คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : . บทที่ 1 นี่มันสถานที่กักกันนักโทษหรือโรงเรียนกันแน่!?
“ตะติ๊งต๊ะติ๊งหน่อง… พระตีกลองก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ในนาลุกเป็นไฟก๋วยเตี๋ยวผัดไทยไม่ใส่น้ำปลา…”เสียงทั้งสั่นทั้งเหน่อ ของใครสักคนดังอยู่ท่ามกลางป่าที่เงียบสงัด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ปกติจะพกความมั่นใจเต็มเปี่ยมตอนนี้กลับสั่นระริกกวาดมองซ้ายขวาตลอดเวลา แม้จะไม่รู้ที่มาแน่ชัดของเพลงแต่ ณ ตอนนี้เจ้าของเสียงขอแค่ตนนั้นไม่ฝ่อก่อนถึงที่หมายก็พอ
เขาต้องไปถึงที่นั่นให้ได้แม้ต้องบุกป่า ฝ่าดง ลงน้ำ ลุยไฟ ดำดิน แต่ความเป็นจริงแค่เดินคนเดียวในสถานที่ๆ มีต้นไม้ตายซากเรียงราย เสียงการ้องเป็นระยะๆ อากาศเย็นเฉือนกระดูก ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนเวลาเย็นทั้งที่ตอนนี้ยังไม่ถึงบ่ายโมง ก็ทำให้แทบอยากร้องกลับบ้านแล้วล่ะ
เขาเกลียดหนังสยองขวัญ แล้วก็บรรยากาศเหมือนหนังสยองขวัญด้วย!
“ผักคะน้าก็ไม่หั่นเพราะคนทำไม่ใส่แว่นตา… งือ… นี่ถ้าไม่ใช่เพราะโรงเรียนนี้ให้ทุน ก็จะไม่มาหรอกนะ ต้องไปทางไหนต่อเนี่ย?”เจ้าของเสียงหยุดเดินตรงทางแยก หันซ้ายขวาก่อนจะหยิบแผนที่จากกระเป๋าเป้ขึ้นมากาง เขาคนนี้ไม่ได้มาเดินป่าหาขุมทรัพย์แต่อย่างใด แต่เขามา ‘โรงเรียน’ ต่างหาก โรงเรียนบ้าอะไรก็ไม่รู้ที่ตั้งอยู่ในประเทศไร้ชื่อ กลางป่าเขาหวีดสยอง
“อ้าว! ทำไมไม่บอกทางเลี้ยวล่ะ??? กะทดสอบความสามารถกันตั้งแต่วันแรกรึไงเนี่ย ปกติก็ต้องขวาร้ายซ้ายดี”ว่าแล้วเท้าทั้งสองก็พาร่างส่วนสูง 175 เหนาะๆ ไปทางขวาทันที ถามว่ามั่นใจไหมที่มาทางนี้?
ก็คนมันอนุมานจะมั่นใจได้ไงล่ะเนอะ~
พลั่ก!!!
“อ่ะ!”
“ไอ้บ้าเอ๊ย!”
ขายังไม่ทันพาตัวเลี้ยวขวาได้ถนัด อยู่ๆ ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาชนเขาเข้าอย่างแรง ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายถูกชนแท้ๆ แต่ดูท่าแรงกริยาจะเท่ากับแรงปฏิกิริยา ร่างที่พุ่งมาก็เลยลงไปกองบนพื้นซะงั้นแต่ก็มิวายสบถคำด่าออกมาทั้งที่ตัวเองเป็นคนพุ่งเองล้มเอง
ฝ่ายที่ล้มลงไปนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่คิ้วขมวดแน่น มือขาวซีดปัดฝุ่นอย่างเร็วราวตวัดแส้ ส่วนสายตาก็ก้มมองสำรวจตัวเองไม่ได้สนใจคนที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงหน้าแม่แต่นิด
เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาเข้มคิดว่าอย่างน้อยตัวเองก็สูงในระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้เรียกได้ว่าเตี้ยไปถนัดตาเมื่อเทียบกับคนที่กำลังยืนปัดตัวเองอยู่ เพราะสองคนสูงห่างกันถึง 1 ช่วงศีรษะเลยทีเดียว หากส่วนขนาดร่างกายนั้นผู้ชายตรงหน้าบางกว่ามากจึงไม่แปลกที่จะเป็นฝ่ายล้มลงไปในตอนแรก
ตอนนี้สมองของเขากำลังสั่งการอย่างหนักว่าควรจะพูดอย่างไรดีกับร่างสูงตรงหน้าแต่ปากก็ยังคงเม้มสนิท แถมยิ่งสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่เป็นเครื่องแบบเดียวกัน ในใจก็ยิ่งโห่ร้องราวเห็นตัวช่วยที่จะพาออกไปจากป่าหวีดสยองพองเกล้านี่
‘จะทักทายยังไงดี? จะขอร้องให้พาออกจากป่ายังไงดีหว่า? เอาเลยบอกชื่อสิ! ทักทายสิ! แล้วถามชื่ออย่างเป็นกันเองเหมือนที่ในหนังสือบอกไว้ไง!!!’
แต่ทว่าทั้งที่คิดแบบนั้นปากกลับไม่ยอมขยับ ขาไม่กล้าเดินเข้าใกล้ ไม่ใช่แค่ไม่กล้าเข้าใกล้ ตอนนี้แทบอยากวิ่งหนีเลยมากกว่าเมื่ออีกฝ่ายเบนสายตามามอง มุมปากของคนตรงหน้าโค้งลงเล็กน้อยราวไม่ต้องการต้อนรับใครทั้งสิ้นอีกทั้งใบหน้าหน้าทั้งสายตาก็เรียบนิ่งอ่านไม่ออก แต่ภายในนัยน์ตาสีเขียวเข้มนั้นราวกับเห็นภาพของตัวเองถูกอีกฝ่ายฆ่าปาดคอเลือดสาดกระจายจนเขาเผลอสูดหายใจเข้าลึกโดยไม่รู้ตัว
‘เมื่อกี้อะไรน่ะ จิตสังหาร? ไม่หรอกแค่คิดไปเองน่า แค่ตื่นเต้นไปนิดเดียวเอง เอาล่ะเราต้องพูดอะไรบ้างเพื่อสานสัมพันธ์สิ!’
“เอ่อ…. เมื่อกี้เป็นอะไรมั๊ย?”
‘ไม่ช่ายว๊อยย!!! ไม่ได้อยากพูดแบบนั้น ถามสิชื่อโว้ย ถามชื่อ!’
แต่ยังไม่ทันที่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลจะได้แก้คำพูด อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ยิ้มออกมา ยิ้มแบบที่ทำให้คิดว่ากลับไปหน้านิ่งแบบเดิมเถอะ เพราะมันเป็นยิ้มแสยะแบบที่พวกฆาตกรในหนังโรคจิตเขาทำกันก่อนจะฆ่าใครสักคน แล้วบรรยากาศก็แสนเข้ากั๊นเข้ากัน
ป่าไม้ตายซากกลางเขาลำเนาไพร (ป่าร้าง) เสียงการ้องแล้วก็เสียงหวีดหวิวของลมพัดแถมยังเปลี่ยวได้ใจ นี่ถ้ามีใครถูกฆ่าขึ้นมาแล้วฝังไว้แถวนี้ต่อให้ศพเน่าขึ้นอืดจะมีหมาสักตัวดมเจอไหมยังไม่รู้เลย
“นักเรียนใหม่ใช่ไหม ฉันสกาเล็ต ริปเปอร์ ยินดีที่ได้รู้จัก”แค่บรรยายฉากรอบข้าง 1 ย่อหน้า อยู่ๆ บรรยากาศเหมือนฉากสยองขวัญก็หายไป กลายเป็นบรรยากาศแบบนักเรียนทำความรู้จักกันธรรมดาไปซะได้
“อะเอ่อ….เรา เรสน์ สปินท์ ยินดีที่ได้รู้จัก”น้ำเสียงร่าเริงทว่าสั่นรัวของเรสน์ทำให้สกาเล็ตหัวเราะเสียง หึ ขึ้นจมูกหนึ่งครั้งก่อนจะบอกให้ตามเขาไป
“ผอ. บอกให้ฉันมารับแล้วก็พานายทัวร์ ฉันดันตื่นสายเลยไม่ได้ไปรับที่ตีนเขา โทษทีนะ แต่ถึงอย่างนั้นมันมีกระเช้าลอยฟ้าให้นั่งมานี่ทำไมนายไม่ขึ้นล่ะ?”สกาเล็ตเสียงใสราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ ขายาวก้าวฉับๆ จนคนข้างหลังแทบต้องวิ่งตามจนผมสีเดียวกับนัยน์ตาที่เรียกได้ว่ากระเซิงอยู่แล้วกระเซิงเข้าไปอีก
“…อ่า ไม่เห็นน่ะ...”เรสน์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหลุบหน้าลงมองเท้าตัวเอง
“หึหึ คงไม่ใช่ว่ากลัวความสูงหรอกนะ?”อยู่ๆ ขนแขนของเรสน์ก็ลุกเกรียว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนึกถึงภาพในอดีตที่ไม่อยากจำ อีกส่วนคือน้ำเสียงของสกาเล็ตที่ฟังดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนถ้าอีกฝ่ายสบโอกาส เขาจะได้ไปลั่นล้ากลางเวหาให้ใจหลุดสักรอบ
สองขาของเรสน์ที่ตอบแรกสับอย่างเร็วเพื่อให้ตามทันร่างสูงตรงหน้า ตอนนี้ลดความเร็วเพื่อเว้นระยะห่างจากอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าจะอยากออกจากป่านี่เร็วๆ แต่อีกใจก็คิดว่าอย่างน้อยก็ยังดีกว่าอาจไม่ได้ออกไปอีกเลย
“เอ่อ… แล้วเมื่อกี้ ที่วิ่งมาเร็วๆ เนี่ยเพราะจะมารับเหรอ?”เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเงียบเกินไปเรสน์จึงคิดจะชวนคุยแต่อีกฝ่ายนั้นก็ตอบมาสั้นๆ เนือยๆ เหมือนคนหมดแรง
“ราวๆ นั้น”
“แล้วทำไมไม่ขึ้นกระเช้าลอยฟ้าล่ะ”
“…ลืม…แต่ถ้าขึ้นก็คลาดกันอยู่ดี เงียบๆ แล้วรีบตามมาดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวลอเรนต์จะมาเจอเข้า”
“เพื่อนเหรอ!?”เรสน์มีท่าทีสนอกสนใจขึ้นทันที เมื่อนึกถึงผองเพื่อนที่อาจได้ทำความรู้จัก ตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างอย่างสนใจ
‘ชื่อลอเรนต์คงเป็นผู้ชายสินะ ดีจัง ที่โรงเรียนเก่าก็มีแต่ผู้หญิง ทีนี้แหละเราจะกล้าพูดกับคนอื่นแล้วก็มีเพื่อนเยอะๆ !’
“หมาป่าน่ะ”
“….”
……………………………………………
หลังจากเดิน (กึ่งวิ่ง) มาสักพักจนพ้นแนวป่า ทั้งสองก็เหยียบเข้าสู่เขตของโรงเรียน M.U.R.D.E.R. high school รั้วเหล็กสีดำสนิทสูงใหญ่เหมือนกำแพงปราสาทตั้งตระหง่านมองไม่เห็นข้างในล้อมเป็นแนวยาวไม่เห็นสุดปลาย ไหนจะรั่วหนามที่พาดขึงไว้ด้านบนขนาดที่ว่าถ้านกบินไม่ดูก็อาจตายไม่รู้เรื่อง ทั้งที่แม้ไม่มีรั้วหนามก็ใช่ว่าจะมีคนปีนออกมาได้ง่ายๆ
‘นี่มันสถานกักกันนักโทษรึไง? ทำรั้วไม่สิกำแพงทำไมตั้งสูง? แต่ถึงจะน่ากลัวแต่ก็สวยนะเนี่ย สูงราวๆ 3 เมตรได้มั๊ง อย่างงาม~’
เรสน์เอื้อมมือไปสัมผัสรั้วเหล็กก่อนจะลูบไปมา ตาก็มองสำรวจรอบๆ ไปด้วย ถือเป็นข้อเสียหรือข้อดีก็ได้เพราะเขาเป็นคนชอบทำความรู้จักสถานที่ที่ตัวเองได้เข้าไปเยี่ยมเยียน ยิ่งเป็นที่ๆ ต้องใช้ชีวิตอยู่ยิ่งต้องสำรวจ แต่ยังไม่ทันได้มองอะไรไปมากกว่านี้เสียงหัวเราะของสกาเล็ตก็ดังขึ้นเรียกความสนใจให้หันไปมอง
“หึหึหึ~ จะบอกอะไรเจ๋ง ๆ ให้นะ ไอ้รั้วนี่น่ะ ถ้ามีคนหรืออะไรสัมผัสนานเกิน 5 นาที มันจะปล่อยไฟฟ้าออกมาล่ะ”สกาเล็ตพูดไปยิ้มไปทำหน้ามีความสุขเหลือหลาย ส่วนเรสน์ชักมือออกแทบจะในทันที หน้าซีดเหงื่อตกเมื่อนึกสภาพหากเมื่อครู่ตนเผลอไปจับนานกว่านี้อีกหน่อยอาจเกรียมไปแล้วทั้งที่ยังไม่ทันได้เข้าโรงเรียน
“… เห็นว่าเคยมีคนโดน ฉันก็อยากดูให้เห็นกับตาเหมือนกันว่ามันเป็นยังไง น่าเสียดายๆ”สการ์เล็ตถอนหายใจทำหน้าผิดหวังขึ้นมาฉับพลัน ราวอยากเห็นเขาโดนช็อตจริงๆ พอคิดเช่นนั้นขนแขนของเรสน์ก็แสตนด์อัพอีกรอบ
“อยู่ด้วยกันนานกว่านี้เราโดนฆ่าตายจริงๆ แน่”เรสน์พึมพำกับตัวเองด้วยเสียงเบาที่สุดเพราะกลัวสกาเล็ตจะได้ยิน แต่คงไม่ เพราะอีกฝ่ายก็เดินนำเข้าโรงเรียนไปเรียบร้อยโดยผ่านทางประตูที่อยู่ในมุมอับสายตาที่ถ้าหากไม่ใช่คนในโรงเรียนก็ยากที่จะรู้ได้ ซึ่งถ้าหากเรสน์คลาดสายตาไปเพียงนิดเดียวก็คงถูกทิ้งไว้ข้างนอกเป็นออเดิร์ฟให้สัตว์แถวนี้เบิกบานพุงเล่นเป็นแน่
นอกจากจะตื่นตากับรั้วแล้ว เข้ามาในโรงเรียนก็ตื่นตายิ่งกว่า
“โรงเรียนแน่เหรอเนี่ย!?”ภายในรั้วสีดำทมิฬก็สุดอลังการไม่แพ้กัน ไม่ไกลมีอาคารสูงใหญ่สไตล์ยุโรปตั้งตระหง่านราวอยู่ต้อนรับบุคคลที่จะเยื้องย่างเข้ามา ตัวอาคารถูกทาเป็นสีดำสนิทให้ความรู้สึกหนักๆ กดดัน แทนที่จะบอกว่าต้อนรับควรบอกว่า ‘ข่มขวัญ’ กันเสียมากกว่า หรือไม่ก็คนทาสีขี้เกียจทาสีบ่อยๆ จึงทาสีดำที่เนียนไปกับรอยกระดำกระด่างเวลาอาคารเก่าไปเลย
บริเวณพื้นที่กว้างหน้าอาคารสูงประดับด้วยต้นไม้ใหญ่ดูร่มรื่นเรียงเป็นทิวแถวสองฝั่งเปิดเป็นทางเดินแซมด้วยสวนดอกไฮเดรนเยียสีแดง แต่ต่างจากต้นไม้ด้านนอกตรงที่ต้นไม้ในนี้มีใบ...อยู่บ้าง ทั้งสองฝั่งมีสนามหญ้าขนาดลงไปเตะบอลได้และที่กึ่งกลางทางเดินต้นไม้ก่อนถึงอาคารนั้นถูกเปิดเป็นวงเวียนใหญ่ มีรูปปั้นตั้งเด่นที่มองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไรอยู่แต่ก็พอจะบอกได้ว่ามันเป็นรูปปั้นที่มองแล้วให้ความรู้สึกแข็งแกร่งและเลือดเดือดพล่านอย่างประหลาดอาจเพราะรูปปั้นถูกทาด้วยสีแดงสด
“นายมองเห็นรูปปั้นนั่นเป็นรูปอะไร”สกาเล็ตชี้นิ้วไปทางรูปปั้นกลางวงเวียนด้วยใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะจ้องเรสน์ราวอยากรู้คำตอบ ทางฝ่ายเรสน์นั้นมองแล้วมองอีกก็สรุปความมาได้อย่างเดียวแต่กลัวตอบแล้วอีกฝ่ายจะเอาหน้าเขาไปแนบไอ้กำแพงไฟช็อต
“เอ่อ”
“เอ้าตอบเร็วๆ สิจะได้พาไปดูส่วนอื่นต่อ”สกาเล็ตเร่ง
“เอ้อ… เอ่อ เห็นเป็นภาพ… คนยืนฉี่แล้วคนๆ นั้นก็กำลังเต้นรำกับฉี่ตัวเอง…น่ะ”ที่เจือความตื่นเต้นจางๆ ในตอนแรกของสกาเล็ตหุบลงไปในทันที ตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งกลับมาไร้แววเหมือนตอนแรกๆ
“เอ่อ ก็ เราเห็นแบบนั้นจริงๆ นะ ก็ดูสิ ไอ้เส้นๆ นั่นมันออกมาจากด้านล่างแล้วพันไปๆ…”เรสน์ละล่ำละลักพูดยังไม่ทันจบประโยคดีสกาเล็ตก็หันหลังเดินนำก่อนจะบอกว่า
“หึ ขอโทษที่ถาม… ไปที่อื่นต่อ”
‘เราพูดอะไรผิด!!!’เสียงของเรสน์ที่กรีดร้องอยู่ในใจ
สกาเล็ตได้บอกไว้ว่าหากหลงทางในโรงเรียนก็ให้ตามหาสัญลักษณ์รูปกากบาทแบบตราสัญลักษณ์โรงเรียนที่อกเสื้อไม่ว่ามันจะเป็นรูปลักษณ์แบบไหนก็ตามให้กดลงไปแล้วจะมีหน่วยช่วยเหลือมาภายใน 1 ชม. แต่ก็จะโดนตัดคะแนนฐานเอาตัวรอดไม่เป็น ถึงตรงนี้สกาเล็ตทำหน้าหน่ายๆ พลางถอนหายใจ รู้เลยว่า…
‘เคยหลงหลายรอบแหงๆ’
“ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่าโรงเรียนนี้ใหญ่เอามากๆ ไม่แปลกถ้าจะหลงจริงๆ นั่นแหละ”เรสน์พูดขึ้นมาลอยๆ พลางมองไปรอบๆ ที่มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมดทั้งต้นใหญ่ต้นเล็กแต่ก็ดูร่มมากกว่ารก
“แน่ล่ะก็เขาทั้งลูกเป็นของโรงเรียนนี้นี่ แต่ถึงจะกว้างก็อย่าไปอาณาเขตของเกรดอื่นถ้าไม่จำเป็นจะดีกว่านะถ้าไม่อยากตาย”สิ่งที่สกาเล็ตพูดทำให้เรสน์รู้สึกค้างคาใจแปลกๆ ในตอนแรกก็คิดว่าคงแค่พูดเล่นแต่ทว่าทางเชื่อมของอาคารแต่ละหลังกลับมีลูกกรงเหล็กปิดกั้นแน่นหนาเหมือนแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน
คนที่จะเข้าไปอาคารอื่นได้ไม่ว่าจะเข้าตรงๆ ทางด้านหน้าหรือจะเข้าทางเชื่อมก็ตามก็จำต้องมีบัตรพิเศษของบุคคลากรระดับ 6 (นักเรียนเกรด 12 ภารโรงและครู) ขึ้นไป ไม่อย่างนั้นไม่รับประกันคุณภาพร่างกายและทรัพย์สินถ้าหากฝ่าฝืน
“เอ่อ…. ชักจะคิดแล้วนะว่ามันเหมือนสถานกักกันนักโทษขึ้นไปทุกที”คราวนี้อาจเพราะก็คุยกันมาพอสมควรเรสน์จึงเผลอเอ่ยไปอย่างเต็มปากเต็มคำ พอรู้สึกตัวขนแขนก็แสตนด์อัพอีกครั้งเมื่อร่างสูงตรงหน้าหยุดเดินทำท่าเหมือนจะแผ่ไอ้ที่เรียกว่าจิตสังหารออกมา
‘พูดอะไรผิดอีกแล้วล่ะเนี่ย?’
อยู่ๆ สกาเล็ตก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่พิสดารยิ่งพอๆ กับโรงเรียนคือเขาไม่เข้าใจอารมณ์ของคนตรงหน้าเอาซะเลย พอคิดว่าอีกฝ่ายคงโกรธก็ดันหัวเราะออกมา แต่พอหัวเราะไปสักพักก็กลับตีหน้าตายแล้วสับขาเดินออกไป พอนับ 1-3 ก็กลับมาคุยปกติเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น
“หึๆ ใช่มะๆ เหมือนใช่ไหมล่ะ แต่ก็ถือเป็นสถานกักกันที่สบายที่สุดเท่าที่เคยอยู่มาเลยแหละ”
‘…พูดยังกะไปมาแล้วหลายแห่งงั้นล่ะ’เหมือนหางตาขวาของเรสน์จะกระตุกเล็กน้อย
“มันน่าสนุกดีใช่ไหมล่ะ โรงเรียนนี้น่ะ”สกาเล็ตหันมายิ้มคงเรียกได้ว่าขนาดแก้มแทบปริ นัยน์ตาสีเขียวเข้มเป็นประกายวาววับราวพบเรื่องน่าสนุก แสงแดดที่นานๆ ทีจะโผล่ออกมาจากก้อนเมฆ ส่องกระทบเรือนผมซอยสั้นระต้นคอของสกาเล็ตจนเห็นเป็นประกายแสงสีแดง
“สมชื่อเลย”
“หืม สมชื่ออะไร?”
“หมายถึงผมนายน่ะ ยิ่งพอแสงส่องก็ยิ่งแดงนะ ชื่อนายมาจากสีของผมรึเปล่าสกาเล็ตแปลว่าสีแดงนี่”เรสน์ชี้ไปที่เรือนผมแดงของสกาเล็ตซึ่งอีกฝ่ายก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนนัยน์ตาสีเขียวจะหม่นแสงลงชั่วครู่ เสียงที่เอ่ยออกมาก็แหบพร่าซะจนดูเหมือนจะร้องไห้
“นายเป็นคนที่ 4 ที่กล้าถามเรื่องผมฉัน”
“เอ่อ… เรา…”
“หึ เรียกได้ว่าหน้าด้านเป็นคนที่ 4 ล่ะมั๊ง”สกาเล็ตทำมือเป็นเลขสี่โบกไปมาพร้อมหัวเราะเสียงดัง เรสน์เหมือนสตั๊นไปราว 5 วิ ตอนนี้ดูเหมือนเขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับเสียงหัวเราะของสกาเล็ตแล้วล่ะ
“หึ หึ ฮ่ะ ฮ่ะ… โทษที เรื่องผมก็มีส่วนนะ แต่ก็มีอีกเหตุผลหนึ่ง นายจำได้ไหมว่าฉันนามสกุลอะไร”สกาเล็ตมีอาการขำค้างเล็กน้อย ก่อนจะถามเรสน์กลับด้วยแววตาวาววับและยิ้มมุมปากราวภูมิใจกับมันอย่างมาก
“เอ่อ… เดี๋ยวนะ ริป ริป… สลิปเปอร์ (รองเท้าแตะ) ใช่ไหม!?”
“…”
“เอ่อ ไม่ใช่เหรอ ขอลองอีกที เอ่อ… ช็อปเปอร์ (มอร์เตอร์ไซค์) แน่ๆ”
“…”
“ เอ่อ งั้น”
“ริปเปอร์! นามสกุลฉันคือ ริปเปอร์ ที่แปลว่า เชือด” สกาเล็ตย้ำตรงคำว่า ‘เชือด’ ด้วยน้ำเสียงเหมือนจะเชือดคอคนจริงๆ ซึ่งก็น่าจะเป็นคนที่ยืนยิ้มแห้งๆ อยู่ตรงหน้านี่แหละ
“ตระกูลของฉันได้ชื่อว่าเป็นเชื้อสายของ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรที่ฆ่าหญิงสาวมากมายอย่างเหี้ยมโหดที่สุด ชื่อของฉันมาจาก สีเลือดของพวกหล่อนที่สาดกระเซ็นออกมาตอนที่โดนมีดกรีดไงล่ะ”สกาเล็ตเอ่ยแต่ละคำช้าๆ ชัดๆ
ทั้งที่สกาเล็ตยืนอยู่เฉยๆ แต่เหมือนว่ามีความรู้สึกกดดันบางอย่างที่ทำให้เรสน์ต้องก้าวหนี เสียงเย็นเยียบและนัยน์ตาวาวจ้องเขม็งแต่กลับอ่านไม่ออกให้ความรู้สึกข่มขวัญอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ในตอนนี้ถ้าสกาเล็ตบอกว่าตัวเองเป็นแจ็ค เดอะ ริปเปอร์เองเขาก็ไม่มีข้อกังขาใดๆ
‘โรงเรียนที่มีระบบป้องกันไม่ธรรมดา กับเชื้อสายของแจ็ค เดอะ ริปเปอร์? แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน คนในโรงเรียนหายไปไหนหมด ช่วยด้วย!’
หางตาขวาของเรสน์กระตุกถี่ยิบตอนที่มือขวาของสกาเล็ตล้วงเข้าไปในเสื้อนอกของเครื่องแบบนักเรียน
‘มีด ยาพิษ กรรไกร จะหยิบอะไรน่ะ?!’เรสน์หลับตาปี๋ ขาอยากวิ่งแต่วิ่งไม่ออกราวถูกนัยน์ตาสีเขียวราวกับงูตรึงไว้อยู่กับที่
‘หรือจะพุ่งชนเลยดี? ไม่เอาๆ ถ้าโดนมีดกะซวกไส้ขึ้นมาล่ะ ก่อนอื่นต้องอัดหมัดขวาเข้าลำตัว ใช้มือซ้ายตบบ้องหูให้อีกฝ่ายมึนงง แล้วค่อยอาศัยช่วงลำตัวเบียดออกมา แล้วจากนั้นก็…’
“ท่าน~~~พี่~~~ค้า~~~”
‘ใช่! ท่านพี่ช่วยด้วย…เอ๊ะ?’ระหว่างที่สมองเรสน์คิดหาทางรอดโดยการซีมูเลชั่นท่าทางสมมุติ ก็มีเสียงแหลมเสียดโสตประสาทดังขึ้น จนทำให้ตาที่ปิดไว้ในตอนแรกต้องเปิดขึ้นมาอย่างงงงวย
ฟ้าวว!
“เฮ้ย!!!”เปิดตาขึ้นมายังไม่ทันสุดก็เหมือนมีลมคมๆ แฉลบผ่านแก้มไป ภาพตรงหน้าของเรสน์ตอนนี้คือ สกาเล็ตกำลังซัดมีดที่ดูเหมือนจะเป็นมีดผ่าตัดคมกริบใส่เด็กสาวร่างเล็กหน้าหวาน เรือนผมเป็นลอนสีทองประกายถึงสะโพก ดวงตากลมโตสีน้ำข้าว ที่ใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียนของผู้…ชาย
ด้วยท่าทีที่เรียกว่ารังเกียจยังน้อยไป
“ออกไปห่างๆ ฉัน เอลิเซธ! ฉันไม่อยากเปลืองมีด”ปากก็ว่าส่วนมือก็ปาไปไม่หยุด แต่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าด้วยความชินหรือความเทพก็กลับหลบบรรดามีดผ่าตัดบินได้อย่างง่ายดายด้วยท่าทางเหมือนกำลังเต้นอะโกโก้ยั่วสกาเล็ต ซึ่งไม่ใช่แค่คนถูกยั่วแต่เรสน์ก็กำลังขนลุก และขนลุกเข้าไปอีกเมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็หันมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแล้วทำท่าจะพุ่งเข้ามาหา
เมื่อสกาเล็ตเห็นว่าตัวน่ารำคาญเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ตนจึงหยุดปามีดแล้วลดการ์ดลง แต่พอทำแบบนั้นเด็กสาว… หรือหนุ่ม ช่างเถอะ… ก็กลับเท้าโดดพุ่งเข้ามากอดสกาเล็ตแทนจนเกิดเสียงดัง ‘อั๊ค!’
“ฮิฮิ ท่านพี่หลงกลเอลี่อีกแล้ว อ๊า~ ท่านพี่ขา ขอแรงๆ แบบเมื่อวาน…อ๊อค”แก้มที่ดูจะนุ่มๆ ของเด็กสาว… หรือหนุ่มตรงหน้าคลอเคลียอยู่กับท่อนแขนของสกาเล็ตเหมือนลูกแมวน่ารักๆ สักตัว ลูกแมวน่ารักที่ตอนนี้ถูกร่างสูงตรงหน้าสับท้ายทอยสลบไปแล้วหลังจากพูดอะไรบางอย่างที่ชวนคาใจสุดแรงกล้าออกมา
“แมลงสาบแถวนี้เยอะไปหน่อย ถ้ามากวนใจก็กระทืบทิ้งได้นะ”ว่าแล้วสกาเล็ตก็ปล่อยร่างสลบไสลของเอลิเซธกองแถวนั้นอย่างไม่ใยดี ก่อนเดินตัวปลิวไปเก็บบรรดามีดที่ขว้างออกไปเมื่อครู่
ฝ่ายเรสน์ยืนอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สมองยังไม่ทันได้เรียบเรียงข้อมูลก็มีเสียงหวานๆ เบาๆ ดังมาจากข้างหลัง
“เค้าชื่อ เอลิซาเบธ เอลิเซธ บาธอรี่ ที่ 13 ยินดีที่ได้รู้จักนะ ของ เล่น ใหม่”เด็กที่เห็นชัดๆ ว่าโดนสับท้ายทอยสลบไปเมื่อครู่ ตอนนี้มายืนประชิดหลังของเรสน์ เอาคางเกยไหล่พลางยิ้มอย่างน่ารัก
“ไว้ก่อน ท่านพี่เป็นของเอลี่นะคะ ถ้าคิดแย่ง ตาย!”ดั่งเป็นคำประกาศิตและดูมีอำนาจอย่างประหลาดสำหรับเด็กที่เพิ่งทำท่าลวนลามสกาเล็ตไปเมื่อครู่แต่พอทำใจกล้าหันไปมอง ร่างเล็กๆ นั่นก็หายไปแล้วราวไม่เคยมายืนตรงนี้มาก่อน
‘เหมือนมีอะไรมาชนๆ ด้านหลังนะเมื่อกี้… คิดไปเองน่า!’
“เอาล่ะ ทัวร์โรงเรียนเสร็จแล้วก็ไปดูห้องพัก พอดีรูมเมทคนก่อนฉันเพิ่งเสียสติไป นายเลยต้องมาอยู่แทน โทษทีนะ”สกาเล็ตพูดด้วยใบหน้านิ่งๆ ตามเคยเหมือนไม่ยี่หระใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้ถามเกี่ยวกับการหายตัวไปของเด็กเมื่อครู่และไม่สนใจคนที่ยืนยิ้มแหะๆ อยู่ตรงหน้าแม้แต่นิด ส่วนคำขอโทษนั่นเรสน์ไม่แน่ใจว่าที่พูดหมายถึง…
โทษที่นะ หาห้องที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ
หรือว่า
โทษทีนะ นายอาจเสียสติเป็นคนต่อไป ซึ่งจากการอนุมาน คำหลังชัวร์ๆ!!!
‘แต่ตอนนี้บอกได้คำเดียวเลย จะกลับบ้านโว้ย!!!’ก็ทำได้เพียงกรีดร้องต่อไป
สนุกกันมาเยอะแล้ว พรุ่งนี้…เราจะมาเริ่มการเรียนการสอนวิชาแรกกันนะนักเรียนที่รัก
จาก
ผ.อ.สุดสวาทขาดใจ
ความคิดเห็น