ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องค์หญิงน่ารักกับจักรพรรดิเจ้าเล่ห์

    ลำดับตอนที่ #5 : สิ้นสุดการรอคอย

    • อัปเดตล่าสุด 24 มี.ค. 58


    ตอนที่ 5  สิ้นสุดการรอคอย

    ในที่สุดโรคระบาดก็เป็นแค่ไข้ท้องร่วงในพริบตา  ชาวเมืองที่เจ็บป่วยล้วนมีอาการดีขึ้นด้วยยาสมุนไพรที่ถูกนำมาแจกจ่าย  เฉินซื่อจวินให้เฉาเฟยนำป้ายอาญาสิทธิออกมาสั่งการแทน  ส่วนตนเองก็เดินทางกลับไปยังจวนอ๋องพร้อมกับรถม้าของเจิ้งอี้จิง  ขณะที่เดินทางกลับ  ร่างแบบบางก็ยังไม่ฟื้นคืนสติ  ด้วยความห่วงใยของบ่าวไพร่ที่เกรงว่าคุณหนูของพวกตนจะอาการหนักขึ้น  พวกเขาจึงยกหน้าที่ที่จำต้องใกล้ชิดนางที่สุดมาให้คู่หมั้นอย่างเขา

    เฉินซื่อจวินมองใบหน้าขาวซีดที่กระทั่งหลับใหลอยู่ก็ยังคิ้วขมวดตลอดเวลาด้วยความอ่อนใจ  เพราะเหตุใดนางถึงได้ดื้อรั้นเช่นนี้  ดูจากนิสัยของนางที่ดูเรียบง่ายและตามใจตนเองแล้ว  คิดไม่ถึงว่านางจะอุทิศตัวให้กับเพื่อนมนุษย์ได้ถึงเพียงนี้  ด้วยความสามารถที่มีอยู่  นางสามารถสั่งการให้ผู้อื่นกระทำตามความต้องการของตนเองได้ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟแค่ไหน  ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ  ทว่าก็ยังฝืนเอาร่างผุ ๆ พัง ๆ นี้มาสละให้เพื่อส่วนรวม  เฉินซื่อจวินคิดพลางส่ายหน้าอย่างจนใจแล้วเอานิ้วชี้ของตัวเองไปแตะที่หว่างคิ้วของนางเบา ๆ เพื่อให้คิ้วขมวดมุ่นนั้นคลายออกช้า ๆ

    นี่คงจะมิใช่หนทางไปสู่ความตายเร็วขึ้นหรอกกระมัง....  นางมีเหตุผลอะไรจึงเร่งให้ตัวเองอายุสั่นถึงเพียงนั้นกันเล่า?  ยิ่งคิดเฉินซื่อจวินยิ่งไม่เข้าใจ  ตลอดเวลาที่ตนเองพำนักอยู่ที่จวนอ๋องแห่งนี้  พบเจอแต่เรื่องที่ตนเองไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งนั้น  แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทรงคิดตกแล้วในตอนนี้ก็คือ  สตรีผู้นี้ใช่ว่าไม่มีสื่งใดน่าสนใจเสียเลย  แท้ที่จริงนางมีจิตใจที่กว้างขวางและเมตตากรุณาอย่างยิ่ง  สติปัญญาและความสามารถก็เพียบพร้อม  ถือเป็นยอดสตรีแห่งยุค  หากมิใช่เพราะพฤติกรรมประหลาดทั้งหลายของนางที่ทำให้เขารู้สึกสับสนในทีแรกแล้ว  เขาอาจจะเปลี่ยนใจลองทบทวนเรื่องการหมั้นหมายอีกครั้ง            

     สุดท้ายเมื่อกลับถึงจวนทั้งยังผ่านไปอีกสามวันสามคืนแล้ว  เจิ้งอี้จิงกลับไม่ยอมฟื้นคืนสติเสียที

    เรื่องนี้ดูจะกลายเป็นร้ายแรงมากขึ้น  จนเฉินซื่อจวินจำต้องเปิดเผยฐานะตนเอง เพื่อเรียกให้หมอหลวงเดินทางมาจากในวังเพื่อมาดูอาการของนาง  ขบวนจากในวังจึงถูกสั่งให้ติดตามมาด้วยเพื่อมาคอยอารักขาคุ้มครองเขาที่เป็นจักรพรรดิ  สุดท้ายแล้วที่หมอหลวงทำได้ก็เพียงให้ยารักษาตามอาการเท่านั้น  ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าเพราะเหตุใดนางจึงไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเสียที

    “บางทีอาจเพราะโหมร่างกายมากเกินไป”  พ่อบ้านหยงบอกออกมาในขณะที่ประชุมอยู่ในห้องโถงกับทุกคน  ยกเว้นฮ่องเต้กับเฉาเฟยที่อาสาเฝ้าไข้นางด้วยตนเอง 

    “แต่สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ข้าหวาดกลัวเหลือเกิน...”  เสี่ยวถงถงร้องไห้ออกมา “หากนางไม่ฟื้นคืนมาอีกเล่า!

    “พูดเหลวไหลอะไร!”  มู่หลงพูดจาน้ำเสียงเยียบเย็น  แม้แต่แววตาที่มองเสี่ยวถงถงก็ด้วย  เขาไม่ให้อภัยให้คนที่พูดจาให้ร้ายนางเด็ดขาด 

    เสี่ยวถงถงทรุดตัวลงด้วยความเสียอกเสียใจ  “ข้าทำผิดต่อคุณหนูแล้ว...  หากไม่เพราะข้าคุณหนูคงไม่เป็นเช่นนี้!”

    พ่อบ้านหยงได้ยินอีกฝ่ายพูดก็รีบคาดคั้นทันที  มีเรื่องใดที่เกิดขึ้นกับคุณหนูที่ตนยังไม่รู้อีกกันแน่ 

    “พูดมา  นี่มันเรื่องใดกัน!”

    เสี่ยวถงถงหันไปมองสบตามู่หลง  สื่อสารกันด้วยสายตา จากนั้นค่อยเล่าให้พ่อบ้านหยงฟัง 

    “ท่านยังจำได้หรือไม่  เมื่อหลายวันก่อน  ที่คุณหนูล้มป่วยลง”  นางหันไปมองหน้ามู่หลงน้ำตาคลอ  มู่หลงต้องข่มกลั้นอารมณ์ของตัวเอง  เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น

    ขณะที่เฉินซื่อจิ้นนอนหลับใหลไม่ได้สติที่ใต้ต้นไม้ในสวน  ความจริงแล้วเป็นเพราะเขาถูกควันหลอนของของเสี่ยวถงถงเข้า  เขาจึงรู้สึกว่าตนเองเหมือนหลับลึกราวกับอยู่ในฝัน  ไม่มีทางได้สติคืนมาโดยง่าย  ส่วนนางก็ให้เขาสัมผัสพิษร้ายในกายนาง  ผ่านทางริมฝีปาก  นางมอบจูบอันดูดดื่มให้เฉินซื่อจวินทำให้ร่างกายของเขาขยับไปเองโดยสัญชาติญาณ  พวกเขาจึงอยู่ในสภาพที่นัวเนียกันอย่างไม่อาจแยกออกมาได้  ตอนนั้นเองที่บังเอิญ  คุณหนูกลับมาจากน้ำตกปริศนาพอดี  และมาเห็นภาพนี้เข้าอย่างไม่ตั้งใจ

    มู่หลงยังจำได้ติดตา  แววตาของนางที่จ้องมองภาพผู้อื่นพรอดรักตรงหน้าช่างดูว่างเปล่า  ทว่าความว่างเปล่านั้นกลับทะลักความรู้สึกปวดร้าวออกมาไม่ขาดสาย  น้ำตาของนางหล่นร่วงลงมาทำให้เขาไม่อาจทนดูได้  ต้องรวบตัวนางไว้และปิดดวงตาทั้งสองข้างของนางเสีย  เขายังจำสัมผัสเย็นชื้นจากน้ำตาของนางได้ดี  พอเสี่ยวถงถงเห็นนางเข้าก็รีบพูดความจริงออกมา  ว่านางคิดทำร้ายเฉินซื่อจิ้น  เจิ้งอี้จิงจึงใช้ริมฝีปากตนเองป้อนยาถอนพิษให้เขาทั้งน้ำตา  จากนั้นไม่นานเขาจึงค่อยได้สติ  ทั้งยังพูดจาทำร้ายจิตใจนางอีก 

    “นางบอกข้าว่าไม่เป็นไรแท้ ๆ แต่ในใจคงจะปวดร้าวมาก”  เสี่ยวถงถงพูดต่อ  ตอนนั้นไม่นานหลังจากประโยคสุดท้ายที่คุณหนูพูด  เพราะผลกระทบของพิษร้ายนั้นคนที่ถอนพิษจะได้รับผลกระทบไปด้วย  คุณหนูจึงเป็นไข้สูง  พอกำลังจะหายดี  นางก็หาเรื่องใส่ตัวโดยการใช้ร่างกายอย่างหักโหมอีก  ครั้งนี้ไม่รู้เพราะคุณหนูได้ทำการพิสูจน์พิษร้ายด้วยร่างกายตนเองหรือไม่  ถึงได้รู้ชนิดของพิษได้โดยเร็วเช่นนั้น... มู่หลงกับเสี่ยวถงถงมองหน้ากันอย่างสับสนและหวาดกลัว  แต่จากการตรวจร่างกายนางมิได้รับพิษอะไร

    “เจ้านี่นะ!”  พ่อบ้านหยงส่ายหน้าอย่างถอนใจ  “ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง  ทำให้คุณหนูเดือดร้อนอยู่เรื่อย!” 

    “ข้าผิดไปแล้ว!”  เสี่ยวถงถงรีบเอาศีรษะโขกพื้นหลายครั้ง  จนพ่อบ้านหยงต้องเอ่ยปากให้นางหยุด พลางว่า 

    “ข้าคิดว่า  คุณหนูอาจจะกระทบกระเทือนใจอยู่พอควร  แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมา...  พวกเจ้าทั้งสองย่อมรู้ดีว่า  ตลอดหลายปีที่ผ่านมา  มีเพียงเรื่องของการรอคอยคู่หมั้นนี้เท่านั้นที่ทำให้คุณหนูดูมีความสุขและความหวังในชีวิตอยู่บ้าง”  พ่อบ้านหยงเอ่ยขึ้น

    ตั้งแต่อายุสิบสาม  นายท่านเจิ้ง  หรือก็คือท่านอ๋องเจิ้ง  ได้บอกเรื่องน่าตื่นตะลึงเรื่องหนึ่งให้กับบุตรีของตน  เจิ้งอี้จิงรู้ตัวว่าจะต้องสมรสกับองค์จักรพรรดิในวันข้างหน้า  นางก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องของคู่หมั้นผู้นี้  จึงได้เที่ยวสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเขาทุกเรื่อง  จนกระทั่งวันหนึ่งนางอยากเห็นเขาขึ้นมา  ถึงกับสั่งให้จิตรกรที่มาจากเมืองหลวงวาดรูปเหมือนของเขาให้นางชมดู  นางหลงใหลรูปวาดนั้นอย่างมาก  เขาเป็นถึงจักรพรรดิที่เก่งกาจและมีความสามารถยิ่ง  นางฝากชีวิตน้อย ๆ ของนางเอาไว้ในมือของเขาได้แน่นอน  และคิดเสมอว่าวันใดที่จะได้แต่งงานกับบุคคลผู้นี้  ตนเองจะได้ไปอยู่ในความคุ้มครองของเขา  และใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ เป็นชีวิตที่นางใฝ่ฝันเหลือเกิน

    “หากไม่เพราะสิ่งนั้น  นางก็คงมีชีวิตปกติเหมือนดังเด็กสาวทั่วไปได้”  พ่อบ้านหยงเอ่ยเพียงท่อนนี้  ทุกคนก็หันมามองสบตากันอย่างรู้ใจ 

    “แต่เพราะสิ่งนั้น  ถึงได้ทำให้พวกเรามีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้.....” เสี่ยวถงถงแค่นเสียง  “เป็นเพราะฮ่องเต้องค์นั้นแน่ ๆ  ที่ทำลายความฝันของคุณหนูจนพังสิ้น”  นางกัดฟันกรอดทั้งน้ำตา 

    ขณะเดียวกันที่ห้องนอนของเจิ้งอี้จิงนั้น  คนเฝ้าไข้หรือก็คือฮ่องเต้ผู้นี้ก็กำลังคิดถึงตอนที่พระองค์ไปถึงหมู่บ้านฉี  ทรงรับฟังคำบอกเล่าของคนในหมู่บ้านฉีด้วยความตกตะลึงอย่างยิ่ง

    คุณหนูเจิ้งเหมือนเทพธิดามาโปรด  พอนางมาถึงก็หาสถานที่สำหรับคนป่วยเพื่อพักฟื้นในทันที  นางต้มน้ำดื่ม  น้ำสะอาด  และแจกจ่ายยาสมุนไพร  โดยไม่รังเกียจพวกชาวบ้านและโรคร้ายเลยสักนิด  นางลงมือเช็ดตัวลดไข้ให้พวกเราด้วยมือตนเอง  ช่างจิตใจเมตตาเหลือเกิน

    “นางเป็นคนดี...”  พระองค์ตรัส  พลันนึกไปถึงเรื่องราวตั้งแต่วันแรกที่มาถึง  “ดีเกินไป....”

    เฉาเฟยช่วยออกความคิดของตนเอง  เผื่อว่าจะช่วยให้อีกฝ่ายคิดอะไรออกได้บ้าง 

    “นางเป็นคนทำอะไรเชื่องช้า  แต่พอเวลาเร่งด่วนก็รวดเร็วอย่างยิ่งพะย่ะค่ะ”  พอได้ยินเฉาเฟยบอก  ก็ทำให้ทรงฉุกคิดได้ 

    “หรือเพราะแบบนั้นจึงทำให้นางล้มป่วย...”  การที่ตัวนางมีอุปนิสัยเชื่องช้า  จึงต้องใช้กำลังทั้งหมดในการช่วยเหลือชาวบ้าน  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง  การพักผ่อนก็จำเป็นสำหรับนางแล้ว

    “ฝ่าบาท...  ท่านรู้ไหมว่านางพูดอย่างไรกับชาวบ้าน...” เฉาเฟยเองก็เป็นคนหนึ่งที่ประทับใจในตัวสตรีผู้นี้อย่างมาก

    “นางพร่ำบอกกับพวกเขาว่า  ไม่นานจะมีคนมาช่วย  ไม่นานฮ่องเต้จะมาช่วย...  พวกเขาถึงมีกำลังใจกันขึ้นมาก  หากไม่เพราะคำพูดปลอบใจเหล่านี้  พวกเขาอาจฆ่าตัวตายหนีความทุกข์ยากกันไปหมดแล้ว” 

    นางเชื่อว่าเขาต้องมาหรือนี่...  ก็แน่ล่ะ...หากเขาอยู่ไกลจากนี้ไม่รู้เรื่องก็ว่าไปอย่าง...  แต่นี่เขาพักอยู่ที่บ้านนาง...

    “พวกชาวบ้านพากันสรรเสริญพระองค์  ขอให้พระองค์จงทรงพระเจริญ พวกชาวบ้านพากันคุกเข่าสำนึกพระคุณ  ทั้ง ๆ ที่เป็นเพราะคุณหนูเจิ้งแท้ ๆ”  เฉาเฟยเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม    

    ในใจของเฉินซื่อจิ้นรู้สึกประหลาดนัก...  เขามองไปยังร่างแบบบางที่เอาแต่สลบไสลไม่ได้สติ  อยากขอบคุณนางที่ทำให้เขาเป็นฮ่องเต้ที่ไม่ถูกผู้คนประณามหยามเหยียด  นางเป็นเพียงสตรีบอบบางเท่านั้น  ท่อนแขนก็ลีบเล็กกะเทาะหน่อยเดียวก็แทบจะหักคามือ  แต่ก็ยังจะใช้ท่อนแขนเล็ก ๆ นี่พยุงโอบอุ้มประชาชนของพระองค์เอาไว้จนตนเองต้องกลายเป็นเช่นนี้  เขาควรจะทำอย่างไรกับนางดี

    ยังไม่ทันคิดตก  เฉาเฟยก็เห็นพิราบสื่อสารบินมาส่งข่าวเกาะอยู่ที่ข้างหน้าต่าง  เมื่อเปิดจดหมายออกอ่านก็พบว่ามีเรื่องด่วนให้ฮ่องเต้รีบกลับวังไปจัดการ... เฉาเฟยมองพระพักตร์อย่างรู้ใจ 

    เฉินซื่อจวินไม่หันไปมองจดหมาย  เขามองใบหน้าขาวนวลที่อยู่บนเตียงแล้วยิ้มพลางว่า  “ข้าต้องกลับเมืองหลวงก่อน  แล้วจะหาทางมาจัดการกับเจ้าในภายหลัง  เจ้าต้องรีบฟื้นขึ้นมา  อย่าทำให้ข้าต้อง...คอยนาน”

    ทรงตรัสจบก็เดินออกไปจากห้องนอนของนาง  สีหน้าของพระองค์ตอนที่พูดกับสตรีที่หลับใหลนั้นแม้แต่เฉาเฟยก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน  รอยยิ้มที่แสดงออกมาแสดงความรู้สึกจากใจของพระองค์อย่างแท้จริง  ทรงกำลังรอคอยความตื่นเต้นแปลกใหม่จากนาง  ที่สำคัญดูเหมือนจะทรงพระสำราญอยู่เสียด้วย....    

    หลังจากที่บอกกล่าวกับพ่อบ้านหยงแล้ว  เฉินซื่อจวินก็ออกเดินทางทั้งที่ในใจยังนึกเป็นห่วงอาการของผู้อื่น  แม้จะสั่งให้หมอหลวงดูแลนางให้ดีแล้วก็ตาม  ทว่าตนกลับไม่วางใจเอาเสียเลย  ความรู้สึกค้างคาใจเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  รู้สึกทั้งคล้ายจะไม่อยากไป  และคล้ายจะรีบไปและรีบกลับ  จึงคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นเพราะตนยังไม่ได้รับลายมือชื่อของนางเป็นแน่

    ทว่าหลังจากออกเดินทางมาได้ครึ่งทาง  เขากลับได้พบกับมู่หลงที่ยืนขวางขบวนอยู่  เฉาเฟยรายงานต่อเขาว่าคนผู้นี้มีเรื่องสำคัญจะต้องสนทนากับตน  จึงลงจากรถม้าด้วยความฉงนในใจ มีโอกาสน้อยมากที่คนผู้นี้จะยอมอยู่ห่างจากเจ้านาย  ไม่เช่นนั้นจะต้องเป็นเรื่องเพียงเรื่องเดียวที่เขาจะยอมทำ  คือเป็นคำสั่งของนาง...   คิดพลางรีบสาวเท้าเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

    “นางฟื้นแล้วหรือ?”  สีหน้าที่ดูตื่นเต้นยินดีมากยามที่เอ่ยออกมา  ทำให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นยังอดแปลกใจมิได้  คนผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นห่วงคุณหนูของเขาอยู่บ้างจริง ๆ  ทว่าจะอย่างไรก็สายไปแล้ว... เขาต้องทำตามที่คุณหนูสั่งไว้ 

    พอเผชิญหน้ากับเฉินซื่อจวิน  มู่หลงยื่นม้วนผ้าเหลืองอร่ามคุ้นตาให้กับเขา 

    “นี่เป็นของที่คุณหนูฝากเอาไว้นานแล้ว  บอกให้มอบให้ท่านยามที่ท่านต้องการจากไป”  พูดจบก็พริ้วตัวหายไปโดยไร้ร่องรอย 

    มองม้วนผ้าสีเหลืองทองในมือของตนเองที่รับมาจากอีกฝ่าย  เฉินซื่อจวินไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าตนเองแทบไม่กล้าเปิดออกอ่าน  ไม่รู้เป็นเพราะตนเองดีใจจนเกินไปหรือเพราะรู้สึกผิดหวังจนเกินไปกันแน่  ทว่าก็ทรงสลัดความรู้สึกอย่างหลังทิ้งไปแล้วหลับหูหลับตาเปิดมันออกอ่านทันที  พอกวาดตามองยังบรรทัดสุดท้ายก็รู้สึกเหมือนแขนทั้งสองข้างจะรับน้ำหนักของสิ่งของที่ถืออยู่นี้ไม่ไหว  เฉาเฟยจึงถือวิสาสะรับราชโองการนั่นต่อจากพระองค์แล้วเปิดม้วนจดหมายนั้นออกดู  พบว่า  แม่นางเจิ้งได้ลงลายมือชื่อลงไปเรียบร้อยแล้ว  ทั้งยังมีเสริมอีกหลายประโยคที่แน่นอนว่าพระองค์ต้องทรงได้อ่านแล้วเป็นแน่ 

    นี่เองคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทรงแสดงสีหน้าออกมาราวกับหัวใจของพระองค์เองหล่นวูบหายไปในอากาศ  กระทั่งมือทั้งสองของพระองค์ก็ไม่ยอมขยับ  เฉาเฟยเชื่อว่าการที่ได้สิ่งของที่ต้องการในเวลาที่ผิดเช่นนี้ทำให้ทรงไม่สบอารมณ์เป็นแน่  ของที่อยู่ในมือคือสิ่งที่พระองค์ต้องการและทวงถามจากนางมาตลอดทว่า  ตลอดหลายวันที่ผ่านมาทรงเปลี่ยนความคิดเรื่องของนางไปมากแล้ว  กระทั่งตัวเขาเองยังรู้สึกดีกับแม่นางเจิ้งผู้นี้เป็นอย่างมากเช่นกัน

    “ฝ่าบาท...”  เฉาเฟยรู้สึกเห็นใจพระองค์อย่างยิ่ง...  ม้วนจดหมายนั้นได้ถูกเพิ่มเติมที่ท้ายประโยคด้วยว่า  ขอให้ท่านมีความสุขไร้กังวลตลอดไป...ลงชื่อ  เจิ้งอี้จิง 

    แน่นอนว่าเขาต้องมีความสุข  ไม่ต้องให้นางมากบอกเขาย่อมมีความสุขมากกว่าผู้อื่นหลายเท่า!    

    เฉินซื่อจวินรู้สึกเหมือนตนเองกำลังฝืนหัวเราะทั้งที่ลำคอแหบแห้ง   สตรีผู้นั้นไม่รู้สินะว่าตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจนางแล้ว  ทั้งยังรอคอยให้นางฟื้นขึ้นมาเพื่อจะได้บอกนางว่า  จะให้โอกาสแก่นางอีกครั้ง   ตลอดชีวิตเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้มาก่อน  อันที่จริงราชโองการฉบับนี้เดิมทีก็เป็นความตั้งใจของเขาอยู่แล้ว  ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อความตั้งใจของตนเองสำเร็จลงจะทำให้ตนเองสับสนได้ถึงขนาดนี้  แล้วเพราะเหตุใดตนเองจะต้องรู้สึกสับสนเพราะสตรีอ่อนแอผู้นั้นด้วย!  ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจเข้าไปใหญ่   เรื่องอื่นนางยังดื้อรั้นไม่ฟังเสียงใครได้  พอเป็นเรื่องของเขาใยตัดใจง่ายดายเหลือเกินเล่า! 

    “กลับวัง!” พระสุรเสียงก้องดังทั่วทั่งป่า   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×