คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : (สงครามไททั่น) สู่กําเเพงเมือง ch.4
เหล่าม้าที่เดินทางมาอย่างเหนื่อยต่างก็ถูกป้อนน้ำป้อนหญ้าโดยเจ้าของที่เป็นผู้ขี่ “เราคงจะพักนานไม่ได้ เพราะอีกเดี๋ยวตะวันก็จะตกดินเดี๋ยวจะพลอยให้เดินทางกลับลำบาก”
ได้ยินเช่นนั้นเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็เหล่ตามองเพื่อนสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทันทีที่ตอนนี้นั่งหน้างุดหน้างอก่อนจะเห็นชายหนุ่มร่างสูงผมทรงบ๊อบที่ถูกเรียกชื่อว่ามิเกะลูกน้องคนสนิทของผบ.เออร์วิน ยื่นบางอย่างให้กับหญิงสาวแต่ดูเหมือนหญิงสาวเพื่อนรักจะไม่ขัดอะไรยื่นมือรับของอย่างว่าง่าย คงจะเป็นน้ำหล่ะมั้ง
“อ่ะเดี๋ยวๆๆๆๆๆก่อน!” เด็กหนุ่มหลุดออกจากความคิดเมื่อสายตาพลันไปเห็นชายหนุ่มผมทองที่เมื่อกี้กล่าวบอกกับเหล่าทหารเดินมาจับเชือกจะปีนขึ้นม้า ด้านคนที่จะโดดขึ้นม้าก็ต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัยที่ถูกห้าม
“อ่ะ เอ่อคือ ให้ผมไปนั่งกับเพื่อนได้ไหม?” เด็กชายทำเสียงเงอะง่ะเพราะกลัวคนตรงหน้าจะโกรธ “ทำไมหล่ะ รังเกียจฉันหรือไง?” เด็กหนุ่มเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินประโยคสุดท้าย
“ปะ ปล่าวนะครับไม่ใช่อย่างงั้น ผะ ผมกลัวคุณจะนั่งไม่สะดวกหน่ะครับ” ชายหนุ่มผมทองจ้องเขม็งไปทางเด็กหนุ่มทันทีที่เด็กหนุ่มกล่าวจบ นัยน์สีฟ้ามรกตเปล่งประกายท่ามกลางแสงสีส้มที่ทอประกลายลงมาจากฟากฟ้า เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่ ก่อนที่ชายหนุ่มผมทองจะกระโดดขึ้นหลังม้าไปโดยที่ยังไม่ตอบคำตอบของเด็กหนุ่มเลยก่อนจะเอ่ย
“เตรียมตัวออกเดินทางต่อ!” กล่าวจบก็สะบัดเชือกดัก ปึ๊ก! ม้าที่นิ่งอยู่ก็วิ่งไปข้างหน้าทันที ส่วนด้านเด็กหนุ่มที่ถูกเมินคำถามก็ได้แต่นั่งหน้างุดทำปากขมุบขมิบไปตามประสา เพราะถ้าจะถามออกไปอีกคงได้โดนเอ็นแน่เพราะคนคนนี้คือ เออร์วิน สมิธ ไม่พูดคือไม่พูด พูดคำไหนก็ต้องคำนั้น เด็กหนุ่มที่นั่งคิดถึงอุปลักษณะนิสัยของคนที่อยู่ข้างหลังก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ว่าสมคำร่ำลืออย่างที่เขาว่ากันในหนังจริงๆ
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่งโมงหลังจากเริ่มออกเดินทางจากที่ที่พักมา เด็กหนุ่มที่นั่งก้มหน้าอยู่ก็ได้รู้สึกปวดคอแต่ก็ยังอยากจะงออยู่เหมือนเดิมแหละนะแต่ก็ปวด คอที่งออยู่ก็ค่อยๆเงยขึ้นมองทางข้างหน้าก่อนจะเบิกตาโพล่งกับเงาบางอย่างที่อยู่ตรงหน้ายิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นได้ชัด มันคือ กำแพงเมือง! โอ้แม่เจ้าใหญ่อะไรปานนั้น เห็นของจริงนี่ไม่รู้จะใหญ่อะไรขนาดนี้
ขณะที่กำลังตกตะลึงอยู่ก็ได้เหลียวหันไปมองเพื่อนสาวที่อยู่บนรถลากที่อยู่ด้านข้างซ้ายมือ ทางนั้นก็คงจะตกใจไม่น้อยกว่าเขาเหมือนกันสินะ กำแพงที่ถูกปิดกั้นทางโดยประยักษ์ก็ค่อยๆเลื่อนขึ้นทีนิดตามระยะทางที่วิ่งเข้าไกล้ ระหว่างวิ่งผ่านทางช่องประตูเด็กหนุ่มได้เงยหน้าขึ้นมองประตูยักษ์ที่ตัวเองกำลังวิ่งลอดอยู่ใบหน้ายิ้มแย้มกับสิ่งรอบกายยั่งกับเด็กน้อยพึ่งออกสู่โลกกว้าง แต่ก็กลับต้องเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อเข้ากำแพงที่เข้าไกล้หมู่บ้านพลันเห็นสายตาของชาวบ้านที่ส่งมาให้ สายตาที่ดูสมเพศ สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงที่แฝงไปด้วยความเหยียดหยาม
อะไรกันสายตาแบบนี้ทำไม ทำไมกันทำไมไม่สำนึกสะบ้างหล่ะว่าทหารทีมสำรวจคือความหวังของมวลเหล่ามนุษย์สยชาติ!! เด็กหนุ่มที่เห็นสถานณ์การที่อยู่รอบกายตนก็ได้เพียงแต่แค่สบทในใจที่แสดงออกทางสีหน้าแต่ก็ไม่สามารถพูดออกไปได้จริงๆ
“หึ! กลับมาแค่นี้เองงั้นหรอ เมื่อเช้ายังเยอะๆอยู่เลยนิ”
“เห้อ นี่แหละน๊าผลของการออกนอกกำแพง”
“ได้อยู่อย่างมีความสุขดีๆแล้วไม่ชอบรนหาที่ตายชัดๆ”
เสียงกระซิบของเหล่าชาวบ้านที่ต่างพากันนินทาเหล่าทหารทีมสำรวจที่ตอนนี้ไม่มีใครเลยที่จะไม่มีแผลกลับมาบ้างก็มีกองศพกลับมาให้เห็นอยู่เป็นประจำ ด้านเหล่าทหารทีมสำรวจก็เพียงเดินก้มหน้าเดินมาอย่างโซซะโซเซถึงจะเจ็บแค้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อะไรกันทำไม ทำไมไม่โต้กลับไป ทั้งๆที่ทหารทีมสำรวจทำเพื่อบ้านเมืองแล้วแท้ๆนี่หน่ะหรอผลตอบแทนของเหล่าวีรบุรุษ
“โมเสะ โมเสะ! ลูกชายชั้นโมเสะ ชั้นหาเค้าไม่เจอลูกชายชั้นอยู่ที่ไหนหรอ?” อยู่ๆก็มีหญิงชราคนหนึ่งที่เดินออกมาจากฝูงชนวิ่งเข้าไปหาลุงทหารพร้อมกับชักถามหาใครซักคน แต่ทำไมลุงทหารคนนั้นถึงได้ทำหน้าตาแบบนั้นหล่ะ
“คุณแม่ของโมเสะหรอครับ....ถือมาให้ทีสิ” ถามหญิงชราคนนั้นพร้อมหันหน้าไปบอกเพื่อนทหารอีกคนที่อยู่ข้างๆ เหมือนบอกให้เอาอะไรบางอย่างมา ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของหญิงชราก็เปลี่ยนไป สิ่งของบางอย่างที่ห่อหุ่มด้วยผ้าสีขาวที่มีคราบเลือดปะปนถูกวางลงบนมือของหญิงชราคนนั้นพร้อมกับสีหน้าที่บ่งบอกถึงความโศกเศร้าส่งผ่านไปให้หญิงชรา
ไม่รอช้าหญิงชรารีบแกะห่อผ้าทันทีและสิ่งที่เห็นอยู่ในอุ้มมือก็คือชิ้นส่วนของแขนส่วนของร่างกายที่ยังคงเหลือของคนที่ชื่อ โมเสะ ผู้เป็นแม่เบิกตากว้างอย่างตกใจพร้อมกับน้ำตาที่มาพร้อมกับเสียงสะอื่นที่เห็นลูกสุดที่รักเป็นแบบนี้ไหลอาบแก้มทันที
“เราพาเค้ามาได้แค่นี้แหละ” เสียงแผ่วเบาที่บอกให้กับหญิงชราได้รับรู้ว่าพวกเขานั้นพยายามถึงที่สุดแล้ว แต่ถึงยั่งงั้นผู้ที่เป็นแม่ก็ต้องหัวใจแตกสลายทั้งนั้น เข่าก็ทรุดลงกับพื้นพร้อมกับกอดชิ้นส่วนของลูกชายตนที่มากับเสียงสะอื่นร่ำไห้อย่างสุดรันทด ท่ามกลางสายตาผู้คนที่มองมาอย่างระอาใจ
“ฮึกๆ แต่ว่าลูกชายฉันทำคุณประโยชน์ไว้สินะ” คำพูดแห่งความเสียใจที่เปล่งออกมา ทำให้ลุงทหารที่นั่งย่อลงตรงหน้าสะดุ้งขึ้นปนตะลึง “ถึงแม้จะไม่ได้สร้างชื่อหรือเกียรติยศใดๆ การตายของเค้าจะเป็นแบบผลักดันในการตอบโต้ของเหล่ามนุษย์สยชาติใช่ไหมค๊ะ!”
หญิงชราที่เว้นระยะการพูดไปสักพักก็ได้พูดขึ้นอย่างเสียงดังเหมือนอยากจะบอกให้รู้ว่าการตายของลูกตัวเองจะไม่สูญปล่าว ลุงทหารที่ได้ยินเช่นแบบนั้นก็ทำสีหน้าตกใจปนตะลึงที่ไม่นึกว่าหญิงชราจะพูดออกมา พร้อมกับเหล่าทหารที่ยืนอยู่รอบบริเวณนั้นสีหน้ายิ่งหดหู่เข้าอย่างเห็นได้ชัด “อ่ะ นะ แน่นอนครับ” ลุงทหารขานรับทันทีถึงสิ่งที่ลูกชายของหญิงชราได้ทำเอาไว้ ก่อนจะหน้าซีดลงอีกครั้ง
“ไม่สิ....การสำรวจในครั้งนี้หน่ะ พวกเราไม่ได้..ครั้งนี้ไม่ได้ ไม่ได้..”
“…..”
“ไม่ได้ผลรับอะไรซักอย่าง กลับมาเลย!! ….ผมเหมือนคนไร้ความสามารถเหมือนผมส่งทหารไปให้พวกมันฆ่า แล้วก็ไม่สามารถตรวจสอบตัวตนที่แท้จิงของพวกมันไม่ได้เลยสักอย่าง!!!!! งือๆ ฮึกกก ” ก่อนจะตะโกนขึ้นอย่างเสียงดังพร้อมน้ำตาแห่งความเจ็บแค้นที่ไหล่รินเป็นสายบนใบหน้า ท่ามกลางผู้คนโดยรอบบริเวณที่ทำหน้าตา เหวออันตกตะลึง กันไปพร้อมๆกันกับคำพูดที่เค่นออกมาของลุงทหารคนนี้
ซึ่งเด็กหนุ่มที่นั่งฟังอยู่ข้างๆสีหน้าก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลยกับผู้คนโดยรอบ สิ่งกลัดกลุ้มก่อเกิดภายในใจเด็กหนุ่มในหัวมีคำถามมากมายตีเข้าหาอย่างไม่หยุดหย่อม ก่อให้เกิดคำตอบที่ไม่อาจน่าเชื่อให้ครุ่นคิดว่าสิ่งที่คิดนั้นมันใช่หรือไม่ สิ่งที่คิดมันผิดหรือไม่ บางสิ่งที่เคยสงสัยมาตลอดก็ได้กระจ่างแจ้งแล้วทันทีที่ได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า นะ นี่สินะผู้คนถึงได้ กะ เกียจ ทีมสำรวจ เป็นใครเขาก็ต้องรักชีวิตกันทั้งนั้น แต่ทีมสำรวจมาพรากชีวิตอันอบอุ่นของพวกเขาไป สะ สินะ แต่ว่าความคิดของผู้คนมันคิดได้เพียงแค่นี้ยั่งงั้นหรอ!
ด้านชายหนุ่มที่เห็นคนตรงหน้าผิดสังเกตก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าเพราะอะไรคนข้างหน้าถึงได้แปลกไป เพราะเป็นใครที่เห็นแบบนี้ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา แต่สำหรับเด็กหนุ่มแล้วมันคือปัญหาสำหรับเขาปัญหาที่ว่านั้นคือมันจะมาหนักในหัว เพราะแต่เดิมตัวเองเป็นคนที่สงสัยในโลกของไททั่นนี้อยู่แล้ว ยิ่งได้มาเห็นจิงๆก็ยิ่งทำให้หนักหัวยิ่งขึ้น
เวลาผ่านไปไม่นานม้าก็ได้วิ่งมาถึงที่พักก่อนที่เหล่าทหารจะแยกย้ายไปตามที่พักของตัวเองเพื่อเก็บสัมภาระ “อ่ะ เอ่อลงได้ยังอ่ะค๊ะ?” หญิงสาวที่นั่งอยู่บนรถลากชักถามคนที่กำลังกระโดดลงม้าด้านข้างนั้นก็คือคนที่ไปเจอเขานั้นเอง ที่จริงโดดลงก็จบแต่กลัวโดนดุเอา
“ลงมาสิ ฉันจะพาเธอไปพบเพื่อน” ได้ยินเท่านั้นแหละก็ยิ้มกว้างพร้อมกับกระโดดลงรถลากอย่างรวดเร็วที่ว่าจะได้เจอเพื่อน
ด้านเด็กชายที่อยู่บนหลังม้าเมื่อเห็นคนข้างหลังได้กระโดดลงไปแล้วก็เลยกระโดดลงตามทันที ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มที่กำลังเดินไปหันหน้ามาทางเขาก่อนจะหันหน้าไปทางเดิมแล้วเดินตรงไปข้างหน้า เด็กชายลอบหายใจออกมาทันทีเพราะนึกว่าจะโดนดุสะแล้วที่ลงมาโดยไม่ได้รับคำสั่งแต่ไอ้แค่ลงจากหลังม้า จะมาบังคับคงจะเกินไปมั้ง
เด็กหนุ่มเมื่อคิดเสร็จก็เดินตามหลังชายหนุ่มไปก่อนจะได้ยินเสียงร้องเรียกคุ้นหูดังมาจากข้างหลัง เมื่อหันไปดูก็ทำให้เด็กชายยิ้มกว้างเลยทีเดียวเพราะมันคือเพื่อนสาวของเขานั้นเอง “ฮันน่า เธอเป็นไงบ้าง”
หญิงสาวไม่ตอบอะไรแต่วิ่งมาก็ได้กระโดดกอดคอเพื่อนหนุ่มตรงหน้าอย่างดีใจ “ก็อย่างที่เห็น ไม่ได้เป็นอะไร” พูดจบก็กอดคอเพื่อนอีก
“เออร์วิน ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายหน่อย” มิเกะที่พาหญิงสาวมาหาเพื่อนก็ได้บอกกล่าวกับหัวหน้าตัวเอง ก่อนที่คนที่ถูกกล่าวจะพยักหน้าอย่างไม่ขัดอะไร
“เออร์วิน!” จากนั้นก็มีเสียงใสของหญิงสาวบางคนแว่วมาแต่ไกล พร้อมกับเรียกความสนใจให้คนอื่นได้หันมอง ได้ยินเช่นนั้นเออร์วินก็ได้หันไปทางที่มาของเสียงทันทีก่อนจะพูด
“ดีเลยฮันจิที่เธอมา ฉันจะไปคุยธุระสักหน่อยฝากเธอดูแลสองคนนี้ด้วยนะ ส่วนเรื่องที่เธอจะพูดฉันฝากเธอบอกรีไวน์ให้ทำแทนฉันด้วย” พูดจบก็เดินนำหน้าคนที่ชักชวนคุยธุระทันที สร้างความงุนงงให้สาวแว่นอย่างหนัก ว่าเขารู้ได้ไงว่าจะมาพูดอะไร แต่คงจะรู้ เพราะงานนี้รีไวน์ถนัดเลยแหละ สาวแว่นระเรื่องนี้ออกจะหัวก่อนจะหันหน้าไปทางเด็กหนุ่มสาวสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เอาล่ะ พวกเธอสองคนตามฉันมาได้เลย” พูดจบหญิงสาวแว่นใสก็เดินนำหน้าเด็กน้อยสองคนเข้าไปข้างในที่พัก เด็กสองคนก็ไม่ได้ขัดอะไรเดินตามไปอย่างว่าง่ายทันที
“นี่หน่ะหรอที่ทำงานของเหล่าทีมสำรวจ” เด็กหนุ่มที่เดินตามหลังก็ได้มองรอบๆข้างกายของตัวเองเหมือนกับในหนังไม่มีผิด
“แต่มันน่ากลัวไงไม่รู้อ่ะอ๋อม” หญิงสาวที่หันไปเห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นของเพื่อนก็อดที่จะซิบบอกไม่ได้
“เรียกชั้นว่าคล็อดสิอย่าลืมสิว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน” คนที่เดินนำหน้าพลันได้ยินเสียงซุบซิบของเด็กสองคนไม่รู้เหมือนกันว่าพูดอะไรกันแต่คงจะไม่ชินกับสถานที่
“ไม่ต้องเกรงหรอก ไม่มีอะไรเดินทำตัวสบายๆได้เลย” ไม่นานหญิงสาวแว่นใสก็ได้พาทั้งสองคนมายังห้องๆนึงก่อนที่จะพาเปิดเข้าไป ในนั้นมีตู้หลายๆตู้ด้วยกัน มีผ้าขนหนูพาดไว้ที่ราวตากผ้า ก่อนที่จะเดินไปหยิบผ้าขนหนูสามผืนมาให้เด็กน้อยสองคนส่วนเด็กหนุ่มได้สองผืน
“อาบน้ำซะนะ เดี๋ยวชั้นจะเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้พวกเธอ แล้วชั้นก็อยากรู้จังน๊าไอ้เสื้อผ้าแหวกแนวของพวกเธอมันเป็นของที่ไหนกันแต่เอาเหอะฉันไม่ถามให้มากความแล้วกันไปอาบเถอะ มีอยู่สองห้อง” ฟังคนตรงหน้าอธิบายเสร็จหญิงสาวก็เดินตรงไปห้องน้ำทันทีมีอยู่สองห้องห้องไหนกันหล่ะนี่ เข้าห้องนี้แล้วกัน ด้านเด็กหนุ่มที่เห็นเพื่อนสาวเดินไปก็ได้เดินตามหลังไปทันทีก่อนจะชะงักเท้าเพราะคนข้างหลังพูดดักขึ้น
“นายหน่ะชื่อ คล็อดสินะ”
“คะครับ” สาวแว่นใสถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ย
“นายเป็นผู้ชายไม่ใช่หรอ ก็ต้องเข้าห้องน้ำผู้ชายสิจะไปอาบน้ำร่วมกับผู้หญิงได้ยังไงกัน” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเด็กหนุ่มเบิกตากว้างทันทีเขาลืมไปว่าตอนนี้เป็นผู้ชายอยู่ แต่ว่าตอนอยู่โลกตัวเองก็เป็นผู้หญิงนินาแถมที่นี่ก็เป็นห้องอาบน้ำรวมสะด้วยจะให้ไปอาบน้ำร่วมกับผู้ชายนี่มัน
ด้านหญิงสาวที่เห็นเพื่อนตัวเองยืนนิ่งค้างก็ได้แต่กลั้นหัวเราะอย่างนึกขำที่ว่าเพื่อนจะได้อาบน้ำรวมกับผู้ชายเพราะทั้งๆที่จริงๆแล้วเป็นผู้หญิงไม่สิ ใจเป็นผู้หญิง เด็กหนุ่มที่ได้ยินเสียงกลั้นหัวเราะของเพื่อนก็ส่งสายตาอาฆาตไปทันทีหญิงสาวเห็นเพื่อนส่งสายตามาก็รีบเผ่นเข้าห้องน้ำ เด็กหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดอยู่ยกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจบิดลูกบิดที่ประตูแล้วก้าวเข้าประตูแบบเงอะง่ะ ทันทีที่ก้าวเข้าไปก็ได้เป็นจุดสงสัยของเหล่าผู้คนที่อยู่รวมกันในที่อาบน้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้
เด็กหนุ่มหันซ้ายหันขวาก็พลันเห็นที่ที่เขาถอดเสื้อผ้า เท้าที่แข็งทื่อก้าวย่างไปทางที่ถอดเสื้อผ้าทันทีก่อนจะเอาผ้าขนหนูมาพันรอบเอว พร้อมกับนึกคิดไปว่านี่เองหรอที่คุณฮันจิให้ผ้ามาสองผืน ก่อนจะค่อยๆใช้มือค่อยๆถกเสื้อขึ้นทีละนิดๆเพราะยังกล้าๆกลัวๆและเสื้อที่ถูกถอดก็ได้ถูกแขวนไว้ที่ราวตากผ้า เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายยกหนึ่งที่ตอนนี้จะต้องถอดกางเกงออกมือเรียวค่อยๆสอดเข้าใต้ผ้าขนหนูก่อนจะปลดกระดุมที่ติดอยู่ออกทีละเม็ด
ทำอย่างเงอะงะเหมือนคนไม่เคยถอดเคยใส่กางเกง กางเกงที่ถูกปลดมือเรียวก็ค่อยๆใช้มือถกลงอย่างช้าพร้อมกับเอามืออีกข้างจับผ้าขนหนูไว้ และการกระทำนั้นก็ได้อยู่ในสายตาของคนทุกคนในห้องน้ำอย่างเป็นที่เรียบร้อย เด็กหนุ่มยืนนิ่งข้างเพราะหลังจากที่ถอดกางเกงมือก็ได้ไปถูกเข้ากับที่ตรงนึงที่คิดว่าไม่น่าจะมี มือเรียวเลื่อนไปสัมผัสทันทีก่อนจะเบิกตากว้างว่า ไอ้นั่น ชั้นก็มีหรอนี่!!!!
“เค้าทำอะไรของเค้าอยู่หน่ะ ก้มดูไอ้นั่นของตัวเองนานแล้วนะ” ด้านคนที่ยืนดูเห็นผิดสักเกตก็ได้ถามเพื่อนข้างๆของเขา เด็กหนุ่มสะดุ้งขึ้นทันทีที่ได้ยินผู้คนที่อยู่ข้างหลังกระซิบกระซากกันก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วจำใจเดินไปยังอ่างอาบน้ำที่ตอนนี้มีแต่หนุ่มๆยืนอยู่รอบๆ
มือเรียวจับขันขึ้นตักน้ำในอ่างราดตัวทันทีเมื่อเข้าถึง สายตาที่จับจ้องมายังเรือนร่างของเด็กหนุ่มไม่ใช่สายตาสงสัยแต่กลับเป็นสายตาที่หยาดกระหายที่เห็นแล้วอันต้องขนลุก แม่มจ้องอะไรแบบนั้นกันวะ โหยยยย อะไรกันบางคนก็ใส่แค่กางเกงในไอ้สายตาเจ้ากรรมนี่มันก็ดันเหลือบไปมองด้านล่างใต้สะดือสะงั้น บ้าละนี่
มือเรียวเร่งฝีกกายอาบน้ำทันทีอาบโดยไม่สนว่าจะสะอาดไหมขอเพียงแค่ได้ออกจากที่ตรงนี้ก็พอ “อาบเร็วแบบนั้นจะสะอาดได้ยังไงไอ้หนุ่ม”
อยู่ๆก็มีลุงแก่หน้าหื่นคนนึงเดินเข้ามาไกล้ๆ “เองนี่รูปร่างท่าตาดีนิหว่า” พูดพร้อมกับขยับเข้ามาไกล้เรื่อยๆ จะไม่ได้ได้ไงล่ะลุง เสียตังไปตั้งหลายบาทกว่าจะได้หุ่นฟิตๆมา เฮ้ยยยยจะเข้ามาไกล้เกินไปแล้ว
“อ่ะ เอ่อลุงคือฉันจะ ตะ ต้องไปแล้ว” พูดจบพร้อมกับจะเดินหนีแต่ก็ต้องชะงักเพราะมือได้ถูกดึงไว้ด้วยลุงหน้าหื่น “จะรีบไปไหนหืม ไอ้หนุ่ม” โว๊ยยยยยยยยย จะว่าไปไอ้ตาลุงคนนี้หุ่นคอนเฟิร์มดีแฮะ พึ่งจะรู้ว่าคนอายุเยอะนี่ก็หุ่นหน้ามองเหมือนกัน โอ๊ยไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้
“ละ ลุงจะทำอะไรหน่ะป่ะปล่อยนะ” ถะ โถ่เว๊ย!! ไอ้พวกที่ยืนอยู่ก็ไม่เข้ามาช่วยยืนยิ่งอยู่ได้ แล้วทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ๆๆๆ หนอยยยยไม่ยอมปล่อยใช่ไหม ได้เลย
“อุก”
มืออีกข้างที่ยังว่างกำหมัดแน่นพร้อมกับพุ่งไปที่ท้องของลุงข้างหน้าไม่เบาไม่แรงมากแต่แค่ทำให้จุกพอที่จะให้มือหลุด “ชั้นขอโทษแล้วกันนะลุง เพราะลุงเลือกที่จะให้ชั้นต้องทำแบบนี้” ไม่พูดปล่าวพร้อมกับส่งสายตาอาฆาตอันน่าเกรงขามไม่ทางคนตรงหน้าทันที พลอยให้คนที่อยู่รอบข้างหวั่นเกรงไปด้วยก่อนจะเดินไปทางที่วางเสื้อผ้าพร้อมกับก้มลงเก็บสัมภาระตัวเองก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไปท่ามกลางสายตาเหล่าผู้คนที่มองตามจนลับตาไป
“โถ่วะ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ในหนังไม่เห็นเป็นแบบนี้เลยไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่ามีพวกวิปริตแบบนี้ด้วย” หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำเท้าก็ไม่ได้หยุดอยู่ตรงหน้าห้องน้ำแต่เดินตรงไปเรื่อยๆเพราะไม่มีใครอยู่ข้างนอกขืนยืนรอไอ้เพื่อนสาวอยู่ตรงนั้นมีหวังตาลุงนั้นตามออกมาเอาเรื่องแน่ แล้วเดินมาถึงไหนแล้วนี่ ในขณะที่ทั้งบ่นไปๆมาๆตาก็เหลือบมองซ้ายมองขวาโดยที่ไม่ได้ดูทางข้างหน้าก็ได้เผลอไปชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างของใครสักคน
ตึก! “โอ๊ย” เด็กหนุ่มเซตัวล้มลงก้นกระแทกพื้นดัง ปึก พร้อมๆกับคนที่ถูกชนก็สะดุ้งตัวนิดนึงก่อนจะหันหลังไปดูที่มาของเหตุ คิ้วที่ขมวดเป็นปมถูกคายออกทันทีที่เห็นตัวต้นเหตุ ที่ตอนนี้สภาพของคนตรงหน้าที่มีเเต่ผ้าขนหนูพันรอบเอว สายตาคมกวดมองรอบตัวของคนตรงหน้าอย่างไม่ระวางตาผิดสีแทนหน้าท้องแบนราบมีกล้ามที่แขนเป็นมัดแต่ไม่ใหญ่เท่าไหร่เป็นอะไรที่ไม่อยากจะระสายตาออกจริงๆ ก่อนจะหลุดออกจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงร้องโอดโอยของคนตรงหน้า
“เป็นอะไรไหม” พูดพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้าเด็กหนุ่ม “ผะ ผบ. ผมขอโทษครับ บ” เด็กน้อยที่ปลือตาขึ้นก็ต้องตกใจคนที่ตัวเองชนคือ ผบ. เออร์วิน ลุกขึ้นก่อนจะก้มหน้างุดเพราะกลัวโดนคนข้างหน้าดุเอา ด้านชายหนุ่มที่เห็นเด็กหนุ่มก้มหน้างุดก็กลับต้องเผลอหัวเราะหึออกมาเบาๆกับทีท่าที่หน้าเอ็นดูของเด็กหนุ่ม
“ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องขอโทษฉัน อาบน้ำพึ่งเสร็จสินะ แล้วทำไมถึงได้เปลือยกายออกมาแบบนี้หล่ะหืม” เด็กหนุ่มที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับหน้าซีด ถ้าจะบอกว่าหนีตาลุงหน้าหื่นนั้นมาคงจะไม่เวิร์ค
“คะ คือ ตอนผมออกมาไม่เจอใคร ละ เลยว่าจะออกตามหาหน่ะครับ” โกหกทั้งเพ แต่ก็ถูกส่วนนึงก็ไม่เห็นใครนินา ชายหนุ่มที่ได้ฟังแบบนั้นกับเด็กหนุ่มก็เหล่ตามองเล็กน้อยเหมือนไม่เชื่อ
“คล็อด!!” อยู่ๆก็มีเสียงเรียกคุ้นหูดังมาไม่ไกลเท่าไหร่ ชายสองคนที่พึ่งสนทนากันจบไปก็ได้หันไปดูที่มาของเสียงก็ได้เห็นหญิงสาวแว่นใสเดินตรงมาทางพวกเขาทั้งสองคน
“โถ่ คล็อดนึกว่าหายไปไหนสะแล้วตามหาแทบแย่" เด็กหนุ่มสะดุ้งโหย่งขึ้นทันทีที่ได้ยินหญิงสาวพูด “ขะ ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มพูดเสียงแผ่ว ที่นึกโทษตัวเองที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
“ไม่เป็นไรหรอกนานะอย่าคิดมาก นายปลอดภัยก็ดีละงั้นไปใส่เสื้อผ้าเถอะ ฉันเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้นายล่ะ”
“ครับ”
เด็กหนุ่มเดินนำหน้าทันทีที่หญิงสาวพูดจบโดยที่ไม่ได้สนใจใครบางคนเลยว่าได้มีสายตาจับจ้องมาที่ตนโดยไม่ระวาง หญิงสาวก่อนจะเดินตามคนข้างหน้าไปก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนบางคนพูดขึ้น
“ฮันจิ” หญิงสาวหันหลังไปทางหัวหน้าตัวเองก่อนจะถามขึ้น
“มีอะไรหรอ เออร์วิน” ชายหนุ่มที่พึ่งระสายตาออกจากเด็กหนุ่มก็ได้หันมาจ้องหน้าหญิงสาวเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะเอ่ย
“พรุ่งนี้เช้า เธอพาสองคนนั้นมาพบฉันด้วยนะ” หญิงสาวที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้นของหัวหน้าก็ต้องขมวดคิ้วเป็นปมก่อนจะขานรับ
“ได้”
พร้อมกับหันหลังกลับแล้วเดินไปทางข้างหน้าพร้อมกับนึกคิดอะไรบางอย่างไปตามทางเดิน เออร์วินถึงกับให้สองคนนั้นไปพบแสดงว่าสองคนนั้นต้องมีอะไรที่ดลใจเออร์วินอย่างแน่นอน นึกไปพลางก่อนจะชะงักเพราะคิ้วข้างซ้ายกับคิ้วข้างขวามันกระตุกสลับกันเหมือนเป็นลางบอกเหตุให้หญิงสาวได้รับรู้ว่า มีบางอย่างที่ทั้งดีและก็ทั้งร้ายกำลังจะเคลือบคลานเข้ามาในทีมสำรวจในไม่ช้านี้
ความคิดเห็น