คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : (ดั่งฝันฉันใด) สบตา ch2.
เสียงฮือฮาเหล่าบรรดาผู้คนมากมายที่ต่างพากันร่วมงานสังสรรค์ในยามวิกาล เสียงรถเสียงแตรก็ไม่อาจกลบเกลื่อนให้เสียงแห่งความสนุกนี้เบาลงได้แม้แต่น้อย ยามนี้เป็นยามที่เหล่าผู้คนน้อยใหญ่เลิกงาน ก็ไม่แปลกที่จะพากันนัดแนะเพื่อไปเฉลิมฉลองที่ว่าทำงานเสร็จ เอ็นติด วันเกิด เลี้ยง ไม่เว้นแม้กระทั่งกลุ่มนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่ตอนนี้กำลังเดินต้อยๆแลซ้ายแลกขาหาร้านที่ตนถูกใจเพื่อที่จะพากันเฉลิมฉลองด้วยการที่พูดกันไว้ว่าจะกินเนื้ออย่างเพราะกิจกรรมเสร็จไปด้วยดี
“ร้านนี้แหละ” เสียงเพื่อนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มผู้ชายที่ถูกเพื่อนเคยขานชื่อว่าบอมเอ่ยขึ้นเบาๆพอที่จะให้คนในกลุ่มได้ยิน พร้อมกับชี้นิ้วไปทางสิ่งที่ตนได้พูดจนคนในกลุ่มหันไปมองตามนิ้วที่ชี้ไป
“อร่อยหรอ?” ไอ้นักกินที่ถูกเพื่อนขานชื่อว่าฟิวเอ่ยขึ้นด้วยความที่เป็นคนชอบกินจึงได้ถามออกไปเพื่อความแน่ใจเพราะเกรงว่าอาหารจะไม่ถูกปาก เดี๋ยวเสียตังไปเปล่าๆ “แหม่ๆๆๆ มึงเนี่ยไม่อร่อยกุจะพามาหรอครับ เพื่อมึงโดยเฉพาะ” ไม่พูดปล่าวพร้อมกับโคลงหัวยิ้มแป้นไปมาเป็นเชิงบอกว่าวางใจได้เลย “ทำไงได้นะถึงจะบอกว่ากลัวไม่อร่อย แต่มันไม่มีร้านอื่นแล้ว” อยู่ๆก็มีมารพูดดักคอขึ้นโดยที่ถูกเพื่อนเรียกชื่อว่าแม็กนั้มเอ่ยขึ้นพลอยทำให้หางคิ้วของคนที่มั่นอกมั่นใจว่าไม่ทำให้ผิดหวังกระตุกยิ๊กๆก่อนจะปลายหางตาไปมองไอ้คนพูดเมื่อกี้พร้อมกับแยกเขี้ยวใส่ส่วนไอ้คนพูดโดนแยกเขี้ยวใส่ขนาดนั้นก็ทำเป็นไหวไหล่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“เอาหล่ะๆเข้าไปกันเหอะ ขืนยืนอยู่นี่นานมีหวังไม่ได้กินพอดี” เด็กหนุ่มผู้นำกลุ่มเห็นสถานการณ์ตรงหน้าท่าจะไม่ดีจึงได้พูดตัดบทไป ก่อนที่มันจะบานปลายไปเป็นสงครามการโต้เถียงเข้าให้จนไม่มีที่สิ้นสุดแล้วจึงเดินเข้าร้านไป ได้ยินเช่นนั้นเหล่าเพื่อนๆก็ต่างพากันเดินตามหลังเด็กหนุ่มกันไป เว้นแต่ไอ้สองตัวที่ตอนนี้ยืนจ้องหน้ากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันไปข้าง “พวกมึงนี่น๊า กัดกันเป็นหมาไปได้ไม่เว้นวัน เอ...หรือมีใจให้กันแล้วไง?” เด็กหนุ่มที่ถูกเพื่อนขนานนามว่าลูกผู้ดีที่ถูกเรียกชื่อว่า ณดลเป็นหนึ่งในกลุ่มที่เดินไปเป็นคนสุดท้ายกล่าวเสียงหยอกเย้าระกวนประ สาทเข้าให้ก่อนจะยักยิ้มกวนๆน่าเตะแล้วจึงเดินเข้าร้านไป
ได้ยินประโยคสุดท้ายเท่านั้นแหละไอ้สองตัวที่เหลียวดูไอ้เพื่อนคนเมื่อกี้หันกลับมามองหน้ากันก็ต่างพากันชะงักกึกไปชั่วขณะก่อนจะพากันสบัดหน้าหนีกันไปคนละทางพร้อมกับเดินเข้าร้านไปอย่างไม่สบอารมณ์ท่ามกลางสายตาเพื่อนกลุ่มที่เดินเข้าร้านไปก่อนหัวเราะคิกคักๆกันไปตามประสากับไอ้เพื่อนสองคนนี้ที่แท้จริงแล้วใจนั้นไม่ได้เป็นอย่างปากพูดเลยแม้แต่น้อย เมื่อเดินเข้ามาครบเป็นกลุ่มก็ได้มีพนักงานชายต้อนรับคนหนึ่งยืนรอตั้งแต่ที่มีแขกได้ย่างก้าวเข้าร้านมา
“ยินดีต้อนรับครับ ไม่ทราบว่ามากันกี่คนครับ?”
เมื่อลูกค้าเดินมาถึงก็ได้ผายมือเชิญลูกค้าไปยังโต๊ะที่คาดว่าน่าจะพอจำนวนก่อนจะเอ่ยถาม “9 คนครับ” แจนตอบกลับ “ครับ ไม่ทราบว่าเอากี่ชุดดีครับ เล็ก,ใหญ่?” โดนถูกถามมาเช่นนั้นก่อนที่เด็กหนุ่มจะหันหน้าไปทางเพื่อนๆเพื่อถามความคิดเห็นแต่พอคิดๆดูแล้วถ้าจะสั่งชุดใหญ่ก็ชุดละสามคนพอดีจึงไม่ได้เอ่ยปากถาม “เอ่อ..3ชุดใหญ่แล้วกันครับส่วนน้ำ แป๊บซี่ใหญ่2น้ำเปล่าเล็ก2....” ก่อนจะเว้นช่องคำพูดพร้อมกับปลายหางตาไปทางเพื่อน “285หนึ่ง ลีโอลังหนึ่งครับโซดาเหมือนกัน” แต่ดูเหมือนไอ้กรจะรู้ทันว่าเพื่อนหันหน้ามาต้องการที่จะถามอะไร ส่วนคนที่จะถามก็หน้าหงอยไปทันตาเห็น ไม่ได้หงอยเพราะว่ามันรู้ว่าจะถามเรื่องเครื่องดื่มแอลกกอฮอล์แต่มันหงอยตรงที่เอาตั้งลังนึงนี่สิมันจะเอาให้เมากันจนกลับบ้านไม่ได้เลยหรือไงกัน
“กินไม่หมด หล่ะน่าดูแน่มึง”
“แน่นอนว่ามันต้องหมด” กรไหวไหล่
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะหันหน้าไปทางพนักงาน “ครับ ตามนี้แล้วกันครับ” พนักงานชายหนุ่มขานรับเสร็จก็เดินหันหลังตรงไปยังที่เคาน์เตอร์ทันทีไม่เกิน2นาทีก็มีพนักงานชาย-หญิงเดินถือเหล่าอุปกรณ์เครื่องดื่มต่างๆนาๆมายังโต๊ะพร้อมจัดแจงให้กับลูกค้าทันทีที่วางของก็ได้มีหญิงสาวพนักงานคนหนึ่งที่จัดเตรียมแก้วน้ำให้ ทำท่าทีขะเขิลเมื่อเดินมาถึงฝั่งที่แจนนั่งพร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้แจน ส่วนเจ้าตัวก็ไม่ได้ทำทีท่าแปลกใจอะไรแต่กลับยิ้มตอบรับไปอย่างจริงใจ ด้วยเหตุนั้นยิ่งทำให้หญิงสาวหน้าขึ้นสีระเรื่อไปใหญ่ก่อนจะยื่นมือรับแก้วที่พนักงานหญิงสาวยื่นมาให้พลันสายตาไปเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์6คนกลุ่มหนึ่งที่ตอนนี้กำลังสนทนากับพนักงานคนเดียวกับที่มาต้อนรับพวกเขาเมื่อกี้นี้ก่อนจะเดินไปตามทางที่พนักงานชี้ชวนไป
กรที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับเพื่อนก็เหลือบไปเห็นแจนเข้าพอดีที่ตอนนี้เหลียวหน้าไปทางหนึ่งตรงที่มีกลุ่มลูกค้าประมาณ6คนที่กำลังเดินผ่านโต๊ะของพวกเขาไปอย่างให้ความสนใจก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวดูตามว่ามีอะไรถึงได้ทำให้เพื่อนหนุ่มของเขาสนใจนักหนา ส่วนด้านเด็กหนุ่มนั้นไม่ใช่เพราะกลุ่มคนที่ทำให้เขาสนใจแต่กลับเป็นใครบางคนที่เป็นหนึ่งในกลุ่มนั้นตางหากที่ทำให้เขาเหลียวมองอย่างไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมต้องมองดูเขาด้วยคิดดูดีๆก็เหมือนกับว่าคนที่เขากำลังจ้องมองอยู่ตอนนี้เหมือนเคยเห็นหรือปล่าวแล้วอะไรที่ทำให้เขาคิดเช่นนั้นก่อนจะเผลอสดุ้งขึ้นเบาๆเพราะได้ยินเสียงของเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือ
“หมวดกิตค๊ะ!” ดูเหมือนชื่อที่เด็กสาวเอ่ยขึ้นทำให้หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์สดุ้งตัวขึ้นพร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวาหาที่มาของเสียง “ทางนี้ค่ะหมวด” ก่อนที่เจ้าของชื่อจะหันหน้ามาทางพวกเรา “อ้าว! หนูเตย” ขานชื่อผู้เรียกพร้อมกับเดินตรงมาทางโต๊ะพวกเราพลอยทำให้แจนที่นั่งอยู่ข้างๆพร้อมกับเพื่อนๆงงเป็นงง แต่ก็นะสำหรับแจนดูจากการเรียกคำนำชื่อนั้นแล้วกลุ่มชายชายฉกรรจ์นั้นคงจะเป็นตำรวจกันเพราะว่าดูจากเสื้อแจ็คเก็ตจากคนในกลุ่มนั้นแล้วเป็นตรากรมตำรวจที่ส่วนมากจะใส่กันไม่ใส่ส่วนน้อยแต่ดูเหมือนจะใส่เสื้อยืดตรากรมตำรวจกันทุกคนหล่ะมั้งนะ “เป็นไงบ้างหนูเตย สบายดีไหม” ด้านผู้หมวดชักถามฝ่ายที่เป็นผู้เรียกก่อน “ก็สบายดีค่ะ เหมือนๆเดิมแหะๆ แล้วหมวดกิตหล่ะค๊ะสบายดีไหม?” พูดพลางยิ้ม “ทางนี้ก็สบายดี ถึงจะมีงานเยอะหน่อยก็เถอะนะ” ก่อนจะหัวเราะออกมาตามแบบฉบับผู้ใหญ่
ในขณะที่ทั้งสองคนคุยๆกันไปตามประสาคนไม่ได้เจอกันนานเด็กหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มๆไปตามคำพูดสนทนานั้นก่อนจะชะงักเมื่อสายตาพลันไปสบกับคนคนหนึ่งในกลุ่มตำรวจเข้าทั้งสองคนเผลอจ้องหน้ากันนานพอสมควรก่อนที่เด็กหนุ่มจะเป็นคนผละหน้าหันไปทางอื่นก่อน แต่ก็ไม่วายที่จะปลายหางตากลับไปดู ดูเหมือนอีกฝ่ายก็หันหน้าไปทางอื่นแล้วเหมือนกัน ใครกันนะรู้สึกเหมือนกับว่าเคยเห็น
...เออก็ไม่แปลกที่จะเคยเห็นก็ฝ่ายนั้นอาจจะเป็นตำรวจเหมือนผู้หมวดคนนี้ก็ได้นี่นา อาจจะไปตั้งด่านที่ไหนสักแห่งแล้วเราเผลอเห็นก็ได้
ส่วนด้านชายหนุ่มที่ตั้งแต่ได้ยินเด็กหญิงสาวคนหนึ่งเรียกผู้หมวดก็พลันเห็นเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้เกิดข้อสงสัยขึ้นทันตาเห็น ว่าเด็กหนุ่มคนนี้หน้าคุ้นๆเหมือนเคยเห็น ไม่สิเรียกได้ว่าอาจเคยรู้จัก..หรือ ปล่าวนะ หรือเพราะคิดไปเอง ด้วยที่ว่าเกิดข้อสงสัยขึ้นเลยพลอยทำให้จ้องไม่วางตาจนอีกฝ่ายก็หันมามองเหมือนกันเลยได้เผลอสบตากันเข้า
“มากินเลี้ยงกันสินะ ฮ่ะๆ ขอให้อร่อยแล้วกันนะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ ขอให้อร่อยเช่นกันนะค๊ะ” พูดจบก่อนจะประนมมือขึ้นไหว้ผู้หมวดส่วนด้านผู้หมวดก็รับไว้หญิงสาวก่อนจะยิ้มให้แล้วเดินไปหากลุ่มเพื่อนที่นั่งรออยู่ไม่ไกลเท่าไหร่จากโต๊ะพวกเรา
ดูเผินๆแล้วที่นี่ก็ตกแต่งสวยน่าดูอยู่เหมือนกันแทนที่จะเรียกได้ว่ารกรุงรังแต่กับไม่เพราะยิ่งดูก็ยิ่งให้ความรู้สึกสบายตาชื่นใจอย่างบอกไม่ถูกด้วยที่ว่ามีดอกไม้ต่างๆนาๆชนิดประดับประดาอยู่ตามขอบร้านและสระปลาคราฟที่ก่อตั้งอยู่ตรงกลางร้านให้ลูกค้าไปดูเล่นๆพลางให้อาหารย่อยไปด้วย ด้วยที่มีต้นไม้ใหญ่น้อยตั้งอยู่รอบๆร้านพอที่จะให้มีลมพัดผ่านอย่างเย็นสบายส่วนที่ทำให้ผู้คนสนใจมากที่สุดคงจะเป็นเวทีคาราโอเกะที่ตั้งอยู่ด้วนในสุดกลางร้านที่ตอนนี้กำลังจัดเครื่องดนตรีอยู่เพื่อให้นักร้องเตรียมตัวขึ้น “ดื่มมากไปไม่ดีต่อสุขภาพนะครับจ่าชัย” ผู้ที่ถูกถามทำหน้าทำตายิ้มแย้มพลางหัวเราะโฮ๊ะๆโบกไม้โบกมือ ให้กับตำรวจหนุ่มด้านข้างด้วยที่ว่ากลัวตัวเองจะเมาจนกลับบ้านไม่ได้เสียมากกว่า
“ไม่หรอกๆผู้กองภาคิน อีกอย่างผมหน่ะถึงจะดื่มมากขนาดไหนยังไงๆก็อยู่ได้อีกไม่นานหรอก” พูดพลางยิ้ม
“อย่าพูดให้มันเป็นลางแบบนั้นสิครับ” ถึงจ่าจะพูดแบบนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะยิ้มให้กับคนที่มีอายุอานามเยอะที่สุดในกลุ่มก่อนจะหันไปทางเพื่อนที่มีอายุคร่าวๆพอๆตัวเองพลางนึกยิ้มให้กับเพื่อนที่ตอนนี้เมากันใหญ่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันไป ไม่รู้เหมือนกันว่าพากันพูดเรื่องอะไรก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกนึงเมื่อนึกย้อนกลับไป ก็ตอนนั้นถึงเวลาเลิกงานพอดีแถมกำลังหมูบหน้าลงโต๊ะแบบหน้าตาเหม่อลอยเหมือนคนร่างไร้วินญาณ หลังจากหมูบได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่งดังมาจากข้างหลังพร้อมกับดึงตัวเขาที่ไร้วิญญาณขึ้นจากเก้าอี้แล้วพูดพร้อมหน้าพร้อมตากันสีหน้ายิ้มแย้มว่า
“ผู้กอง กินเลี้ยงกัน”
เท่านั้นแหละโดยที่ไม่สนใจเขาเลยว่าตอนนี้เป็นยังไง เหมือนรู้สึกกับถูกลากออกไปจากสถานีนึกขึ้นได้ก็อยู่บนรถละ แต่ก็เอาเหอะมาสังสรรค์แก้เครียดกับเพื่อนฝูงหน่อยก็ไม่เร็ว
“ฮู๊ยยยย ดูนั้นสิสาวนักร้องคนนั้นหน่ะสวยไม่เบาเลยนะวู๊ยยย ว่ามั้ยแจน..” อยู่ๆไอ้กรก็พูดขึ้น แต่มันไม่พูดเปล่ามันกุมมือตัวเองทั้งสองข้างแล้วยกขึ้นมาตรงกลางอกพร้อมกับโยกเยกไปมาราวกับคนลุ่มหลงมนเสน่ห์ ด้านคนถูกถามไม่ได้ตอบกับแต่เพียงแค่หัวเราะหึออกไปเท่านั้น “แหม่ ทำเป็นหยิ่งนะมึงเมื่อกี้สาวเสริฟยิ้มให้ก็ทำเป็นเมินหน้าหนี” ผู้ที่ถูกกล่าวหาปลายหางตาไปทางไอ้เพื่อนเวรทันทีก่อนจะนึกคิดว่า
เขาเมินตอนไหน?
ถึงจะไม่ได้เมินก็จะให้พูดคุยราวกับจะให้จีบหรือไง “กุก็ยิ้มตอบรับอยู่ไง ถึงกุจะเมินเขาจริงๆจำเป็นด้วยหรอที่กุจะต้องทำเป็นพูดคุยด้วยทั้งๆที่มันไม่จำเป็นเลย” คนที่พูดหยอกเมื่อกี้ได้ยินคนที่ตัวเองพูดใส่โต้กลับมาแบบนี้ก็ถึงกับนิ่งค้าง
บ๊ะ!..ไอ้เพื่อนคนนี้มันร้ายกาจ
ก่อนที่ภายในร้านจะเงียบกริบไปเพราะได้มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินขึ้นเวทีดูจากการแต่งตัวเหมือนจะเป็นเจ้าของร้านของที่นี่ “สวัสดีค่ะ ขอขอบคุณนะคะที่ท่านได้ไว้วางใจร้านเราในการบริการอาหารให้ท่านเพื่อและเป็นการให้บรรยากาศในการทานอาหารดูมีสีสรรค์ขึ้นขอเชิญทุกท่านพบกับนักร้องเสียงใสประจำร้านเรา คุณไข่มุก” เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อหญิงสาวเดินขึ้นเวทีพร้อมกับชายสามคนที่เดินตามหลังมาก่อนที่เสียงปรบมือจะเงียบลงเป็นหญิงสาวรูปร่างท่าตาสวยสง่าแต่งตัวพอดีพอเหมาะจนพลอยทำให้หนุ่มๆทั้งหลายไม่อาจที่จะระสายตาออกไปได้เลย เมื่อรับไมค์จากเจ๊สาวคนนั้นหล่อนก็ได้หันไปพยักหน้าให้กับเหล่าผู้ที่เป็นคนบรรเลงดนตรี และแล้วเสียงดนตรีก็บรรเลงขึ้นเสียงแรกเริ่มเป็นเสียงขิมที่ฟังแล้วเสนาะหูตามด้วยเสียงกลองรากยาวตีสลับขิมขึ้นเป็นทำนองเพลงไทยฟังดูแล้วเหมือนได้ลอยละล่องไปอีกยุคสมัย
“ฟ้าดลบันดาลให้เรามาพบ เวทมนตร์ฉันใดถึงได้มาเจอ”
ได้ยินทำนองเพลงแรกเท่านั้น ก็ทำให้เด็กหนุ่มเบิดตากล้างแต่สมองกลับเหม่อลอยไปอีกฟากของโลกอย่างสิ้นเชิง
“หรือโชคชะตาได้ขีดเอาไว้ ให้มอบหัวใจรักมั่นเพียงเธอ”
ซึ่งก็ไม่ได้ต่างกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งเลยดวงตาเหม่อเพ้อเหมือนสติไม่ได้อยู่กับที่กับเสียงทำนองที่ตนกำลังฟังพลอยทำให้นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา
“อาจเป็นเธอ อาจเป็นเธอหรือเปล่า เธอคนนั้น ที่ทั้งชีวิตเคยเฝ้ารอ”
ซึ่งมันทำให้เด็กหนุ่มได้เผลอหันไปมองใครบางคนที่อาจคาดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าได้หันไปอย่างไม่รู้ตัว หรืออาจจะรู้แต่ทำไมถึงได้หันไป
“อาจเป็นฝัน อาจเป็นเพียงภาพเบลอ แล้วความฝันก็พลันสะท้อนเป็นเรื่องจริง”
ส่วนคนที่ถูกมองก็เหมือนจะรู้ตัวว่าถูกสายตาคู่นึงจ้องมาทางตนมันเพราะเผลอหันไป...หรือปล่าว หรือเพราะจากสัญชาตญาณด้วยความที่ตัวเองเป็นตำรวจ..หรือปล่าว ความคิดหลากหลายถ่าโถมเข้าภายในจิตใจของคนทั้งสองคน ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้าด้วยความที่ว่าเหมือนเคยรู้จักด้วยกันทั้งคู่ทั้งๆที่ความเป็นจริงไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำไป
เสียงเต้นของหัวใจของทั้งสองฝ่ายกลบเกลื่อนเสียงของอณูทุกสรรพสิ่งไว้อย่างสิ้นเชิง
“ข้ามผ่านเส้นทางจากฝัน จนฉันได้มาพบเธอ สายลมพัดพาความหวัง มาสู่ฉันในวันนี้”
“สุดฟ้าจะไกลสักเท่าไหร่ ก็ได้มาพบกัน”
“สุดท้ายต้องแลกด้วยอะไร ฉันยอมทุกอย่าง”
“จะทำเพื่อเธอตลอดไป จนสุดลมหายใจ”
“แค่มีเธออยู่กับฉัน แค่นั้น”
ข้ามผ่าน? ฝัน? พบเธอ? เด็กหนุ่มสายตาสั่นระริกเหมือนกับว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่างที่คุ้นชินหรือที่ไหนสักแห่งที่คุ้นเคยหรือคิดไปเอง....
แลกทุกอย่าง? ทำเพื่อเธอ? แค่มีเธออยู่กับฉัน? ทำไมคำพวกนี้ถึงได้คุ้นชินกับมันนัก ยั่งกับตัวเองได้เคยแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมาชายหนุ่มก็ได้แต่นิ่งค้างกับสิ่งตรงหน้ามันให้ความรู้สึกเปรียบเสมือนว่าเขากำลังสืบสวนคดีบางอย่างที่ซับซ้อนแต่เป็นคดีที่ให้ความรู้สึก..หวั่นใจ..
อะไร มันคืออะไรกัน เด็กหนุ่มพึมพำในใจ ทำไมถึงได้รู้สึก....
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะสดุ้งเฮือกออกจากภวังค์เหมือนวิญญาณกลับเข้าสู่ร่าง พร้อมๆกับชายหนุ่มที่นั่งจ้องอยู่อีกฟากโต๊ะเผลอตัวไปด้วยคน “แจน เป็นอะไรเห็นนั่งเหม่อไปทางโต๊ะกลุ่มของผู้หมวดกิตนานแล้วนะ” ไม่พูดเปล่าหญิงสาวหันไปดูด้วยคนว่ามีอะไรที่ทำให้เพื่อนหนุ่มเขาสนใจนัก ปกติจะไม่ค่อยสนใจอะไรเป็นพิเศษนอกจากจะสนใจเข้าจริงๆ ถึงจะเป็นคนที่ขี้เล่นไปหน่อยเเต่พอเอาจริงเข้าก็เป็นที่พึ่งพิงให้กับผู้อื่นได้อย่างเหลือเชื่อ เรียกอีกอย่างก็ผู้นํา “ปะ ปล่าวหรอกไม่มีอะไรก็แค่..ฟังเพลงเพลินหน่ะ” ส้มเอียงคอนิดๆ แล้วเพื่อนหนุ่มก็เหมือนจะผายยิ้มกลับมา “อืม เพราะมากเลยเนาะ” พูดไปก่อนใจตั้งแขนไว้บนโต๊ะช้อนมือเข้าหากันแล้วคั้มคางลงบนมือพลางมองไปเวทียิ้มแฉ่งกับทำนองเพลงที่หวานจับใจ
“อะ อืม” เห็นเพื่อนสาวทำหน้าตามีความสุขแบบนั้นก็ยิ้มออกมาทันที เขาก็คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันกับเนื้อเพลงที่ผสมผสานรวมกับเสียงผู้ร้องอันแสนหวานก่อนจะหันหน้าไปกลับไปทางเวทีแต่ก็ไม่วายนึกคิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนถึงจะเคยอยู่บ้างก็ตามทีแต่มันไม่เป็นถึงกับเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาข้างนอก กับความรู้สึกที่เรียกว่า...หวั่นใจระความสับสน
(คริๆ หากเกิดข้อผิดพลาดอะไรไปต้องขออภัยด้วยน๊า สามารถคอมเม้นถึงจุดบกพร่องนั้นด้วยเรายินดีเเก้ไขตามคําติชม) เรื่องในร้านเนื้อย่างยังไม่จบเพียงเท่านี้นะอีกนิดเดียวตอนน่า
ความคิดเห็น