ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผมคือผู้วิเศษ

    ลำดับตอนที่ #2 : ก้าวที่๑...เข้าเมือง

    • อัปเดตล่าสุด 5 มิ.ย. 49


    กลางทุ่งหญ้ากว้างอันเงียบเหงา  มีชายชราผู้หนึ่งนั่งสูบกล่องเล่นควันทำเป็นรูปต่างๆอย่างสบายใจ แต่ใต้คิ้วสีขาวที่ดูยุ่งๆนั้นกลับกำลังนั่งเพ่งไปยังท้องฟ้าเบื่องบนและคิดอะไรบางอย่าง 

    คืนนี้เป็นคืนเดือนดับ  ท้องฟ้านั้นควรจะมีดวงดาวเต็มท้องฟ้า  ไม่ใช่ดำมืดไปจนหมดเช่นนี้  มันดูเหมือนมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  อีกประเดี๋ยวผู้นำสารคงจะเอาข่าวอะไรมาบอกแน่ๆ

    นั้นไง

    สายลมเอื่อยๆนั้นไงผู้นำสาร  คนที่สามารถรับสารประเภทนี้ได้มีน้อยเต็มที  สายลมอันอ่อนโยนนำมาซึ่งกลิ่นคาวเลือด  กลิ่นเหม็นไหม้  และเสียงเบาๆทว่าอืออึงเต็มไปด้วยเสียงต่างๆที่ผสมปนเปกันไปหมด  ทั้งเสียงตะโกนอย่างห้าวหาญ  เสียงร้องไห้สะอื้น  เสียงเพลิงปะทุดังสนั่นประสานเสียงกับเสียงไม้ที่แตกเปรี๊ยขณะถูเผา  เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ถูกฆ่าและเสียงหัวเราะร่าของผู้ลงมือ  บัดนี้ชายป่าเวลป่าอันสงบสุขกำลังถูกกองทหารเข้ารุกราน

     

    **(ป่าเวลป่าของเหล่าภูตพรายอยู่ทางตะวันตกของเฮลเมส)**

     

    ฆ่ามันให้หมดเสียงประกาศก้องของผู้นำกองทัพดังก้องชายป่า  ข่มเสียงอื่นๆให้สดับฟัง  แม้แต่เด็กน้อยชายที่กำลังร้องไห้อยู่ก็ยังหยุดร้อง

     

    สีหน้าของเด็กชายนั้นแสดงถึงความหวาดกลัวและเสียขวัญอย่างที่สุด  แต่เด็กชายก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง  ยังมีหญิงสาวที่อุ้มเด็กไว้  เธอกำลังวิ่งอย่างสุดชีวิต  เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาของเธอดังมาคู่กับเสียงฝีเท้าที่หนักกว่า  ทว่ายังแผ่วเบาดุจสายลมของชายอีกคน  เขากำลังง้างธนูยิงใส่ผู้ที่ตามหลังมา

     

    พวกแกไม่มีทางรอดหรอกเสียงของหัวหน้าใหญ่ดังขึ้นเบื้องหน้าทั้งสองที่กำลังวิ่งอยู่ทำให้ต้องหยุดชะงัก  ความเหนื่อยอ่อนของทั้งสองนั้นทำให้ไม่สามารถวิ่งไปทางอื่นได้โดยเฉพาะทางต้นไม้ที่อยู่เหนือหัวแท้ๆ

     

    ดาบคู่ที่เรียวเล็กและน้ำหนักเบาถูกชักออกมาจากฝักหนัง  คมดาบเป็นประกายวิบวับแม้ไร้ซึ่งแสงจันทร์  ฝีมือที่ตีดาบคู่นี้ขึ้นนั้นคงจะเป็นพวกพรายช่างเป็นแน่แท้  ถึงได้ทั้งสวยงามและดูแข็งแกร่งเช่นนี้  ดาบคู่ปะทะดาบใหญ่ที่มีพลังการโจมตีสูงกว่า  จนผู้ที่อาศัยความเร็วนั้นไม่อาจจะต้านไว้ได้  สายตาอันเหนื่อยอ่อนเพ่งมองไปรอบๆ  แล้วความจริงอันน่ากลัวปรากฏให้เห็น  ความจริงที่ว่าพวกเขาทั้งสามอยู่ในวงล้อมของเหล่ามือธนูแล้ว  โอกาสรอดของพวกเขานั้นช่างดูริบหรี่เสียเหลือเกิน 

     

    พวกทหารผู้รุกรานง้างคันธนูและปล่อยลูกธนูหลายสิบดอกพุ่งทะลุร่างของพรายฝ่ายชายล้มลง  ฝ่ายหญิงนั้นดูจะตกใจเป็นอย่างมาก  เธอนั่งลงเคียงข้าสามีของเธอ  แล้วจับเอาสร้อยคอของสามีไว้ในห่อผ้าของบุตร  หลังจากที่หล่อนเอาสร้อยคอให้บุตรของหล่อน  หล่อนก็สัมผัสถึงคมดาบที่ทาบกับลำคอระหงของหล่อน  ความเจ็บปวดและความว่างเปล่าก็ค่อยๆแทรกตัวเข้ามาอย่างช้าๆราวกับความมืดแห่งรัตติกาลทีค่อยๆเปลี่ยนทิวาให้มืดมน  แต่ก่อนที่เธอจะสิ้นสติ  จิตของเธอก็พุ่งไปที่บุตรของเธอ  บุตรที่เธอและสามีรักที่สุด  มืออันแผ่วเบาดุจสายลมของเธอที่บัดนี้นั้นห่อหุ่มด้วยกลุ่มแสงสีฟ้าอมเขียวสัมผัสไปที่หน้าผากของเด็กชาย  ไอเวทประหลาดได้ล่องลอยไปในอากาศ  นี้คือการเดิมพันชีวิตลูกชายของทั้งสองไว้กับเวทเพียงบทเดียว  เวทบทสุดท้ายที่เธอสามารถใช้ได้  เวทแห่งมิตร  จากนั้นเธอก็จากโลกนี้ไป.....ตลอดกาล...

     

    เด็กชายถูกจ้องมองจากคนทั้งกลุ่มที่กำลังหัวเราะร่า  เจ้าหัวหน้าคนถ่อยพวกนี้จับดาบคู่ของชายหนุ่มขึ้นมา  ตั้งใจจะฆ่าบุตรด้วยดาบของผู้เป็นบิดา  แต่แล้วก็บังเกิดกลุ่มแสงสว่างลอยม้วนวนเป็นบริเวณกว้างรอบผู้บุกรุก  ดูเหมือนราวกับหมู่มวลวิญาณผู้รับใช้เจ้าแห่งลมมาเปล่งแสงให้แสบเคืองนัยตาและทำให้ตาพลาลายจนไม่สามารถมองเห็นได้  สัมผัสสุดท้ายของเด็กชายคือสัมผัสเบาๆที่สีข้างเหมือนจะถูกอุ้มขึ้นที่สูงและสติของเด็กชายก็ดับไป

     

    ตาเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจหลังจากที่ผ่านฝันร้ายมา  เหงื่อแตกพลั่ก  หยดเหงื่อหยาดเล็กๆไหลลงมาตามปอยผมสีดำเข้ม  กระดุมเสื้อนอนหลุดออกหลายเม็ด  เผยให้เห็นสร้อยคอที่ใส่มาตั้งแต่จำความไม่ได้กำลังสะท้อนแสงวิบวับตามจังหวะการหายใจอันถี่รัว  ตัวจี๋นั้นเป็นรูปคทาโลหะ  หัวเพชรที่ถูกพันธณาไว้ด้วยเถาวัลย์ที่ดูคล้ายๆงูที่ขดเลื้อย  มือเท้าของเด็กหนุ่มชี้ไปกันคนละทาง  ผ้าห่มที่ถูกถีบตกเตียงไปกองอยู่บนพื้น  หัวใจของเขาเต้นแรงเสียจนต้องเอามือมากุมเอาไว้  ภายในเส้นเลือดที่ไหลเชี่ยวนั้นเต็มไปด้วยสารอะดรีนาลีนที่ถูกหลั่งออกมา

     

    หึหึหึ  ฝันอีกแล้วซิเจ้าหนูเสียงของชายผู้หนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ถ้าฟังจากน้ำเสียงแล้วเขาคงจะชราภาพมากพอดูและน่าจะยังใจดีอีกด้วย

     

    เชลกรอกตาสีน้ำตาลเข้มมองไปรอบห้องก่อนที่ความตึงเครียดจะเริ่มคลายลง  เขาลุกขึ้นและจัดการกับเสื้อที่หลุดลุ่ย  จากนั้นจึงหันไปจัดการกับที่นอนให้เข้าที่และดูเป็นระเบียบรวมถึงเสยผมสีดำสนิดที่ตัดสั้นอย่างเคยตัว

     

    เชล  เอลโกล…”เสียงของชายชราดังขึ้น  เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเล็กที่อยู่เข้าชุดกับโต๊ะไม้ตัวเล็กๆที่ซึ่งไม้เท้ายาวสีขาวเกลี่ยงเกลาของชายชราวางอยู่  คิ้วสีขาวดุจหิมะของเขานั้นหนาและดูยุ่งๆ  ผมเผ้านั้นก็เรียบเปล่แบบพวกที่ชอบใส่หมวกทั้งวี่ทั้งวัน  รอยย่นตามใบหน้านั้นก็แสดงถึงกาลเวลาที่ชายผู้นี้ผ่านมาได้เป็นอย่างดี  ชุดเสื้อคลุมตัวหลวมโคร่งของเขาก็ดูใส่สบายไม่น้อย  “…บางทีเอ็งควรจะเลิกฝันถึงตอนที่พ่อกับแม่เอ็งตายเสียที

     

    ผมพยายามอยู่ท่าน ดูเน  โอเนกาผู้ยิ่งใหญ่  แต่ท่านต้องเข้าใจว่าข้าเลือกความฝันไม่เป็น  ถ้าผมเลือกฝันได้ผมคงฝันว่าผมนอนอยู่บนขนแกะในตอนที่ผมนอนอยู่บนขอนไม้กลางป่าดำไปแล้ว

     

    น้อยๆหน่อยเอ็งน่ะ  เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่  ข้าแค่ถูกหลอกแค่ครั้งเดียวก็ถึงกับเอามาล้อข้าเชียว  เอ็งอย่าลืมซิว่าถ้าไม่ใช้เพราะข้าที่รู้จักผลไม้ป่าอย่างดีเอ็งก็คงอดตายอยู่ในค่ายกลของพวกแมงมุมดำแล้วน้ำเสียงนั้นแสดงถึงความฉุนเต็มแก่  แม้เขาจะเป็นชายใจดีก็จริงแต่เขาก็ดูท่าทางจะโกรธง่ายทีเดียว

     

     ตื่นก็ดีแล้วจะได้เดินทางแต่เช้าชายชราพูดขึ้นก่อนเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

     

    เชลแต่งตัวอย่างรวดเร็ว  เสื้อผ้าอะไรก็ไม่ค่อยมีให้จัดเก็บเท่าไรเนื่องจากอยู่กลางป่าจึงไม่ค่อยมีที่ซื้อของที่จับจ่ายมากนัก  ถึงจะมีก็มีแต่อาจารย์โอเนกาเท่านั้นที่เข้าเมืองไปซื้อของและนานมากจริงๆจะซื้ออะไรมาฝาก

     

    ในที่สุดเกวียนเล่มเล็กๆก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆตามสมัถภาพของเจ้าม้าแก่ที่ลากมันไป  ป่าสีส้มของยามฤดูใบไม้ร่วงนี้ดูกี่ทีๆก็ยังคงสวยงามและมีมนต์ขลัง  ทุกสิ่งทุกอย่างในป่าแห่งนี้ช่างดูสดใสเสียจริง  ดุจกับว่ามันไม่เคยถูกสิ่งหมองหม่นมาสัมผัส  และกาลเวลาก็ทำให้พวกมันเปลี่ยนไปเพียงน้อยนิดเท่านั้น  ทั้งนี้เพราะป่าแห่งนี้คือส่วนหนึ่งของป่าโบราณที่มีมาแต่อดีตอันไกลโพน  เป็นเพียงบางส่วนของผืนป่าแผ่นใหญ่แต่โบราณ  ดังนั้นมันจึงมีพลังที่อยู่ภายในตัวของมันอย่างมหาศาลเลยทีเดียว

     

    เอ็งเตรียมพร้อมแล้วนะสำหรับการทดสอบน่ะชายชราถาม  เขาเป็นคนขับเกวียนเล่มเล็กเล่มนี้

     

    อือ  หือเด็กหนุ่มตอบอย่างไม่เต็มเสียงเนื่องจากเกวียนเจ้ากำดันสะดุดหิน  ทำเอาตัวเกวียนโครงไปหมด

     

    ทำให้ได้ล่ะ  ถ้าผ่านเอ็งจะได้เป็นผู้วิเศษฝึกหัดเสียที  แล้วข้าจะได้ไม่ต้องมาคอยออกเงินให้เอ็งอีก  ลงทุนกับเอ็งมานานชายชราพูดแล้วเร่งความเร็วของม้าแก่ให้เร็วขึ้น

     

    ม้าควบผ่านถนนลูกรังที่ตัดออกมาจากชายป่า  รอยเกวียนบางเบาดุจจำนวนเกวียนที่ผ่านทางนี้นั้นมีน้อยมากทั้งที่เป็นเส้นทางหลักในการเข้าไปยังเมือง  กำแพงเมืองที่สูงใหญ่นั้นอยู่เบื้องหน้าอีกไกลโข  หอคอยใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในนั้นดูน่าเกรงขาม  ทั้งสูงขึ้นไปบนฟ้า  และก็มีบางหอที่โพล่พ้นกำแพงมาแค่หลังคา  หอคอยมีทั้งหลังคาสีแดงเข้ากับหินสีขาวที่ใช้ก่อปราการ  หลังคาสีทองอร่ามดูงดงามยามแดดต้อง  และที่ไม่มีหลังคาก็มีธงสีขาวและสีแดงขนาดใหญ่ปลิวสะบัด  มันเป็นเมืองที่ดูยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เด็กหนุ่มเคยเห็นมา   

     

    พวกล้าสมัยไปไกลๆเลยเสียงตะโกนดังมาจากเบื้องหลัง  เสียงนั้นดังมาจากเกวียนรูปร่างแปลกๆ  มันเป็นเกวียนโลหะลอยได้ที่ไม่มีม้าซักตัวลาก  มันลอยเฉียดผ่านไปอย่างเร็วเมื่อเกวียนคันเก่าหลบทางให้ทำเอาเกวียนเก่าถึงกับโครง

     

    ช่ะ  ดูถูกกันไปแล้วเสียงชายชราที่ฉุดจัดกำบการถูกหมิ่นเมื่อซักครู่นี้เรียกไม้เท้าออกมาจากไหนก็ไม่รู้

     

    สายลมพัดแรงหอบเอาเกวียนคันน้อยลอยขึ้นจากพื้นหลายเมตร  บังเกิดกลุ่มไอน้ำสีขาวบริสุทธิ์ขึ้นใต้เกวียน  แล้วเกวียนล้าสมัยเล่มเก่าก็แซงหน้าเกวียนทันสมัยเมื่อกี๊อย่างไม่ยากเย็นนัก

     

    ลม/แรง/ดี/นะ/ครับชายชราพูดอย่างอารมณ์ดีเมื่อกำลังจะแซงพร้อมถอดหมวกทำท่าคำนับอย่างกวนประสาท

     

    เกวียนคันเก่ากำลังจะไปถึงกำแพงรอบนอกของตัวเมืองแล้ว  บ้านที่อยู่นอกกำแพงนั้นมีประปราย  ส่วนมากเป็นพวกที่ต้องออกไปทำงานก่อนประตูเมืองเปิด  จึงต้องออกมาอยู่นอกกำแพงเมือง  แต่ตอนนี้เป็นตอนสายใกล้จะเที่ยงแล้วประตูเมืองจึงเปิดอ้า  มีเพียงยามสิบกว่าคนเท่านั้นที่เฝ้าประตูอยู่แต่ยอมให้ทุกคนผ่านไปโดยง่าย  และยังมีทหารที่อยู่ในหน้าที่จำนวนหนึ่งก็เดินสำรวจรอบๆเมืองเป็นระยะ

     

    คนเยอะจังเด็กหนุ่มจากไพรพูดออกมาอย่างตื่นๆด้วยความไม่เคยเห็น  พลางมองดูยวดยานแบบต่างๆที่แล่นไปมาทั้งที่อยู่บนถนน  ที่น่าสังเกตคือบ้านเรือน  ร้านรวง  ตึกสูงต่างๆนั้นพร้อมใจกันสร้างด้วยอิฐสีนวลอมส้มและต่างมีหลังคาเป็นสีแดงเปลือกมังคุด  เสียงผู้คนที่เดินควักไขว่ไปมาตามถนนนั้นดังจนทำให้ผมออกอาการตื่นคนเล็กน้อยพอดูเหมือนกัน  เกวียนเหล็กลอยได้ที่รูปร่างดูมนๆนั้นลอยไปมาตามถนนในเมืองนั้นดูไม่คุ้นตาของคนที่โตมาตามชายป่าอย่างเชล  ร้านขายของตั้งอยู่ตามข้างๆทางอย่างเป็นระเบียบทั้งร้านขายดอกไม้  ร้านขายยาแผนปัจจุบันที่เปิดท้ารบกับร้านขายสมุนไพรที่เปิดอยู่ข้างๆ  ร้านสะดวกซื้อเล็กๆก็มีให้เห็นประปราย  บางก็เป็นหาบเร่เล็กๆที่วางขายอยู่ริมถนนที่ปูด้วยอิฐสีขาวนวลเป็นระเบียบและสวยงาม  เมืองนี้ถูกวางผังเมืองมาเป็นอย่างดี  คูน้ำสร้างกั้นหน้ากำแพงที่เป็นระยะๆหลายชั้น  ยิ่งตรงลึกเข้าไปสู่ใจกลางเมืองเท่าใดบ้านเรือนตึกรามบ้านช่องนั้นก็ดูเหมือนจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ  และในที่สุดเกวียนเล่มเล็กก็มาจอดอยู่ที่หอคอยใหญ่หน้ากำแพงเมืองชั้นใน  เหนือประตูไม้บานใหญ่ดูแน่นหนาแข็งแรงนั้นมีอักษรสีทองมีประกายสวยงามอย่างประหลาดเขียนไว้ว่า

    สมาคมผู้วิเศษแห่งเฮลเมส

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×