คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่2: มาริผู้ใช้เงา
บทที่2
มาริผู้ใช้เงา
ในโลกนี้ประกอบด้วยห้าภพภูมิด้วยกัน...
หนึ่งคือสวรรค์ของเหล่าเทพผู้รังสรรค์โลกใบนี้ขึ้น สองคือพิภพแห่งภูติ ผู้ได้รับพลังจากเหล่าเทพให้คอยควบคุมสิ่งต่างๆของโลก ทั้งฤดูกาล อากาศ แสงสว่าง หรือความมืด สามคือโลกปิศาจ สถานที่มืดมิดของเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังและชั่วร้าย เดิมแล้วปิศาจเคยเป็นเทพ หากแต่ตกลงสู่ความเสื่อมเพราะมีจิตใจดำมืด จึงถูกเนรเทศลงจากสวรรค์ สี่คือนรก สถานที่ชำระวิญญาณของผู้วายชนม์ คอยจัดการดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตให้ลงไปเกิดใหม่ตามที่บัญชีแห่งสรรพชีวิตกำหนดไว้ และภพภูมิสุดท้าย คือแดนมนุษย์ สถานที่ที่อยู่กึ่งกลางของสวรรค์และนรก ถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ สรรพสัตว์ และเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์เช่นเอลฟ์
ตำนานเดิมกล่าวไว้ว่า นับแต่เทพผู้สร้างตวัดดาบบุกเบิกภพภูมิมนุษย์ ก็ได้สร้างสิ่งมีชีวิตไว้หลายชนิด ทั้งสรรพสัตว์ ต้นไม้ใบหญ้า มนุษย์ มังกร และเอลฟ์ เผ่าลูกผสมของภูติและมนุษย์ ผู้ซึ่งคอยพิทักษ์ผืนป่า เทพเจ้ายังได้มอบอำนาจพิเศษอย่างเวทย์มนต์ไว้ให้มนุษย์ซึ่งอ่อนแอไร้กำลัง สวรรค์และโลกยังคงมีการติดต่อกันเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่ง มีมนุษย์ผู้โอหังลักลอบเข้าวังสวรรค์ คิดขโมยอาวุธเทพที่มีพลังมหาศาล ทำให้ปวงเทพบันดาลโทสะ สังหารคนผู้นั้นและยึดคืนอำนาจมนตราที่เคยประทานให้ นับแต่นั้นมามนุษย์จึงมิเคยได้พบเห็นเทพอีก ภพภูมิต่างๆกลายเป็นแค่เรื่องเล่าในนิทานปรัมปรา และมนุษย์ที่ยังคงหลงเหลืออำนาจเวทวิเศษก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดแม่มดชั่วร้าย และถูกไล่ล่าสังหารโดยมนุษย์ด้วยกันเอง กระนั้นก็ใช่ว่านักอาคมจะหายสิ้นไปจากโลกนี้....
….ดวงตาสีเงินยวงมองดูเงาร่างที่สะท้อนในกระจกเบื้องหน้าด้วยแววตาเฉยชา
ที่อยู่ในนั้นคือหญิงสาวผู้มีเส้นผมสีทองยาวสลวยจรดพื้น เปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำน้อยๆ เช่นเดียวกับแพขนตางอนยาวใต้คิ้วโก่งเฉกศรแสง จมูกโด่ง รับกับเรียวปากอิ่มสีกลีบกุหลาบ
ยังเหมือนเมื่อกว่าร้อยปีที่แล้ว....
ผิดแผกแค่.... กาลเวลายาวนาน ได้หล่อหลอมร่างระหงนี้ให้แข็งแกร่ง เช่นเดียวกับความเย็นชาที่เข้ามาแทนที่รอยยิ้มสดใสร่าเริง
กริ๊ง....
แว่วเสียงกระดิ่งใสกังวานที่แสนคุ้นหู เรียกให้ดวงตาสีสวยหันมามอง กลีบปากงามขยับยิ้มเย็นชาเมื่อเห็นร่างของผู้มาเยือน
“รูอิน มิสเทอร์รี่ย์ อุตส่าห์มาส่งข้าเชียวหรอ”คำหยอกเล่นที่หาได้ยากจากสตรีดำผู้เย็นชา ทำให้ดวงตาสีฟ้าเจือประกายรุ้งทอแววเย็นชาขึ้นจับใจ ก่อนที่มือขาวจะโยนวัตถุสีเงินอันเล็กในมือให้หญิงสาวที่ยื่นแขนซ้ายมาข้างหน้า
พรึบ...
ริบบิ้นสีดำที่ร้อยกระดิ่งเงินพันเข้าที่ข้อมือบางอย่างรู้หน้าที่ จังหวะเดียวกับที่เสียงเรียบดังขึ้น
“จักรพรรดินีแห่งลีโอกำลังมา พร้อมผู้ติดตามที่น่าจะเป็นนักอาคม”กล่าวพลางมองร่างบางที่ครานี้อยู่ใต้อาภรณ์สีรัตติกาลรัดกุม ไม่รุ่มร่ามกรุยกรายเช่นปรกติด้วยสายตาเย็นเยียบ
กริ๊ง...
แว่วเสียงใสยามที่สองมือบางนั้นจับเส้นผมสีทองสว่างตัดกับสีของเสื้อขึ้นสูง ก่อนรวบด้วยริบบิ้นสีดำสนิทเส้นเล็กเพื่อให้คล่องตัว
“ผู้แบกกางเขนแห่งลีโอ... มีของดีในครอบครองเสียด้วย นักอาคม... ไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ง่ายๆในแต่ละยุค”เสียงหวานว่าพลางหัวเราะเบาๆด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะโบกมือวูบ คันฉ่องบานใหญ่ก็จางหายไป
“แล้วเจ้าจะไปไหน รู้รึเปล่าว่าเพียงพลังมนตราของเจ้าในตอนนี้ไม่สามารถโค่น ‘จักรพรรดิมืด’ ได้”คำพูดจากบุรุษร่าสูงทำให้ดวงตาที่บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสองสีทอแววไหววูบปนกราดเกรี้ยว
“ข้ารู้! ว่าตอนนี้ข้ายังไร้ความสามารถ เจ้าไม่ต้องมาย้ำหรอก รูอิน!!”น้ำเสียงกราดเกรี้ยวที่สร้างความไม่พอใจแก่เจ้าของชื่อ ดวงตาสีฟ้าเหลือบรุ้งสวยจึงฉายแววขึ้นวูบหนึ่ง
“จำได้ว่าข้าสอนให้เจ้าสงบใจนะ คีย์ อย่าลืมว่า ‘กระดิ่งมายา’ จะใช้ได้ต่อเมื่อผู้ใช้มีเพียงจิตอันว่างเปล่า”คำดุเฉกบิดาติบุตรีทำให้มือบางนั้นกำแน่น ก่อนที่นางจะปรือตาหลับลงอย่างแช่มช้า
ใช่.... บัดนี้นางคือ ‘คีย์’
หาใช่เจ้าหญิงครัสตาเซีย...
ดังนั้น... ความหวั่นไหวในใจ ความอ่อนแอในใจดวงนี้ นางจะทำลายมันให้หมด!
“ขอโทษ... แต่ข้าคิดไว้แล้วว่าจะไปหา ‘ผู้ใช้เงา’”คำพูดที่ทำให้ดวงหน้าหล่อเหลาของรูอินฉายแววเคร่งเครียดขึ้นบางเบา
“มาริ คาบันเกอร์ เจ้านักฆ่าโรคจิตนั่น”
“ใช่... ข้าได้ข่าวมาว่าเขาครอบครอง แหวนดราไวเกียร์ อยู่ เจ้าก็ช่วยพูดกับ ‘อาภรณ์เงาเสี้ยว’ ให้ทีละกัน”
ประโยคที่ทำให้ดวงตาคู่สวยบนดวงหน้าเฉกรูปปั้นของเทวดามิคาเอลเหนือหลังคาโบสถ์ ทว่ากลับเย็นชาเสียกว่าเหมันต์เบือนไปอีกทาง
“คงยาก เพราะเจ้านั่นไม่ชอบหน้าข้าเท่าไหร่”ทว่า ยังไม่ทันได้ต่อบทสนทนา ร่างสูงก็ต้องรีบสลายกายไปเมื่อประตูไม้แกะสลักถูกเปิดออกพร้อมร่างบางที่ก้าวเข้ามา
“อรุณสวัสดิ์คีย์ นี่คือ กราเซียร์ เดอร์ ลูซิเฟอร์ นักดาบอาคมแห่งเซนต์ราฟาเอล รับรองว่าคนๆนี้จะไม่มีวันเป็นตัวถ่วงของเจ้าแน่...”
*****************************
เสียงใบไม้แห้งที่ถูกฝีเท้าหนักๆเหยียบย่ำ ทำให้เกิดเสียงดังกรอบแกรบ ประสานกับเสียงของสายลมที่พัดเบาๆ หอบเอามวลใบไม้ให้ปลิวว่อนเฉกการร่ายรำแห่งธรรมชาติ
ร่างบางในชุดรัดกุมสีดำสนิทแลดูทะมัดทะแมง ก้าวเดินเนิบนาบราวกับไม่รีบร้อน ตามหลังมาด้วยร่างสูงของเด็กหนุ่มในชุดสีขาวสะอาดแบบพวกนักบวชในวิหาร ที่ดูจากเค้าโครงหน้าที่ยังอ่อนเยาว์ ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าอายุคงไม่พ้นสิบเจ็ด ดวงตาสีม่วงคมกริบบนดวงหน้าคมหวานละม้ายคล้ายอิสตรีเหลือบมองเสี้ยวหน้าของร่างระหงเบื้องหน้าด้วยความสงสัย
สตรีดำ.... คีย์
นามที่เขาได้ยินมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก ชื่อของหญิงสาวผู้น่าสะพรึงกลัว
แต่ดูยังไง... ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เห็นจะดูน่าหวาดกลัวแม้สักนิด
หากไม่นับดวงหน้านั้นที่งดงามราวกับไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา และนัยน์ตาสองเฉดสีแล้วละก็ คนๆนี้ก็ไม่เห็นจะแตกต่างจากคนทั่วไปเลย
“สงสัยอะไรงั้นหรือ”กระแสเสียงหวานทว่าเย็นชาเสมือนน้ำแข็งดังขึ้น ทำให้กราเซียร์หลุดออกจากห้วงความคิด ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธ
“เปล่า... ไม่มีอะไร”
คำพูดที่ทำให้มุมปากบางยกขึ้นน้อยๆ น้อยจนดูไม่เหมือนรอยยิ้ม
“จะถามอะไรก็ถามมา ไม่งั้นก็จงหุบปากเจ้าให้ได้ตลอดทาง”กล่าวเรียบ มือเรียวบางขยับน้อยๆ ทำให้กระดิ่งสีเงินลั่นเสียงขึ้นแผ่วเบา... แต่กังวาน
กริ๊ง....
“เรากำลังจะไปที่ไหนกัน”เสียงนุ่มติดจะทุ้มต่ำดังขึ้น ดวงหน้าหวานติดจะซีดน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงของวัตถุอันจ้อย
...น่ากลัว...
ใช่... เสียงเมื่อครู่ มันทำให้ร่างกายของเขาเย็นวาบ พร้อมความน่าหวาดหวั่นที่เข้าเกาะกุมหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“สุสาน”
เสียงที่ดังตอบ ทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ทันจะถามให้กระจ่างชัด หญิงสาวร่างระหงก็อธิบายราวกับรู้ทัน
“ไม่ต้องสงสัย ข้ากำลังจะไปสุสานจริง เพราะมีของบางอย่างที่ต้องไปเอา หมดคำถามแล้วใช่มั้ย”ถาม ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็นเมื่อนักดาบอาคมอายุน้อยเงียบไป แต่ทว่า! ในทันใดนั้น ดวงตาสองสีคู่งามก็ฉายแววเคร่งเครียด มือบางข้างซ้ายสะบัดขึ้นเร็วๆ
กริ๊ง... กริ๊ง.. กริ๊ง
สิ้นเสียงที่ดังแว่ว กระดิ่งสีเงินใบน้อยก็กลายเป็นคนศรงดงาม มือเรียวบางนั้นง้างสายหนังขึ้น ก่อนจะปล่อยลูกธนูเรืองแสงไป ยังพุ่มไม้ด้านหลัง เฉียดดวงหน้าของนักดาบหนุ่มไปเล็กน้อยอย่างน่าหวาดเสียว
เพล้ง!
ศรแสงที่พุ่งตรงนั้นปะทะกับม่านบาเรียสีดำสนิท เกิดเสียงราวแก้วแตกก่อนที่ร่างสีดำจะพุ่งทะยานออกมา
คีย์มองดูร่างที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ด้วยแววตาสงบ ศรงามถูกเหนี่ยวตรึงอีกครั้ง แต่ก่อนที่ลูกธนูจะได้แผลงฤทธิ์ ผู้ที่ตรงดิ่งมากลับเปลี่ยนวิถีไปโจมตีร่างสูงในชุดขาวแทน!
“โอริฮาร์ท”เสียงนุ่มดังก้องตามมาด้วยเสียงสบถลั่น ดาบคาตะนะสีเงินยวงก็ปรากฏบนมือแกร่งเยี่ยงผู้จับดาบเป็นเวลานานตามเสียงเพรียก กราเซียร์ยกวัตถุในมือขึ้นกันลูกพลังสีทมิฬที่พุ่งตรงมาได้ทันในเสี้ยววินาที แต่ก็ทำให้ร่างสูงของเขานั้นเซถอยหลังไปเหมือนกัน
“หยุดนะ!”เสียงหวานของสตรีในอาภรณ์สีรีตติกาลตวาดก้อง พร้อมคันธนูในมือที่กลับกลายมาเป็นกระดิ่งดังเดิม ทำให้ร่างทั้งสองชะงักวูบ
ร่างระหงสาวเท้ายาวๆเข้ามาประชิดเงาร่างสีดำที่เคยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเสมือนเส้นแสงเรียวยาว แต่เมื่อมันหยุดลงก็ทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้วมันคือร่างสูงในชุดคลุมขาดรุ่งริ่ง มือบางๆไม่รอช้ากระชากฮู้ดผ้าออกทันที พร้อมนัยน์ตาคู่สวยที่โชนแสงกล้า
“เพิ่งรู้ว่าเจ้าย่างก้าวออกมาจากสุสานได้แล้ว ผู้ใช้เงา มาริ คาบันเกอร์”
****************************
แซ่ก... แซ่ก...
เสียงฝีเท้าที่เหยียบย่ำบนพื้นใบไม้แห้งดังขึ้นอย่างเงียบงัน ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนอึมครึม
ดวงตาสีอเมทิสต์ของนักดาบหนุ่มมองดูร่างสองร่างที่เดินนำหน้าเขาอยู่ด้วยประกายบางอย่างที่อ่านไม่ออก
หนึ่ง...
คือสตรีดำแห่งยุคที่นิ่งเงียบจนผิดปรกติมาตั้งแต่เมื่อครู่ ร่างระหงคล้ายกลับแผ่รังสีอันเย็นเยียบออกมาบางๆ
และอีกหนึ่ง...
คือผู้ที่เกือบได้ดับชีวิตของเขา หากคีย์ไม่เข้ามาขวางเอาไว้...
ผมสีดำสนิทตั้งชี้รับกับอาภรณ์สีเดียวกัน ตัดกับผิวขาวซีดราวกับซากศพ ใบหน้าที่เคยซ่อนเร้นบัดนี้เผยให้เห็นนัยน์ตาประหลาด ด้วยข้างหนึ่งมีสีแดง อีกข้างเป็นสีของนภา
ดวงตา....
ที่คล้ายกันกับของหญิงสาวผู้เต็มไปด้วยความลับมหาศาล พอๆกับความน่ากลัว
“ถึงแล้ว”น้ำเสียงเรียบเย็นเอ่ยดังขึ้นอย่างเบื่อๆ เมื่อสองขาหยุดลงตรงหน้าป้ายหลุมศพที่เขียนไว้ว่า
‘Mari Kabunger’
“ทางเข้าบ้านเจ้าก็ยังคงไม่น่าพิสมัยเหมือนเดิม” กระแสเสียงราวไข่มุกกระทบจานแก้วพูด ก่อนที่ดวงตาสองสีคู่งามจะเบือนมาทางร่างสูงของกราเซียร์
“เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน”
คำสั่งที่ชวนให้สงสัยว่าสตรีเบื้องหน้าจะไปไหน เพราะที่นี่ นอกจากไม้กางเขนบิดเบี้ยวมากมายที่ปักเรียงรายและป้ายหลุมศพที่ตั้งอย่างโดดเดี่ยวแล้วนั้น ก็มีเพียงลานดินกว้างขว้างที่เงียบงัน
แต่แล้วความสงสัยก็พลันกระจ่าง เมื่อคนที่ถูกเรียกว่ามาริ... ผู้ใช้เงา กำลังเรียกมีดสั้นขุ่นหมองเหมือนไม่เคยขัดมานานปีออกมา ก่อนปักฉึกลงบนแท่นศิลาเย็นเฉียบ
ครืน...ครืน...
เสียงราวกับเครื่องจักรคำรน ป้ายหลุมศพสีดำสนิทเคลื่อนที่ไปทางด้านซ้าย เผยให้เห็นหลุมแคบๆที่มีบันไดยาวทอดลงไปสู่ใต้ดินอันมิอาจหยั่งความลึกได้ กลิ่นเหม็นอับโชยขึ้นมาจนนางต้องเบือนหน้าไปอีกทางอย่างอนาทใจ
…ทำไมถึงไม่ยอมทำประตูบ้านให้ดีๆเหมือนคนปรกติบ้างนะ
“เดี๋ยวข้าจะลงไปเอาของ ถ้าไม่อยากโดนกับดักของผู้ใช้เงา ก็จงอยู่เฉยๆ”เอ่ยเตือนเสียงเรียบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก ก่อนที่ร่างระหงจะก้าวลงบันไดไป ตามร่างสูงในชุดดำของเจ้าบ้านที่เดินนำไปก่อนแล้ว...
“พูดเหมือนข้าเป็นตัวอันตรายขนาดนั้น”เมื่อหูพลันแว่วเสียงแผ่นหินปิดสนิท คนที่แทบจะเงียบมาตลอดทางจึงได้เปิดปากพูด
“แล้วไม่ใช่หรือไงกัน”คีย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งๆประชดประชัน ก่อนจะสบนิ่งกับดวงตาที่จ้องมาตรงๆ
....ดวงตาสีเงินและฟ้าเหลือบรุ้ง
และดวงตาสีฟ้าและแดงฉานราวโลหิต
ยากจะตัดสินว่าคู่ไหนงามกว่า น่ากลัวกว่าและ....
อ้างว้างกว่ากัน
“เจ้ามาเอาธมรงค์แห่งดราไวเกียร์?”คำถามที่ดังขึ้น พร้อมร่างที่ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้ ทำให้คิ้วเรียวงามกระตุกน้อยๆด้วยความรำคาญใจปนหงุดหงิด
“หากรู้อยู่แล้ว เจ้าจะยังมาถามอีกทำไม ส่งแหวนมาดีกว่า ตอนนี้ข้ารีบ”ประโยคของคนที่นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างถือสิทธิ์ เรียกเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอของคนเป็นนักฆ่า ก่อนจะพูดไปอีกเรื่อง
“จิตใจของเจ้าว่างเปล่า... ต่างกับเมื่อห้าสิบปีก่อน รูอินคงสอนเจ้ามาดี”
ประดุจรอยแห่งความอัปยศถูกขุดขึ้นมาหยาม ทำให้ดวงหน้างามเริ่มขึ้นสีจางด้วยเพลิงโทสะอันสุดแน่น
โทสะของหญิงสาวที่เคยควบคุมอารมณ์ได้ดีเสมอ....
เพราะพลังอ่านใจของเจ้านี่! งี่เง่าที่สุด! มันทำให้นางต้องมานั่งฝึกวิชาสงบจิตกับรูอินที่แทบตายกว่าจะฝึกสำเร็จ
แต่ก่อนที่เรียวปากสวยจะได้เอ่ยอะไร กระดิ่งใบน้อยก็ทอแสงจาง พร้อมร่างสูงสง่าของผู้ถูกกล่าวถึงจะปรากฏขึ้น
“มาริ ตอนนี้พวกข้ามีภารกิจที่ต้องทำให้เสร็จก่อนหิมะตก และมันจำเป็นต้องใช้แหวนดราไวเกียร์ที่เจ้ามี ช่วยมอบมันให้ข้าที ลำพังเพียงพลังของเจ้าก็ปลดผนึกมันไม่ได้อยู่แล้ว”เสียงเรียบติดจะเย็นชาดุจน้ำแข็งดังขึ้น ด้วยเห็นว่าคีย์กำลังโกรธจนเริ่มจะนอกเรื่อง ทำให้ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆ พร้อมจี้รูปกางเขนสีเงินบนสายโซ่คล้องคอจะทอประกายสว่างวูบ
วาบ!
กลุ่มแสงสีดำที่เปล่งประกายดุจนิลกาฬแผ่ขยายออกมาจากตัวไม้กางเขน หลอมรวมจนกลายเป็นร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่ง...
“ใจเย็น เรารู้ว่าท่านต้องการมัน ซึ่งพวกข้าก็ไม่ได้หวงแหวนที่ไร้ประโยชน์สำหรับพวกข้ามากมายนักหรอก”ผู้มาใหม่คือชายหนุ่มในอาภรณ์เฉกเทพยุโรปเหนือเช่นเดียวกับรูอิน เส้นผมสีรัตติกาลซอยประไหล่ รับกับนัยน์ตาสีแดงที่ทอประกายอ่อนโยน ความอ่อนโยนที่มีหรือคนซึ่งรู้จักกันมากว่าพันปีจะไม่รู้ว่ามันคือสิ่งลวง...
คำสบถแผ่วเบาจึงได้พรั่งพรูออกจากเรียวปากบาง พร้อมนัยน์ตาสีฟ้าเหลือบรุ้งที่ทอแววเย็นจัดกว่าทุกครั้ง
“อาภรณ์เงาเสี้ยว ชาโดว์เรีย”
เจ้าของชื่อยิ้มรับอย่างอ่อนโยนเหมือนนักบุญผู้เมตา พร้อมกล่าวด้วยกระแสเสียงอบอุ่น
“มายารัตติกาล รูอิน นานแล้วที่ไม่ได้พบท่าน”
“ว่าไง ชาโดว์เรีย จะให้แหวนพวกเขามั้ย”ชายหนุ่มถามด้วยสีหน้าเบื่อๆ พลางนำมีดสั้นสีหมองๆขึ้นมาเช็ดคราบแห้งกรังซึ่งเดาได้ทันทีว่ามันคือโลหิตของมนุษย์
“ถ้าพวกเขาอยากได้ก็ให้พวกเขาไปสิ”คนถูกถามพูดพร้อมคลี่ยิ้มแฝงความนัยที่ไม่มีใครนอกจากมาริที่อ่านออก เขาจึงโบกมือวูบ แหวนวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ดวงตาสีฟ้าและชาดมองดูมันอย่างเฉยชา ก่อนจะกลิ้งมันลงบนโต๊ะไม้สีซีด
วัตถุสีดำสนิทกลิ้งหลุนๆไปตามแรงหมุน ก่อนจะหยุดลงเมื่อกระทบกับนิ้วเรียวยาวที่แตะมันแผ่วเบา
“ขอบคุณ งั้นพวกข้าก็หมดธุระแล้ว”คีย์ว่า แม้ในใจจะนึกสงสัยว่าเหตุใดคนทั้งสองถึงยอมให้แหวนวงนี้แก่นางมาโดยง่ายก็ตาม แต่นางรู้ว่าอยู่ที่นี่นานๆจะไม่เป็นการดี นางรู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นตัวอันตรายขนาดไหน
“อย่าให้ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคิดทำแผนชั่วๆอะไรอยู่”เสียงนุ่มนวลทว่าเย็นเยียบของชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงยาวสลวยเอ่ยขู่ ก่อนที่จะสลายร่างไป
“ข้าขอตัวก่อนละกัน”หญิงสาวว่า เส้นผมสีสว่างพลิ้วไหวน้อยๆยามร่างระหงลุกขึ้น เช่นเดียวกับกระดิ่งที่แว่วกังวาน
กริ๊ง....
“ไม่ส่งนะ”เสียงเย็นติดจะแหบแห้งของคนที่เป็นจ้าวของบ้านดังขึ้น เรียกเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอของคีย์
“ไม่เคยคิดว่าเจ้าจะส่งอยู่แล้ว”
กึก!
เสียงแผ่นศิลาถูกปิดอีกครั้งอย่างแผ่วเบา เป็นสัญญาณว่าร่างระหงได้จากไปแล้ว...
มันทำให้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนเรียวปากของนักฆ่าหนุ่ม
“หึๆ รูอิน... รูอิน ยังคงขี้ระแวงเช่นเคย งานเลี้ยงโลหิตที่พวกเราวางแผนไว้มันเลวร้ายตรงไหนกัน”
“นั่นสินะ.... มันออกจะน่าสนุกขนาดนี้”ตามมาด้วยเสียงอ่อนโยนดุจพ่อพระ ทั้งๆที่ดวงหน้านั้นเริ่มเย็นชาลง ดวงตาสีแดงสดทอประกายระริกราวพบเรื่องสนุก
มาริหัวเราะเบาๆ พลางพูดขึ้น
“เจ้าก็ว่าอย่างนั้นใช่มั้ย.... เนตรแสงจันทร์ คาร์เคียร์”
นิ้วเรียวของชาโดว์เรียชี้ขึ้นบนเพดานหิน พร้อมประกายแสงสีดำสนิทราวกับเงาจะพุ่งทะยาน... และจางหาย
ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะของคนทั้งสองเท่านั้น....
-chapter2 fin
ความคิดเห็น