คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : สิ้นสุดการรอคอย
ตอนที่ 5 สิ้นสุดการรอคอย
ในที่สุดโรคระบาดก็เป็นแค่ไข้ท้องร่วงในพริบตา ชาวเมืองที่เจ็บป่วยล้วนมีอาการดีขึ้นด้วยยาสมุนไพรที่ถูกนำมาแจกจ่าย เฉินซื่อจวินให้เฉาเฟยนำป้ายอาญาสิทธิออกมาสั่งการแทน ส่วนตนเองก็เดินทางกลับไปยังจวนอ๋องพร้อมกับรถม้าของเจิ้งอี้จิง ขณะที่เดินทางกลับ ร่างแบบบางก็ยังไม่ฟื้นคืนสติ ด้วยความห่วงใยของบ่าวไพร่ที่เกรงว่าคุณหนูของพวกตนจะอาการหนักขึ้น พวกเขาจึงยกหน้าที่ที่จำต้องใกล้ชิดนางที่สุดมาให้คู่หมั้นอย่างเขา
เฉินซื่อจวินมองใบหน้าขาวซีดที่กระทั่งหลับใหลอยู่ก็ยังคิ้วขมวดตลอดเวลาด้วยความอ่อนใจ เพราะเหตุใดนางถึงได้ดื้อรั้นเช่นนี้ ดูจากนิสัยของนางที่ดูเรียบง่ายและตามใจตนเองแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะอุทิศตัวให้กับเพื่อนมนุษย์ได้ถึงเพียงนี้ ด้วยความสามารถที่มีอยู่ นางสามารถสั่งการให้ผู้อื่นกระทำตามความต้องการของตนเองได้ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟแค่ไหน ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ ทว่าก็ยังฝืนเอาร่างผุ ๆ พัง ๆ นี้มาสละให้เพื่อส่วนรวม เฉินซื่อจวินคิดพลางส่ายหน้าอย่างจนใจแล้วเอานิ้วชี้ของตัวเองไปแตะที่หว่างคิ้วของนางเบา ๆ เพื่อให้คิ้วขมวดมุ่นนั้นคลายออกช้า ๆ
นี่คงจะมิใช่หนทางไปสู่ความตายเร็วขึ้นหรอกกระมัง.... นางมีเหตุผลอะไรจึงเร่งให้ตัวเองอายุสั่นถึงเพียงนั้นกันเล่า? ยิ่งคิดเฉินซื่อจวินยิ่งไม่เข้าใจ ตลอดเวลาที่ตนเองพำนักอยู่ที่จวนอ๋องแห่งนี้ พบเจอแต่เรื่องที่ตนเองไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทรงคิดตกแล้วในตอนนี้ก็คือ สตรีผู้นี้ใช่ว่าไม่มีสื่งใดน่าสนใจเสียเลย แท้ที่จริงนางมีจิตใจที่กว้างขวางและเมตตากรุณาอย่างยิ่ง สติปัญญาและความสามารถก็เพียบพร้อม ถือเป็นยอดสตรีแห่งยุค หากมิใช่เพราะพฤติกรรมประหลาดทั้งหลายของนางที่ทำให้เขารู้สึกสับสนในทีแรกแล้ว เขาอาจจะเปลี่ยนใจลองทบทวนเรื่องการหมั้นหมายอีกครั้ง
สุดท้ายเมื่อกลับถึงจวนทั้งยังผ่านไปอีกสามวันสามคืนแล้ว เจิ้งอี้จิงกลับไม่ยอมฟื้นคืนสติเสียที
เรื่องนี้ดูจะกลายเป็นร้ายแรงมากขึ้น จนเฉินซื่อจวินจำต้องเปิดเผยฐานะตนเอง เพื่อเรียกให้หมอหลวงเดินทางมาจากในวังเพื่อมาดูอาการของนาง ขบวนจากในวังจึงถูกสั่งให้ติดตามมาด้วยเพื่อมาคอยอารักขาคุ้มครองเขาที่เป็นจักรพรรดิ สุดท้ายแล้วที่หมอหลวงทำได้ก็เพียงให้ยารักษาตามอาการเท่านั้น ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าเพราะเหตุใดนางจึงไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเสียที
“บางทีอาจเพราะโหมร่างกายมากเกินไป” พ่อบ้านหยงบอกออกมาในขณะที่ประชุมอยู่ในห้องโถงกับทุกคน ยกเว้นฮ่องเต้กับเฉาเฟยที่อาสาเฝ้าไข้นางด้วยตนเอง
“แต่สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ข้าหวาดกลัวเหลือเกิน...” เสี่ยวถงถงร้องไห้ออกมา “หากนางไม่ฟื้นคืนมาอีกเล่า!”
“พูดเหลวไหลอะไร!” มู่หลงพูดจาน้ำเสียงเยียบเย็น แม้แต่แววตาที่มองเสี่ยวถงถงก็ด้วย เขาไม่ให้อภัยให้คนที่พูดจาให้ร้ายนางเด็ดขาด
เสี่ยวถงถงทรุดตัวลงด้วยความเสียอกเสียใจ “ข้าทำผิดต่อคุณหนูแล้ว... หากไม่เพราะข้าคุณหนูคงไม่เป็นเช่นนี้!”
พ่อบ้านหยงได้ยินอีกฝ่ายพูดก็รีบคาดคั้นทันที มีเรื่องใดที่เกิดขึ้นกับคุณหนูที่ตนยังไม่รู้อีกกันแน่
“พูดมา นี่มันเรื่องใดกัน!”
เสี่ยวถงถงหันไปมองสบตามู่หลง สื่อสารกันด้วยสายตา จากนั้นค่อยเล่าให้พ่อบ้านหยงฟัง
“ท่านยังจำได้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อน ที่คุณหนูล้มป่วยลง” นางหันไปมองหน้ามู่หลงน้ำตาคลอ มู่หลงต้องข่มกลั้นอารมณ์ของตัวเอง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น
ขณะที่เฉินซื่อจิ้นนอนหลับใหลไม่ได้สติที่ใต้ต้นไม้ในสวน ความจริงแล้วเป็นเพราะเขาถูกควันหลอนของของเสี่ยวถงถงเข้า เขาจึงรู้สึกว่าตนเองเหมือนหลับลึกราวกับอยู่ในฝัน ไม่มีทางได้สติคืนมาโดยง่าย ส่วนนางก็ให้เขาสัมผัสพิษร้ายในกายนาง ผ่านทางริมฝีปาก นางมอบจูบอันดูดดื่มให้เฉินซื่อจวินทำให้ร่างกายของเขาขยับไปเองโดยสัญชาติญาณ พวกเขาจึงอยู่ในสภาพที่นัวเนียกันอย่างไม่อาจแยกออกมาได้ ตอนนั้นเองที่บังเอิญ คุณหนูกลับมาจากน้ำตกปริศนาพอดี และมาเห็นภาพนี้เข้าอย่างไม่ตั้งใจ
มู่หลงยังจำได้ติดตา แววตาของนางที่จ้องมองภาพผู้อื่นพรอดรักตรงหน้าช่างดูว่างเปล่า ทว่าความว่างเปล่านั้นกลับทะลักความรู้สึกปวดร้าวออกมาไม่ขาดสาย น้ำตาของนางหล่นร่วงลงมาทำให้เขาไม่อาจทนดูได้ ต้องรวบตัวนางไว้และปิดดวงตาทั้งสองข้างของนางเสีย เขายังจำสัมผัสเย็นชื้นจากน้ำตาของนางได้ดี พอเสี่ยวถงถงเห็นนางเข้าก็รีบพูดความจริงออกมา ว่านางคิดทำร้ายเฉินซื่อจิ้น เจิ้งอี้จิงจึงใช้ริมฝีปากตนเองป้อนยาถอนพิษให้เขาทั้งน้ำตา จากนั้นไม่นานเขาจึงค่อยได้สติ ทั้งยังพูดจาทำร้ายจิตใจนางอีก
“นางบอกข้าว่าไม่เป็นไรแท้ ๆ แต่ในใจคงจะปวดร้าวมาก” เสี่ยวถงถงพูดต่อ ตอนนั้นไม่นานหลังจากประโยคสุดท้ายที่คุณหนูพูด เพราะผลกระทบของพิษร้ายนั้นคนที่ถอนพิษจะได้รับผลกระทบไปด้วย คุณหนูจึงเป็นไข้สูง พอกำลังจะหายดี นางก็หาเรื่องใส่ตัวโดยการใช้ร่างกายอย่างหักโหมอีก ครั้งนี้ไม่รู้เพราะคุณหนูได้ทำการพิสูจน์พิษร้ายด้วยร่างกายตนเองหรือไม่ ถึงได้รู้ชนิดของพิษได้โดยเร็วเช่นนั้น... มู่หลงกับเสี่ยวถงถงมองหน้ากันอย่างสับสนและหวาดกลัว แต่จากการตรวจร่างกายนางมิได้รับพิษอะไร
“เจ้านี่นะ!” พ่อบ้านหยงส่ายหน้าอย่างถอนใจ “ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ทำให้คุณหนูเดือดร้อนอยู่เรื่อย!”
“ข้าผิดไปแล้ว!” เสี่ยวถงถงรีบเอาศีรษะโขกพื้นหลายครั้ง จนพ่อบ้านหยงต้องเอ่ยปากให้นางหยุด พลางว่า
“ข้าคิดว่า คุณหนูอาจจะกระทบกระเทือนใจอยู่พอควร แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมา... พวกเจ้าทั้งสองย่อมรู้ดีว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีเพียงเรื่องของการรอคอยคู่หมั้นนี้เท่านั้นที่ทำให้คุณหนูดูมีความสุขและความหวังในชีวิตอยู่บ้าง” พ่อบ้านหยงเอ่ยขึ้น
ตั้งแต่อายุสิบสาม นายท่านเจิ้ง หรือก็คือท่านอ๋องเจิ้ง ได้บอกเรื่องน่าตื่นตะลึงเรื่องหนึ่งให้กับบุตรีของตน เจิ้งอี้จิงรู้ตัวว่าจะต้องสมรสกับองค์จักรพรรดิในวันข้างหน้า นางก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องของคู่หมั้นผู้นี้ จึงได้เที่ยวสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเขาทุกเรื่อง จนกระทั่งวันหนึ่งนางอยากเห็นเขาขึ้นมา ถึงกับสั่งให้จิตรกรที่มาจากเมืองหลวงวาดรูปเหมือนของเขาให้นางชมดู นางหลงใหลรูปวาดนั้นอย่างมาก เขาเป็นถึงจักรพรรดิที่เก่งกาจและมีความสามารถยิ่ง นางฝากชีวิตน้อย ๆ ของนางเอาไว้ในมือของเขาได้แน่นอน และคิดเสมอว่าวันใดที่จะได้แต่งงานกับบุคคลผู้นี้ ตนเองจะได้ไปอยู่ในความคุ้มครองของเขา และใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ เป็นชีวิตที่นางใฝ่ฝันเหลือเกิน
“หากไม่เพราะสิ่งนั้น นางก็คงมีชีวิตปกติเหมือนดังเด็กสาวทั่วไปได้” พ่อบ้านหยงเอ่ยเพียงท่อนนี้ ทุกคนก็หันมามองสบตากันอย่างรู้ใจ
“แต่เพราะสิ่งนั้น ถึงได้ทำให้พวกเรามีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้.....” เสี่ยวถงถงแค่นเสียง “เป็นเพราะฮ่องเต้องค์นั้นแน่ ๆ ที่ทำลายความฝันของคุณหนูจนพังสิ้น” นางกัดฟันกรอดทั้งน้ำตา
ขณะเดียวกันที่ห้องนอนของเจิ้งอี้จิงนั้น คนเฝ้าไข้หรือก็คือฮ่องเต้ผู้นี้ก็กำลังคิดถึงตอนที่พระองค์ไปถึงหมู่บ้านฉี ทรงรับฟังคำบอกเล่าของคนในหมู่บ้านฉีด้วยความตกตะลึงอย่างยิ่ง
‘คุณหนูเจิ้งเหมือนเทพธิดามาโปรด พอนางมาถึงก็หาสถานที่สำหรับคนป่วยเพื่อพักฟื้นในทันที นางต้มน้ำดื่ม น้ำสะอาด และแจกจ่ายยาสมุนไพร โดยไม่รังเกียจพวกชาวบ้านและโรคร้ายเลยสักนิด นางลงมือเช็ดตัวลดไข้ให้พวกเราด้วยมือตนเอง ช่างจิตใจเมตตาเหลือเกิน’
“นางเป็นคนดี...” พระองค์ตรัส พลันนึกไปถึงเรื่องราวตั้งแต่วันแรกที่มาถึง “ดีเกินไป....”
เฉาเฟยช่วยออกความคิดของตนเอง เผื่อว่าจะช่วยให้อีกฝ่ายคิดอะไรออกได้บ้าง
“นางเป็นคนทำอะไรเชื่องช้า แต่พอเวลาเร่งด่วนก็รวดเร็วอย่างยิ่งพะย่ะค่ะ” พอได้ยินเฉาเฟยบอก ก็ทำให้ทรงฉุกคิดได้
“หรือเพราะแบบนั้นจึงทำให้นางล้มป่วย...” การที่ตัวนางมีอุปนิสัยเชื่องช้า จึงต้องใช้กำลังทั้งหมดในการช่วยเหลือชาวบ้าน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การพักผ่อนก็จำเป็นสำหรับนางแล้ว
“ฝ่าบาท... ท่านรู้ไหมว่านางพูดอย่างไรกับชาวบ้าน...” เฉาเฟยเองก็เป็นคนหนึ่งที่ประทับใจในตัวสตรีผู้นี้อย่างมาก
“นางพร่ำบอกกับพวกเขาว่า ไม่นานจะมีคนมาช่วย ไม่นานฮ่องเต้จะมาช่วย... พวกเขาถึงมีกำลังใจกันขึ้นมาก หากไม่เพราะคำพูดปลอบใจเหล่านี้ พวกเขาอาจฆ่าตัวตายหนีความทุกข์ยากกันไปหมดแล้ว”
นางเชื่อว่าเขาต้องมาหรือนี่... ก็แน่ล่ะ...หากเขาอยู่ไกลจากนี้ไม่รู้เรื่องก็ว่าไปอย่าง... แต่นี่เขาพักอยู่ที่บ้านนาง...
“พวกชาวบ้านพากันสรรเสริญพระองค์ ขอให้พระองค์จงทรงพระเจริญ พวกชาวบ้านพากันคุกเข่าสำนึกพระคุณ ทั้ง ๆ ที่เป็นเพราะคุณหนูเจิ้งแท้ ๆ” เฉาเฟยเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม
ในใจของเฉินซื่อจิ้นรู้สึกประหลาดนัก... เขามองไปยังร่างแบบบางที่เอาแต่สลบไสลไม่ได้สติ อยากขอบคุณนางที่ทำให้เขาเป็นฮ่องเต้ที่ไม่ถูกผู้คนประณามหยามเหยียด นางเป็นเพียงสตรีบอบบางเท่านั้น ท่อนแขนก็ลีบเล็กกะเทาะหน่อยเดียวก็แทบจะหักคามือ แต่ก็ยังจะใช้ท่อนแขนเล็ก ๆ นี่พยุงโอบอุ้มประชาชนของพระองค์เอาไว้จนตนเองต้องกลายเป็นเช่นนี้ เขาควรจะทำอย่างไรกับนางดี
ยังไม่ทันคิดตก เฉาเฟยก็เห็นพิราบสื่อสารบินมาส่งข่าวเกาะอยู่ที่ข้างหน้าต่าง เมื่อเปิดจดหมายออกอ่านก็พบว่ามีเรื่องด่วนให้ฮ่องเต้รีบกลับวังไปจัดการ... เฉาเฟยมองพระพักตร์อย่างรู้ใจ
เฉินซื่อจวินไม่หันไปมองจดหมาย เขามองใบหน้าขาวนวลที่อยู่บนเตียงแล้วยิ้มพลางว่า “ข้าต้องกลับเมืองหลวงก่อน แล้วจะหาทางมาจัดการกับเจ้าในภายหลัง เจ้าต้องรีบฟื้นขึ้นมา อย่าทำให้ข้าต้อง...คอยนาน”
ทรงตรัสจบก็เดินออกไปจากห้องนอนของนาง สีหน้าของพระองค์ตอนที่พูดกับสตรีที่หลับใหลนั้นแม้แต่เฉาเฟยก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน รอยยิ้มที่แสดงออกมาแสดงความรู้สึกจากใจของพระองค์อย่างแท้จริง ทรงกำลังรอคอยความตื่นเต้นแปลกใหม่จากนาง ที่สำคัญดูเหมือนจะทรงพระสำราญอยู่เสียด้วย....
หลังจากที่บอกกล่าวกับพ่อบ้านหยงแล้ว เฉินซื่อจวินก็ออกเดินทางทั้งที่ในใจยังนึกเป็นห่วงอาการของผู้อื่น แม้จะสั่งให้หมอหลวงดูแลนางให้ดีแล้วก็ตาม ทว่าตนกลับไม่วางใจเอาเสียเลย ความรู้สึกค้างคาใจเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รู้สึกทั้งคล้ายจะไม่อยากไป และคล้ายจะรีบไปและรีบกลับ จึงคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นเพราะตนยังไม่ได้รับลายมือชื่อของนางเป็นแน่
ทว่าหลังจากออกเดินทางมาได้ครึ่งทาง เขากลับได้พบกับมู่หลงที่ยืนขวางขบวนอยู่ เฉาเฟยรายงานต่อเขาว่าคนผู้นี้มีเรื่องสำคัญจะต้องสนทนากับตน จึงลงจากรถม้าด้วยความฉงนในใจ มีโอกาสน้อยมากที่คนผู้นี้จะยอมอยู่ห่างจากเจ้านาย ไม่เช่นนั้นจะต้องเป็นเรื่องเพียงเรื่องเดียวที่เขาจะยอมทำ คือเป็นคำสั่งของนาง... คิดพลางรีบสาวเท้าเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“นางฟื้นแล้วหรือ?” สีหน้าที่ดูตื่นเต้นยินดีมากยามที่เอ่ยออกมา ทำให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นยังอดแปลกใจมิได้ คนผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นห่วงคุณหนูของเขาอยู่บ้างจริง ๆ ทว่าจะอย่างไรก็สายไปแล้ว... เขาต้องทำตามที่คุณหนูสั่งไว้
พอเผชิญหน้ากับเฉินซื่อจวิน มู่หลงยื่นม้วนผ้าเหลืองอร่ามคุ้นตาให้กับเขา
“นี่เป็นของที่คุณหนูฝากเอาไว้นานแล้ว บอกให้มอบให้ท่านยามที่ท่านต้องการจากไป” พูดจบก็พริ้วตัวหายไปโดยไร้ร่องรอย
มองม้วนผ้าสีเหลืองทองในมือของตนเองที่รับมาจากอีกฝ่าย เฉินซื่อจวินไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าตนเองแทบไม่กล้าเปิดออกอ่าน ไม่รู้เป็นเพราะตนเองดีใจจนเกินไปหรือเพราะรู้สึกผิดหวังจนเกินไปกันแน่ ทว่าก็ทรงสลัดความรู้สึกอย่างหลังทิ้งไปแล้วหลับหูหลับตาเปิดมันออกอ่านทันที พอกวาดตามองยังบรรทัดสุดท้ายก็รู้สึกเหมือนแขนทั้งสองข้างจะรับน้ำหนักของสิ่งของที่ถืออยู่นี้ไม่ไหว เฉาเฟยจึงถือวิสาสะรับราชโองการนั่นต่อจากพระองค์แล้วเปิดม้วนจดหมายนั้นออกดู พบว่า แม่นางเจิ้งได้ลงลายมือชื่อลงไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมีเสริมอีกหลายประโยคที่แน่นอนว่าพระองค์ต้องทรงได้อ่านแล้วเป็นแน่
นี่เองคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทรงแสดงสีหน้าออกมาราวกับหัวใจของพระองค์เองหล่นวูบหายไปในอากาศ กระทั่งมือทั้งสองของพระองค์ก็ไม่ยอมขยับ เฉาเฟยเชื่อว่าการที่ได้สิ่งของที่ต้องการในเวลาที่ผิดเช่นนี้ทำให้ทรงไม่สบอารมณ์เป็นแน่ ของที่อยู่ในมือคือสิ่งที่พระองค์ต้องการและทวงถามจากนางมาตลอดทว่า ตลอดหลายวันที่ผ่านมาทรงเปลี่ยนความคิดเรื่องของนางไปมากแล้ว กระทั่งตัวเขาเองยังรู้สึกดีกับแม่นางเจิ้งผู้นี้เป็นอย่างมากเช่นกัน
“ฝ่าบาท...” เฉาเฟยรู้สึกเห็นใจพระองค์อย่างยิ่ง... ม้วนจดหมายนั้นได้ถูกเพิ่มเติมที่ท้ายประโยคด้วยว่า ‘ขอให้ท่านมีความสุขไร้กังวลตลอดไป...ลงชื่อ เจิ้งอี้จิง’
แน่นอนว่าเขาต้องมีความสุข ไม่ต้องให้นางมากบอกเขาย่อมมีความสุขมากกว่าผู้อื่นหลายเท่า!
เฉินซื่อจวินรู้สึกเหมือนตนเองกำลังฝืนหัวเราะทั้งที่ลำคอแหบแห้ง สตรีผู้นั้นไม่รู้สินะว่าตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจนางแล้ว ทั้งยังรอคอยให้นางฟื้นขึ้นมาเพื่อจะได้บอกนางว่า จะให้โอกาสแก่นางอีกครั้ง ตลอดชีวิตเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้มาก่อน อันที่จริงราชโองการฉบับนี้เดิมทีก็เป็นความตั้งใจของเขาอยู่แล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อความตั้งใจของตนเองสำเร็จลงจะทำให้ตนเองสับสนได้ถึงขนาดนี้ แล้วเพราะเหตุใดตนเองจะต้องรู้สึกสับสนเพราะสตรีอ่อนแอผู้นั้นด้วย! ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจเข้าไปใหญ่ เรื่องอื่นนางยังดื้อรั้นไม่ฟังเสียงใครได้ พอเป็นเรื่องของเขาใยตัดใจง่ายดายเหลือเกินเล่า!
“กลับวัง!” พระสุรเสียงก้องดังทั่วทั่งป่า
ความคิดเห็น