ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : (สงครามไททั่น) เรื่องจริงที่ไม่น่าเชื่อ ch.3
“เป็นอะไรหรือปล่าว”
เสียงทุ่มกล่าวถาม แต่สำเนียงที่พูดออกมาดูเหมือนจะเป็นสำเนียงคนเบลเยี่ยมแต่ก็ไม่รู้เพราะทำไมเขาถึงได้ฟังออกก่อนที่หนุ่มร่างสูงจะย่อตัวลงข้างๆกับเด็กชายที่นอนคว่ำอยู่ ก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้าเด็กชายเหมือนจะสื่อบอกให้จับมือเขา เด็กชายไม่ได้คิดอะไรมือที่วางอยู่ข้างหน้ายื่นขึ้นไปคว้ามือใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าทันที
ทันทีที่คว้าชายร่างสูงก็จัดการดึงเด็กชายที่นอนคว่ำอยู่ขึ้นทันที แค่กๆ “ซี๊ด เจ็บ” หลังจากที่โดนดึงขึ้นจากการนอนคว่ำขาที่ยืนอยู่เกิดการทรงตัวไม่อยู่ทำให้เด็กชายเอนตัวจะล้มทันที แต่ดันล้มลงตรงอ้อมแขนของชายตรงหน้า
“เป็นอะไรมากไหม”เหมือนกับว่าตัวเองก็พูดภาษานี้เป็นเหมือนกัน ทั้งๆที่อังกฤษก็ยังจะไปไม่รอด
“อ่ะ เอ่อ ขะ ขอบคุณ คะ ค่ะ” คำสุดท้ายที่พูดออกมาทำเอาคนร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าขมวดคิวทันที “อ่ะเอ้ย เอ่อ..ครับ ขอบคุณครับที่ช่วยผม” เกือบไปลืมไปว่าตอนนี้เป็นผู้ชาย
“งั้นก็ดีแล้วละ” พูดจบก็กระโดดขึ้นหลังม้าสีขาวทันที ทำให้เด็กชายที่ยืนอยู่เกิดข้อสังสัยทันทีว่าชายคนนี้คุ้นๆ
“เอ้า ยืนอยู่ทำไม หล่ะขึ้นมาสิ เดี๋ยวพวกไททั่นก็แห่กันมาอีกพอดีหรอก” เด็กชายสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะเดินไปทางม้าสีขาวที่มีชายร่างสูงนั่งอยู่ “เอ่อ..ให้ผมขึ้นไง?”
ชายที่นั่งอยู่บนหนังม้าเหล่ตามาเด็กที่อยู่ข้างล่างเขาลืมไปว่าเด็กคนนี้คงจะขึ้นม้าไม่เป็น ชายร่างสูงลงจากหลังม้าก่อนจะโค้งหลังลงใช้มือช้อนเด็กชายขึ้น
“ฮ่ะ เฮ้ยๆ” มือที่ถูกช้อนด้วยเด็กชายแกว่งขึ้นบนหลังม้า ทำเหมือนมันง่ายดายทำเอาเด็กชายอึ้งสักพักก่อนที่เขาจะปีนขึ้นหลังม้าตามมา แขนใหญ่ทั้งสองข้างยื่นไปข้างหน้าเพื่อจับเชือกแต่ดูเหมือนเด็กชายเหมือนจะอยู่ในอ้อมแขนของคนข้างหลัง มือทั้งสองข้างตวัดเชือกดัก
ปึ๊ก! ม้าที่นิ่งอยู่ก็ออกตัววิ่งทันที เหวอ! ไอ้การทำแบบนี้ที่ชายหนุ่มเคยคุ้นเคยอยู่แล้วแต่มันกลับทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าตอนนี้ตกใจไปนิดหน่อยด้วยความไม่คุ้นเคยว่าแล้วก็เหมือนอัศวินขี่ม้าขาวเลยนะ
ซักพักม้าก็วิ่งมาถึงโคลนต้นไม้ป่าใหญ่ที่ยิ่งวิ่งเข้าไปก็ยิ่งต้นไม้เยอะ ก่อนจะเห็นเงาเหมือนเงาคนหลายๆคนที่เหมือนกำลังมุมดูอะไรกันอยู่ยิ่งเข้าไปไกล้ก็ยิ่งทำให้เห็นได้ชัด ม้าสีขาวหยุดอยู่ตรงข้างหลังของกลุ่มผู้คน ชายหนุ่มร่างสูงผมทองก้าวขาลงม้าทันทีที่ม้าหยุด แล้วก็ได้มีชายผมสีน้ำตาลร่างผอมคนหนึ่งวิ่งตรงมาทางที่ชายร่างสูง
ชายคนนั้นยืนตรงมือขวากำแน่นยกขึ้นทาบที่อกซ้ายมือซ้ายแนบชิดลำตัวอกผายไหล่ผึ่งหน้าตึงคอตั้ง เเต่ท่าทางที่ชายร่างผอมทำนั้นมันกลับทำให้เด็กชายที่อยู่บนหลังม้าขมวดคิ้วเป็นปมอย่างนึกสงสัย “รายงานสถานการณ์ครับ ผบ.”
ผบ.? คำว่า ผบ.ที่เอ่ยออกจากปากของชายร่างผอมยิ่งทำให้เด็กชายเกิดข้อสงสัยมากยิ่งขึ้น “หืม ว่ายังไงบ้าง” ชายร่างผอมก่อนจะเอ่ยปากก็ได้เหล่ตามองไปทางข้างหลังของชายหนุ่มผมทองทันที ชายหนุ่มผมทอมขมวดคิ้วก็ได้หันตาม “คนของชั้นเอง ไม่มีอะไร”
“คะ ครับ จำนวนทหารที่เสียชีวิตดูเหมือนครั้งนี้จะมากกว่าครั้งก่อนที่ออกสำรวจนอกกำแพงครับ เพราะแผนการที่เราวางไว้เกิดแตกพังที่ทางฝั่งทิศตะวันตกเพราะจำนวนไททั่นตรงฝั่งนั้นมากเกินไป เลยพลอยทำให้ฝั่งทางทิศอื่นเสียหายไปด้วยครับ!”
สำรวจนอกกำแพง!? อะไรกัน ทหาร? เสียชีวิต? ไททั่น!!! เด็กชายที่นั่งอยู่บนหลังม้าแทบลมจับเมื่อได้ยินชายหนุ่มผมนํ้าตาลพูดกับคนที่ถูกขนานนามว่า ผบ. ด้านผบ.เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้ตื่นตระหนกหรือหวาดระแวงอะไรเลยแต่กลับทำสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
"ส่วนเรื่อง ก๊อต ที่ว่าจะออกไปหาฟืนก็โดนไททั่นกิน ละ แล้ว คะ ครับ" ประโยคคําพูดถัดไปของทหารร่างผอมเสียงเบาลงอย่างนึกผิด
เอ๊ะ? หาฟืนหรือว่าพร้าที่เราเห็นตอนนั้นจะเป็นของคนที่ชายคนนี้พูดถึง เเต่ถึงยังไงผมก็ขอบคุณจริงๆ "งั้นหรอ" เสียงพูดที่ดูเหมือนจะสงสารเเต่นํ้าเสียงก็ออกจะเย็นชา คนคนนี้เค้าเป็นยังไงของเค้ากัน เด็กชายก็ได้เเต่คิดในใจ
“เราจะเตรียมตัวกลับเข้ากำแพง ให้เตรียมตัวไว้ การสำรวจนอกกำแพงครั้งนี้ล้มเหลว!” เสียงกล่าวของผู้มียศกล่าวเสียงดังเพื่อให้เหล่าทหารได้เตรียมตัว เพื่อที่จะกลับเข้ากำแพง นั้นก็คือเติมแก๊สเตรียมใบมีดนั้นเองเพราะในระหว่างเดินทางกลับไม่รู้ว่าจะมีไททั่นโผล่มามากน้อยแค่ไหน “ครับ/ค่ะ!”
สิ้นคำกล่าวเหล่าทหารก็ขานรับโดยที่ไม่มีใครขัด “ส่วนร่างของเหล่าทหารนั้น ต้องพากลับไปให้ครบให้หมดทุกคน!”
เสียงกล่าวต่อทำเอาเด็กชายที่อยู่บนหลังมาหัวใจว๊าบทันทีพร้อมกับเหลียวหน้าไปดูร่างอันไร้วิญญาณของเหล่าทหารทีมสำรวจ สายตากวดรอบบริเวณที่มีทหารแต่ละนายยืนดูสมองก็พลันนึกคิดไป ปีกสีขาวที่ไขว่กันกับปีกสีฟ้าอยู่บนแผ่นหลังของเหล่าทหารพร้อมกับผ้าคลุมสีเขียว ท่าเครพต่อผู้ที่มียศถาสูงกว่า และก็คำว่าไททั่น ที่ทหารคนนั้นพูดออกมามันได้ทำให้ความสังสัยที่อยู่ภายในใจของเด็กชายกระจ่างแจ้งทันที
“ทหารทีมสำรวจ” เสียงสถบของเด็กชายถึงจะเบาแต่ก็สามารถทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยินเหมือนกัน ชายหนุ่มร่างสูงเงยหน้ามองเด็กชายที่อยู่บนหลังม้าทันทีที่ได้ยิน ทั้งสองคนผสานตากันอยู่สักพักก่อนที่ชายร่างสูงจะเอ่ย
“รู้จักสินะ?” เด็กชายที่ตอนนี้จ้องหน้าชายร่างสูงก็ได้เงยหน้าหันซ้ายหันขวามองดูเหล่าทหารอีกครั้งยั่งกับจะดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังคิดคือเรื่องจริง
“คะ ครับ แล้วคุณผู้บัญชาการ เออร์วิน สมิธ สินะครับ” ชายหนุ่มทำเสียงตะกุกตะกักเพราะเกรงว่าจะจำผิดคน แต่กลับเปลี่ยนความคิดไปเพราะหลังจากที่พูดจบประโยคไปเมื่อกี้เด็กชายก็ได้จ้องมองคนตรงหน้าอีกครั้งนึง ผมสีทอง ตาสีฟ้ามรกต ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าที่เรียบเฉยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อะไร มันได้ทำให้เขามั่นใจแน่นอนว่าคนนี้แหละคือ ชายหนุ่มในดวงใจเขา
“เธอรู้จักฉัน?” ชายหนุ่มร่างสูงขมวดคิ้วทันทีพร้อมกับชี้นิ้วไปทางเด็กชายแล้วเอ่ย “เธอ ชื่ออะไร” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงทันที “ผะ ผมหรอ” ทั้งๆที่รู้ว่าอยู่กันแค่สองคนยังถาม แต่ก็เพื่อความแน่ใจ ชายหนุ่มผมทองพยักหน้ารับ ชายหนุ่มทำหน้าเอ๋อ เพราะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะถามชื่ออย่างกระทันหันเพราะยังไม่ได้คิดชื่อมาเล๊ย ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดจนเออร์วินพลอยสงสัยไปด้วย เอาวะ!
“คะ คล็อด มิคาเอลริส คะ ครับ” ชายหนุ่มโมเมตอบไปอย่างคิดไม่ตกว่าตัวเองจะคิดชื่อแบบนี้ออกมา “หึ! มิคาเอลริสงั้นหรอ เป็นชื่อที่เพราะดีนิ” ได้ยินเท่านั้นแหละก็ได้ทำให้ชายหนุ่มหน้าขึ้นสีระเรื่อเลยทีเดียว“แล้วเธอเป็นใครมาจา....”
“ผบ.เออร์วิน ครับพวกเราเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วครับ!” ยังไม่ทันได้เอ่ยถามก็มีเสียงทหารคนนึงเอ่ยร้องบอกเรื่องที่เป็นอยู่ในตอนนี้ทันที ก็เพียงแค่อยากรู้เท่านั้นว่าเป็นใครมาจากไหนกันหน้าตาไม่คุ้นแถมยังมาอยู่นอกกำแพงอีกด้วยซํ้า ด้านคนที่กำลังถูกถามใจหลุดลงไปอยู่ตาตุ่มทันที เกือบไปแล้วมั้ยหล่ะนั้น ถ้าเกิดทหารคนนั้นไม่เอ่ยเรียกจะตอบกลับไปยังไงดีคิดแล้วเสียววู๊บว๊าบ
ในระหว่างที่เด็กชายกังวลใจก็รู้สึกถึงแรงสั่นที่ตัวม้า แรงสั่นก็คือตัวของชายหนุ่มผมทองที่ปีนขึ้นหลังม้านั้นเองพร้อมกับสบัดเชือกเพื่อให้ม้าวิ่งนำเหล่าทหาร ศพของเหล่าทหารที่ถูกห่อหุ่มด้วยผ้าสีขาวที่มัดด้วยเชือกกองทับกันอยู่ที่มรถลากเหมือนในหนังไม่มีผิดแต่พอเจอจริงๆก็หวาดหวั่นเลยแหละ
ความคิดหยุดชะงักทันทีที่นึกบางอย่างได้สิ่งที่เขาคิดได้นั้นก็คือ เพื่อนเฮ้ยไอ้ตองอยู่ไหน “ผบ.ๆๆ พะ เพื่อนผม ผมยังมีเพื่อนอีกคะ คน!” เด็กชายพูดเสียงร้อนรนปนหงุดหงินที่ลืมเพื่อนตัวเอง “แล้วเพื่อนเธออยู่ตรงไหน” ชายหนุ่มผมทองพูดทั้งๆที่ตาก็ไม่ได้ระออกจากทางข้างหน้า
“ตอนที่ไททั่นโผล่มาผมกับเพื่อนแยกกันตรงนั้น”
“เสียใจด้วยนะ”
เสียงกล่าวเรียบ ทำเอาเด็กชายที่หนังอยู่ในอ้อมแขนน้ำตาคลอที่เบ้าตาทันทีอย่างอดกลั้นไม่ได้ ขอร้องไปคำตอบที่ได้ก็คงจะเหมือนเดิมเพราะเขารู้จักนิสัยของชายคนนี้ดีว่าเป็นยังไง เด็กชายก้มหน้างุดพร้อมกับโทษตัวเองไป น้ำสีใสปลิวไปตามแรงลมที่พัดผ่านเผลอไปตกหล่นที่แขนเสื้อของชายร่างสูง จนทำให้ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆ เขานั้นก็อยากช่วยแต่ที่นี่ตรงนี้คือนอกกำแพงที่แวดล้อมเต็มไปด้วยไททั่นขืนกลับเข้าไปคงได้ตายไปอีกหลายศพแน่นอน
เท้าที่ก้าวของม้าที่เดินนำเหล่าทหารหยุดชะงักอย่างกะทันหันจนแผ่นอกของชายที่อยู่ข้างหลังกระแทกเข้ากับหลังของคนที่อยู่ข้างหน้าไม่แรงไม่เบานักแต่สำผัสได้เลยว่าทั้งแน่นทั้งกำยำ อะไรกันนี่เป็นเวลาโศกเศร้าเรามาคิดอะไรของเราบ้าเอ้ย!!!
อยู่ๆก็มีเสียงย่างเท้าของม้ามาสามทิศด้วยกัน คือทิศตะวันตก ทิศใต้ ทิศตะวันออกด้วยกันและดูเหมือนเราจะอยู่ทิศเหนือ ดูเหมือนกลุ่มที่แบ่งไปกันแต่ละทิศจะมีหัวหน้านำทิศจุดรวมพลคือทิศเหนือที่มีผู้บัญชาการสินะ
“เออร์วิน ดูเหมือนฝั่งทิศตะวันตกที่ยัยแว่นเป็นคนคุมการจะแตก” เสียงคมปนหงุดหงิดดังมาเมื่อม้าหยุดอยู่ตรงข้างของผู้บัญชาการ พูดพร้อมกับปลายหางตาไปทางคนที่โดนแทนตัวว่ายัยแว่นก่อนจะชะงักเมื่อหันหน้ามามองที่หัวหน้าตัวเองที่ตอนนี้มีเด็กแปลกหน้าจากที่ไหนก็ไม่รู้นั่งอยู่ข้างหน้าของหัวหน้าตัวเองแถมอยู่ในอ้อมแขนอีก เห็นละมันชวนหงุดหงิด ชายหนุ่มที่พึ่งกล่าวสถานการณ์ไปได้เพียงแค่สบถอยู่ในใจ
“อะไรกันรีไวน์ นายจะโทษฉันคนเดียวไม่ได้นะๆๆๆ ต้องโทษพวกไททั่นด้วยที่ทำให้ฝั่งฉันมันมีมากเกินไปใช่มั้ยเออร์วิ... อ่ะเอ๊ะๆๆๆๆ!!” หญิงสาวแว่นใสร้องก๊ากอย่างดังทันทีมีหันหน้าไปทางหัวหน้าตัวเองก็ต้องกับเงิบเพราะเด็กน้อยที่ไหนไม่รู้ที่หนังอยู่กับเออร์วินชั่งๆๆ
“น่าร๊ากกกก” พูดจบก็ควบม้าไปทางเด็กชายทันทีพร้อมกับทำหน้าบานเฉิ่มอย่างกับเห็นอะไรให้ดลใจ “ใครน่ะเออร์วินๆๆๆ!!!” เด็กชายทำหน้าเหวอเมื่ออยู่ๆคนที่ถูกเรียกว่ายัยแว่นก็เอามือมาบีบที่แก้มพลิกไปซ้ายทีขวาทียั่งกับเห็นว่าเป็นของเล่น
“น่ารักเนาะนายว่ามั้ย รีไวน์?” หญิงสาวแว่นใสหันไปถามคนที่ได้ชื่อว่าเป็นความหวังของมนุษย์สยชาติทันที “หึ!” คนร่างเล็กไม่พูดอะไรแต่เพียงแค่หัวเราะเบาๆเหมือนเยาะเย้ยออกมาก็เท่านั้น ด้านหญิงสาวก็งงกับทีท่าของเพื่อนคนนี้แต่ก็ไม่ได้คิดไรมาก
“เออร์วินฉันเจอเด็กหลงป่าน่ะ” กลุ่มทิศสุดท้ายที่มาถึงกล่าวบอกหัวหน้าทันที ด้านเด็กชายที่ได้ทำเพื่อนหายก็ตาโตทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้นรีบหันควับไปทางเสียงโดยเร็ว ด้านผู้ที่ถูกเรียกชื่อก็ต้องเผลอหันไปดูปฏิกิริยาของคนร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนทันทีไม่รู้มีอะไรดลใจให้หันไปกัน
“เด็กหลงป่า ใครยั่งงั้นหรอมิเกะ” ในเมื่อตัวเองก็เจอเด็กหลงป่าเหมือนกันก็อดที่จะถามไม่ได้เหมือนกันว่าเด็กหลงป่าที่มิเกะพูดคือใคร “เป็นเด็กผู้หญิง เห็นบอกชื่อ ฮันน่า ฮิราเดล”
ด้านเด็กชายที่ได้ยินว่าเป็นเด็กผู้หญิงก็ดีใจสุดขีด แต่ก็ต้องใจห่อเหี่ยวเมื่อได้ยินชื่อ อยู่ๆคนที่ชื่อว่ามิเกะก็หันหน้าไปข้างหลังเหมือนกับส่งสัญญาณบอกใครหรือให้เอาอะไรมา จากนั้นก็มีรถลากที่โดนลากด้วยม้าโดยมีผู้คุมมาด้วยลากมาทางเด็กชาย ภาพที่ปรากฎให้เห็นทำเอาเด็กชายเบิกตากว้างด้วยความดีใจ มันคือ เพื่อนของเขาที่นั่งอยู่บนรถลาก เด็กชายดีใจสุดขีดพร้อมกับอ้าปากจะตะโกนหาเพื่อนแต่ต้องชะงักเพราะนึกขึ้นได้ว่าคนที่ชื่อมิเกะนั้น บอกว่าเพื่อนเขาชื่อ ฮันน่า ฮิราเดล แสดงว่าเพื่อนสาวเขาก็คงจะคิดชื่อเองเหมือน
“ฮันน่า!!” เสียงดังคุ้นหูที่ดังมาไม่ไกลทำเอาเด็กหญิงที่อยู่ในรถลากเงยหน้าขึ้นหาที่มาของเสียงทันทีหญิงสาวยิ้มกว้างพร้อมกับจะทำท่าลุกขึ้นแต่ก็โดนคนที่ชื่อมิเกะใช้มือขวางไว้ “ที่นี่นอกกำแพง อย่าลงมาจะดีกว่า” หญิงสาวชะงักทันทีพร้อมกับนั่งลงเพราะขัดไม่ได้ได้แต่นั่งหน้ามู่ทู่อย่างเดียว
ด้านเด็กชายก็ได้แต่ยิ้มกับทีท่าเพื่อนสาวเพราะนี่ไม่ใช่โลกของเราก็คงได้แต่ทำตามเจ้าของโลกเท่านั้นแหละนะ “มาครบแล้วใช่ไหม” ไม่มีเสียงตอบรับแต่ที่ได้มาคือการตอบรับโดยการพยักหน้าแทน “งั้นเริ่มออกเดินทาง เพื่อกลับเข้ากำแพงเมือง!”สิ้นคำกล่าว ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บัญชาการก็จัดการควบม้านำหน้าทันที
เสียงควบมาที่มาพร้อมกับความคิดที่ปะปนกันรวมกันเป็นคิ้วที่ขมวดเป็นปมอยู่หน้าเด็กชาย คนทั้งสามคนเมื่อกี้นี้เขารู้จักหมด ดูเหมือนว่าจะมั่นใจได้100เปอร์เซ็นเลยหล่ะว่าที่นี่คือโลกในการ์ตูนที่ถูกขนานนามโดยคนที่โลกเขาว่า (ผ่าพิภพไททั่น) เด็กชายตกตลึงกับสถานการณ์ในตอนนี้มากจนขนาดไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นเรื่องจริงโลกที่ถูกสร้างด้วยมือมนุษย์ไม่รู้ว่าเขานั้นจะได้มาสัมผัสมันจริงๆโลกที่เคยโม้ให้เพื่อนฟังอยู่ๆบ่อยๆว่าอยากเข้าไปอยู่ แต่ก็ได้มาอยู่จริงๆ
หลังจากที่ควบม้ามาตอนนี้ก็ประมาณ2ชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ถึงกำแพงเลย เมืองกำแพงอะไรจะอยู่ไกลปานนั้น เด็กชายถอนหายใจออกมาเฮือกนึงจนคนที่อยู่ด้านหลังสังเกตุได้ก่อนจะเอ่ย “พวกเราพักอยู่แถวๆนี้กันสักพักก่อนแล้วค่อยออกเดินทางต่อ” สิ้นคำม้าที่ถูกควบโดยทหารก็ต่างพากันตวัดเชือกให้มันหยุดอยู่ในจุดเดียวกัน
ชายหนุ่มร่างสูงปล่อยเชือกออกจากมือก่อนนะกระโดดลงพร้อมกับเดินไปทางกลุ่มเหล่าทหารโดยที่ไม่ทันได้สังเกตุเลยว่าเด็กชายที่อยู่บนหลังม้าจะชักถามอะไร “อะ อ้าว!” เด็กชายมือข้างปากข้างทันทีที่เขาไม่สนตัวเองก่อนจะก้มหน้างุดที่จริงถ้าอยากลงก็ลงได้อยู่หรอกไม่เห็นยากแต่กลัวโดนดุมากกว่าเลยต้องจำใจ
หน้าที่หักงออยู่เงยขึ้นทันทีเมื่อเห็นขวดพลาสติกสีเขียวจ่อที่ตรงหน้าเด็กชายหันขึ้นมองดูที่มาของขวดก็ต้องเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัวทันที คนที่ยื่นน้ำมาให้คือผบ.เออร์วิน“ขอบคุณครับ” เด็กชายไม่พูดปล่าวพร้อมกับส่งยิ้มที่จริงใจไปให้อีกฝ่ายทันที จนรอยยิ้มนั้นเผลอทำเอาคนหน้าเรียบเฉยบางคนรอบยิ้มไปด้วยอย่างลืมตัว โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าการกระทำนั้นมันทำให้ใครคนนึงเห็นแล้วไม่สบอารมณ์เอาสะเลย
(อย่าโกดกันเลยหนาาาาาา สําหรับคนที่เป็นเเฟนๆรีไวน์55555 จะให้รีไวน์เเสดงเป็นฉบับตัวอิจฉา) ขอบคุณคนที่ติดตามมาก
เสียงทุ่มกล่าวถาม แต่สำเนียงที่พูดออกมาดูเหมือนจะเป็นสำเนียงคนเบลเยี่ยมแต่ก็ไม่รู้เพราะทำไมเขาถึงได้ฟังออกก่อนที่หนุ่มร่างสูงจะย่อตัวลงข้างๆกับเด็กชายที่นอนคว่ำอยู่ ก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้าเด็กชายเหมือนจะสื่อบอกให้จับมือเขา เด็กชายไม่ได้คิดอะไรมือที่วางอยู่ข้างหน้ายื่นขึ้นไปคว้ามือใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าทันที
ทันทีที่คว้าชายร่างสูงก็จัดการดึงเด็กชายที่นอนคว่ำอยู่ขึ้นทันที แค่กๆ “ซี๊ด เจ็บ” หลังจากที่โดนดึงขึ้นจากการนอนคว่ำขาที่ยืนอยู่เกิดการทรงตัวไม่อยู่ทำให้เด็กชายเอนตัวจะล้มทันที แต่ดันล้มลงตรงอ้อมแขนของชายตรงหน้า
“เป็นอะไรมากไหม”เหมือนกับว่าตัวเองก็พูดภาษานี้เป็นเหมือนกัน ทั้งๆที่อังกฤษก็ยังจะไปไม่รอด
“อ่ะ เอ่อ ขะ ขอบคุณ คะ ค่ะ” คำสุดท้ายที่พูดออกมาทำเอาคนร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าขมวดคิวทันที “อ่ะเอ้ย เอ่อ..ครับ ขอบคุณครับที่ช่วยผม” เกือบไปลืมไปว่าตอนนี้เป็นผู้ชาย
“งั้นก็ดีแล้วละ” พูดจบก็กระโดดขึ้นหลังม้าสีขาวทันที ทำให้เด็กชายที่ยืนอยู่เกิดข้อสังสัยทันทีว่าชายคนนี้คุ้นๆ
“เอ้า ยืนอยู่ทำไม หล่ะขึ้นมาสิ เดี๋ยวพวกไททั่นก็แห่กันมาอีกพอดีหรอก” เด็กชายสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะเดินไปทางม้าสีขาวที่มีชายร่างสูงนั่งอยู่ “เอ่อ..ให้ผมขึ้นไง?”
ชายที่นั่งอยู่บนหนังม้าเหล่ตามาเด็กที่อยู่ข้างล่างเขาลืมไปว่าเด็กคนนี้คงจะขึ้นม้าไม่เป็น ชายร่างสูงลงจากหลังม้าก่อนจะโค้งหลังลงใช้มือช้อนเด็กชายขึ้น
“ฮ่ะ เฮ้ยๆ” มือที่ถูกช้อนด้วยเด็กชายแกว่งขึ้นบนหลังม้า ทำเหมือนมันง่ายดายทำเอาเด็กชายอึ้งสักพักก่อนที่เขาจะปีนขึ้นหลังม้าตามมา แขนใหญ่ทั้งสองข้างยื่นไปข้างหน้าเพื่อจับเชือกแต่ดูเหมือนเด็กชายเหมือนจะอยู่ในอ้อมแขนของคนข้างหลัง มือทั้งสองข้างตวัดเชือกดัก
ปึ๊ก! ม้าที่นิ่งอยู่ก็ออกตัววิ่งทันที เหวอ! ไอ้การทำแบบนี้ที่ชายหนุ่มเคยคุ้นเคยอยู่แล้วแต่มันกลับทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าตอนนี้ตกใจไปนิดหน่อยด้วยความไม่คุ้นเคยว่าแล้วก็เหมือนอัศวินขี่ม้าขาวเลยนะ
ซักพักม้าก็วิ่งมาถึงโคลนต้นไม้ป่าใหญ่ที่ยิ่งวิ่งเข้าไปก็ยิ่งต้นไม้เยอะ ก่อนจะเห็นเงาเหมือนเงาคนหลายๆคนที่เหมือนกำลังมุมดูอะไรกันอยู่ยิ่งเข้าไปไกล้ก็ยิ่งทำให้เห็นได้ชัด ม้าสีขาวหยุดอยู่ตรงข้างหลังของกลุ่มผู้คน ชายหนุ่มร่างสูงผมทองก้าวขาลงม้าทันทีที่ม้าหยุด แล้วก็ได้มีชายผมสีน้ำตาลร่างผอมคนหนึ่งวิ่งตรงมาทางที่ชายร่างสูง
ชายคนนั้นยืนตรงมือขวากำแน่นยกขึ้นทาบที่อกซ้ายมือซ้ายแนบชิดลำตัวอกผายไหล่ผึ่งหน้าตึงคอตั้ง เเต่ท่าทางที่ชายร่างผอมทำนั้นมันกลับทำให้เด็กชายที่อยู่บนหลังม้าขมวดคิ้วเป็นปมอย่างนึกสงสัย “รายงานสถานการณ์ครับ ผบ.”
ผบ.? คำว่า ผบ.ที่เอ่ยออกจากปากของชายร่างผอมยิ่งทำให้เด็กชายเกิดข้อสงสัยมากยิ่งขึ้น “หืม ว่ายังไงบ้าง” ชายร่างผอมก่อนจะเอ่ยปากก็ได้เหล่ตามองไปทางข้างหลังของชายหนุ่มผมทองทันที ชายหนุ่มผมทอมขมวดคิ้วก็ได้หันตาม “คนของชั้นเอง ไม่มีอะไร”
“คะ ครับ จำนวนทหารที่เสียชีวิตดูเหมือนครั้งนี้จะมากกว่าครั้งก่อนที่ออกสำรวจนอกกำแพงครับ เพราะแผนการที่เราวางไว้เกิดแตกพังที่ทางฝั่งทิศตะวันตกเพราะจำนวนไททั่นตรงฝั่งนั้นมากเกินไป เลยพลอยทำให้ฝั่งทางทิศอื่นเสียหายไปด้วยครับ!”
สำรวจนอกกำแพง!? อะไรกัน ทหาร? เสียชีวิต? ไททั่น!!! เด็กชายที่นั่งอยู่บนหลังม้าแทบลมจับเมื่อได้ยินชายหนุ่มผมนํ้าตาลพูดกับคนที่ถูกขนานนามว่า ผบ. ด้านผบ.เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้ตื่นตระหนกหรือหวาดระแวงอะไรเลยแต่กลับทำสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
"ส่วนเรื่อง ก๊อต ที่ว่าจะออกไปหาฟืนก็โดนไททั่นกิน ละ แล้ว คะ ครับ" ประโยคคําพูดถัดไปของทหารร่างผอมเสียงเบาลงอย่างนึกผิด
เอ๊ะ? หาฟืนหรือว่าพร้าที่เราเห็นตอนนั้นจะเป็นของคนที่ชายคนนี้พูดถึง เเต่ถึงยังไงผมก็ขอบคุณจริงๆ "งั้นหรอ" เสียงพูดที่ดูเหมือนจะสงสารเเต่นํ้าเสียงก็ออกจะเย็นชา คนคนนี้เค้าเป็นยังไงของเค้ากัน เด็กชายก็ได้เเต่คิดในใจ
“เราจะเตรียมตัวกลับเข้ากำแพง ให้เตรียมตัวไว้ การสำรวจนอกกำแพงครั้งนี้ล้มเหลว!” เสียงกล่าวของผู้มียศกล่าวเสียงดังเพื่อให้เหล่าทหารได้เตรียมตัว เพื่อที่จะกลับเข้ากำแพง นั้นก็คือเติมแก๊สเตรียมใบมีดนั้นเองเพราะในระหว่างเดินทางกลับไม่รู้ว่าจะมีไททั่นโผล่มามากน้อยแค่ไหน “ครับ/ค่ะ!”
สิ้นคำกล่าวเหล่าทหารก็ขานรับโดยที่ไม่มีใครขัด “ส่วนร่างของเหล่าทหารนั้น ต้องพากลับไปให้ครบให้หมดทุกคน!”
เสียงกล่าวต่อทำเอาเด็กชายที่อยู่บนหลังมาหัวใจว๊าบทันทีพร้อมกับเหลียวหน้าไปดูร่างอันไร้วิญญาณของเหล่าทหารทีมสำรวจ สายตากวดรอบบริเวณที่มีทหารแต่ละนายยืนดูสมองก็พลันนึกคิดไป ปีกสีขาวที่ไขว่กันกับปีกสีฟ้าอยู่บนแผ่นหลังของเหล่าทหารพร้อมกับผ้าคลุมสีเขียว ท่าเครพต่อผู้ที่มียศถาสูงกว่า และก็คำว่าไททั่น ที่ทหารคนนั้นพูดออกมามันได้ทำให้ความสังสัยที่อยู่ภายในใจของเด็กชายกระจ่างแจ้งทันที
“ทหารทีมสำรวจ” เสียงสถบของเด็กชายถึงจะเบาแต่ก็สามารถทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยินเหมือนกัน ชายหนุ่มร่างสูงเงยหน้ามองเด็กชายที่อยู่บนหลังม้าทันทีที่ได้ยิน ทั้งสองคนผสานตากันอยู่สักพักก่อนที่ชายร่างสูงจะเอ่ย
“รู้จักสินะ?” เด็กชายที่ตอนนี้จ้องหน้าชายร่างสูงก็ได้เงยหน้าหันซ้ายหันขวามองดูเหล่าทหารอีกครั้งยั่งกับจะดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังคิดคือเรื่องจริง
“คะ ครับ แล้วคุณผู้บัญชาการ เออร์วิน สมิธ สินะครับ” ชายหนุ่มทำเสียงตะกุกตะกักเพราะเกรงว่าจะจำผิดคน แต่กลับเปลี่ยนความคิดไปเพราะหลังจากที่พูดจบประโยคไปเมื่อกี้เด็กชายก็ได้จ้องมองคนตรงหน้าอีกครั้งนึง ผมสีทอง ตาสีฟ้ามรกต ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าที่เรียบเฉยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อะไร มันได้ทำให้เขามั่นใจแน่นอนว่าคนนี้แหละคือ ชายหนุ่มในดวงใจเขา
“เธอรู้จักฉัน?” ชายหนุ่มร่างสูงขมวดคิ้วทันทีพร้อมกับชี้นิ้วไปทางเด็กชายแล้วเอ่ย “เธอ ชื่ออะไร” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงทันที “ผะ ผมหรอ” ทั้งๆที่รู้ว่าอยู่กันแค่สองคนยังถาม แต่ก็เพื่อความแน่ใจ ชายหนุ่มผมทองพยักหน้ารับ ชายหนุ่มทำหน้าเอ๋อ เพราะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะถามชื่ออย่างกระทันหันเพราะยังไม่ได้คิดชื่อมาเล๊ย ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดจนเออร์วินพลอยสงสัยไปด้วย เอาวะ!
“คะ คล็อด มิคาเอลริส คะ ครับ” ชายหนุ่มโมเมตอบไปอย่างคิดไม่ตกว่าตัวเองจะคิดชื่อแบบนี้ออกมา “หึ! มิคาเอลริสงั้นหรอ เป็นชื่อที่เพราะดีนิ” ได้ยินเท่านั้นแหละก็ได้ทำให้ชายหนุ่มหน้าขึ้นสีระเรื่อเลยทีเดียว“แล้วเธอเป็นใครมาจา....”
“ผบ.เออร์วิน ครับพวกเราเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วครับ!” ยังไม่ทันได้เอ่ยถามก็มีเสียงทหารคนนึงเอ่ยร้องบอกเรื่องที่เป็นอยู่ในตอนนี้ทันที ก็เพียงแค่อยากรู้เท่านั้นว่าเป็นใครมาจากไหนกันหน้าตาไม่คุ้นแถมยังมาอยู่นอกกำแพงอีกด้วยซํ้า ด้านคนที่กำลังถูกถามใจหลุดลงไปอยู่ตาตุ่มทันที เกือบไปแล้วมั้ยหล่ะนั้น ถ้าเกิดทหารคนนั้นไม่เอ่ยเรียกจะตอบกลับไปยังไงดีคิดแล้วเสียววู๊บว๊าบ
ในระหว่างที่เด็กชายกังวลใจก็รู้สึกถึงแรงสั่นที่ตัวม้า แรงสั่นก็คือตัวของชายหนุ่มผมทองที่ปีนขึ้นหลังม้านั้นเองพร้อมกับสบัดเชือกเพื่อให้ม้าวิ่งนำเหล่าทหาร ศพของเหล่าทหารที่ถูกห่อหุ่มด้วยผ้าสีขาวที่มัดด้วยเชือกกองทับกันอยู่ที่มรถลากเหมือนในหนังไม่มีผิดแต่พอเจอจริงๆก็หวาดหวั่นเลยแหละ
ความคิดหยุดชะงักทันทีที่นึกบางอย่างได้สิ่งที่เขาคิดได้นั้นก็คือ เพื่อนเฮ้ยไอ้ตองอยู่ไหน “ผบ.ๆๆ พะ เพื่อนผม ผมยังมีเพื่อนอีกคะ คน!” เด็กชายพูดเสียงร้อนรนปนหงุดหงินที่ลืมเพื่อนตัวเอง “แล้วเพื่อนเธออยู่ตรงไหน” ชายหนุ่มผมทองพูดทั้งๆที่ตาก็ไม่ได้ระออกจากทางข้างหน้า
“ตอนที่ไททั่นโผล่มาผมกับเพื่อนแยกกันตรงนั้น”
“เสียใจด้วยนะ”
เสียงกล่าวเรียบ ทำเอาเด็กชายที่หนังอยู่ในอ้อมแขนน้ำตาคลอที่เบ้าตาทันทีอย่างอดกลั้นไม่ได้ ขอร้องไปคำตอบที่ได้ก็คงจะเหมือนเดิมเพราะเขารู้จักนิสัยของชายคนนี้ดีว่าเป็นยังไง เด็กชายก้มหน้างุดพร้อมกับโทษตัวเองไป น้ำสีใสปลิวไปตามแรงลมที่พัดผ่านเผลอไปตกหล่นที่แขนเสื้อของชายร่างสูง จนทำให้ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆ เขานั้นก็อยากช่วยแต่ที่นี่ตรงนี้คือนอกกำแพงที่แวดล้อมเต็มไปด้วยไททั่นขืนกลับเข้าไปคงได้ตายไปอีกหลายศพแน่นอน
เท้าที่ก้าวของม้าที่เดินนำเหล่าทหารหยุดชะงักอย่างกะทันหันจนแผ่นอกของชายที่อยู่ข้างหลังกระแทกเข้ากับหลังของคนที่อยู่ข้างหน้าไม่แรงไม่เบานักแต่สำผัสได้เลยว่าทั้งแน่นทั้งกำยำ อะไรกันนี่เป็นเวลาโศกเศร้าเรามาคิดอะไรของเราบ้าเอ้ย!!!
อยู่ๆก็มีเสียงย่างเท้าของม้ามาสามทิศด้วยกัน คือทิศตะวันตก ทิศใต้ ทิศตะวันออกด้วยกันและดูเหมือนเราจะอยู่ทิศเหนือ ดูเหมือนกลุ่มที่แบ่งไปกันแต่ละทิศจะมีหัวหน้านำทิศจุดรวมพลคือทิศเหนือที่มีผู้บัญชาการสินะ
“เออร์วิน ดูเหมือนฝั่งทิศตะวันตกที่ยัยแว่นเป็นคนคุมการจะแตก” เสียงคมปนหงุดหงิดดังมาเมื่อม้าหยุดอยู่ตรงข้างของผู้บัญชาการ พูดพร้อมกับปลายหางตาไปทางคนที่โดนแทนตัวว่ายัยแว่นก่อนจะชะงักเมื่อหันหน้ามามองที่หัวหน้าตัวเองที่ตอนนี้มีเด็กแปลกหน้าจากที่ไหนก็ไม่รู้นั่งอยู่ข้างหน้าของหัวหน้าตัวเองแถมอยู่ในอ้อมแขนอีก เห็นละมันชวนหงุดหงิด ชายหนุ่มที่พึ่งกล่าวสถานการณ์ไปได้เพียงแค่สบถอยู่ในใจ
“อะไรกันรีไวน์ นายจะโทษฉันคนเดียวไม่ได้นะๆๆๆ ต้องโทษพวกไททั่นด้วยที่ทำให้ฝั่งฉันมันมีมากเกินไปใช่มั้ยเออร์วิ... อ่ะเอ๊ะๆๆๆๆ!!” หญิงสาวแว่นใสร้องก๊ากอย่างดังทันทีมีหันหน้าไปทางหัวหน้าตัวเองก็ต้องกับเงิบเพราะเด็กน้อยที่ไหนไม่รู้ที่หนังอยู่กับเออร์วินชั่งๆๆ
“น่าร๊ากกกก” พูดจบก็ควบม้าไปทางเด็กชายทันทีพร้อมกับทำหน้าบานเฉิ่มอย่างกับเห็นอะไรให้ดลใจ “ใครน่ะเออร์วินๆๆๆ!!!” เด็กชายทำหน้าเหวอเมื่ออยู่ๆคนที่ถูกเรียกว่ายัยแว่นก็เอามือมาบีบที่แก้มพลิกไปซ้ายทีขวาทียั่งกับเห็นว่าเป็นของเล่น
“น่ารักเนาะนายว่ามั้ย รีไวน์?” หญิงสาวแว่นใสหันไปถามคนที่ได้ชื่อว่าเป็นความหวังของมนุษย์สยชาติทันที “หึ!” คนร่างเล็กไม่พูดอะไรแต่เพียงแค่หัวเราะเบาๆเหมือนเยาะเย้ยออกมาก็เท่านั้น ด้านหญิงสาวก็งงกับทีท่าของเพื่อนคนนี้แต่ก็ไม่ได้คิดไรมาก
“เออร์วินฉันเจอเด็กหลงป่าน่ะ” กลุ่มทิศสุดท้ายที่มาถึงกล่าวบอกหัวหน้าทันที ด้านเด็กชายที่ได้ทำเพื่อนหายก็ตาโตทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้นรีบหันควับไปทางเสียงโดยเร็ว ด้านผู้ที่ถูกเรียกชื่อก็ต้องเผลอหันไปดูปฏิกิริยาของคนร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนทันทีไม่รู้มีอะไรดลใจให้หันไปกัน
“เด็กหลงป่า ใครยั่งงั้นหรอมิเกะ” ในเมื่อตัวเองก็เจอเด็กหลงป่าเหมือนกันก็อดที่จะถามไม่ได้เหมือนกันว่าเด็กหลงป่าที่มิเกะพูดคือใคร “เป็นเด็กผู้หญิง เห็นบอกชื่อ ฮันน่า ฮิราเดล”
ด้านเด็กชายที่ได้ยินว่าเป็นเด็กผู้หญิงก็ดีใจสุดขีด แต่ก็ต้องใจห่อเหี่ยวเมื่อได้ยินชื่อ อยู่ๆคนที่ชื่อว่ามิเกะก็หันหน้าไปข้างหลังเหมือนกับส่งสัญญาณบอกใครหรือให้เอาอะไรมา จากนั้นก็มีรถลากที่โดนลากด้วยม้าโดยมีผู้คุมมาด้วยลากมาทางเด็กชาย ภาพที่ปรากฎให้เห็นทำเอาเด็กชายเบิกตากว้างด้วยความดีใจ มันคือ เพื่อนของเขาที่นั่งอยู่บนรถลาก เด็กชายดีใจสุดขีดพร้อมกับอ้าปากจะตะโกนหาเพื่อนแต่ต้องชะงักเพราะนึกขึ้นได้ว่าคนที่ชื่อมิเกะนั้น บอกว่าเพื่อนเขาชื่อ ฮันน่า ฮิราเดล แสดงว่าเพื่อนสาวเขาก็คงจะคิดชื่อเองเหมือน
“ฮันน่า!!” เสียงดังคุ้นหูที่ดังมาไม่ไกลทำเอาเด็กหญิงที่อยู่ในรถลากเงยหน้าขึ้นหาที่มาของเสียงทันทีหญิงสาวยิ้มกว้างพร้อมกับจะทำท่าลุกขึ้นแต่ก็โดนคนที่ชื่อมิเกะใช้มือขวางไว้ “ที่นี่นอกกำแพง อย่าลงมาจะดีกว่า” หญิงสาวชะงักทันทีพร้อมกับนั่งลงเพราะขัดไม่ได้ได้แต่นั่งหน้ามู่ทู่อย่างเดียว
ด้านเด็กชายก็ได้แต่ยิ้มกับทีท่าเพื่อนสาวเพราะนี่ไม่ใช่โลกของเราก็คงได้แต่ทำตามเจ้าของโลกเท่านั้นแหละนะ “มาครบแล้วใช่ไหม” ไม่มีเสียงตอบรับแต่ที่ได้มาคือการตอบรับโดยการพยักหน้าแทน “งั้นเริ่มออกเดินทาง เพื่อกลับเข้ากำแพงเมือง!”สิ้นคำกล่าว ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บัญชาการก็จัดการควบม้านำหน้าทันที
เสียงควบมาที่มาพร้อมกับความคิดที่ปะปนกันรวมกันเป็นคิ้วที่ขมวดเป็นปมอยู่หน้าเด็กชาย คนทั้งสามคนเมื่อกี้นี้เขารู้จักหมด ดูเหมือนว่าจะมั่นใจได้100เปอร์เซ็นเลยหล่ะว่าที่นี่คือโลกในการ์ตูนที่ถูกขนานนามโดยคนที่โลกเขาว่า (ผ่าพิภพไททั่น) เด็กชายตกตลึงกับสถานการณ์ในตอนนี้มากจนขนาดไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นเรื่องจริงโลกที่ถูกสร้างด้วยมือมนุษย์ไม่รู้ว่าเขานั้นจะได้มาสัมผัสมันจริงๆโลกที่เคยโม้ให้เพื่อนฟังอยู่ๆบ่อยๆว่าอยากเข้าไปอยู่ แต่ก็ได้มาอยู่จริงๆ
หลังจากที่ควบม้ามาตอนนี้ก็ประมาณ2ชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ถึงกำแพงเลย เมืองกำแพงอะไรจะอยู่ไกลปานนั้น เด็กชายถอนหายใจออกมาเฮือกนึงจนคนที่อยู่ด้านหลังสังเกตุได้ก่อนจะเอ่ย “พวกเราพักอยู่แถวๆนี้กันสักพักก่อนแล้วค่อยออกเดินทางต่อ” สิ้นคำม้าที่ถูกควบโดยทหารก็ต่างพากันตวัดเชือกให้มันหยุดอยู่ในจุดเดียวกัน
ชายหนุ่มร่างสูงปล่อยเชือกออกจากมือก่อนนะกระโดดลงพร้อมกับเดินไปทางกลุ่มเหล่าทหารโดยที่ไม่ทันได้สังเกตุเลยว่าเด็กชายที่อยู่บนหลังม้าจะชักถามอะไร “อะ อ้าว!” เด็กชายมือข้างปากข้างทันทีที่เขาไม่สนตัวเองก่อนจะก้มหน้างุดที่จริงถ้าอยากลงก็ลงได้อยู่หรอกไม่เห็นยากแต่กลัวโดนดุมากกว่าเลยต้องจำใจ
หน้าที่หักงออยู่เงยขึ้นทันทีเมื่อเห็นขวดพลาสติกสีเขียวจ่อที่ตรงหน้าเด็กชายหันขึ้นมองดูที่มาของขวดก็ต้องเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัวทันที คนที่ยื่นน้ำมาให้คือผบ.เออร์วิน“ขอบคุณครับ” เด็กชายไม่พูดปล่าวพร้อมกับส่งยิ้มที่จริงใจไปให้อีกฝ่ายทันที จนรอยยิ้มนั้นเผลอทำเอาคนหน้าเรียบเฉยบางคนรอบยิ้มไปด้วยอย่างลืมตัว โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าการกระทำนั้นมันทำให้ใครคนนึงเห็นแล้วไม่สบอารมณ์เอาสะเลย
(อย่าโกดกันเลยหนาาาาาา สําหรับคนที่เป็นเเฟนๆรีไวน์55555 จะให้รีไวน์เเสดงเป็นฉบับตัวอิจฉา) ขอบคุณคนที่ติดตามมาก
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น