ตอนที่ 8 : จุดเริ่มต้นของบางอย่าง 100%
“พี่ภีม” และทันทีที่เจ้าของร่างสูงหน้าตาคล้ายๆ ภัทรพลเดินขึ้นมาบนโรงพัก ยัยน้องสะใภ้ตัวแสบก็รีบพาขาสั้นๆ ของตัวเองเดินเข้าไปเกาะแขนคนตัวโตด้วยท่าทางประจบเอาใจอย่างรู้หน้าที่ แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อนลงโดยทันที เมื่อประเมินสถานการณ์เบื้องต้นแล้ว แววตานิ่งๆ ที่ส่งมา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะ‘ไม่เล่นด้วย’
“แหะๆ ขอโทษค่ะ” เมื่อไม่เล่นด้วย ก็เลยต้องยอมสารภาพเสียงจ๋อยแต่โดยดี แววตาที่ผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นลงระหว่างคนตรงหน้ากับพื้น แต่ดูเหมือนมองไปมองมาแล้วพื้นโรงพักน่าจะน่ามองกว่า แอบชำเลืองขึ้นไปมองคนข้างๆ อีกครั้งก็ยังทำหน้านิ่งเหมือนเดิม เห็นแล้วก็ใจฝ่อ เท่านั้นยังไม่พอ แถมด้วยการถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกต่างหาก
อึ้ย น่ากลัว
ทางด้านภีมภัทร หลังจากได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายว่า ‘ให้มารับเมียตัวเองได้ที่โรงพัก’แทนที่จะเป็นร้านอาหารที่ยัยตัวเล็กนัดเขาไว้ซะดิบดีตั้งแต่เมื่อวาน ตอนแรกก็ตกใจอยู่ไม่น้อย สืบสาวราวเรื่องต่อไป ก็ไม่ได้ความอะไรมากไปกว่า เธอกับเพื่อนไปทะเลาะกับใครสักคนในร้านอาหาร ตกลงกันไม่ได้ จนต้องพากันมาเคลียร์ถึงที่นี่
ดวงตาคมเหลือบไปมองคนที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ข้างๆ อีกนิดหน่อย ก่อนเอ่ยออกมาเสียงเรียบ
“มันเรื่องอะไรกัน มีเหตุผลที่ดีพอหรือเปล่า” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ตัวเธอเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายไปกว่า มีใครก็ไม่รู้กำลังจะมาทำร้ายเพื่อน และเธอก็เป็นเดือดเป็นร้อนแทนยัยแพนด้าไปโดยอัตโนมัติ แม้จะไม่รู้ว่าต้นเหตุมันมาจากเรื่องอะไรก็ตาม
บอกพี่ภีมไปว่ามันคือเหตุผลที่ต้องเข้าข้างเพื่อน มันจะพอฟังขึ้นไหมนะ นริศรากำลังคิดด้วยหน้าจ๋อยๆ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกมา เสียงของใครอีกคนก็ดังขึ้นมาซะก่อน
“อย่าไปดุเกดเลยค่ะพี่ภีม ที่เพื่อนทำไปทั้งหมด ก็เพราะยุ้ยเอง” เธอหยุดพูดไปนิดหนึ่ง ริมฝีปากบางเม้มสนิทจนเป็นเส้นตรง เผลอกัดมันลงไปจนรับรู้กลิ่นคาวเลือดของตัวเอง หันไปมองเพื่อนรักอีกที ก่อนตัดสินใจพูดออกไป
“ยัยนั่น…หมายถึงผู้หญิงคนนั้น เป็นลูกติดของเมียน้อยพ่อ ไม่ถูกกันมาตั้งแต่เด็กๆ พอเจอกันอีกทีมันก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ” เธอกัดฟันพูดออกไป ฝืนกลืนก้อนสะอึกที่มันทะลักขึ้นมาจนแทบกลั้นไม่อยู่ลงคอไปอย่างยากเย็น เลือกที่จะหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น
บางทีมันก็บอบบางเกินไปในความรู้สึก
และคำพูดที่เอ่ยออกมาจากปากลลนานั้น ก็ส่งผลให้ความเงียบเข้าครอบงำ แต่ละคนต่างตกอยู่ในอารมณ์ที่ต่างกัน
ภัทรพลบอกตามตรงว่ามึนไปไม่น้อย ยัยเปี๊ยกที่ดูเริงร่าต่อปากต่อคำกันเป็นประจำ เกิดมีเรื่องให้น้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาซะอย่างนั้น แม้จะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรือสนิทสนมมากมายจนคุยกันได้ทุกเรื่อง เพราะเจอหน้ากันทีไรก็เอาแต่ตั้งท่าเขม่นคุมเชิงกันทุกที แต่รวมๆ แล้วเกือบสี่ปีที่ยัยเปี๊ยกนี้มาปรากฏตัวให้รู้จักพร้อมกับยัยหนูนริศรา ก็ไม่มีร่องรอยของคนมีปมขนาดนี้ปรากฏให้เห็นเหมือนกัน
ด้านภีมภัทรเองก็ตกใจอยู่เหมือนกัน เพื่อนภรรยาคนนี้เขาก็รักไม่ต่างจากน้องสาว เธอมีรอยยิ้มสดใสให้กับทุกคนตลอดเวลา โลกของเธอก็สดใสดูเป็นปกติดี ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
ยิ่งนริศรา ในฐานะเพื่อนสนิท ยิ่งตกใจขึ้นไปกันใหญ่ ตั้งแต่รู้จักกันมาเกือบสิบปี ลลนาก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ได้ยินเลยสักครั้ง ครอบครัวของเพื่อนก็ดูปกติดี ตัวเพื่อนเธอเองก็ไม่เคยเกริ่นเรื่องอะไรทำนองนี้เป็นเชิงปรึกษา
แต่เธอก็ไม่โกรธหรอก เพราะทุกคนล้วนแต่มีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป มือบางของคนตัวเล็กเผลอไปเกาะกุมคนตัวโตข้างๆ ไว้โดยอัตโนมัติ เมื่อหันไปมองแล้วรับรู้ถึงแววตาอันเจ็บปวดของคนเป็นเพื่อน เพื่อนของเธอคงเจ็บเกินไป คงบอบช้ำไม่น้อยที่ถูกรื้อฟื้นความทรงจำนั้นขึ้นมาอีกที
มือเล็กที่บีบลงมาแน่นจนอีกฝ่ายรู้สึกได้จนต้องหันกลับไปมอง เรียกให้มือหนาเอื้อมไปเช็ดน้ำตาที่เริ่มไหลเอ่ออยู่แถวๆ หางตาของภรรยาตัวเล็ก
“เกด โอเคนะ” เสียงอ่อนโยนถามขึ้น เมื่อเห็นอีกคนพยักหน้ารับ คุณหมอหนุ่มจึงกล่าวต่อไป ในสิ่งที่คิดว่าคงตรงกับใจเธอตอนนี้เหมือนกัน
“คืนนี้ไปค้างกับเพื่อนก็ได้นะคะ” เสียงนุ่มยังคงกล่าวออกมาเรื่อยๆ และเธอก็กำลังจะตอบตกลง ถ้าบุคคลที่สามในประเด็นการสนทนาไม่ขัดขึ้นเสียก่อน
“เฮ้ย ไม่เป็นไรเกด กลับบ้านไปเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้” เสียงใสพูดออกมา พยายามฝืนยิ้มสดใสเต็มที่ พลางเดินเข้าไปกอดเพื่อนรัก
“ขอบใจแกมากจริงๆ แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด” คนพูดกัดฟันแน่น พยายามกลั้นก้อนสะอื้นที่กำลังตีขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วงฉันนะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก” มันเป็นคำพูดธรรมดาๆ ที่ฟังกี่ทีก็รู้สึกดีไม่เปลี่ยน และนริศราก็กำลังจะซึ้งใจอยู่แล้วเชียว ถ้ามันไม่ต่อด้วยคำพูดที่ทำให้เธอถึงกับหน้าซับสีเลือดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“มีการบ้านต้องทำไม่ใช่เหรอแก ถ้าส่งการบ้านช้า ระวัง…” มันหยุดคำพูดไว้แค่นั้น แล้วส่งสายตาวิบวับกลับมาให้ ตาแดงๆ เมื่อกี้มันหายไปไหนหมดแล้วล่ะ
อึ้ย อายนะ ไอ้แพนด้าบ้า
นริศราหน้าแดงจัดขึ้นมาทันที ผละออกมาจากอ้อมกอดของเพื่อนรักราวกับมันเป็นของร้อน ไม่พอยังเขวี้ยงค้อนกลับไปให้อีกวงหนึ่ง
ถ้าล้อกันได้ขนาดนี้ ฉันเชื่อแล้วแหละว่าแกไม่เป็นอะไรมากจริงๆ
ก็ดูซิ พอวกกลับมาเรื่องนี้ทีไรก็อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี เป็นเพื่อนภาษาอะไร วันๆ ก็วนเวียนเฝ้าแต่ถามถึงเรื่อง...เอ่อ...เรื่องพรรค์นั้นมันอยู่นั่นล่ะ อยากรู้ก็แต่งงานเองเลยสิยะ จะรอเล่าเฝ้าแต่ถามให้คนเขาอายหน้าดำหน้าแดงไปทำไม คนเขาก็เขินเป็นเหมือนกัน
เฮ้อ อยู่กับมันต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ เพราะตั้งแต่แต่งงานกับพี่ภีมมาไม่กี่อาทิตย์ โดนมันซักฟอกซะละเอียดถี่ถ้วนกันไปหมด ยัยเกดอยากจะบ้า อยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ
“พี่ภัทร” เสียงใสอย่างน้องเล็กที่แสนเอาแต่ใจดังขึ้นคนถูกเรียกที่ยืนนิ่งฟังสถานการณ์มานานทำเพียงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ปรับสภาพอารมณ์ตามไม่ทันเหมือนกัน เห็นซึ้งกันอยู่ดีๆ ทำไมตอนนี้แหวใส่กันได้ซะอย่างนั้น
“เอาแพนด้ามาใช่ไหม เอากลับไปส่งด้วยแล้วกัน” เธอเชิดหน้าใส่เพื่อนรักพลางหันไปบอกภัทรพล เห็นอีกฝ่ายทำหน้าเหลอหลานิดหน่อย แต่ก็ยอมพยักหน้ารับแต่โดยดี จึงหันไปตัดบทกับเพื่อนรักต่อ
“ไปก่อนนะยัยแพนด้า ไม่ได้เอารถมาใช่ไหม งั้นกลับกับพี่ภัทรไปละกัน เผอิญฉันต้องกลับไป‘ทำการบ้าน’ กับพี่ภีม” ตอนแรกที่พูดก็สะใจดีอยู่หรอก พอรู้มาอยู่บ้างแหละว่าสองคนนี้ไม่ค่อยกินเส้นกัน หนักๆ เข้าถึงขนาดจิกกัดกันเลือดสาดมาบ้างก็หลายหน
ส่งไปอยู่กับศัตรูเพื่อแก้แค้นแบบนี้ มันก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ ยัยแพนด้าบ้านริศรากระหยิ่มยิ้มย่องคิดเริงร่าอยู่ในใจ แต่พอหันกลับไปมองหน้าแต่ละคนรอบข้างนี่สิ ทำให้เธอต้องหุบยิ้มแทบไม่ทัน ทำไมแต่ละคนแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันอย่างนั้นล่ะ
ยัยแพนด้ายิ้มจนหน้าบานจะหุบไม่ได้อยู่แล้ว
พี่ภัทรที่ทำเป็นลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่สนใจแต่ก็ยังอมยิ้มไม่หยุดเหมือนกัน
อึ้ย ยิ่งพี่ภีมยิ่งแล้วใหญ่ ยิ้มไม่พอ ส่งสายตาวิบวับกลับมาเชียว อะไรมาดลจิตดลใจให้เธอใจกล้าพูดออกไปอย่างนั้นนะ
คิดไปก็หน้าร้อนผ่าวไป อยู่ตรงนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ มือบางของนริศรารีบคว้าเอามือหนาของคนข้างๆ หันหลังเดินออกไปทันที ทิ้งเอาไว้ก็แค่คนสองคนที่ไม่ค่อยจะถูกกัน รอยยิ้มบางๆ ค่อยๆ จางลง หันกลับมามองหน้ากันนิดหน่อย
เฮ้อ แล้วจะทำยังไงกันต่อไปดีล่ะทีนี้
Talk ฮือออ ดุได้ละมุนมากพี่ภีมมมมม
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
