นี้ คือ คุณหญิงวัลลีย์ วีระปีย์, พล...ประจวบ และ แพทย์หญิงอำภิกา พลกล้า, คุณสมบัติ คงจำเนียร และ ม...ทอศรี ภรรยา ศาสตราจารย์ น..สมบัติ สุคนธพันธ์ แห่ง ร..ศิริราช, ..สมพงษ์ บุรุษรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กทม. พล..กรมพิจิตร คดีพล, คุณเสนาะ นิลกำแหง อดีตเสรีไทยสายอังกฤษ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองและอีกหลายท่าน รวมทั้งผมด้วย    ได้จัดคณะท่องเที่ยวสูงอายุไปพักผ่อนทางเหนือพร้อมกันก็แวะเล่นกอล์ฟกันทุกสนามที่ผ่านได้แก่ จ.นครสวรรค์    .พิษณุโลก แม่เมาะ จ.ลำปาง และสุดท้ายที่ จ.เชียงใหม่

    สมาชิกที่ได้ไปเที่ยวกันคราวนี้ ร่วมสามสิบคน อายุรวมกันเห็นจะกว่า 1,640 เราออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 9 .. และกลับกรุงเทพตอนค่ำวันที่ 2 .. เลยปีใหม่หนึ่งวัน และในปี 30 – 31 ก็ประพฤติกันแบบนี้อีก ไม่รู้จักเบื่อหน่ายกันบ้าง หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ....

    ในระหว่างเดินทางทั้งไปและกลับ ในรถทัวร์ที่เช่าเขาไปเพื่อบรรเทาง่วงเราก็เฮฮากันไป สนุกสนานกันไป ซึ่งหนุ่มสาวคงหาว่าเราเชยเต็มที เพราะมีนิทานเก่าๆ เอาออกมาเล่ากัน เพลงที่ร้องกันในรถก็โน่น เอาเพลงของพรานบูรณ์ ของจำรัก สุวคนธ์ ของท่าน ม..พวงร้อย นานๆ ทีจึงจะมีเพลงปัจจุบันสักเพลงสอง อย่างดีก็จะมีของครูเอื้อ นานๆ ก็มีของดนุพล แก้วกาญจน์ สุชาติ ชวางกูร สักเพลงสองเพลง ซึ่งถ้าหากเจ้าตัวมานั่งฟังอยู่ด้วย คงจะพูดว่า อนิจจัง เพลงของเราเป็นอย่างนี้ไปแล้วหรือนี่? เป็นอันว่าการท่องเที่ยวเล่นกอล์ฟก็ได้สิ้นสุดลงที่สนามเชียงใหม่

    พอวันที่ 2 .. เราก็เดินทางกลับออกจากเชียงใหม่ ราวๆ 8 นาฬิกา พอรถออกไปได้หน่อย ก็ประพฤติอย่างขาไปอีก ทีนี้พอถึงนครสวรรค์หลังอาหารกลางวัน ซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าเก่านั่นแหละ เราก็ออกเดินทางต่อ พรรคพวกในคณะต้องการเปลี่ยนบรรยากาศ จึงขอให้คุณหญิงวัลลีย์บอกผมว่า ขอฟังเรื่องวิญญาณที่ผมพบ ในรูปของเด็กหญิงพิมพวดี ที่ยังติดอยู่ในใจหลาย ๆ คน หลายคนที่ได้อ่านเรื่องของผมทีท่านศาสตราจารย์เอียน สตีเว่นสัน นักวิญญาณศาสตร์สัมภาษณ์ผม แล้วนำไปตีพิมพ์เป็นเรื่องหนึ่งในหนังสือของท่านเผยแพร่ ในอเมริกา เมื่อราวๆ พ.. 2506 หรือ 2507 ก็สนใจ และรวมทั้งบางท่านที่เคยอ่านหนังสือรายสัปดาห์ฉบับนั้นด้วยว่าเป็นจริงอย่างไร....

    ทุกคนในรถเงียบสงบ อย่างฟังปาฐกถาที่น่าฟัง....

                ในเมื่อผมได้พูดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ได้เกิดกับตัวผม....ไม่ว่าจะพูดที่ไหนกี่สิบกี่ร้อยครั้งก็อย่างนี้ ผมจะเริ่มเล่าเรื่องว่า....

    ผม(นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ)ได้ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมี 12 คู่) เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่นอายุราว ๆ 16-17 ปี ตอนนั้นพอดีเกิดสงครามอินโดจีนและก็เป็นเรื่อยมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นๆ หายๆ โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวาตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ปวดอยู่ซีกเดียว

    ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย อาการก็ไม่ค่อยทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรงๆ ก็พอบรรเทาไปได้ เคยขอให้อาจารย์ที่ศิริราชตรวจ ท่านก็บอกว่า สายตามีส่วนช่วยทำให้ปวดได้ เพราะสายตาไม่ดี ผมก็เลยสวมแว่นตามาตั้งแต่อายุ 20 ปี จนถึงบัดนี้

    สรุปว่า ผมป่วยด้วยโรคนี้มานานเป็นสิบๆ ปี....ตอนที่เป็นนายแพทย์ ผู้อำนวยการที่จังหวัดภูเก็ต ก็ยังเป็น  ตอนไปศึกษาต่อที่อเมริกาก็เป็นทั้งสามปี แพทย์ที่อเมริกาชวนผ่าตัด ผมก็ยอม แต่พอจะผ่ามันก็เกิดหายปวด เพราะมันเป็นๆ หายๆ หมอที่นั่นก็เลยไม่กล้าผ่า พอศึกษาจนจบก็กลับมารับราชการต่อตามโรงพยาบาลอีก    หลายแห่ง ตอนปี พ.. 2504 ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ ฝ่ายวิชาการ เกิดปวดมากจนทนไม่ไหว ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ตอนนี้เอง

                โรคนี้ไม่รู้สาเหตุ แต่เดี๋ยวนี้ (..2508) คุณหมอสิริ บุณยะรัตเวช หัวหน้าศัลยกรรม ร..รามาธิบดี       ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยกรรมสมองและประสาท ท่านผู้นี้เอง ที่รักษาผมหายขาด ด้วยการฉีดยาเข้าในสมอง       ไปทำลายต้นตอของประสาทเส้นนี้ ให้หมดสภาพไปเลย

    ท่านบอกว่า หนึ่งในสาเหตุของโรคนี้ คือเส้นโลหิตในสมองเส้นหนึ่งไปเบียดสมองเส้นที่ห้านี้ เมื่อเส้นโลหิตขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ มันก็จะเบียดกระตุ้นเส้นประสาทนี้ทุกทีคนโบราณเรียกว่า ลมตะกังหมอปัจจุบันเรียกว่า ไมเกรนหรือ "ติ๊ดเตอลารูไทรเจมินัลนิวราลเจีย" เป็นชื่อเดียวกัน การรักษา ยากมาก ตอนปี พ.. 2504 นั้น คุณหมอสิระยังไม่กลับจากการเดินทางต่อจากอังกฤษ ท่านเรียนจนสำเร็จเป็นราชบัณฑิต ในวิชาศัลยศาสตร์ แห่งประเทศอังกฤษ  ท่านกลับมาตอน พ.. 2507 หรือราวๆ นั้น ท่านศาสตราจารย์         ..อุดม โปษกฤษณะ เป็นผู้รักษาผม มีศาสตราจารย์ น..วิชัย บำรุงผล แห่งภาควิชา ศัลยกรรม และ ศาสตราจารย์ น..สมบัติ สุคนธพันธ์ ฝ่ายโรคทางยามาร่วมด้วย ทั้งสองท่านเหล่านี้ เป็นเพื่อนกัน ก็เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่หาย....

    ผมได้ถูกรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ ชั้นล่าง ห้องที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว ได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดีจากครูบาอาจารย์ และเพื่อนฝูง แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะ ผูกคอตายไปหลายหน คืนหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ๆ โรคปวดประสาทมาเอาผมอีก ทีนี้ปวดดิ้นเลย พยาบาลจะให้กินยาฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ ก็ไม่สงบ เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็นอนหลับตาเอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วก็ภาวนาบริกรรม พุทโธๆ ๆ ๆ ทำอาปานุสสติ ไปเรื่อยๆ ที่ผมทำแบบนี้ได้เพราะเมื่อปี พ.. 2500 ผมบวชพระที่วัดราชาธิวาส หนึ่งพรรษา วัดนี้เป็นวัดวิปัสสนากรรมฐาน ผมก็ได้รับการอบรมเรื่องนี้มาด้วย พอทำสมาธิวิปัสสนาสักครู่อาการปวดก็สงบลง มันก็เป็นเช่นนี้ คือ ปวดสักพัก แล้วก็บรรเทา พอสงบ ผมก็สงบจิตทำสมาธิต่อไป

    ประมาณสามทุ่มเศษๆ ผมก็หลับตาเห็น....เด็กหญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง ก็ลืมตาถามภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า.... "ใครมา?"

    ได้รับคำตอบว่า ดึกแล้ว....ไม่มีใครมาหรอก....”

    ผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ ก็เห็นชัดว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างอ้วนเหลือกำลัง อ้วนยังกับเป็นโรคชนิดหนึ่ง แต่หน้าตายังเด็ก มายืนอยู่ข้างเตียง เธอแต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล

    เมื่อเห็นเช่นนั้น ผมก็เอ่ยปากออกถามว่า....“หนูเป็นใครมาทำไมที่นี่....”

    ผมพูดออกมาดังๆ เพื่อให้สองคนนั้นได้ยิน รวมทั้ง คุณใบ กล้าหาญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์ จนทุกวันนี้ และไปเฝ้าผมอยู่ด้วย

    ภรรยาผม มาเขย่าแขนแล้วพูดว่า เธอ นี่อยู่นี่ๆก็คงคิดว่าผมป่วยมากจนเพ้อ

    ผมก็บอกว่า ไม่ได้เพ้อ หรือเสียสติอะไรหรอก....” แต่ว่า....มีใครเห็นไหม? หนูอ้วนมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่.... สองคนนั้นตอบว่า.... "ไม่มีใครอีกแล้ว...."

    ผมสังเกตเห็นว่าทั้งสองคนนั้นขยับตัวเข้ามาชิดกัน ภรรยาทำท่าจะสวดมนต์ หรือพนมมือไหว้พระปลกๆ

    แต่ผมก็ยังข้องใจ.... เพราะหนูคนนั้นยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม! ผมก็เลยพูดออกมาดัง ๆ กับภรรยา และพยาบาลในห้องว่าจะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจดๆ จำๆ ไว้ด้วยแล้วผมก็ถามด้วยเสียงดังๆ ว่า

    หนูเป็นใคร....มาทำไมในห้องนี้?”

    แม่หนูตอบว่า หนูเคยป่วยในห้องนี้ และตายในห้องนี้เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว

    โดยผมจะคอยทวนคำตอบ ดัง ๆ ....ภรรยาผมคอยฟังและคอยจด....

    เอ้อ! หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้....หนูเป็นอะไรตาย?”

    ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ

    ภรรยา และพยาบาลช่วยกันจดใหญ่.... “หนูเป็นลูกหลานใครกันจ๊ะ?”

    ตาหนูเป็นพระยาค่ะชื่อของท่านขึ้นต้นด้วยตัว.. “”.. ลงท้ายด้วย ..“สิริ

    ผมทวนคำพูดของเธอดังๆ ให้ได้ยินกันทุกคน....

    งั้นหนูก็เป็นหลาน....” ผมพยายามนึก สักครู่ก็นึกออก แล้วพูดออกมาว่า....

    หลานเจ้าคุณอัชราชทรงสิริ ใช่ไหมล่ะ?”

    หนูคนนั้นก็ตอบว่า ใช่ค่ะ! คุณอาเก่งมาก

    แล้วพ่อของหนูล่ะ?”

    คุณอาไม่รู้จักหรอกค่ะ

    ผมถามต่อไปว่า หนูมีพี่น้องกี่คน?”

    มีสามคนค่ะ หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว

    ผมทบทวนคำพูดดังๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย....

    หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ

    หนูมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตเมื่อปีหลายที่ตึกเด็ก เขาบอกว่าเขาเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติที่แล้ว เขาอยากจะมาหา และมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เขาให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะจากนั้น คุณแม่หนูอ้วนก็หายไป   หายวับไปเลย

    ผมก็ลุกขึ้นนั่ง เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยา กับพยาบาลฟัง พยาบาลคนนั้น ตื่นเต้นมาก พลางบอกกับผมว่าที่ตึกนี้และห้องนี้ เมื่อประมาณปี 2502 มีเด็กผู้หญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้ห้องนี้หรือเปล่า? เพราะเธอแปลกใจและสนใจมาก ที่ผมพูดกับแม่หนูคนนั้นเป็นเรื่องเป็นราวตั้งนาน จากนั้นผมก็เข้านอน โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรม พุทโธๆ ๆ ไปด้วย

    ประมาณห้าทุ่มคืนเดียวกันนั้นเอง ด้วยอาการปวดประสาทอย่างรุนแรงทำให้ผมตื่นขึ้นมาอีก แต่สองคนที่อยู่ในห้องหลับไปแล้ว

    ตอนนี้ เงียบสงัด แต่ผมนอนกุมขมับ กุมศีรษะด้านขวาอยู่คนเดียว ด้วยความปวดที่ออกจะรุนแรงเอาการอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ที่หู ว่า....

    เธอ! พ่อเธอนอนอยู่นี่ยังไง....เข้ามาซิ

    ผมลืมตาขึ้นมองก็ไม่เห็นมีอะไร....แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงขึ้นมาอีกว่า....

    เข้ามาซิ เข้ามาเถอะ!”

    ผมลืมตาขึ้นอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนเข้ามายืนข้างเตียงผม คนหนึ่งอ้วน ก็คนเก่า อีกคนหนึ่งอยู่ในวัย   12 ขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เธอเดินมาข้างเตียงผมแล้วพูดว่า ....“พ่อ! หนูมาช่วยพ่อ

    ผมจึงเรียกภรรยาและนางพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า ....

                "เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม?....เด็ก ๆ มายืนอยู่ที่นี่แนะ!"

    พยาบาลเปิดไฟในห้องสว่างพรึ่บ แล้วบอกว่า.... "ไม่เห็นมีใครมาซักคนนี่คะ?"

    มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วก็ยืนอยู่ตรงนี้ นี่ไงล่ะ....”

    พลางผมก็ยื่นมือออกชี้ไปที่ตัวเด็ก

    คุณใบยกเก้าอี้มาสองตัว ให้แขกที่มองไม่เห็นตัวนั่งข้างเตียงทันที

     

    ภรรยาผม กับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน แล้วทั้งสองก็พนมมือทำท่าสวดมนต์อีกรอบ

    หนูอ้วนยืนอยู่สักครู่แล้วก็ลาไป คุณอาคะ หนูไปก่อนนะคะว่าแล้วก็หายวับไปทันที เหลือแต่แม่หนู  ตัวเล็กคนเดียว

    ตอนนี้เธอนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้ แล้วถามว่า...."คุณพ่อปวดศรีษะมากหรือคะ?"

    ผมตอบว่า.... "ตอนนี้ปวดมากจ๊ะ!"

    เธอยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะ ด้านที่ปวดของผมไว้แล้วบอกว่า สักครู่จะทุเลาต่อจากนั้นสักพัก อาการปวดก็สงบ

    ผมจึงถามเธอว่า.... "หนูเป็นใคร? แล้วทำไม มาเรียกว่า พ่อ?"

    ตอนนี้สองคนนั้นเริ่มจดอีก   ชาติที่แล้วหนูเป็นลูกของพ่อ....”

    ผมก็ทวนคำพูดของแม่หนูว่า.... “อ้อ ชาติที่แล้วเป็นลูกของพ่อ

     

    ต่อไปนี้ เป็นคำสนทนาของผมกับเด็กผู้หญิงคนนั้น

    โดยผมถามดังๆ และทวนคำตอบดังๆ เช่นเคย

    ชาติก่อนนี้ หนูเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง

    เป็นผู้หญิงค่ะ

    หนูเป็นอะไรตายในชาติก่อน?”

    หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น และตกน้ำตาย

    หนูตายที่ไหน?”

    ตกน้ำตายที่โรงโม่

    ผมไม่รู้จักท่าโรงโม่ จึงถามเธอว่า โรงโม่อยู่ที่ไหน?”

    ก็แถวๆ ท่าเตียนนี่แหละ ไม่ไกลเท่าไหร่

    ตอนที่ตกน้ำตายหนูอายุเท่าไหร่?”

    ก็สิบกว่าขวบค่ะ

    ชาติก่อนนี้ พ่อเป็นอะไร

    ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุมนักโทษและราชมัล

    “....ราชมัล เป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก?”

    ราชมัล เป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษ รวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย

    ผมได้ฟังแล้วตกใจมาก เพราะชาตินี้ผมไม่เคยเบียดเบียนใคร ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างใดทั้งสิ้น แล้วจึงถามแม่หนูนั้นว่า ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย?”

    เธอตอบว่า ป่วยเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกับนักโทษ ควบคุมลงโทษ ทรมานเขา กรรมก็ตามมาสนองในชาตินี้

    ผมแย้งว่า ก็ทำตามหน้าที่หน้าที่ คือ ควบคุมทรมานเขา เราไม่ทำ เราก็ผิด

    แม่หนูก็ตอบว่า....“ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งรูปร่างอ้วนใหญ่ สูงดำ ถูกคดีฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่างๆ แก่ราษฎร ความจริงนั้น เขาไม่ได้ทำ แต่ชาวบ้านมารวมหัวกันใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ     สอบถามเขา เขาไม่ได้ทำ ก็ไม่รับ ราชมัลก็คือ พ่อ ได้ลงโทษเขา จับเขาเข้าขื่อเข้าคาตอกเล็บ แล้วเอาเครื่องมือมาบีบขมับเขา บีบขมับจนเขาสลบ เพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย พ่อก็ลงโทษบีบขมับเขาอีก เพื่อให้เขารับสัตย์ว่าเป็น เขาก็ไม่รับ ในที่สุดก็ทนทรมานไม่ไหว ก็ขาดใจตาย!

    ก่อนตาย เขาผูกใจอาฆาตพยาบาทไว้ว่า จะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร ตอนนี้กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้ว  จึงได้ป่วยเช่นนี้

    ผมทวนทำพูดของแม่หนูน้อยทุกอย่าง ภรรยาผมและพยาบาลนั่งจำและจดไว้ทุกคำพูด

    ผมจึงถามต่อไปว่า "เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที?"

    แม่หนูตอบว่า พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว กรรมก็สลับกันไป กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็ตามมาสนองอย่างนี้"

    ภรรยาผมนั่งฟังอยู่ตลอด ก็ขอให้ผมถามว่าเมื่อชาติก่อนเธอเป็นอะไร?

    แม่หนูตอบว่า คุณแม่ เมื่อชาติก่อนนี้เป็นแม่ชี บวชเป็นแม่ชีถือศีลกินเพล อยู่วัดใต้ผมก็ไม่ทราบว่า   วัดใต้ ไหน

    แม่หนูบอกว่า เวลาผมปวดประสาทมาก ๆ ให้นึกถึงเธอ เธอจะมาช่วยให้บรรเทาเบาบางลงแล้วก็เอามือมากุมศีรษะข้างที่ปวด พลางก็พูดว่าพรุ่งนี้แปดนาฬิกา หมอจะเอาพ่อไปผ่ากระโหลกศีรษะ

    ผมย้ำว่า "พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากระโหลกศีรษะพ่อหรือ?"

    เธอก็พยักหน้ารับคำ แล้วก็บอกว่า  หนูจะไปก่อนล่ะ

    ภรรยาผมนั่งสงบอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ม่อยหลับกันไปทั้งหมด

    รุ่งขึ้นเวลา 8 นาฬิกา....

    อาจารย์หมออุดม มาตรวจเยี่ยม ได้รับรายงานว่า เมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจน ดิ้นถึงสองครั้ง ท่านยืนคิดสักครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่าแปดโมงเช้านี้ จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออกแล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมนำคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด

    ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากันด้วยความงุนงงเต็มที่ เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงเพราะเมื่อคืนนี้ได้ยินผมพูดคนเดียว คือทวนคำพูดของแม่หนูว่า พรุ่งนี้ 8 นาฬิกา หมอจะเอาไปผ่าตัด ตอนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีความสงสัย !

    สักครู่พยาบาลก็เข้ามาในห้องผม จัดแจงโกนหัวโกนคิ้วด้านขวา ขึ้นไปถึงกลางศีรษะ แล้วทำความสะอาด ต่อจากนั้นก็ฉีดยาให้สะลืมสะลือก็ประเภทมอร์ฟีน จวนๆ 8 นาฬิกา รถเข็นคนไข้ ก็เข้ามาเทียบเอาตัวผมนอนเปลเข็นไปในห้องผ่าตัด โดยมีภรรยาผมตามไปดูด้วย ผมเองตอนนั้นเปลเข็นไปในห้องผ่าตัด โดยมีภรรยาผม    ตามไปดูด้วย ผมเองตอนนั้นก็จะหลับมิหลับแหล่อยู่แล้ว และแล้วผมก็สิ้นสติไปเมื่อได้รับยาสลบที่ห้องผ่าตัด

    ผมมาทราบตอนหลังว่า ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ผมได้รับการผ่าตัดนั้น พยาบาลในห้องได้ไปคุยกับหัวหน้าตึกแล้วคุยกันต่อๆ กันไป ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น ทุกคนก็อาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็แปลกใจทุกคน   ที่ประหลาดใจมากก็คือ ในเมื่อผมเรียนจบจากศิริราชไปตั้งกว่าสิบปี จบแล้วออกไปเลยไม่ทำงานอยู่ในนั้น   เหตุไฉนจึงทราบเรื่องเด็กผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน และเด็กผู้นั้น ก็ถึงแก่กรรมที่เตียงผมป่วยในตึกวิบูลลักษณ์นั้น และเธอตายในปีนั้น  ด้วยความสนใจพยาบาลหัวหน้าตึกได้ไปค้นประวัติ และสืบประวัติของผู้ป่วยในตึกนี้ ในปี พ.. 2502 –2503 ค้นอยู่นาน เพราะไม่ทราบชื่อผู้ป่วย และในที่สุดก็ค้นพบว่า....ได้มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งป่วย และถึงแก่กรรมด้วยโรคอ้วนในห้องนี้จริง!

    ความประหลาดใจในหมู่คนที่รู้เรื่อง ก็ชักจะกลายเป็นความเชื่อขึ้นมาทีละน้อย ๆ แต่พอพยาบาลที่เฝ้าเธอบอกว่า เด็กที่มาหาคุณหมอที่บอกว่าเป็นลูกในชาติก่อน เมื่อคืนนี้มาบอกว่าจะถูกผ่าตัดเช้าวันนนี้ พอรุ่งขึ้นเช้าอาจารย์อุดมก็มาเอาตัวไปจริงๆ

    แปลกนะเธอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ พยาบาลสาวพึมพำกันทั้งตึก และจากตึกนี้ไปตึกโน้น ไปจนทั่วโรงพยาบาลภายในไม่กี่วัน

    อาจารย์หมออุดม ท่านเคยรักษาโรคนี้ผมมาสองสามครั้งแล้ว โดยฉีดยาเข้าไปในกะโหลกศีรษะ หมายจะให้ยาไปทำลายประสาทส่วนที่ปวด แต่ไม่ได้ผล มันเหมือนกับตีงูให้หลังหัก โรคก็อาละวาดใหญ่ ที่ฉีดยาเข้าไปในศีรษะนี้ประมาณ 4 ครั้งในสองปี เมื่อฉีดยาไม่ได้ผล ท่านก็เลยผ่าลงไปในสมองตัดปมประสาทเสียเลย โดยเจาะกระโหลกศีรษะด้านขวาเหนือหูขึ้นมาหน่อย คงจะเหมือนกับชาติก่อนที่ไปบีบขมับเขา ตามที่แม่หนูเธอบอก เจาะแล้วเอากระดูกกะโหลกออกมา ขนาด ราวๆ เหรียญสองสลึง ทำให้มีรูเกิดขึ้น จากนั้นก็เอามีดเอากรรไกรเข้าไปตัดเส้นประสาทที่ห้า

    แต่อาจารย์ท่านว่าการผ่าตัดทำได้ด้วยความยากลำบาก เพราะรื้อรังมานาน ประกอบกับได้รับการฉีดแอลกอฮอล์เข้าไปหลายหน มันก็เกิดพังผืดขึ้น ผลการผ่าตัดไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าคงได้ผลไม่น้อยการผ่าตัดประสาทสมองนี้กินเวลาราวๆ สี่ชั่วโมง เพราะความยากลำบากดังกล่าว

    พอราวๆ เที่ยงเขาก็เข็นรถกลับมาที่เดิม ที่ในห้องมีแม่ผม ภรรยา พ่อตา แม่ยาย ซึ่งทั้งสองท่านนี้มีศักดิ์ เป็นลุง เป็นป้าผมด้วย ทุกคนคิดว่าผมคงตายไปแล้ว เพราะนานเหลือเกิน ระหว่างที่คอยรอรับผมในห้องภรรยา และพยาบาลได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกท่านฟัง ต่างก็รับฟังโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ

    ค่ำวันนั้นก็เกิดอาการปวดขึ้นมาอีก ทีนี้ปวดสองอย่างคือ ปวดเจ็บในสมองที่ผ่า ปวดแผล มิหนำซ้ำ    โรคปวดเดิมก็ไม่ทุเลา ทำให้เกิดทุกข์ทรมานมากกว่าเก่า มือทั้งสองก็กุมที่แผล กุมศีรษะ ร้องปวดดิ้นไป และแล้วก็นึกขึ้นได้

    หนู! ช่วยพ่อด้วยผมตะโกนออกมาดัง ๆ

    ในห้องนั้นมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมกันมากมาย ต่างก็ได้รับฟังเรื่องราวโดยละเอียด ต่างก็สงบ มีแต่ผมผู้เดียว ทุรนทุรายอยู่บนเตียง

    ชั่วอึดใจเดียว ก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงที่เคยบอกว่าเคยเป็นลูกผมเมื่อชาติก่อนมานั่งอยู่ข้างเตียง

    ผมจึงถามว่า.... “มาแล้วหรือลูก ช่วยพ่อที ตอนนี้ปวดเหลือจะทนแล้ว!”

    แม่หนูก็เอามือมาวางที่ศีรษะ แล้วพูดว่า เดี๋ยวจะทุเลา  ก็เป็นจริงดังว่า อาการปวดก็ทุเลา พยาบาลซึ่งถือเข็มฉีดยามาก็เลยไม่ต้องฉีด

    คุณใบ ก็ช่วยยกเก้าอี้มาให้แขกที่แลไม่เห็นตัวนั่งอย่างเคย

    แม่หนูก็นั่งข้างเตียง เอามือเท้าคางตามเดิม ผมก็ถามว่า.... “หนูอ้วนไปไหนล่ะ!”

    เธอตอบว่า.... “วันนี้ไม่ได้มา

    ทุกคนในห้องฟังผมคุยกับแม่หนู ผมถามต่อไปว่า.... “หนูชื่ออะไรจ๊ะ?”

    เธอตอบว่า ก่อนที่จะตายนี้หนูชื่อ.... พิมพวดี

    หนูเป็นอะไรตาย?”

    หนูเป็นไข้เลือดออกตายค่ะ

    "ตายที่นี่หรือ?"

    ตายที่ตึกเด็กค่ะ

    ตายเมื่อไหร่จ๊ะ?”

    เมื่อปี 2502 ค่ะ

    หนูมีพี่น้องกี่คนจ๊ะ

    มีสามคนค่ะ

    ผู้หญิง ผู้ชาย กี่คน

    หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว

    พ่อแม่คงจะเสียใจมากที่หนูตายไป

    พ่อแม่เสียใจมาก เพราะหนูเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว พ่อสร้างศาลาอุทิศส่วนกุศลให้หนูที่วัดมกุฎฯ เอาชื่อหนูไปตั้งศาลานี้ มีรูปหนูและมีคำจารึก มีกระดูกที่เผาแล้วของหนู ฝังอยู่ในนี้ด้วยค่ะ พ่อดีขึ้นแล้ว หนูลาไปก่อน  แล้วจะมาหาพ่ออีกค่ะ

    คำพูดทุกคำระหว่างแม่หนูพิมพวดีกับผม ทุกคนในห้องได้ยินได้ฟัง และฟังอย่างตั้งอกตั้งใจจริงๆพยาบาลฉีดยาให้ผมอีก แล้วผมก็หลับไปจนเช้า โดยไม่มีอาการปวดรุนแรง มารบกวนอีกเลยในคืนนั้น


                 l > [อ่านต่อตอนจบ] < l
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×