คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่2 นี่เรียกการเรียนการสอนได้เหรอ???
“คิกๆ ดูเหมือนโดนสูบพลังไปเลยนะ… เรสน์ สปินท์”นัยน์ตาสีชามองออกไปนอกหน้าต่าง ดูการกระทำของเด็กใหม่พลางยิ้มมุมปาก ก่อนค่อยๆ ปิดม่านสีม่วงเข้มแล้วหมุนเก้าอี้กลับมาที่โต๊ะทำงานช้าๆ บุคคลลึกลับทอดร่างพิงกับพำนักเก้าอี้ปุผ้ากำมะหยี่สีแดงทรงอังกฤษอย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้บรรดาแขกทั้ง 9 ยืนรอว่า ‘ผู้เป็นใหญ่’ ในที่นี้ต้องการอะไรถึงเรียกพวกตนมาอย่างเร่งด่วน
“อ้าว 5 กับ 10 ล่ะ?”อยู่ๆ เสียงหนึ่งก็ทักขึ้นด้วยความสงสัยปนเสียงถอนหายใจ แม้ว่าภายในห้องจะมืดสนิท ทว่าแต่ละคนก็เป็นถึงระดับ TOP 10 จึงทำให้ไม่มีปัญหากับการมองในที่มืดฉะนั้นก็คงจะไม่แปลกหากพวกเขาจะรู้สึกได้ว่าในที่นี้ขาดคนสำคัญไปซะสอง
TOP 10 หรือก็คือนักเรียนเพียง 10 คนที่มีฝีมือสูงสุดอีกทั้งอยู่ในแนวหน้าของโรงเรียนซึ่งเป็นตำแหน่งในฝันของใครหลายๆ คน เพราะนอกจากสามารถรับภารกิจระดับสูงกว่า C พวกเขายังมีองค์กรระดับสูงจองตัว แต่กว่าจะได้ขึ้นมาเหยียบตำแหน่งนี้ก็ต้องประชันกับนักเรียนทั้งโรงเรียนมาแล้ว
แอ๊ด~ด
ประตูเปิดขึ้นพร้อมแสงที่สาดเข้ามาจนคนข้างในตาพร่าเล็กน้อย ก่อนจะมีเสียงหวานใสเล็กๆ ทักขึ้น
“ขอโทษที่สาย”
“… 10 ไม่คิดจะเปลี่ยนหน้ากับผมหน่อยเหรอ อุจาดลูกตา”เสียงเย็นชาจากคนที่ยืนพิงผนังในมุมลึกสุดของห้องเอ่ยขึ้น หากเป็นคนปกติธรรมดาก็คงจะไม่สังเกตเห็นแม้แต่นิด
แต่หากในห้องสว่างก็จะเห็นได้ชัดว่าคนอื่นๆ ยืนเว้นระยะห่างจากเจ้าของเสียงเย็นชาเป็นระยะ 2-3 เมตร ด้วยรู้กันดีว่าถ้าล้ำเส้นเข้าไปจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนคนโดนถามแม้รู้สึกได้ถึงสายตาอำมหิตที่จ้องมาเจ้าตัวก็ทำเพียงเชิดหน้าพร้อมปร่ายตามองไปยังทิศนั้นด้วยมาดราชินี
“อย่า-มา-ยุ่ง คนที่จะตำหนิฉันคนนี้ได้มีแค่ท่านพี่เท่านั้น”น้ำเสียงเหยียดหยันเต็มที่และดูเหมือนมันจะยั่วโมโหอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี จนบางคนต้องส่งเสียงกระแอมห้ามทัพก่อนจลาจลจะเกิด ไม่เช่นนั้นอาจมีการลงโทษใหญ่ที่พวกเขาก็ไม่อยากคิด
หากห้องนี้เละไม่เป็นท่าจากการวางมวยระหว่างคนสองคนที่ดูจะไม่ถูกชะตากันเหลือเกิน
ส่วน ‘ผู้เป็นใหญ่’ กลับทำเพียงมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในความมืดแล้วส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ไม่ใช่ว่าแค่ทำเป็นมอง แต่เขามองเห็นจริงๆ เห็นแม้กระทั่งตอนนี้แต่ละคนมีปฏิกิริยาอย่างไร กำลังรู้สึกอย่างไร… จะฆ่าอย่างไรให้ทรมานมากที่สุด แต่สุดท้ายนั่นเขาแค่คิดเล่นๆ
ทุกคนรู้สึกได้ว่า ‘ผู้เป็นใหญ่’ กำลังโน้มตัวมาข้างหน้า
“คิกๆ นักเรียนที่รักนี่ยังไม่ถึงเวลาทะเลาะกัน จะตอบคำถามของ 2 นะ ตอนนี้ 5 เขากำลังรับน้องใหม่อยู่ ส่วนเรื่องที่เรียกมา ก็เพื่อจะบอกว่า… ทางนั้นแจ้งกำหนดการมาแล้วล่ะทั้งวันที่และเวลา”จากห้องที่มืดอยู่แล้วกลับแลดูมืดและเย็นเยียบขึ้นไปอีก บรรยากาศราวกับทุกคนกำลังกลั้นหายใจฟังสิ่งที่กำลังจะออกจากปากของผู้เป็นใหญ่ราวกับไม่มีเรื่องฟาดปากกันเมื่อครู่
ตอนนี้ทุกคนกำลังตั้งใจฟัง กำหนดการสำคัญ ที่กำลังจะมาถึง ที่พวกเขาจะพลาดไม่ได้แพ้ไม่ได้และขายหน้าไม่ได้! มันคือสิ่งที่เดิมพันด้วยศักดิ์ศรีของสถาบัน
งานเชื่อมสัมพันธ์ขาว-ดำ
-----------------------------------------------------------------------------------
วันต่อมา <3
“แฮ่กๆ อะไรนะ งานเชื่อมสัมพันธ์ขาว-ดำ? มันคืออะไรน่ะ คล้ายการแข่งกีฬาสีหรืองานเลี้ยงรุ่นมั๊ย?”เรสน์ที่เริ่มสนิทกับสกาเล็ตขึ้นมา (คิดว่านะ) นัยน์ตาเป็นประกายยามเอ่ยถึงงานทั้งสอง
ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินสกาเล็ตอุทานดังลั่นเมื่อเห็นข้อความที่ส่งมาจากอลิเซธ แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าสกาเล็ตอุทานทำไม หรืองานเป็นแบบไหนทว่าเขาจินตนาการไปต่างๆ นาๆ แล้วว่าอาจเป็นงานใหญ่ๆ ที่คนทั้งโรงเรียนจะทำกิจกรรมร่วมกัน มีดนตรี มีไฟประดับ มีงานเลี้ยง มีเล่นเกมส์ชิงรางวัล มีเสียงหัวเราะ
ทั้งหมดนั่นมันคือสิ่งที่เรสน์ไม่เคยได้เข้าร่วม แม้จะอยากช่วยขนาดไหน แต่สุดท้ายก็…
‘จะคิดถึงเรื่องเก่าๆ ทำไมนะเรา ต้องเริ่มใหม่สิ วันนี้จะได้เจอเพื่อนๆ ในห้องแล้ว ต้องทำให้ดี! แต่ว่า…’
ถ้าจะสายตั้งแต่วันแรกขนาดนี้นะ!!!
“อย่ามองหน้าฉันแบบนั้น ฉันไม่ได้ตื่นสาย แค่… ความดันต่ำ!”เสียงของสกาเล็ตขาดหายเป็นช่วงๆ จากการวิ่งอย่างเร็วเพื่อเข้าเรียนให้ทันคาบแรกจนหน้าที่ซีดอยู่แล้วซีดเข้าไปอีก แต่ก็มิวายอ้างเหตุผลไปเรื่อยเพื่อกลบเกลื่อนความขี้เซานอนลืมโลกจนรูมเมทคนใหม่ที่วิ่งมาด้วยกันนี่แทบจะอุดปากอุดจมูกให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
‘ก็เกือบอุดทั้งปากทั้งจมูกแล้วล่ะ ดีที่แค่อุดจมูกสกาเล็ตก็ตื่นเลย… ’เรสน์คิดในใจ
ระเบียงที่ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตเมื่อวาน วันนี้กลับปรากฏเด็กนักเรียนวิ่งวุ่นกันบ้างแล้ว บางกลุ่มเดินชิว ส่วนบางกลุ่มก็กำลังวิ่งหน้าตั้งเหมือนพวกเขา
‘ค่อยดูเป็นโรงเรียนขึ้นมาหน่อย! โรงเรียนไฮสคูลมันก็ต้องมีเด็กนักเรียนน่ารักใสๆ ใส่มินิสเกิร์ตผูกไทเดินกันบนระเบียงด้วยรอยยิ้มไม่ก็นั่งทานอาหารเช้าหัวเราะคิกคักที่สนามหญ้าสินี่แหละถึงสมเป็นเด็กไฮสคูล!’
“สาย! สายแล้ว!!!”
“โดนอาจารย์ฆ่าแน่! แผลเก่ายังไม่หายเลยฉันไม่อยากไปห้องพยาบาลอีกนะ!”
เสียงครวญครางของเหล่านักเรียนและใบหน้าหวีดสยองพร้อมๆ กับขาที่สับอย่างไม่คิดชีวิต ไม่คิดสนใจรอบข้างทำให้เรสน์ที่เพิ่งเห็นโลกสวยเมื่อครู่ดับลงในพริบตา
“ทำหน้าเหวออะไรแบบนั้น อย่างกับไม่เคย เห็น… อึก คนวิ่งไปเรียน…แฮ่ก”สกาเล็ตราวเตรียมล้มพับไปได้ทุกเมื่อ จนเรสน์เริ่มหวั่นใจ เพราะหากอีกฝ่ายล้มไปจริงๆ ตนไปต่อไม่ถูก! เส้นทางในโรงเรียนวกวนเกินไปสำหรับคนมาใหม่อย่างเขา แต่อันที่จริงจะเชื่อใจสกาเล็ตมากก็ไม่ดี เพราะขนาดเมื่อวานที่พาชมโรงเรียน คนผมแดงหน้าซีดข้างๆ ก็เกือบพาหลงไปหลายรอบ
“เอ่อๆ อ่า… เอางี้ๆ ขึ้นมาๆ”สกาเล็ตเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเรสน์หยุดวิ่งแล้วย่อตัวลงเหมือนจะให้สกาเล็ตขึ้นหลัง คนหวังดีใบหน้ามุ่งมั่นที่หันหลังอยู่ตอนนี้ก็คงจะไม่เห็นรอยยิ้มปีศาจที่ฉายขึ้นมาแทนที่ใบหน้าซีดเซียวเมื่อครู่
“หึ จะดีเหรอ…”ถึงพูดไปแบบนั้นแต่ตอนนี้สกาเล็ตขึ้นหลังไปเรียบร้อยแล้ว
แม้จะสูงน้อยกว่าทว่าเรื่องแรงนับว่าใช่ย่อยเพราะเรสน์ก็สามารถแบกผู้ชายหนึ่งคนวิ่งลงตึกเรียน อ้อมตึกอีกหลังไปยังสนามใหญ่กลางโรงเรียนได้ แต่ก็แทบตายอยู่เหมือนกัน
“แฮ่กๆ โอ้ย! ทำไมที่เรียนคาบแรก… ไกลแบบนี้ล่ะ น่าจะบอกกัน… หน่อยนะ”เรสน์ทิ้งตัวลงพื้นทันทีที่ถึงจุดหมายแล้วหอบหายใจอย่างแรง ส่วนสกาเล็ตมองเรสน์ด้วยสายตาสงสารพร้อมรอยยิ้ม (?) ก่อนนั่งยองๆ อธิบายวิชาที่จะเรียนคาบนี้ให้ฟัง ไม่สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“คาบแรกเราจะเรียน การฝึกใช้อาวุธขั้นที่ 2 ภาคปฏิบัติกัน โชคดีนะนาย มาปุ๊บก็เจอของยากเลย”สกาเล็ตโบกสองนิ้วไปมาหน้าเรสน์ด้วยใบหน้าปลาตายที่นอนไม่พอ
‘แต่เดี๋ยวนะ… ปกติโรงเรียนมีวิชาแบบนี้ด้วยเหรอ? อ่า อาจเป็นวิชาเสริมฝึกป้องกันตัวล่ะมั๊ง’เรสน์คิดในแง่ดี แต่แล้วสายตาก็เหม่อมองไปรอบสนาม มีเด็กนักเรียนใส่ชุดพละเหมือนทั้งสองกระจายกันเป็นหย่อมๆ วอร์มร่างกายกันอยู่ราว 20 คน มีทั้งหญิงทั้งชายปะปนกันไป ต่างคุยกันสนุกสนานรอเวลาระฆังบอกเริ่มคาบดัง
การฝึกใช้อาวุธขั้นที่ 2 ภาคปฏิบัติ บทเรียนนี้ เล่นจริง เจ็บจริง และอาจตายจริง ถึงแม้ว่ายังไม่มีประวัติมาก่อน แต่ทุกๆ ครั้งที่เรียนจะต้องมีการวางกับดักและกลยุทธ์ที่เหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม ไม่อย่างนั้นฝีมือต้องแน่จริง ไม่เช่นนั้นหากบาดเจ็บขนาดครูฟันธงว่าวันนี้เรียนต่อไม่ได้ก็อาจถูกหน่วยพยาบาลมารับตัวไป
ที่อื่นการพยาบาลเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ที่นี่ แทนที่คนเจ็บจะหาย มันอาจทำให้พิการไปเลย ใครคนไหนก็ไม่กล้าเอ่ยถึงสถานที่แห่งนั้น
ห้องพยาบาล
กรี๊ดดดด~~~~ กรี๊ดดดด~~~~
“เหวอ!”เรสน์สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียง ไม่ใช่เสียงใครโดนเชือดที่ไหน นี่เป็นเสียงออดสุดวิริศมาหราของโรงเรียนแห่งนี้เอง ซึ่งเมื่อแน่ใจว่ามันไม่ใช่เสียงคนจริง เรสน์ก็ถอนหายใจโล่งอกก่อนจะหน้าแดงเมื่อมีกลุ่มเด็กสาวหันมาหัวเราะคิกคัก หนึ่งในนั้นมองเรสน์ด้วยประกายตาแปลกๆ หากแต่เรสน์ไม่สังเกตเห็น
นักเรียนที่ต่างพูดคุยกันเงียบเสียงลงเมื่ออาจารย์ในชุดพละเดินเข้ามาในระยะสายตา เรสน์หันไปสนใจทันทีพลางสำรวจอาจารย์ที่เพิ่งเข้ามาและสรุปง่ายๆ
‘ธรรมดาดีจัง~ แต่… ทำไมต้องใส่หัวโม่ง?’
ไม่เห็นหน้าตา ไม่เห็นสีผม ไม่สามารถระบุเพศ เพราะมีหัวโม่งสีดำคลุมมิดชิด เห็นเพียงส่วนคอลงมาเท่านั้นกับส่วนสูงขนาดปานกลาง มีอุปกรณ์แค่นกหวีดที่ห้อยอยู่และโทรโข่งที่มือขวา
“เอาล่ะนักเรียน กติกาเหมือนเดิม จับคู่แล้วส่งตัวแทนมาจับฉลาก ให้เวลา 10 นาทีเตรียมตัว แล้วเริ่มหลังเสียงนกหวีด”อาจารย์ตะโกนใส่โทรโข่งแบบรวบรัดจนเรสน์อ้าปากค้างไม่เข้าใจสักนิด
ระหว่างกำลังหันซ้ายหันขวาดูปฏิกิริยารอบข้าง นักเรียนคนอื่นๆ เริ่มจับคู่กันแล้ว พอเข้าใจขึ้นมาว่าต้องจับคู่เขาจึงหันไปหาสกาเล็ตแต่ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้ ทั้งสองพูดคุยอะไรบางอย่างพลางหัวเราะ เรสน์หลุบตาต่ำพลางยิ้มเนือยๆ กับตัวเอง
‘เราก็… เป็นส่วนเกินอีกแล้วสิ’
ภาพเก่าๆ ย้อนขึ้นมาในหัวของเขาอย่างห้ามไม่ได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหม่นแสงเมื่อนึกภาพที่ตนต้องไปนั่งข้างสนามมองดูเพื่อนจับกลุ่มเล่นกันสนุกสนาน เป็นแบบนี้เรื่อยมาจนเขาเริ่มที่จะ… ชิน
ทำไมเขาต้องเป็นคนเดียวที่ถูกทิ้ง เขาทำอะไรผิด? คำถามผุดขึ้นมาทุกๆ ครั้งที่อาจารย์ให้จับกลุ่ม ต้องทำงานคนเดียว ต้องเล่นคนเดียว ทำกิจกรรมต่างๆ… ด้วยตัวคนเดียว
ขาทั้งสองเตรียมเดินไปนั่งริมสนามโดยอัตโนมัติด้วยท่าทางซึมกะทือเหมือนที่เคยทำมาตลอดสมัยอยู่โรงเรียนเก่า แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าสกาเล็ตก็คว้าไหล่เอาไว้ พอเรสน์หันมามองด้วยอาการงงๆ ก็เห็นสกาเล็ตทำหน้านิ่งแล้วขมวดคิ้ว ผู้ชายที่เดินเข้ามาคุยเมื่อครู่หายไปแล้ว
“จะไปไหนของนาย”
“เอ่อ… ก็ เราไม่มีคู่ เลยจะไปนั่งริมสนาม”เรสน์พูดตะกุกตะกักตาหลุบต่ำมองพื้นตลอดแต่ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ มาจากสกาเล็ตจนต้องเงยหน้ามองด้วยแววตาสงสัย แต่ในใจกลับเริ่มมีความหวังนิดๆ
“แล้วที่ยืนหัวโด่อยู่นี่เรียกว่าอะไร? ไปจับฉลากซะแล้วเดี๋ยวฉันอธิบายกติกาให้ วุ่นวายจริง!”เรสน์สูดหายใจเข้าอย่างลืมตัวหน้าพยักอย่างเร็วจนเหมือนหัวจะหลุดออกมา ก่อนวิ่งไปต่อแถวจับฉลากเร็วจี๋ ด้วยหัวใจถี่รัวใบหน้ายิ้มแย้มสุดๆ ราวมีความสุขมากมายกับการพบเจอสิ่งที่เฝ้ารอมานาน
ใช่ เมื่อครู่เขามีความสุขมากจริงๆ
‘…แต่ตอนนี้อยากคิดใหม่แล้วล่ะ’
ใบหน้ามีความสุขหายไปฉับพลันเมื่อเอาใบฉลากที่จับได้สดๆ ร้อนๆ มาให้สกาเล็ตเปิดดูแล้วอีกฝ่ายทำหน้าเหมือนตอนเห็นข้อความจากอลิเซธเมื่อเช้า คือเหมือนอยากฆาตกรรมใครคน
“ปืนเนี่ยนะ!!!”สกาเล็ตสบถพลางถลึงตามองกระดาษเล็ก นี่ถ้านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพลังวิเศษกระดาษคงทะลุด้วยเลเซอร์จากเจ้าของตาสีเขียวเข้มไปแล้ว ร่างสูงกัดฟันคราหนึ่งก่อนเอ่ยถามเรสน์ด้วยสีหน้ามีความหวังเล็กน้อย
“… นายใช้ปืนเก่งมั้ย” ซึ่งเรสน์ก็เงยหน้ายิ้มแล้วตอบด้วยความมั่นใจ
“ถามว่าเคยจับมั้ยน่าจะดีกว่านะ”
“…”
“เอ่อ… จับได้ปืนแล้วมันทำไมเหรอ”เรสน์รวบรวมความกล้าถามขึ้นเพราะความสงสัยที่เริ่มเพิ่มพูน ทั้งชื่อวิชาก็แปลกแถมยังต้องใช้ปืนอีก
สกาเล็ตไม่ตอบเพียงเดินไปที่ซุ้มอะไรสักอย่างที่ตอนนี้มีเด็กนักเรียนในห้องไปออกันอยู่ บางคู่เดินกลับออกมาพร้อมดาบ บางคู่ทวน บางคู่มีด บางคู่เป็นปืนเหมือนในฉลากที่เรสน์หยิบได้ แต่รูปร่างต่างกันไป ภาพที่เห็นทำเรสน์อ้าปากค้าง
“ตกลงนี่มันวิชาอะไรกันแน่เนี่ย!?”
ไม่นานสกาเล็ตก็เดินเบียดออกมาพร้อมปืนพก 2 กระบอก กล่องดำๆ 2 กล่อง ก่อนจะยื่นให้เรสน์ 1 อย่างละหนึ่ง ทางฝ่ายเรสน์ก็รับมาแบบมึนๆ งงๆ แต่พอรู้สึกถึงน้ำหนักปืนหน้าก็ซีดฉับพลันทำท่าเหมือนจะโยนปืนทิ้งแต่โดนสายตาสกาเล็ตห้ามไว้
“ปะปะปืนจริงนี่!”เรสน์อุทานดังลั่นจนคนอื่นๆ หันมามองด้วยสายตาสงสัยก่อนจะหันกลับไปทำธุระของตนต่อ
“ก็ปืนจริงสิ นี่ GLOCK 17 ไม่รู้ว่านายจะถนัดรึเปล่านะ ในกล่องดำนั่นมีกระสุนอยู่ เอาใส่แม็กแล้วก็ยัดปืนเลย มีราวๆ 3 แม็กอย่าสิ้นเปลืองล่ะ”สกาเล็ตทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เรสน์มีอาการตื่นๆ ไม่กล้าจับปืนเต็มมืออีกทั้งยังถือไว้ซะห่างราวกลัวปืนลั่นทั้งที่ยังไม่ได้บรรจุกระสุน
สกาเล็ตถอนหายใจไปหลายรอบไม่รอให้อีกฝ่ายใส่กระสุนเสร็จก็เริ่มอธิบายเกี่ยวกับวิชา
“นักเรียนในห้องนี้มี 24 คน แบ่งออกมา 4 คนเป็นกรรมการจับตาดู ที่เหลือจับคู่ได้ 10 คู่”เรสน์พยักหน้าเข้าใจ ตามองรอบตัว มีสี่คนที่ยืนประจำอยู่คนละมุมของครึ่งสนาม ส่วนมือยังคงใส่ลูกกระสุนต่อไปแต่จับแบบถนัดขึ้นบ้างแล้ว
“แต่ละคู่จะมีอาวุธตามที่ได้หยิบฉลากมา แต่เป็นของปลอมไม่ต้องห่วงหรอก อย่างน้อยก็ไม่ตาย”ฝ่ายนั่งฟังกระพริบตาปริบๆ ฟังเสียงคู่อื่นๆ ทดสอบอาวุธที่ดูไม่ปลอมเหมือนที่บอก บางคนสะบัดทวนฟันต้นไม้ข้างสนามกิ่งขาด อีกคนก็สะบัดแส้ใส่ต้นไม้จนเกิดเสียงดังน่าขนลุกส่วนต้นไม้ก็ปริแตก บางคู่ใช้ปืนยาวซึ่งก็มีการเช็คลำกล้อง ส่องปืนกันน่าหวาดเสียว
‘เอาน่า สมัยนี้เขาทำมาเหมือนแค่นั้นเอง’เรสน์ปลอบใจตัวเอง ส่วนสกาเล็ตราวกับชินแล้วก็อธิบายต่อ
“ในแต่ละคู่ จะมีตัวแทนที่เป็นจุดตายอยู่ คือถ้าโจมตีจุดตายได้ ฝ่ายโดนโจมตีต้องออกจากสนามฝ่ายโจมตีได้คะแนนพิเศษ +1 แต่ถ้าไม่อยากได้ก็แค่หลบๆ แล้วขอให้เหลือเป็นคู่สุดท้ายก็พอ อ่อ... ถ้าบาดเจ็บก็พยายามทำตัวให้ถึกไว้นะ”เรสน์พยักหน้าพลางหน้าซีด
‘ทำไมต้องเรียกว่าจุดตาย? ไม่เป็นมงคลเลย อ่า… ทำไมตาขวากระตุกนะ เอาน่า มันก็แค่เกมส์’
ปรี๊ดดดดดด~~~~~
เสียงเป่านกหวีดหมดเวลาเตรียมตัวดังขึ้น เรสน์หมุนซ้ายหมุนขวาวอร์มร่างกายเล็กน้อยก่อนค่อยๆ รู้สึกได้ถึงบรรยากาศรอบข้างที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป เหมือนกำลังโดนเพ่งเล็งจากรอบข้าง อีกทั้งราวถูกความรู้สึกกดดันมหาสารทุ่มลงบนไหล่ เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากไม่เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่นี่คืออะไร
หวาดกลัว? อาจใช่เพราะตอนนี้เรสน์เริ่มรู้สึกกลัวมากจริงๆ คล้ายตอนเจอกับสกาเล็ตแรกๆ เขารู้สึกเหมือน…
กำลังจะถูกฆ่า
“เรสน์ ฉันเชื่อในตัวนายนะ”อยู่ๆ สติก็ถูกดึงกลับมา นัยน์ตาสีน้ำตาเข้มจ้องมองสกาเล็ตเขม็งราวไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
‘ครั้งแรกเลย ที่มีคนบอกว่าเชื่อ… ในตัวเรา’น้ำตาคงจะไหลแล้ว ถ้าไม่มีคำพูดต่อมา
“ฉะนั้นนายเป็นจุดตายซะนะ”สกาเล็ตฉีกยิ้มดูมีความสุขเหลือหลาย แต่เรสน์แทบอยากลั่นไกปืนใส่คนตรงหน้าซะตอนนี้เลย
“หึ นายทำได้อยู่แล้วน่า”สกาเล็ตยิ้มแต่ไม่ใช่ด้วยสีหน้ามั่นใจ มันเป็นยิ้มแบบกำลังสะใจมากกว่า
เรสน์ชักเริ่มรู้สึกห่อเหี่ยวกดดันกับรังสีจากรอบข้างอีกครั้ง เหมือนพวกคนอื่นๆ จะสัมผัสได้ว่ามีลูกเจี๊ยบหลงเข้ามาในดงเสือ สิงห์ กระทิง แรด และดูเหมือนพวกเขาพร้อมจะขวิดลูกเจี๊ยบตัวนี้ทิ้งทุกเมื่อไปแล้วถ้าไม่มีไม้กันหมาอย่าง สกาเล็ต ริปเปอร์ ที่เพียงแค่ยืนนิ่งๆ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“นายมีไอ้ที่เขาเรียกว่ารังสีอำมหิตด้วย”เรสน์พึมพำเบาๆ แต่สกาเล็ตถึงกับกุมขมับแล้วหันมาบอก
“เรียกชื่อสวยๆ อย่างจิตสังหารได้มะ…”
“เริ่มการเรียนการสอนได้!!!”ยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคดีครูก็ตะโกนใส่โทรโข่งเสียงดังสนั่น หากแต่เรสน์คิดในใจว่า‘มันไม่ควรเรียกว่าการเรียนการสอนเลยนะ’
ตอนนี้ภายในเขตแดนครึ่งสนามฟุตบอลได้เริ่มคาบเรียนขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างรวดเร็วรุนแรง มีเสียงหวีดร้อง เสียงฟาดฟันอาวุธระงมไปหมดจนเรสน์ได้แต่อ้าปากค้างข่มใจไม่ลงอีกต่อไปว่ามันเป็นเกมส์ เพียงแค่พริบตานักเรียนหลายคนล้มลงจมกองเลือดปลอม ส่วนกรรมการนอกสนามจดบางสิ่งใส่กระดาษมือเป็นระวิง บางคนเข้ามาข้างในสนามเพื่อเอาร่างไร้สติบ้างบาดเจ็บบ้างออกนอกสนาม คนจึงเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ขณะที่เรสน์กำลังมึนงงนั่นเองมีเสียงบางสิ่งพุ่งแหวกอากาศมาหาเขา
“ยืนบื้อทำไมหลบสิ!!!”สกาเล็ตตวาดดังลั่นก่อนยิงสวนไปยังทิศทางการมาของบางสิ่งนั้นอย่างเท่ ตอนนี้เองเรสน์ก็ได้รู้ว่ามันคือ ลูกธนู หลังจากหวิดโดนสวนทวารไปเพียงไม่กี่วินาที คนยิงหลบอยู่ในบังเกอร์ที่ไม่รู้มีตั้งแต่เมื่อไหร่ห่างไปไม่ไกลนักและประจักแก่สายตาอีกอย่างว่า
สกาเล็ตยิงปืนไม่แม่นเอาซะเลย! ลูกกระสุนที่ควรพุ่งไปหาเป้าหมายรีเทิร์นมาหาเรสน์ที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างไรมิทราบได้ ไม่ใช่ลูกเดียวแต่ตามมาอีกหลายดอกจนใจเรสน์แทบตกไปอยู่ตาตุ่ม
ฝ่ายสกาเล็ตที่ยิงระยะไกลเข้าขั้นห่วยเอามากๆ จึงต้องเข้าไปใกล้เป้าหมายพลางหลบอาวุธจากคู่อื่นๆ ไปด้วย แต่อาจเพราะโชคทำให้ลูกกระสุนที่พุ่งมั่วของเขาพลาดโดนบรรดาศัตรูอยู่บ้าง ตอนนี้ภายในสนามเหลือคนอยู่อีก 5 คู่ ….ลดเป็น 4 เพราะคู่หนึ่งติดกับดักไปแล้ว
“ยิงสวนบ้างสิ!”สกาเล็ตหันมาตวาด เมื่อกระสุนเริ่มหมดไปหลายลูกจากการยิง (ทิ้ง)
“ยิงเป็นที่ไหนเล่า นายไม่สอนอะไรเลยนี่!!!”เรสน์แทบจะร้องไห้ แม้ว่าจะยิงเป็นก็ตาม เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะกล้ายิงออกไปหรือไม่ อย่าว่าแต่กระสุนจริงเลยกระสุนสีก็น่ากลัวเกินไปสำหรับเรสน์ยามนี้
“หึ!”
ปัง!
เสียงปืนของสกาเล็ตดังขึ้นพอดีกับร่างนักเรียนคนหนึ่งทีล้มลงไป กระสุนนัดนี้ของสกาเล็ตโดนภายในครั้งเดียวเพราอยู่ในระยะใกล้ เสียงที่ดังในตอนแรกจากการชุลมุนเงียบลงทั้งสนาม เพียงพริบตา 10 คู่ที่ดูมากมาย ตอนนี้เหลือเพียง 2 คู่เท่านั้น
1 คือเรสน์กับสกาเล็ตที่พึ่งเสียกระสุนนัดสุดท้ายไป
2 คือผู้ชายที่เข้ามาคุยกับสกาเล็ตในตอนแรกกับหญิงสาวท่าทางมืดมน สกาเล็ตยืนหันหลังให้ทั้ง 2 คนระยะห่างราวเมตรกว่าๆ ส่วนเรสน์อยู่ห่างจากทั้งสองเยื้องมาทางขวาไม่กี่ก้าวทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่น่าแปลก ไม่มีใครเล็งเรสน์ที่เป็นจุดตายเลย ทั้งสองกลับ เล็งลำกล้องของปืนยาวไปทางสกาเล็ต
“ดูเหมือนครั้งนี้พวกเราจะชนะล่ะ ริปเปอร์”ชายหนุ่มผมสีควันบุหรี่พูดพร้อมเหนี่ยวไกปืน ฝ่ายสกาเล็ตหัวเราะในลำคอก่อนจะทิ้งปืนไร้ลูกแล้วเอ่ยขึ้นลอยๆ
“แล้วไง? รู้มั๊ย คนเราทำอะไรย่อมหวังผล ฉันยิ่งชอบหวังผลอยู่ด้วยสิ”
“?”
โป๊ก!!!
ปัง!
ร่างๆ หนึ่งล้มลงพร้อมสีแดงที่ไหลออกมาจากลูกกระสุน… ของเรสน์ นัยน์ตาสีน้ำตาเข้มเบิกกว้างกับผลงาน
เขาไม่ได้ยิงแต่ ขว้าง ปืนออกไปก่อนที่มันจะลั่นเอง ผู้หญิงท่าทางมืดมนตะลึงค้างเมื่อเห็นคู่ของตนล้มลงไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ที่สำคัญเขาเป็นจุดตายของทีม
แต่การขว้างปืนทีเดียวจนทำให้ผู้ชายล้มลงได้นี่น่าประหลาดใจกว่า คนอื่นๆ ที่แพ้และอยู่นอกสนามเบิกตากว้างไปตามๆ กัน
“หึหึหึ~ ไหนว่าจะชนะฉันไง เจ้าที่ 6 …ผลที่ได้ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ”สกาเล็ตหันหลังไปมองสภาพของคนที่พึ่งถูกขว้างปืนใส่พร้อมยิ้มมุมปากส่วนคำหลังนั้นเหมือนเขาเอ่ยกับตัวเอง อีกฝ่ายยันตัวขึ้นด้วยนัยน์ตาอาฆาตปนอับอาย มือเอื้อมไปคว้าปืนยาวมาส่องลำกล้องหาสกาเล็ตทั้งที่กฎของการเรียนระบุชัดว่าทีมใดแพ้ห้ามจับอาวุธอีก แต่สกาเล็ตไม่สนใจเขาหันหลังเดินกลับไปหาเรสน์
“สกาเล็ตระวัง!”ลูกกระสุนที่ดูจะอัดแรงดันมากผิดปกติพุ่งออกจากลำกล้องยาว ทะลุไหล่ซ้ายของเรสน์ที่โดดเข้ามาบัง สร้างความตื่นตะลึงให้สกาเล็ต นักเรียนคนอื่นๆ รวมทั้งครูและกรรมการที่วิ่งกรูเข้ามาจับผู้ผิดกฎใส่กุญแจมือ ซึ่งฝ่ายถูกจับก็ไม่ให้ความร่วมมืดด้วยสักเท่าไหร่
เรสน์ล้มลงมือกุมไหล่ที่ตอนนี้เลือดไหลไม่หยุดไว้แต่มิวายโดนสกาเล็ตตวาดใส่อีกระลอกก่อนหันไปตะโกนบอกอาจารย์
“เดี๋ยวก็ได้ตายหรอก! อาจารย์ขอกล่องปฐมพยาบาลด้วย”ครูโม่งวิ่งเหยาะเข้ามาในสนามสองมือปราศจากกล่องเครื่องมือ แต่อยู่ๆ ครูโม่งก็รูดซิปเสื้อพละออกแล้วล้วงหยิบกล่องจากในเสื้อออกมาวางทีละกล่อง แต่ทว่ายังไม่ทันเปิด เลือดก็ทะลักออกมาจากปากแผลสีม่วงเข้มมากขึ้นจนครูโม่งตบบ่าสกาเล็ตหนึ่งครั้งก่อนพูดคำที่สกาเล็ตและคนทั้งสนามต้องกลั้นใจฟังรวมทั้งเรสน์ที่สติเริ่มลอย
“แผลแค่นี้เอง เราไม่ตายง่ายๆ หรอก”เรสน์เอ่ยพร้อมรอยยิ้มแต่เหงื่อกลับแตกพลั่ก
“แผลแค่นี้ไม่ตายหรอก แต่ถ้านายถูกส่งไปรักษาได้ตายแน่”สกาเล็ตเอ่ยหน้าตายเหมือนปลง
‘ส่งไปรักษาแต่อาจตาย???’คำๆ นี้วนลูปซ้ำๆ ในหัวของเรสน์ วนซ้ำจนเริ่มจะมึนหัว หนังตานั้นก็หนักขึ้นทุกที
“เหมือนว่าปากแผลจะติดเชื้อนะ ไปห้องพยาบาลเถอะ”สกาเล็ตอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะหันมามองหน้าเรสน์ด้วยสีหน้าเหมือนมองศพคนตาย
“ถ้าโชคดีนายอาจรอดกลับมานะ”
แล้วสติเรสน์ก็ดับวูบไป
ความคิดเห็น