คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่3: โคลเวอร์
บทที่3
Clover
แสงว่างริบหรี่ของตะวันยามโพล้เพล้ ย้อมทุกสรรพสิ่งให้กล้ายเป็นสีส้มปนทอง ราวกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายของสุริยะเทพ...
ป้ายไม้เก่าผุพัง ที่กาลเวลาเนิ่นนานทำให้ตัวอักษรสีเขียวเข้มบนไม้สีอ่อนเริ่มหลุดกร่อน แต่กระนั้นยังคงพบอ่านออก....
‘Clover’
คือชื่อบนแผ่นไม้ที่เกี่ยวแขวนอยู่บนเหล็กที่โค้งเป็นรูปซุ้มประตูสีสนิมเก่าๆ
“ที่นี่เป็นหมู่บ้านจุดพักของนักเดินทาง... บางทีเราอาจหาหามังกรได้ที่นี่กระมัง”กระแสเสียงราวไข่มุกกระทบจานคริสตัลที่เย็นเฉียบ ร่างระหงใต้อาภรณ์รัดกุมสีดำสนิททอดสายตามองทางเดินอิฐสีซีดซึ่งลาดไปสู่หมู่บ้านเล็กๆกลางหมู่พฤกษารกทึบ
“ท่านจะขึ้นเหนือ?”เสียงที่เจือแววสงสัยแผ่วจาง ทำให้มุมปากงามกขึ้นเป็นรอยโค้งที่เย็นเยียบ
“พวกบาทหลวงสอนเจ้ามาดี ใช่ เราจะขึ้นเหนือ ป่าแถบนั้นเต็มไปด้วยไอเวทโบราณ มีเพียงสัตว์เทวะเยี่ยงมังกรที่สามารถฝ่าข่ายมนตรานั่นได้”คีย์ตอบ มือบางทั้งสองนั้นจัดแจงซ่อนใบหน้างามและเรือนผมยาวสยายไว้ภายใต้แพรพรรณสีรัตติกาล
ทั้งสองก้าวผ่านซุ้มประตู ทันทีที่เดินเข้ามาสักพักก็พบบ้านเรือนที่ปลูกอยู่แน่นขนัดสลับกับโรงแรมและร้านค้า บนถนนมีชาวบ้านและผู้คนแต่งตัวหลากหลายแบบ ดูจากสัมภาระที่พวกเขาขนมาจึงพอเดาได้ว่าบ้างเป็นนักเดินทาง และบ้างก็เป็นพ่อค้า นับว่าเป็นหมู่บ้านที่คึกคักผิดกับป้ายชื่อเก่าโทรม
การมาเยือนของอาคันตุกะรายใหม่ที่มีบรรยากาศรอบกายผิดแผกจากคนทั่วไป ทำให้ทั้งคู่พลันตกเป็นเป้าสายตาแทบจะในทันที
โดยเฉพาะคีย์...
เพราะถึงแม้นางจะซ่อนใบหน้าไว้ใต้ผืนผ้า แต่เสียงกระดิ่งที่ไหวแว่วน้อยๆนั้นกำลังกระชากความหวาดกลัวให้หลุดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
นัยน์ตาสองสีที่ยามนี้มองเห็นได้ไม่ถนัดนักปรายไปสบกับดวงตาสีม่วงของนักดาบหน้าสวย เอื้อนเอ่ยวจีผ่านสายตาซึ่งทำให้กราเซียร์ต้อนถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
ร่างสูงเพรียวเดินไปยังชายชราผู้หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ค่อนหัวลงน้อยๆอย่างมีมารยาทก่อนเอ่ยถาม
“พวกข้าเป็นนักเดินทาง กำลังจะผ่านขึ้นทางเหนือ ท่านลุงพอจะทราบหรือไม่ว่าพวกข้าจะสามารถหามังกรได้ที่ไหน”
ดวงตาฝ้าฟางเมื่อเห็นผู้มาเยือนแสดงกริยาสุภาพราวผู้ได้รับการอบรมก็เผยรอยยิ้มใจดี เสียงแหบแห้งเปี่ยมเมตาจึงเอ่ยตอบราวคนตรงหน้าเป็นบุตรหลาน
“ทางเหนือรึ? ที่นั่นหนาวเร็วกว่าทางนี้มากนัก อา... ใช่ๆ พวกเจ้าต้องผ่านป่ามนตราสินะ ลองไปดูที่ร้านขายพาหนะท้ายหมู่บ้านเถิด น่าจะมีให้เลือกอยู่สักหลายตัว”
“ขอบคุณมากครับ”กราเซียร์กล่าว หากยังไม่ทันที่เขาจะก้าวขาเดิน ชายชราก็เอ่ยขัดขึ้น
“พวกเจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆ ตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว ทำไมไม่พักสักคืนก่อน โรงแรมของข้าอยู่ตรงนี้นี่เอง ไว้พรุ่งนี้ข้าจะนำทางไปดูมังกร ที่นี่แม้จะไม่เจริญเท่าในเมือง แต่ก็มีชื่อเสียงในหมู่นักเดินทางไม่น้อยเชียว“เสียงแหบพร่าเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตร ทำให้นักดาบหนุ่มได้แต่ยิ้มรับน้อยๆ ก่อนจะหันไปมองทางคีย์
“ท่านว่ายังไงล่ะ จะอยู่พักหรือไม่”
ดวงหน้างามใต้ผ้าไหมเนื้อละเอียดเบือนมาช้าๆ คราแรกนางไม่อยากแวะที่ไหนให้เสียเวลา แต่พอนึกได้ว่าจะอย่างไรกราเซียร์เป็นคนธรรมดา ย่อมต้องพักผ่อนต่างจากนาง จึงได้ถอนหายใจก่อนเอ่ย
“เอางั้นก็ได้ ข้ายังไม่รีบร้อนขนาดนั้น”
ใช่.... อีกสองอาทิตย์กว่าหิมะจะตก...
ยังมีเวลา... ยังมีเวลา...
บอกกับตนเอง แม้ความจริงในใจอยากรีบเดินทางให้เร็วที่สุด เพราะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่านางตั้งตารอวันจะได้แก้แค้นมาด้วยความรู้สึกคับแค้นและร้อนรนใจขนาดไหน
โคลเวอร์...
หมู่บ้านโคลเวอร์เอ๋ย
หากแม้นตำนานของโคลเวอร์สี่แฉกจะบัลดาลให้สมปรารถนาได้จริงๆ... นางก็ได้แต่ขอให้ภารกิจนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
นิ้วเรียวยาวแตะลงบนต่างหูอความารีนสีฟ้าใสอย่างคุ้นชินยามใช้ความคิด พร้อมดวงตาที่ปรือลงแช่มช้า
นางแค้นเขา... นางเกลียดเขา...
และนาง.... ต้องสังหารเขาให้ได้
คาเคียร์.....
*******************
เพล้ง!
เส้นแสงสีดำสนิทพุ่งทะยานออกจากกระจกบานใหญ่ซึ่งเคยสะท้อนเงาภาพของการสนทนาใต้ป้ายหลุมศพ ทำให้มันแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆพร้อมมุ่งตรงสู่ร่างเป้าหมาย
มือขาวเรียวยาวยื่นออกไปกำกลุ่มพลังไว้ บีบเบาๆ ก่อนจะคลายออก เผยให้เห็นพลังขุมนั้นที่แหลกเป็นผุยผง
“เอายังไงดี... พวกนั้นเริ้มเคลื่อนไหวแล้วนะ”น้ำเสียงหวานหยดเจือแหบแห้งมีเสน่ห์ดังขึ้นในความมืดสลัวที่มีเพียงแสงจากเทียนไม่กี่เล่ม พร้อมมือบางที่โอบลำคอขาวจากด้านหลัง ดวงหน้าละมุนซบอยู่บนเรือนผมสีทองจางๆจนแทบเป็นสีขาวที่ทิ้งตัวยาวสยาย
“ก็ปล่อยไป.... เจ้ามาริ ยังชั่วช้ายังไงก็คงชั่วช้าอย่างนั้น มันคงคิดให้ข้าและครัสตาเซียร์ปะทะกัน ส่วนมันค่อยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทีหลัง”เสียงนุ่มไพเราะเยี่ยงนักดนตรีพเนจรเอ่ยตอบ ดวงตาสีน้ำเงินอ่อนจางทอแววว่างเปล่ายามสะบัดมือวูบ คันฉ่องที่แตกร้าวก็กลับมามีสภาพดีดังเดิม
“นั่นสินะ... ในเมื่อผู้ทำสัญญาในยุคนี้มีสี่คน”ว่าพลางลืมตาขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นดวงเนตรสีดำสนิทลึกล้ำที่ทอประกายแพรวพราว
“หนึ่ง... คือผู้ใช้เงา มาริ คาร์บังเกอร์”ปลายนิ้วเรียวไล่ไปตามกลุ่มผมอ่อนนุ่มราวเส้นผมของสตรีมิใช่บุรุษอย่างถนุถนอม
“สอง... คือศาสตราแห่งแสง ลูเครเซียร์ ซึ่งถูกเจ้านักฆ่าเลวทรามมาริสังหารไปเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว”
“สาม.... คือเรานัยน์เนตรแสงจันทร์ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งที่มีพลังเทียมเท่าผู้ทำสัญญาคนล่าสุด ผู้ครอบครองสัญญาที่แข็งแกร่งที่สุด มายารัตติกาล ครัสตาเซียร์”สิ้นเสียง มือบางขาวซีดก็แตะลงบนต่างหูโกเมนสีแดงอมม่วงสวย ทำให้ดวงตาสีน้ำเงินทอประกายวูบ
“อย่าแตะต้องมัน เพราะถึงเป็นเจ้า ข้าก็ไม่ละเว้น ดาร์คาลูน่า”สิ้นเสียงที่เย็นเยียบจับใจ หญิงสาวก็แย้มยิ้มสวย ดวงหน้าหวานแฉล้มผละออกจากเรือนผมนุ่ม ก่อนจะเบี่ยงร่างลงนั่งบนตักของคนตัวสูงกว่า
“ดุจังนะ คาร์เคียร์ ข้าไม่ยุ่งก็ได้...แต่ว่า...”ศีรษะได้รูปโคลงไปมาเล็กน้อย ทำให้เส้นผมสีน้ำเงินซอยประไหล่ไหววูบ ดวงตาสีนิลทอประกายเจ้าเล่ห์
“มันต้องมีของชดเชยนะ”ว่าแล้วเรียวแขนขาวก็รั้งให้ดวงหน้างามราวเทพบุตรโน้มลงมา กลีบปากอวบอิ่มประกบลงบนเรียวปากบางที่เย็นเฉียบ
....ข้าไม่ยอมหรอกนะ คาร์เคียร์...
ไม่ยอม... ให้หัวใจที่ปิดตายของเจ้าเปิดออก
แม้ว่า.... หากทำเช่นนั้น ใจเจ้าก็จะไม่มีวันมีข้า
แต่ยังไง... ข้าก็ยอมไม่ได้ ที่เจ้าจะหวั่นไหวอีกเพราะนาง
เพียงใจเจ้าตายด้าน เพียงเจ้ายังคงเป็นเช่นนี้
ก็จะมีเพียงข้า.... ที่จะได้ครอบครองไปอีกนานแสนนาน ไม่สิ....
ได้ครอบครองเจ้า...ตลอดไป ต่างหาก.....
ได้อยู่กับเจ้า....
ตลอดไป......
**************
…ราตรีกาลโรยตัวลงมาพร้อมกับความเย็นเยียบ กาลที่ทุกสรรพสิ่งต่างก็หลงอยู่ใต้ห้วงนิทราอันแสนหวาน
เปลือกตาบางที่ประดับด้วยแพขนตาสีทองกระพริบขึ้นช้าๆ แลดูคล้ายการกระพือปีกของผีเสื้อตัวจ้อย
นางยังคงตื่นอยู่แม้ล่วงเลยเวลาที่มนุษย์ควรหลับใหล นั่นก็เพราะร่างกายที่เปี่ยมด้วยพลังเวทของนางหลุดพ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้ว นางมิจำเป็นต้องกิน ไม่จำเป็นต้องดื่ม ไม่ต้องพักผ่อน ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้
นิ้วเรียวยาวกลิ้งแหวนที่เพิ่งได้ไปมาบนโต๊ะอย่างเหม่อลอย
ธมรงค์แห่งดราไวเกียร์ วัตถุเวทมนต์ล้ำค่าที่ถูกสะกดไว้ ต้องอาศัยอาคมที่แข็งแกร่งในการปลดผนึก นั่นทำให้มาริที่มีพลังเวทน้อยที่สุดในหมู่ผู้ทำสัญญาไม่สามารถนำมันไปใช้ประโยชน์ได้ หากนั่นก็มิใช่เหตุผลที่เขาจะยอมยกมันให้นางโดยง่าย
มาริเป็นผู้ทำสัญญาคนแรก เขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้มานาน ทั้งยังมีสันดานเป็นนักฆ่าที่บ้าคลั่ง นางไม่มีโอกาสได้พบกับเขาบ่อยนัก แต่จากการที่เคยประมือกันมา ทำให้รู้ว่ามาริเป็นคนเจ้าเล่ห์และชั่วช้าเพียงไร กระทั่งศาสตราแห่งแสง ลูเครเซีย ยังถูกสังหารด้วยมือเขา รูอินบอกนางเสมอว่าในหมู่ผู้ทำสัญญาแห่งยุค แม้มาริไม่ใช่ผู้ที่มีพลังเวทแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็เป็นคนที่อันตรายมากที่สุด
ครั้งนี้นางย่อมมองออกว่ามาริมีแผนการอยู่ในใจ กระนั้นไม่ว่าจะเป็นหลุมพรางหรือกับดักอะไร นางก็ยินยอมพร้อมใจจะกระโดดลงไปทั้งนั้น เพียงเพื่อจะได้แก้แค้น นางยอมทำทุกสิ่ง ยอมสละทุกอย่าง...
ยามเมื่อเพลิงแค้นจุดติดขึ้นในใจ แม้จะรู้ว่าสุดท้ายมันจะแผดเผาตัวเอง แต่ก็ยากที่จะหาน้ำจากบ่อวิเศษอันใดมาดับลงได้
พลัน ความคิดก็หยุดชะงัก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน มือเรียวรีบคว้าแหวนบนโต๊ะเก็บ
นางสัมผัสได้ถึงกระแสพลังบางอย่าง....
ดวงตาสีเงินกระจ่างทอประกายครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนที่ร่างระหงยันกายลุกขึ้น ขาเรียวก้าวยาวๆ มือบางผลักประตูห้องให้เปิดออก เพื่อมุ่งตรงไปยังจุดที่จับสัมผัสได้
มันเป็นกระแสพลังที่สว่างไสวซึ่งนางไม่คุ้นเคย เป็นพลังที่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว
มันมาจากลานกลางหมู่บ้าน...
สายลมแรงของยามค่ำพัดพลู ทำให้เรือนผมสีทองสว่างโบกสะบัด ราวกับแสงสีทองของยามรุ่งอรุณ
คีย์มองดูร่างที่ยืนอย่างโดดเด่นทามกลางความมืดมิดของราตรี ก่อนจะเอนกายพิงกำแพงเย็นเฉียบ
บุรุษผู้ยืนอย่างงามสง่าเยี่ยงนักรบในสมรภูมิ แต่ร่างนั้นกลับอยู่ใต้อาภรณ์ของนักบวช
กราเซียร์ เดอร์ ลูซิเฟอร์ แห่งราฟาเอล
นักดาบหนุ่มบัดนี้กำลังประสานมืออยู่ตำแหน่งอก ดวงหน้าคมหวานละม้ายคล้ายอิสตรีแลดูสงบนิ่ง กำลังเอื้อนเอ่ยบทเพลง...
ไม่สิ...
นั่นคือบทสวด
นัยน์ตาคู่สวยปรือปิดลงแช่มช้า ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับที่พัก ไม่คิดจะรบกวนอีกฝ่าย แม้ว่าพลังเวทแห่งแสงของบทสวดนั้นจะทำให้พลังเวทที่เป็นสายมืดในร่างของนางปั่นป่วนไม่สงบก็ตาม
หญิงสาวไม่เคยนับถือพระเจ้า
ใช่...
ไม่เคยอีกเลย ตั้งแต่คืนนั้น...
คืนที่ตัวตนของคีย์กำเนิดขึ้น และครัสตาเซียร์ได้ตายลง...
นับแต่นั้นมา สิ่งที่นางยึดมั่นก็มีเพียงแต่ความแค้นที่คอยประคับประคองให้นางยังมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น.....
Chapter3-fin
ความคิดเห็น