คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ก้าวที่๑...เข้าเมือง
กลางทุ่งหญ้ากว้างอันเงียบเหงา มีชายชราผู้หนึ่งนั่งสูบกล่องเล่นควันทำเป็นรูปต่างๆอย่างสบายใจ แต่ใต้คิ้วสีขาวที่ดูยุ่งๆนั้นกลับกำลังนั่งเพ่งไปยังท้องฟ้าเบื่องบนและคิดอะไรบางอย่าง
คืนนี้เป็นคืนเดือนดับ ท้องฟ้านั้นควรจะมีดวงดาวเต็มท้องฟ้า ไม่ใช่ดำมืดไปจนหมดเช่นนี้ มันดูเหมือนมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อีกประเดี๋ยวผู้นำสารคงจะเอาข่าวอะไรมาบอกแน่ๆ
นั้นไง
สายลมเอื่อยๆนั้นไงผู้นำสาร คนที่สามารถรับสารประเภทนี้ได้มีน้อยเต็มที สายลมอันอ่อนโยนนำมาซึ่งกลิ่นคาวเลือด กลิ่นเหม็นไหม้ และเสียงเบาๆทว่าอืออึงเต็มไปด้วยเสียงต่างๆที่ผสมปนเปกันไปหมด ทั้งเสียงตะโกนอย่างห้าวหาญ เสียงร้องไห้สะอื้น เสียงเพลิงปะทุดังสนั่นประสานเสียงกับเสียงไม้ที่แตกเปรี๊ยขณะถูเผา เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ถูกฆ่าและเสียงหัวเราะร่าของผู้ลงมือ บัดนี้ชายป่าเวลป่าอันสงบสุขกำลังถูกกองทหารเข้ารุกราน
**(ป่าเวลป่าของเหล่าภูตพรายอยู่ทางตะวันตกของเฮลเมส)**
“ฆ่ามันให้หมด”เสียงประกาศก้องของผู้นำกองทัพดังก้องชายป่า ข่มเสียงอื่นๆให้สดับฟัง แม้แต่เด็กน้อยชายที่กำลังร้องไห้อยู่ก็ยังหยุดร้อง
สีหน้าของเด็กชายนั้นแสดงถึงความหวาดกลัวและเสียขวัญอย่างที่สุด แต่เด็กชายก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ยังมีหญิงสาวที่อุ้มเด็กไว้ เธอกำลังวิ่งอย่างสุดชีวิต เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาของเธอดังมาคู่กับเสียงฝีเท้าที่หนักกว่า ทว่ายังแผ่วเบาดุจสายลมของชายอีกคน เขากำลังง้างธนูยิงใส่ผู้ที่ตามหลังมา
“พวกแกไม่มีทางรอดหรอก”เสียงของหัวหน้าใหญ่ดังขึ้นเบื้องหน้าทั้งสองที่กำลังวิ่งอยู่ทำให้ต้องหยุดชะงัก ความเหนื่อยอ่อนของทั้งสองนั้นทำให้ไม่สามารถวิ่งไปทางอื่นได้โดยเฉพาะทางต้นไม้ที่อยู่เหนือหัวแท้ๆ
ดาบคู่ที่เรียวเล็กและน้ำหนักเบาถูกชักออกมาจากฝักหนัง คมดาบเป็นประกายวิบวับแม้ไร้ซึ่งแสงจันทร์ ฝีมือที่ตีดาบคู่นี้ขึ้นนั้นคงจะเป็นพวกพรายช่างเป็นแน่แท้ ถึงได้ทั้งสวยงามและดูแข็งแกร่งเช่นนี้ ดาบคู่ปะทะดาบใหญ่ที่มีพลังการโจมตีสูงกว่า จนผู้ที่อาศัยความเร็วนั้นไม่อาจจะต้านไว้ได้ สายตาอันเหนื่อยอ่อนเพ่งมองไปรอบๆ แล้วความจริงอันน่ากลัวปรากฏให้เห็น ความจริงที่ว่าพวกเขาทั้งสามอยู่ในวงล้อมของเหล่ามือธนูแล้ว โอกาสรอดของพวกเขานั้นช่างดูริบหรี่เสียเหลือเกิน
พวกทหารผู้รุกรานง้างคันธนูและปล่อยลูกธนูหลายสิบดอกพุ่งทะลุร่างของพรายฝ่ายชายล้มลง ฝ่ายหญิงนั้นดูจะตกใจเป็นอย่างมาก เธอนั่งลงเคียงข้าสามีของเธอ แล้วจับเอาสร้อยคอของสามีไว้ในห่อผ้าของบุตร หลังจากที่หล่อนเอาสร้อยคอให้บุตรของหล่อน หล่อนก็สัมผัสถึงคมดาบที่ทาบกับลำคอระหงของหล่อน ความเจ็บปวดและความว่างเปล่าก็ค่อยๆแทรกตัวเข้ามาอย่างช้าๆราวกับความมืดแห่งรัตติกาลทีค่อยๆเปลี่ยนทิวาให้มืดมน แต่ก่อนที่เธอจะสิ้นสติ จิตของเธอก็พุ่งไปที่บุตรของเธอ บุตรที่เธอและสามีรักที่สุด มืออันแผ่วเบาดุจสายลมของเธอที่บัดนี้นั้นห่อหุ่มด้วยกลุ่มแสงสีฟ้าอมเขียวสัมผัสไปที่หน้าผากของเด็กชาย ไอเวทประหลาดได้ล่องลอยไปในอากาศ นี้คือการเดิมพันชีวิตลูกชายของทั้งสองไว้กับเวทเพียงบทเดียว เวทบทสุดท้ายที่เธอสามารถใช้ได้ ‘เวทแห่งมิตร’ จากนั้นเธอก็จากโลกนี้ไป.....ตลอดกาล...
เด็กชายถูกจ้องมองจากคนทั้งกลุ่มที่กำลังหัวเราะร่า เจ้าหัวหน้าคนถ่อยพวกนี้จับดาบคู่ของชายหนุ่มขึ้นมา ตั้งใจจะฆ่าบุตรด้วยดาบของผู้เป็นบิดา แต่แล้วก็บังเกิดกลุ่มแสงสว่างลอยม้วนวนเป็นบริเวณกว้างรอบผู้บุกรุก ดูเหมือนราวกับหมู่มวลวิญาณผู้รับใช้เจ้าแห่งลมมาเปล่งแสงให้แสบเคืองนัยตาและทำให้ตาพลาลายจนไม่สามารถมองเห็นได้ สัมผัสสุดท้ายของเด็กชายคือสัมผัสเบาๆที่สีข้างเหมือนจะถูกอุ้มขึ้นที่สูงและสติของเด็กชายก็ดับไป
ตาเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจหลังจากที่ผ่านฝันร้ายมา เหงื่อแตกพลั่ก หยดเหงื่อหยาดเล็กๆไหลลงมาตามปอยผมสีดำเข้ม กระดุมเสื้อนอนหลุดออกหลายเม็ด เผยให้เห็นสร้อยคอที่ใส่มาตั้งแต่จำความไม่ได้กำลังสะท้อนแสงวิบวับตามจังหวะการหายใจอันถี่รัว ตัวจี๋นั้นเป็นรูปคทาโลหะ หัวเพชรที่ถูกพันธณาไว้ด้วยเถาวัลย์ที่ดูคล้ายๆงูที่ขดเลื้อย มือเท้าของเด็กหนุ่มชี้ไปกันคนละทาง ผ้าห่มที่ถูกถีบตกเตียงไปกองอยู่บนพื้น หัวใจของเขาเต้นแรงเสียจนต้องเอามือมากุมเอาไว้ ภายในเส้นเลือดที่ไหลเชี่ยวนั้นเต็มไปด้วยสารอะดรีนาลีนที่ถูกหลั่งออกมา
“หึหึหึ ฝันอีกแล้วซิเจ้าหนู”เสียงของชายผู้หนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ถ้าฟังจากน้ำเสียงแล้วเขาคงจะชราภาพมากพอดูและน่าจะยังใจดีอีกด้วย
เชลกรอกตาสีน้ำตาลเข้มมองไปรอบห้องก่อนที่ความตึงเครียดจะเริ่มคลายลง เขาลุกขึ้นและจัดการกับเสื้อที่หลุดลุ่ย จากนั้นจึงหันไปจัดการกับที่นอนให้เข้าที่และดูเป็นระเบียบรวมถึงเสยผมสีดำสนิดที่ตัดสั้นอย่างเคยตัว
“เชล เอลโกล ”เสียงของชายชราดังขึ้น เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเล็กที่อยู่เข้าชุดกับโต๊ะไม้ตัวเล็กๆที่ซึ่งไม้เท้ายาวสีขาวเกลี่ยงเกลาของชายชราวางอยู่ คิ้วสีขาวดุจหิมะของเขานั้นหนาและดูยุ่งๆ ผมเผ้านั้นก็เรียบเปล่แบบพวกที่ชอบใส่หมวกทั้งวี่ทั้งวัน รอยย่นตามใบหน้านั้นก็แสดงถึงกาลเวลาที่ชายผู้นี้ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ชุดเสื้อคลุมตัวหลวมโคร่งของเขาก็ดูใส่สบายไม่น้อย “ บางทีเอ็งควรจะเลิกฝันถึงตอนที่พ่อกับแม่เอ็งตายเสียที”
“ผมพยายามอยู่ท่าน ‘ดูเน โอเนกา’ ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ท่านต้องเข้าใจว่าข้าเลือกความฝันไม่เป็น ถ้าผมเลือกฝันได้ผมคงฝันว่าผมนอนอยู่บนขนแกะในตอนที่ผมนอนอยู่บนขอนไม้กลางป่าดำไปแล้ว”
“น้อยๆหน่อยเอ็งน่ะ เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่ ข้าแค่ถูกหลอกแค่ครั้งเดียวก็ถึงกับเอามาล้อข้าเชียว เอ็งอย่าลืมซิว่าถ้าไม่ใช้เพราะข้าที่รู้จักผลไม้ป่าอย่างดีเอ็งก็คงอดตายอยู่ในค่ายกลของพวกแมงมุมดำแล้ว”น้ำเสียงนั้นแสดงถึงความฉุนเต็มแก่ แม้เขาจะเป็นชายใจดีก็จริงแต่เขาก็ดูท่าทางจะโกรธง่ายทีเดียว
“ตื่นก็ดีแล้วจะได้เดินทางแต่เช้า”ชายชราพูดขึ้นก่อนเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
เชลแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าอะไรก็ไม่ค่อยมีให้จัดเก็บเท่าไรเนื่องจากอยู่กลางป่าจึงไม่ค่อยมีที่ซื้อของที่จับจ่ายมากนัก ถึงจะมีก็มีแต่อาจารย์โอเนกาเท่านั้นที่เข้าเมืองไปซื้อของและนานมากจริงๆจะซื้ออะไรมาฝาก
ในที่สุดเกวียนเล่มเล็กๆก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆตามสมัถภาพของเจ้าม้าแก่ที่ลากมันไป ป่าสีส้มของยามฤดูใบไม้ร่วงนี้ดูกี่ทีๆก็ยังคงสวยงามและมีมนต์ขลัง ทุกสิ่งทุกอย่างในป่าแห่งนี้ช่างดูสดใสเสียจริง ดุจกับว่ามันไม่เคยถูกสิ่งหมองหม่นมาสัมผัส และกาลเวลาก็ทำให้พวกมันเปลี่ยนไปเพียงน้อยนิดเท่านั้น ทั้งนี้เพราะป่าแห่งนี้คือส่วนหนึ่งของป่าโบราณที่มีมาแต่อดีตอันไกลโพน เป็นเพียงบางส่วนของผืนป่าแผ่นใหญ่แต่โบราณ ดังนั้นมันจึงมีพลังที่อยู่ภายในตัวของมันอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
“เอ็งเตรียมพร้อมแล้วนะสำหรับการทดสอบน่ะ”ชายชราถาม เขาเป็นคนขับเกวียนเล่มเล็กเล่มนี้
“อือ หือ”เด็กหนุ่มตอบอย่างไม่เต็มเสียงเนื่องจากเกวียนเจ้ากำดันสะดุดหิน ทำเอาตัวเกวียนโครงไปหมด
“ทำให้ได้ล่ะ ถ้าผ่านเอ็งจะได้เป็นผู้วิเศษฝึกหัดเสียที แล้วข้าจะได้ไม่ต้องมาคอยออกเงินให้เอ็งอีก ลงทุนกับเอ็งมานาน”ชายชราพูดแล้วเร่งความเร็วของม้าแก่ให้เร็วขึ้น
ม้าควบผ่านถนนลูกรังที่ตัดออกมาจากชายป่า รอยเกวียนบางเบาดุจจำนวนเกวียนที่ผ่านทางนี้นั้นมีน้อยมากทั้งที่เป็นเส้นทางหลักในการเข้าไปยังเมือง กำแพงเมืองที่สูงใหญ่นั้นอยู่เบื้องหน้าอีกไกลโข หอคอยใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในนั้นดูน่าเกรงขาม ทั้งสูงขึ้นไปบนฟ้า และก็มีบางหอที่โพล่พ้นกำแพงมาแค่หลังคา หอคอยมีทั้งหลังคาสีแดงเข้ากับหินสีขาวที่ใช้ก่อปราการ หลังคาสีทองอร่ามดูงดงามยามแดดต้อง และที่ไม่มีหลังคาก็มีธงสีขาวและสีแดงขนาดใหญ่ปลิวสะบัด มันเป็นเมืองที่ดูยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เด็กหนุ่มเคยเห็นมา
“พวกล้าสมัยไปไกลๆเลย”เสียงตะโกนดังมาจากเบื้องหลัง เสียงนั้นดังมาจากเกวียนรูปร่างแปลกๆ มันเป็นเกวียนโลหะลอยได้ที่ไม่มีม้าซักตัวลาก มันลอยเฉียดผ่านไปอย่างเร็วเมื่อเกวียนคันเก่าหลบทางให้ทำเอาเกวียนเก่าถึงกับโครง
“ช่ะ ดูถูกกันไปแล้ว”เสียงชายชราที่ฉุดจัดกำบการถูกหมิ่นเมื่อซักครู่นี้เรียกไม้เท้าออกมาจากไหนก็ไม่รู้
สายลมพัดแรงหอบเอาเกวียนคันน้อยลอยขึ้นจากพื้นหลายเมตร บังเกิดกลุ่มไอน้ำสีขาวบริสุทธิ์ขึ้นใต้เกวียน แล้วเกวียนล้าสมัยเล่มเก่าก็แซงหน้าเกวียนทันสมัยเมื่อกี๊อย่างไม่ยากเย็นนัก
“ลม/แรง/ดี/นะ/ครับ”ชายชราพูดอย่างอารมณ์ดีเมื่อกำลังจะแซงพร้อมถอดหมวกทำท่าคำนับอย่างกวนประสาท
เกวียนคันเก่ากำลังจะไปถึงกำแพงรอบนอกของตัวเมืองแล้ว บ้านที่อยู่นอกกำแพงนั้นมีประปราย ส่วนมากเป็นพวกที่ต้องออกไปทำงานก่อนประตูเมืองเปิด จึงต้องออกมาอยู่นอกกำแพงเมือง แต่ตอนนี้เป็นตอนสายใกล้จะเที่ยงแล้วประตูเมืองจึงเปิดอ้า มีเพียงยามสิบกว่าคนเท่านั้นที่เฝ้าประตูอยู่แต่ยอมให้ทุกคนผ่านไปโดยง่าย และยังมีทหารที่อยู่ในหน้าที่จำนวนหนึ่งก็เดินสำรวจรอบๆเมืองเป็นระยะ
“คนเยอะจัง”เด็กหนุ่มจากไพรพูดออกมาอย่างตื่นๆด้วยความไม่เคยเห็น พลางมองดูยวดยานแบบต่างๆที่แล่นไปมาทั้งที่อยู่บนถนน ที่น่าสังเกตคือบ้านเรือน ร้านรวง ตึกสูงต่างๆนั้นพร้อมใจกันสร้างด้วยอิฐสีนวลอมส้มและต่างมีหลังคาเป็นสีแดงเปลือกมังคุด เสียงผู้คนที่เดินควักไขว่ไปมาตามถนนนั้นดังจนทำให้ผมออกอาการตื่นคนเล็กน้อยพอดูเหมือนกัน เกวียนเหล็กลอยได้ที่รูปร่างดูมนๆนั้นลอยไปมาตามถนนในเมืองนั้นดูไม่คุ้นตาของคนที่โตมาตามชายป่าอย่างเชล ร้านขายของตั้งอยู่ตามข้างๆทางอย่างเป็นระเบียบทั้งร้านขายดอกไม้ ร้านขายยาแผนปัจจุบันที่เปิดท้ารบกับร้านขายสมุนไพรที่เปิดอยู่ข้างๆ ร้านสะดวกซื้อเล็กๆก็มีให้เห็นประปราย บางก็เป็นหาบเร่เล็กๆที่วางขายอยู่ริมถนนที่ปูด้วยอิฐสีขาวนวลเป็นระเบียบและสวยงาม เมืองนี้ถูกวางผังเมืองมาเป็นอย่างดี คูน้ำสร้างกั้นหน้ากำแพงที่เป็นระยะๆหลายชั้น ยิ่งตรงลึกเข้าไปสู่ใจกลางเมืองเท่าใดบ้านเรือนตึกรามบ้านช่องนั้นก็ดูเหมือนจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และในที่สุดเกวียนเล่มเล็กก็มาจอดอยู่ที่หอคอยใหญ่หน้ากำแพงเมืองชั้นใน เหนือประตูไม้บานใหญ่ดูแน่นหนาแข็งแรงนั้นมีอักษรสีทองมีประกายสวยงามอย่างประหลาดเขียนไว้ว่า
‘สมาคมผู้วิเศษแห่งเฮลเมส’
ความคิดเห็น