ชั่วครู่หนึ่งดั่งนิจนิรันดร์ [Yaoi] - ชั่วครู่หนึ่งดั่งนิจนิรันดร์ [Yaoi] นิยาย ชั่วครู่หนึ่งดั่งนิจนิรันดร์ [Yaoi] : Dek-D.com - Writer

    ชั่วครู่หนึ่งดั่งนิจนิรันดร์ [Yaoi]

    โดย Malveillance

    เรื่องราวความรักกลิ่นอายจีนโบราณ ของหนึ่งแม่ทัพแห่งแดนใต้ กับผู้ที่เป็นน้องของศัตรู สงคราม...ความรัก...และความลับที่เมื่อเปิดเผยก็พบกับความรวดร้าวสุดหัวใจ (Yaoi)

    ผู้เข้าชมรวม

    659

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    659

    ความคิดเห็น


    13

    คนติดตาม


    35
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 เม.ย. 57 / 16:24 น.

    แท็กนิยาย

    นิยาย yaoi จีน fantasy



    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
     
     
     
     
     

    คนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมสะพาน...

    ข้างกายเขาคือต้นหลิวอ้อนแอ้น กับต้นท้อที่ออกดอกบานสะพรั่ง สายน้ำสะท้อนประกาย กลีบท้อร่วงหล่นอ้อยอิ่ง ขับเน้นเงาร่างของบุรุษผู้นั้นให้ดูยากแก่การเข้าถึง

    คนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมสะพาน ทอดมองไปยังปลายสะพานอีกฝั่ง...

    ข้างกายเขาอีกฟากคือกลุ่มเด็กน้อยที่ล้อมวงเล่นกันอย่างสนุกสนาน

    วันเวลาผ่านไป กลุ่มเด็กน้อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นบุตรธิดาของพวกเขาที่เข้ามาเล่นแทน


    คนผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่ริมสะพาน...

    กาลเวลาผันแปร ใบไม้ร่วงหล่น ประเดี๋ยวประด๋าวก็ผลิใบใหม่ ดอกท้อบานสะพรั่ง ร่วงโรย วนเวียนไปตามฤดู กลุ่มเด็กน้อยเติบโตขึ้น กลายเป็นหลานของเด็กกลุ่มแรกที่มาจับกลุ่มนั่งเล่นแทนที่กลุ่มเก่า


    คนผู้นั้นยังคงไม่ไปไหน...


    ผู้คนแปรเปลี่ยน สรรพสิ่งผันแปร กระทั่งผมยาวดำคลับของคนผู้นั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว


    สิ่งเดียวที่ยังเหมือนเดิมคือ เขายังคงยืนอยู่ริมสะพาน ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าคล้ายกับโลกนี้มิมีสิ่งใดควรค่าแก่การใส่ใจนอกเสียจากอีกฟากของสะพานนั้น





    สวัสดีค่ะทุกท่านที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าเรื่องนี้ออกแนว Yaoi เล็กน้อยนะคะ

    คือไม่มีฉากอะไร เน้นที่ความสัมพันธ์และความรู้สึก จะเรียกว่าใสๆก็ได้ค่ะ แต่ถ้าคนที่รับแนวตัวเอกเป็นชายทั้งคู่ไม่ได้จริงๆก็แนะนำให้กดปิดค่า

    เรื่องนี้แต่งไว้นานมากแล้ว และก็ดองยาวมาก ดองข้ามปี ในที่สุดก็ได้มาเขียนต่อจนจบค่ะ เจอคำผิดอย่างไรหรือมึนๆตรงไหนต้องขออภัยนะคะ พอดียังไม่ได้อ่านทวนเลยค่า TAT


    ใครที่เข้ามาอ่านแล้ว ชอบไม่ชอบอย่างไร ติชมได้นะคะ ‘w’



    ขอบคุณมากค่ะ ^^

     

     

    จันทราครึ่งเสี้ยว ดั่งความบอบบางของเจ้า

    ยกแก้วขึ้นจรดปาก ดื่มด่ำกับความหนาวเย็น

    เป็นผู้ใดกันที่เปิดประตูแห่งอดีต ปล่อยผุ่นละอองเหล่านั้นให้ฟุ้งกระจาย

     

    พรหมลิขิตที่หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านมาครั้งแล้วครั้งเล่า

    แต่ดวงหน้าโศกเศร้าและแดงก่ำเพราะหลั่งน้ำตาของเจ้าจะมิหวนคืนมาอีก

    แม้ว่าเรื่องราวยาวนานแห่งอดีตกาลจะสลายกลายเป็นฝุ่นธุลี

    หากความรักมิมีวันหายไป...

     

    หากความยิ่งใหญ่นั้นเปรียบดั่งสายน้ำที่หลั่งรินจากบูรพาสามพันปี

    ความรักที่ข้าเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็เป็นเพียงน้ำหนึ่งกระบวย

    หากเพียงเพราะรักเจ้า ก็ราวกับร่างกายได้โบยบินออกไปดุจผีเสื้อ

     

    เส้นผมของเจ้าดุจดั่งหิมะ ทำให้แม้การจากลาจะรวดร้าว แต่ก็งดงามยิ่งนัก

    ผู้ใดเล่าดับกำยานนั้น

    เชื้อเชิญจันทรากระจ่างขับเน้นความทรงจำของเรา

    ด้วยรักพิสุทธิ์พร่างพราวใต้เงาจันทร์

     

    เส้นผมของเจ้าละเอียดดั่งหิมะ หยาดน้ำตาไหลริน

    ผู้ใดกันข้ารอคอยจนเส้นผมขาวโพลน

     

    ในห้วงเวลาอันมึนมัวนั้น

    มิเคยนึกเสียใจสักครั้ง ที่จารจดแก่โลกนี้ไว้ว่ารักเจ้า...

     

    -คำแปลเพลง ฟารู่เสวี่ย (髮如雪) เรือนผมดั่งหิมะ-




    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                      

      瞬间可以成为永

      [Shùnjiān kěyǐ chéngwéi yǒnghéng]

      ช่วงเวลาหนึ่งดั่งนิจนิรันดร์

       

       

       

      คนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมสะพาน...

      ข้างกายเขาคือต้นหลิวอ้อนแอ้น กับต้นท้อที่ออกดอกบานสะพรั่ง สายน้ำสะท้อนประกาย กลีบท้อร่วงหล่นอ้อยอิ่ง ขับเน้นเงาร่างของบุรุษผู้นั้นให้ดูยากแก่การเข้าถึง

      คนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมสะพาน ทอดมองไปยังปลายสะพานอีกฝั่ง...

      ข้างกายเขาอีกฟากคือกลุ่มเด็กน้อยที่ล้อมวงเล่นกันอย่างสนุกสนาน

      วันเวลาผ่านไป กลุ่มเด็กน้อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นบุตรธิดาของพวกเขาที่เข้ามาเล่นแทน

      คนผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่ริมสะพาน...

      กาลเวลาผันแปร ใบไม้ร่วงหล่น ประเดี๋ยวประด๋าวก็ผลิใบใหม่ ดอกท้อบานสะพรั่ง ร่วงโรย วนเวียนไปตามฤดู กลุ่มเด็กน้อยเติบโตขึ้น กลายเป็นหลานของเด็กกลุ่มแรกที่มาจับกลุ่มนั่งเล่นแทนที่กลุ่มเก่า

      คนผู้นั้นยังคงไม่ไปไหน...

      ผู้คนแปรเปลี่ยน สรรพสิ่งผันแปร กระทั่งผมยาวดำคลับของคนผู้นั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว

      สิ่งเดียวที่ยังเหมือนเดิมคือ เขายังคงยืนอยู่ริมสะพาน ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าคล้ายกับโลกนี้มิมีสิ่งใดควรค่าแก่การใส่ใจนอกเสียจากอีกฟากของสะพานนั้น

      “ท่านแม่ ทำไมท่านลุงคนนั้นถึงเอาแต่ยืนจ้องสะพานเล่า ไม่ยอมข้ามไปเสียที”เด็กหญิงหันไปถามมารดาที่กำลังจูงมือน้อยของนางอยู่ นางเพิ่งติดตามบิดามารดาที่เป็นพ่อค้ามาที่เมืองนี้ได้ไม่กี่สัปดาห์ แต่ทุกครั้งที่เดินผ่านที่นี่ก็เห็นคนผู้นั้นยืนอยู่ริมสะพานเสมอ วันนี้จึงอดถามด้วยความไคร่รู้มิได้

      “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ชาวบ้านแถวนี้พูดกันว่า...”ผู้มารดาชำเลืองมองชายชราริมสะพานครั้งหนึ่ง ก่อนหันกลับมาตอบลูกน้อยด้วยเสียงแผ่วเบา

      “เขาเป็นคนสติไม่ดี”

      “สติไม่ดี? สติไม่ดีคืออะไรหรือ”นางถามต่ออย่างใสซื่อ เห็นมารดาทำสีหน้าลำบากใจ คล้ายไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี

      “ข้าจะไปคุยกับท่านลุง”
      หากแต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวเท้า มือน้อยก็ถูกฉุดรั้งไว้

      “อย่านะลูก เราต้องรีบไปช่วยพ่อเจ้าเปิดร้านนะ”นางเอ่ยปรามบุตรสาว พร้อมจูงร่างเล็กให้เดินต่อ ทั้งยังเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย

      “ต่อไปห้ามไปมองคนคนนั้นอีกเด็ดขาด คนสติไม่ดีคือคนที่เราไม่ควรเข้าใกล้ ถ้าลูกไปใกล้ล่ะก็ ต้องถูกเขาหักคอแน่”พูดขู่พร้อมทำหน้าขึงขัง จะอย่างไรก็มิควรให้ลูกนางไปยุ่งกับคนแบบนั้น หากอยู่ๆเขาคลุ้มคลั่งทำร้ายลูกนางจะทำอย่างไร

      “แต่ข้าไม่เห็นว่าท่านลุงจะเป็นคนไม่ดีนี่หน่า”เด็กน้อยแย้ง แต่สายตาดุๆของมารดาก็ทำให้นางเงียบไป และไม่ได้ยกเรื่องของชายชราริมสะพานมาพูดถึงอีกตลอดทั้งวัน

      ************************

                      หลังจากที่จักรพรรดิองค์เก่าสิ้นพระชลม์ลงอย่างกะทันหัน รัชทายาทที่ขึ้นครองราชย์แทนก็อายุเพียงสี่ชรรษาตกเป็นหุ่นเชิดของขุนนางกังฉิน วันหนึ่งๆราชสำนักเอาแต่ขูดรีดภาษี ผลาญเงินในท้องพระคลัง มิสนใจความเป็นอยู่ของประชา ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายโกลาหน ผู้คนอดหยาก ยังผลให้โจรผู้ร้ายปรากฏขึ้นก่อความเดือนร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง ผู้คนบางส่วนทนไม่ไหวจึงก่อกบฏ นำโดยองค์ชายจินเสี้ยน อนุชาในจักรพรรดิพระองค์ก่อน แยกประเทศออกมาเป็นจงกั๋วใต้ ดินแดนที่บรรพกษัตริย์รวบรวมอย่างยากลำบากพลันแบ่งออกเป็นเหนือใต้ ทำศึกรบพุ่งกันต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ นับเป็นปีที่สิบพอดี

                      มาบัดนี้ทางจงกั๋วใต้ปรากฏแม่ทัพเลื่องชื่อ ไป๋เซียนหยวน คนผู้นี้ชาติกำเนิดนับว่าไม่ต่ำต้อย เป็นขุนนางมาหลายแผ่นดิน แต่ถูกขุนนางชั่ววางแผนใส่ร้ายโดยการเป่าหูจักรพรรดิองค์ปัจจุบัณของจงกั๋วเหนือ ทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด ถูกสั่งประหารล้างโคตร ตัวเขาโชคดีรอดมาได้ก็แบกเอาความแค้นเต็มอกมาเข้าร่วมกับทางใต้ จับอาวุธนำทัพเข้าต่อกรกับจงกั๋วเหนือ มิคาดความสามารถของเขากลับโดดเด่นเลิศล้ำทั้งบุ๋นบู๊ เพียงปีเดียวก็กรีทาทัพตีศัตรูแตกกระเจิงไปได้ถึงสามศึกใหญ่ กลายเป็นเทพสงครามที่ผู้คนเลื่อมใส ศัตรูหวาดกลัว

                      แต่ทางจงกั๋วเหนือก็มิใช่ไร้คนสามารถ แม่ทัพกองธงสีชาด เว่ยจิง หากเปรียบไป๋เซียนหยวนเป็นเทพสงครามทิศใต้ เว่ยจิงผู้นี้ก็คือเทพสงครามทิศเหนือ  คนผู้นี้ความคิดอ่านลึกล้ำ วางแผนแยบยล แต่เดิมกองธงสีชาดรั้งกำลังอยู่ชายแดนทางเหนือ หลังจากสถาณการณ์กับทางใต้ย่ำแย่เต็มที เว่ยจิงจึงถูกเรียกตัวกลับมารบกับทางจงกั๋วใต้ ปะทะกับกองทัพใต้การนำของไป๋เซียนหยวน เป็นศึกที่กินเวลายาวนานหลายสิบวันเพราะแม่ทัพของทั้งสองฝ่ายต่างมีความสามารถสูสีคู่คี่ แต่ท้ายที่สุดเว่ยจิงกลับได้รับชัยชนะอย่างฉิวเฉียด ศึกนั้นเป็นครั้งแรกที่ไป๋เซียนหยวนพ่ายแพ้ เขาถอยทัพกลับไปตั้งหลัก รอวันที่จะหวนกลับไปตีจงกั๋วเหนือให้แตกกระเจิง       

                      แสงแดดจ้าของฤดูหนาวสาดส่องกระทบแม่น้ำที่ไหลผ่านตัวเมือง ทำให้เกิดประกายระยิบระยับแยงตา ในยามบ่ายที่แดดร้อนจัดเช่นนี้ ผู้คนต่างเลือกที่จะหยุดพักตามร้านน้ำชาหรือใต้ร่มไม้ ไม่ออกมาให้แดดเผาเกรียม เว้นแต่คนผู้หนึ่งที่เดินไปตามถนนด้วยสีหน้าสดชื่น มุมปากยังประดับรอยยิ้มน้อยๆอย่างไม่อินังขังขอบต่อแสงอาทิตย์

      บ้านเมืองดูสุขสงบ พ่อค้าก็ค้าขาย ชาวนาก็ทำนา เด็กเล็กๆบ้างก็ศึกษาตำรา บ้างก็วิ่งเล่น ภาพเช่นนี้คงพบเห็นได้แต่ในจงกั๋วใต้เท่านั้น ส่วนทางเหนือ ในตอนที่เขาจากมาก็เรียกได้ว่าบ้านเมืองย่ำแย่มากแล้ว โจรผู้ร้ายชุกชุม ราชสำนักเรียกเก็บภาษีโดยไม่สนใจความเป็นอยู่ของผู้คน ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่คงเลวร้ายมาก ยิ่งทางนั้นแพ้สงครามบ่อยครั้ง ก็ยิ่งขูดรีดเงินจากประชาชนไปบำรุงกองทัพ ส่วนคนหนุ่มก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารจนหมด เหลือแต่สตรีอ่อนแอและคนเฒ่าคนแก่ที่ต้องตรากตรำทำงาน ที่โชคดีหนีมาทางใต้ได้ก็มีไม่น้อย แต่ระยะหลังชายแดนมีการตรวจตราแน่นหนา หากถูกจับได้ต้องถูกสังหารยกครอบครัว ทำให้ผู้คนที่แม้จะความเป็นอยู่แร้นแค้น กระนั้นก็ไม่กล้าข้ามมาทางใต้อยู่ดี

       ต้องรีบทำศึกชนะทางเหนือให้ได้โดยเร็ว แล้วรวมจงกั๋วให้เป็นหนึ่งอีกครั้ง ฟื้นฟูบ้านเมืองให้ดีดั่งเดิม...

      คิดถึงตรงนี้ หว่างคิ้วของชายหนุ่มก็ปรากฏความกังวลขึ้นหลายส่วน หากดวงตาสีน้ำหมึกยังสาดประกายมุ่งมั่น

      แท้จริงแล้วบุรุษผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือเทพสงครามไป๋เซียนหยวนผู้โด่งดังนั่นเอง งานอดิเรกของแม่ทัพหนุ่มคนนี้คือการเดินเล่นรอบเมืองวันละหนึ่งรอบ เป็นการตรวจตราความเป็นอยู่ของชาวบ้านและพักผ่อนจากการทำศึกไปในตัว ผู้คนต่างก็เห็นหน้าค่าตาของไป๋เซียนหยวนจนคุ้นชิน บ้างก็ส่งเสียงตะโกนทักทาย บ้างก็นำของฝากติดมือมาให้ เด็กๆที่เห็นแม่ทัพหนุ่มเป็นดั่งวีรบุรุษในดวงใจรีบวิ่งเข้ามารุมล้อม ซักถามเรื่องราวต่างๆอย่างตื่นเต้น เขาก็ยิ้มรับและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง นิสัยง่ายๆไม่ถือตัวของไป๋เซียนหยวนทำให้ผู้คนยิ่งชื่นชมนับถือ

      เดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้สักพัก หูก็แว่วเสียงพิณกังวานใส ทำให้คิ้วเข้มเหมือนพู่กันวาดขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ใครหนอช่างมีอารมณ์สุนทรีเช่นนี้ เห็นชัดว่าแดดร้อนเปรี้ยง ยังมานั่งดีดพิณอยู่อีก....

      แต่ครั้นนึกได้ว่าตนยังมาเดินเล่นสบายใจเฉิบท่ามกลางแดดร้อนจัดได้ เรียวปากจึงหยัดยิ้ม ส่ายหน้าไปมา แล้วจึงเดินตามเสียงเพลงไปอย่างไม่คิดอะไร

                      เดินมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำ ใต้ต้นท้อใหญ่ที่ยืนตระหง่าน ปรากฏเงาร่างในชุดขาวกำลังนั่งบนศิลา บนตักคือพิณคันหนึ่ง สองมือดีดลงบนสายเอ็น กำเนิดบทเพลงระรื่นหูที่คล้ายจะดับร้อนไปได้เล็กน้อย

      ครั้นเมื่อรู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่นานสองนาน นิ้วมือเรียวยาวจึงหยุดลง พร้อมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

                      ชั่วชีวิตยี่สิบห้าปีของไป๋เซียนหยวน พบเห็นคนงามมาไม่น้อย แต่มิเคยมีความงามใดตราตรึงใจเขาเท่าดวงหน้านี้อีกแล้ว บนผิวขาวราวหิมะคือคิ้วบางแต่ดำสนิทดุจหมึกวาด หว่างคิ้วมีร่องรอยของความอ่อนโยนฉายชัด ขัดกันกับดวงตาหงที่เปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนใจ เรียวปากบางเป็นสีชมพูที่ดูซีดจางกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย นางสวมชุดขาวทั้งตัวที่แทบจะกลืนไปกับสีผิว ตัดกับเรือนผมยาวสีดำที่ไม่ได้รวบ แต่ปล่อยให้คลอเคลียไปกับก้อนศิลาและพื้นดิน

      มนุษย์มีคำเปรียบเปรยหญิงสาวว่างามดุจเทพธิดา ตัวเขานั้นไม่เคยพบเห็นเทพธิดามาก่อน แต่คิดว่าหากมีอยู่จริง พวกนางต้องงดงามมิผิดจากสตรีตรงหน้าเขาแน่นอน

      ครั้นรู้สึกตัวว่ากำลังจ้องนางอย่างมิสมควร เขาจึงเบือนหน้าหนี พร้อมเอ่ยอย่างเก้อเขิน

      “เสียมารยาทต่อแม่นางแล้ว”

      ประโยคนั้นเรียกรอยยิ้มบางเบาให้ปรากฏบนเรียวปากบาง หญิงสาวมองดูบุรุษตรงหน้า ก่อนเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ

      “ท่านคือแม่ทัพไป๋กระมัง”

      “ข้าแซ่ไป๋ ชื่อเซียนหยวน”เขาพยักหน้า ผู้คนแทบทั้งเมืองรู้จักเขาทั้งนั้น ไม่แปลกที่นางเองก็รู้ว่าเขาคือใคร

      “ได้พบท่านช่างเป็นเรื่องน่ายินดี วีรกรรมของท่านโด่งดังไม่น้อย”นางกล่าวยิ้มๆ ก่อนลงมือดีดพิณ พร้อมเอื้อนเพลงสั้นๆออกมาเพลงหนึ่ง

      เก่งกาจเทียมฟ้า สยบเมฆา เทพาสงคราม

      นำทัพกรีทา ต้านศัตรูพ่าย ไล่อริร้าย

      จ้าวทักษิณา สยบอุดร ประชาสรรเสิญ

      เหนือพ่ายทุกกระบวน ด้วยไป๋เซียนหยวน จงกั๋วหนึ่งเดียว

      เสียงของนางอาจไม่เรียกว่าหวานซึ้ง แต่ก็นุ่มกังวาน กระแสเสียงแฝงความเข้มแข็งห้าวหาญรับกันกับบทเพลง ทำให้เขาหัวเราะ ก่อนเอ่ยถ่อมตัว แม้ในใจจะอดภาคภูมิมิได้

      “เพลงนี้แต่งได้เกินจริงไปแล้ว หากข้าเป็นเทพสงครามจริง คราวก่อนคงไม่พลาดท่าเพลี่ยงพล้ำศัตรู”พูดพลางถือวิสาสะนั่งลงที่หินก้อนถัดไป

      “ไม่มีความจริงใยจึงมีเพลงนี้ขึ้น แม่ทัพไป๋อย่าได้ถ่อมตัว แม้ท่านพ่ายแพ้ แต่ทางเหนือก็กรำศึกมานาน ทั้งยังเคยพ่ายแพ้ศึกใหญ่ให้ท่านสามครั้ง ครานี้คงได้รับความเสียหายไม่น้อย”

      เห็นนางวิเคราะห์สถานการณ์ทัพทางจงกั๋วเหนือได้อย่างสุขุม ในใจเขาจึงเกิดความรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ คิดว่านางคงมิใช่สตรีชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่

      “ที่แม่นางพูดมานั้นถูกต้อง ไม่ทราบว่าแม่นางเป็นปราชญ์สำนักใดหรือ”

      หากประโยคนั้นกลับทำให้หญิงสาวยิ้มอย่างขำขัน

      “ข้าเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น”เว้นจังหวะไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถาม

      “แม่ทัพของจงกั๋วเหนือที่ท่านประมือด้วยคราวก่อน ท่านคิดว่าเขาเป็นอย่างไร”

      “แม่นางคงหมายถึงเว่ยจิงกระมัง”เขาว่า หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

      ชื่อนี้เป็นชื่อที่เขาไม่มีวันลืม คนที่ทำให้เขาต้องพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกทั้งๆที่ทุ่มเทใช้กลยุทธ์ไปมากมาย แต่อีกฝ่ายก็คล้ายกับรู้ล่วงหน้าเสมอ จึงตอบโต้ได้ทุกครั้ง ไล่ต้อนให้เขาต้องถอยร่นไปทีละน้อย

      “เขาเป็นคนเก่ง ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ถูกส่งไปอยู่ชายแดนเหนือตั้งหลายปี เพิ่งถูกเรียกตัวกลับมาเมื่อศึกครั้งที่แล้ว หากทัพจงกั๋วเหนือมีเขานำตั้งแต่แรก ไม่แน่ว่าชัยชนะสามครั้งของข้าจะได้มาง่ายดายเช่นนี้ ในฐานะศัตรูข้ามองว่าเขาอันตราย แต่ในฐานะทหาร ข้าชื่นชมว่าเขามีความสามารถ”ไป๋เซียนหยวนตอบ ในใจก็นึกหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าอาศัยความสามารถตนกับทัพที่เข้มแข็ง ไม่นานก็คงบุกตีจงกั๋วเหนือที่กองทัพนับวันยิ่งอ่อนกำลัง ช่วยองค์ชายจินเสี้ยนรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้อีกครั้ง ไม่คาดว่าจงกั๋วเหนือกลับซ่อนตัวผู้มีความสามารถไว้คนหนึ่ง คราวนี้การจะรวมจงกั๋วเหนือใต้คงลำบากเพิ่มขึ้นหลายส่วน

      นัยน์ตาหงมองดูแม่ทัพหนุ่ม คำตอบฉะฉานตรงไปตรงมาของเขาทำให้นางพยักหน้าอย่างพอใจ พร้อมยิ้มอย่างชื่นชม

      “แม่ทัพไป๋ห้าวหาญตรงไปตรงมายิ่ง ข้าน้อยเลื่อมใส”พูดพลางประสานมือคำนับเลียนแบบชาวยุทธ์อย่างหยอกล้อ ทำให้ไป๋เซียนหยวนหัวเราะร่วน ทั้งประสานมือตอบ

      “มิกล้า มิกล้า จอมยุทธ์หญิงกล่าวเกินไปแล้ว”

      หญิงสาวหัวเราะกับคำเรียกขานนั้น รอยยิ้มสดใสบนใบหน้างดงามทำเอาคนมองเผลอตะลึงลาน

      “เห็นแก่ที่ท่านยกย่องข้าเป็นจอมยุทธ์ ข้าจะเล่นเพลงให้ท่านฟังหนึ่งเพลง”นางพูดยิ้มๆ ก่อนกรีดนิ้วมือไปตามสายพิณทีหนึ่ง แล้วจึงเริ่มบรรเลงเพลง

      เสียงเสนาะใสร้อยเรียงเป็นท่วงทำนองสดชื่นมีชีวิตชีวา เป็นเพลงที่ทำให้คนฟังรู้สึกผ่อนคลาย ความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาราวกลับถูกเสียงพิณไล่กระเจิงไปหมด

      “ไพเราะมาก”เขากล่าวชมเมื่อบทเพลงนั้นจบลง

      “ฝีมืออ่อนด้วยนัก คำชมของท่านข้าไม่กล้ารับ”นางเอ่ยก่อนยกพิณออกจากตัก แล้วลุกขึ้นยืน บิดกายเล็กน้อยไล่ความเมื่อยขบ

      “ข้าคงต้องกลับแล้ว ขอบคุณแม่ทัพไป๋ที่สนทนาเป็นเพื่อน”พูดจบ ร่างบางแต่สูงระหงนั้นก็หันกายเดินขึ้นสะพาน ข้ามไปอีกฟากที่สายตาเขามองตามไปไม่ถึง

      “ยังไม่ได้ถามชื่อนางเลย”ไป๋เซียนหยวนบ่นพึมพำกับตนเอง ก่อนจะลุกขึ้นบ้าง

      เอาเถิด... เขามีความรู้สึกว่าจะต้องได้พบนางอีกแน่นอน

      แม่ทัพหนุ่มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะออกเดินตรวจตาเมืองต่อด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ

       

      ***************

                      เขาคงเป็นบ้าไปแล้วกระมัง...

      แม่ทัพหนุ่มเฝ้าครุ่นคิด

      หากไม่เรียกว่าบ้า แล้วไอ้การที่พอเสร็จประชุมวางแผนรบ ก็รีบถ่อมาที่สะพานข้ามแม่น้ำในทันที เพื่อหวังจะพบหน้าสตรีที่ตนไม่รู้จักกระทั่งชื่อ จะเรียกว่าอะไรได้อีก

      เซียนหยวนถอนหายใจยาว สายตามองดูผืนฟ้าที่เริ่มมืดลงทุกที ทั้งๆที่ตอนแรกยังคงมีแดดเปรี้ยงราวกับจะย่างคนให้สุกได้

      นี่เขารอมาสองชั่วยามได้แล้วกระมัง...

      คิดแล้วก็ถอนหายใจ นึกว่าตนช่างบ้าบอสิ้นดีที่ทำแบบนี้

      แต่ในขณะที่กำลังจะถอดใจกลับจวน เสียงที่แฝงความงงงวยสงสัยก็ดังขึ้น

      “ท่านแม่ทัพ...”

      ดวงตาคมปลาบรีบเบือนไปมองอีกฟากหนึ่งของปลายสะพาน เป็นนาง! สตรีที่เขาเฝ้ารอตั้งแต่บ่ายยืนอยู่ตรงนั้น นางยังคงสวมชุดขาว ที่หลังสะพายห่อพิณเช่นเมื่อวาน

      “ท่านมารอข้าหรือ”นางถาม คิ้วเรียวบนดวงหน้าหมดจดขมวดเข้าหากันน้อยๆ ร่างบางเดินข้ามสะพานมา หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา

      เซียนหยวนกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนตอบอย่างมีมาด

      “ข้าแค่เดินผ่านมาเท่านั้น”

      หากหญิงสาวได้ฟังแล้วกลับเลิกคิ้วสูง พร้อมยิ้มอย่างขบขัน ทำให้แม่ทัพหนุ่มรู้สึกลนลานชอบกล

      “ถ้าเช่นนั้น.... ท่านแม่ทัพคงไปอาบแดดมาก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่ ผิวจึงได้เกรียมเช่นนี้”นางพูดพลางใช้นิ้วจิ้มๆท่อนแขนของเขา ท่าทางนั้นทำให้เดาได้ว่านางไม่ได้เชื่อคำพูดเมื่อครู่ของเขาสักนิด ทำเอาเขารู้สึกกระดากอย่างยิ่ง

      แม่ทัพเลื่องชื่อคนหนึ่งถึงกับมาดักรอสตรีแปลกหน้าจนแดดเผาไปครึ่งร่าง ถ้าใครรู้เข้า เขามิต้องถูกล้อไปอีกนานรึ

      เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของแม่ทัพหนุ่มแล้ว นางจึงได้หัวเราะร่า ก่อนจะใช้มือปัดๆก้อนหินใหญ่แล้วนั่งลง โดยไม่ลืมฉุดร่างสูงให้นั่งลงข้างๆ

      “ว่าแต่ท่านแม่ทัพมีธุระอะไรกับข้าหรือ”นางถาม ดวงตางดงามจ้องมองมาด้วยความสงสัย

      คำถามนั้นทำเอาเซียนหยวนชะงักไปทันที

      นั่นก็เพราะตัวเขาเองยังไม่รู้ว่ามาพบนางเพราะอะไร...

      อยากเจอหรือ? ใช่ เขาอยากพบหน้านางอีกครั้งจริงๆ แม้ไม่รู้ว่าทำไมก็ตาม ราวกับใบหน้านางได้สลักแน่นอยู่ในความคิดของเขาอย่างลึกล้ำ สลัดยังไงก็ไม่หาย แต่จะตอบเช่นนี้ไปกับสตรีที่เพิ่งพบกับเพียงสองครั้งย่อมไม่เหมาะ นางคงได้เห็นเขาเป็นพวกเสเพลเจ้าชู้แน่นอน

      “ข้าอยากรู้ชื่อเจ้า”

      สุดท้ายแล้วจึงได้ตอบไปเช่นนี้ แม้มันจะดูเป็นเหตุผลที่บ้าบอและฟังไม่ขึ้นสิ้นดีกับการที่แม่ทัพเช่นเขาจะมารอนางนานสองนานเพียงเพื่อจะถามชื่อเท่านั้น แม้มันจะเป็นความจริงส่วนหนึ่งก็ตาม เขาอยากรู้ชื่อของนาง อยากรู้จักนางมากกว่านี้...

      “ให้แม่ทัพเลื่องชื่อเช่นท่านมารอเพื่อถามชื่อ นองจากข้าแล้วจะมีใครได้รับเกรียติเช่นนี้อีก”นางพูดกลั้วหัวเราะ รอยยิ้มแจ่มใสบนใบหน้านั้นดูงดงามเสียจนคนมองตาพร่า หัวใจกระตุก

      “ข้าไม่ได้มารอซะหน่อย”เซียนหยวนยังอดเถียงเบาๆไม่ได้

      “เอาเถิด ข้าไม่ล้อท่านแล้วก็ได้”หญิงสาวพูด ท่าทางของนางดูเปิดเผยจริงใจนัก ไม่ว่าจะยามหัวเราะ หรือการกระชากเขาให้นั่งลง ผิดแผกจากสตรีทั่วไปที่เขาเคยพบ แต่ก็ดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง

      “แต่ท่านแน่ใจหรือว่าอยากรู้ชื่อข้า”นางถาม

      “ข้าอยากรู้แน่นอน ขอทราบนามอันสูงส่งของแม่นางได้หรือไม่”เซียนหยวนถามกึ่งหยอกล้อ จึงถูกมือเรียวตีไปหนึ่งหน

      “ย่อมได้ แต่ข้าอยากให้ท่านรับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อน”นางว่า แต่เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของอีกฝ่าย จึงรีบพูดเสริมอีกประโยค”แน่นอนว่าไม่ใช่เรืองใหญ่หรืออันตรายต่อท่านแต่อย่างใด”

      เห็นนางกำชับเช่นนั้น อีกทั้งคำขอของสตรีนางหนึ่งจะยากเย็นสักปานไหนหันเชียว สุดท้ายเซียนหยวนจึงพยักหน้า พร้อมเอ่ย

      “ข้ารับปากเจ้า”

      ได้ยินเช่นนั้น เรียวปากบางจึงได้ยิ้มออกมา ก่อนกล่าว

      “ข้าอยากให้ท่านรับปากข้าว่า เมื่อท่านรู้นามของข้า ก็อย่าได้บอกต่อแก่ผู้ใด และเมื่อรู้นามของข้าแล้ว ท่านจะเลือกมาพบข้าอีกหรือไม่ ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน”พูดจบ มือเรียวก็ยกพิณขึ้นมาวางบนตัก ปลายนิ้วกรีดผ่านสายที่ถูกขึงพาด นางบรรเลงเพลงสั้นๆออกมาเพลงหนึ่ง นัยน์ตาเรียวสวยเหม่อมองไปเบื้องหน้าคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ปรือปิดลง

      “ข้าแซ่ตงฟาง...”เสียงนุ่มเอ่ย แซ่นั้นทำให้สีหน้าของแม่ทัพหนุ่มเปลี่ยนไปในทันที และนั่นก็เป็นสิ่งที่นางคาดเดาไว้อยู่แล้ว จึงไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่แววตาสะท้อนความโศกเศร้าเล็กน้อย

      “ชื่อเสวี่ยเหมย ตงฟางเสวี่ยเหมย และเป็นน้องสาวแท้ๆของตงฟางเสวี่ยชิง หรือก็คือเว่ยจิงที่ท่านรู้จัก...”

      ******************

                      คืนนั้นเซียนหยวนนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงทั้งคืน

      สมองเขามีแต่เรื่องของแม่นางตงฟางวนเวียนอยู่ในหัว.... นางแซ่ตงฟาง สกุลเก่าแก่แห่งจงกั๋ว และยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นน้องสาวของศัตรูของเขา เว่ยจิง

      ใช่ว่าเขาไม่รู้มาก่อนว่ามีคนจากตระกูลตงฟางหนีมาอาศัยอยู่ที่จงกั๋วใต้ เรื่องนี้เขารู้มาสักพักแล้ว ในสภาพที่ความเป็นอยู่เลวร้าย ด้านสงครามก็ตกเป็นรอง มีคนจากตระกูลตงฟางมาขอพึ่งพิงจงกั๋วใต้ โดยบอกว่าตัดความสัมพันธ์กับตระกูลทางจงกั๋วเหนือจนหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งยังยอมพักอาศัยอยู่ในเรือนที่ทางการจงกั๋วใต้จัดไว้ให้อย่างสงบเสงี่ยม มีการให้ทหารจับตาดูอย่างแน่นหนา แต่ก็ไม่มีวี่แววการเคลื่อนไหวผิดปกติใดๆจากคนแซ่ตงฟางแม้แต่น้อย

      แต่เขาไม่คิดว่าหนึ่งในคนที่หลบมาอยู่จงกั๋วใต้จะเป็นน้องสาวแท้ๆของเว่ยจิง....

      พอคิดถึงตรงนี้ แม่ทัพหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

      นางเป็นน้องสาวของศัตรู... แต่จะให้เขาโกรธเกลียดนางหรือ แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด เขารู้ตัวดีว่ามิอาจทำได้

      มันน่าประหลาด และคิดๆไปก็น่าขบขันนัก ตัวเขาไม่เคยลุ่มหลงสุรานารีใดๆ กลับหลงใหลสตรีที่เพิ่งได้พบกันเพียงสองหนเท่านั้น

                      นางงดงาม... แต่เพียงงามอย่างเดียวใจเขาคงไม่ปั่นป่วนเช่นนี้ นางแตกต่างจากสตรีทั่วไป ไม่ทาแป้งแต้มชาด ไม่สวมอาภรณ์สีสัน ไม่ประโคมเครื่องหอมฉุนจมูก ทุกคำพูดการกระทำของนางเปิดเผย มิได้เอียงอาย หากก็มิได้ดูเสแสร้งแกล้งทำ แม้แต่หัวข้อการสนทนายังเป็นเรื่องของบ้านเมืองซึ่งนางวิเคราะห์ได้อย่างหลักแหลม

                      สตรีเช่นนี้มิเพียงแต่ดีที่รูปโฉมดั่งมาลาประดับข้างกายบุรุษ แต่เป็นดอกไม้เหล็กกล้าที่สมควรแก่การเป็นคู่คิดข้างกายตลอดชีวิต

      นัยน์ตาสีน้ำหมึกทอประกายอยู่ในความมืด เมื่อตัดสินใจได้เด็ดขาด

      พรุ่งนี้เขาจะไปพบเสวี่ยเหมยอีกครั้ง เป็นน้องของเว่ยจิงแล้วอย่างไร สกุลตงฟางที่ข้ามมาจงกั๋วใต้สาบานตัดสัมพันธ์กับตระกูลฝ่ายเหนือแล้ว ดังนั้นการที่เขาจะพบกับนางก็หาได้เป็นเรื่องไม่สมควรไม่

      ตงฟางเสวี่ยเหมย...

      เรียวปากหยักเป็นรอยยิ้มเมื่อภาพของสตรีเจ้าของนามปรากฏขึ้นในมโนภาพ

      สตีในใต้หล้ามีมากมาย แต่สตรีที่จะอยู่ข้างกายเขาไป๋เซียนหยวนต้องเป็นนางเท่านั้น!

      *************

                      ร่างแบบบางในชุดขาวยังคงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ บนตักคือพิณ แต่กลับมิได้บรรเลง นัยน์ตาหงติดจะเหม่อลอยอยู่หลายส่วน

      วันนี้เขาคงไม่มากระมัง...

      คิดแล้วจึงถอนหายใจ นิ้วเรียวกรีดไปตามสายพิณ เกิดเสียงกังวาลใสไล่สูงต่ำ

      “แม่นางเสวี่ยเหมย”เสียงเรียกดังขึ้น ดึงเอาสติที่ล่องลอยไปไกลหวนกลับมา

      นางหันไปตามเสียงเรียก เห็นร่างสูงของแม่ทัพเลื่องชื่อแห่งแดนใต้ยืนอยู่ เรียวปากจึงปรากฏรอยยิ้มอย่างยินดีระคนแปลกใจ

      “ท่านแม่ทัพ”

      เขาเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาคู่คมเสมองทางอื่นอย่างเก้อเขินเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยประโยคที่เขาคิดเรียบเรียงมาตลอดทั้งคืน

      “แม่นางเสวี่ยเหมย ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะแซ่ตงฟางหรือเป็นน้องของใคร แต่เมื่อเจ้าตัดสินใจมาอยู่ที่จงกั๋วใต้ นั่นหมายถึงแม่นางกับทางเหนือไม่เกี่ยวข้องกันอีก และข้าเองก็...ชอบเจ้ามาก ดังนั้น... ให้ข้าเป็นสหายกับแม่นางได้หรือไม่”พูดจบ เขาเองก็แทบจะกลั้นหายใจด้วยความลุ้นระทึกกับคำตอบ

      ถ้านางไม่อยากคบหากับเขาเล่า หากนางโกรธเกลียดเขาเล่า อย่างไรนางกับเว่ยจิงก็เป็นพี่น้องกัน แม้นางจะตัดสัมพันธ์กับตระกูลทางเหนือแล้วก็ตาม ดังนั้นหากนางแค้นเคืองเขาที่เป็นศัตรูกับพี่นาง เขาก็ไม่แปลกใจเลย

      หากเสวี่ยเหมยกลับหัวเราะกับท่าทีเกร็งๆไม่สมตัวของแม่ทัพหนุ่ม นัยน์ตาหงเปี่ยมเสน่ห์เปล่งประกายระยับดั่งดวงดาวยาวกล่าวคำตอบที่ทำให้หัวใจคนฟังเต้นระรัว

      “ตกลง ข้าเองก็ชอบท่านมาก เราเป็นสหายกันแล้วนะท่านแม่ทัพ”

      เซียนหยวนไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน... ความรู้สึกที่หัวใจเต้นผิดจังหวะเพียงแค่เห็นนางยิ้ม ความรู้สึกเปี่ยมสุขยามนางบอกว่าชอบเขา... แม้คำว่าชอบของนางอาจหมายถึงความชอบเช่นสหายพึงมีต่อกันก็ตาม

      อา... เขาคงเป็นบ้าไปแล้วกระมัง

      ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มกำลังจมอยู่ในห้วงคิด เสวี่ยเหมยก็ลอบขำใบหน้าแดงๆและท่าทีเก้อเขินดั่งเด็กหนุ่มที่ตกอยู่ในห้วงรักเป็นครั้งแรก ชวนให้รู้สึกทั้งขบขันทั้งเอ็นดู

      “ท่านจะยืนอยู่อีกนานมั้ย นั่งลงเถิด”นางว่า พร้อมเอื้อมมือไปดึงชายแขนเสื้อของอีกฝ่ายให้นั่งลงข้างกาย

      “เพื่อความสบายใจ เราจะไม่คุยเรื่องสงครามกัน ดีหรือไม่”นางถาม ซึ่งเซียนหยวนก็เห็นด้วย เรื่องสงครามหากยกมาคุยกันก็มีแต่จะลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย

                      “แม่นางอยู่ที่นี่ สุขสบายดีหรือไม่”เขาเอ่ยถามอย่างนึกเป็นห่วง ฐานะของนางในตอนนี้เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับเชลย เพียงแต่สูงศักดิ์กว่าและมีอิสระมากกว่าเล็กน้อยเท่านั้น แต่แน่นอน... แม้จะเรียกว่ามีอิสระ แต่ทุกการกระทำของนางล้วนอยู่ภายใต้การจับตามองของทางการทั้งสิ้น

      “นับว่าสุขสบายมากแล้วสำหรับคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นเช่นข้า อย่างน้อยเขาก็ยังอนุญาติให้ข้าออกมาเดินเล่นได้ไม่เกินเขตุสะพานนี้”นางตอบ แล้วพูดเสริม เพราะรับรู้ได้ว่าเขาเป็นห่วง “ข้าไม่ได้ลำบากเลย ยิ่งได้ท่านเป็นสหาย ชีวิตข้าก็นับว่ามีความสุขเพิ่มขึ้นอีกประการแล้ว”

      เซียนหยวนมองดูรอยยิ้มของนาง เป็นรอยยิ้มจริงใจเปิดเผย บ่งบอกว่านางคิดเช่นนั้นจริงๆ มิใช่เพียงพูดเพื่อให้เขาสบายใจ

      “เมื่อสงครามจบแล้ว เจ้าจะกลับไปทางเหนือหรือจะยังอยู่ที่นี่”

      “เมื่อจบสงคราม จงกั๋วก็คงไม่มีเหนือใต้แล้วกระมัง”เสวี่ยเหมยว่า ดวงตาทอดมองออกไปยังเบื้องหน้า แต่กลับคล้ายว่านางกำลังมองไปยังสถานที่อื่นที่อยู่แสนไกล

      “ท่านอยากให้ข้าอยู่ที่นี่หรือไม่”นางเอ่ยยิ้มๆ พร้อมหันมามองสบตาคนข้างกาย

      “ถ้าข้าตอบว่าอยากให้เจ้าอยู่กับข้า เจ้าจะว่าอย่างไร”แม่ทัพหนุ่มถามกลับ สายตาที่มองกลับไปนั้นจริงจังยิ่ง

      ความนัยของประโยคนั้น ไม่ว่าใครก็คงเข้าใจความหมาย หัวใจของนางไหวระรัว หากก็ยังแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนความหวั่นไหวนั้น แล้วพูดเปลี่ยนเรื่องโดยไม่ยอมตอบ

      ***********

                      ยิ่งได้พบ ได้พูดคุยกับเสวี่ยเหมย เซียนหยวนก็รู้สึกว่าชอบนางมากขึ้นทุกวัน เพียงแค่ได้เห็นหน้านาง เขาก็ยิ้มได้ทั้งวันราวกับคนบ้า จนโดนเหล่าทหารในสังกัจเอาไปเป็นขี้ปากว่าท่านแม่ทัพตกอยู่ในห้วงรักเสียแล้ว ซึ่งเขาก็คร้านจะต่อว่าในเมื่อมันเป็นเรื่องจริง

      ในตอนนี้เขายังมีภาระกอบกู้บ้านเมืองอยู่บนบ่า แต่เมื่อจบสงครามสิ่งแรกที่เขาจะทำคือสู่ขอนางมาเป็นภรรยาอย่างสมเกียรติ

      “ยิ้มอะไรของเจ้า คิดถึงสตรีนางใดอยู่รึ”เสียงทุ้มดังขึ้น เรียกให้สติที่ฝันหวานไปไกลลอยกลับเข้าร่าง

      “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย เพียงแต่วันนี้อากาศดียิ่งนัก กระหม่อมเลยยิ้มให้กับต้นไม้ใบหญ้าเท่านั้น”เขาตอบอย่างนอบน้อม หากผู้สูงศักดิ์กว่ากลับหัวเราะอย่างรู้ทัน

      “ไม่ต้องแกล้งเฉไฉไปหรอก พวกทหารลือกันไปทั่วว่าท่านแม่ทัพของพวกมันกำลังอยู่ในห้วงรัก”องค์ชายจินเสี้ยนหยอกล้อ ทำให้คนถูกแซวโอดครวญ

      “แม้แต่พระองค์ก็เป็นไปกับพวกนั้นด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

      “เอาเถิดๆ ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร คนหนุ่มมีความรักเป็นเรื่องดี วัยอย่างเจ้าก็สมควรตบแต่งภรรยาได้แล้ว ข้าเพียงนึกสงสัยว่าสตรีเช่นไรที่ทำให้เจ้าหวั่นไหวได้ นางคงงดงามมากเป็นแน่แท้”ตรัสอย่างนึกฉนง เพราะรู้กันดีว่าไป๋เซียนหยวนเป็นบุรุษเคร่งขรึม ไม่เที่ยวกินดื่มสุรานารี สนใจเพียงเรื่องรบทัพจับศึก ดังนั้นสตรีที่ทำให้คนเช่นนี้รักได้ย่อมต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่แท้

                      “งามมากจริงๆพ่ะย่ะค่ะ ไม่เพียงงามแต่ยังปราดเปรื่อง นางพิเศษกว่าสตรีใดที่ข้าเคยพบ เพียงได้พบนางครั้งแรกข้าก็มั่นใจว่าภรรยาของข้าต้องเป็นนางเท่านั้น”

      สีหน้าแววตาของแม่ทัพหนุ่มยามเอ่ยถึงนางอันเป็นที่รักนั้นแลดูอ่อนโยนลงหลายส่วน ทำให้คนมองอดยิ้มไม่ได้ ไป๋เซียนหยวนอายุน้อยกว่าเขาสิบปี เขาจึงมองอีกฝ่ายเหมือนลูกหลาน ครั้งแรกที่เซียนหยวนมาที่นี่ได้แบกความแค้นไว้เต็มอก แววตามืดมัวน่ากลัวนัก เมื่อเห็นว่ายามนี้แววตาอ่อนลงมาก ในใจจึงรู้สึกยินดียิ่ง

      “เซียนหยวน เจ้าทำคุณงามความดีไว้มาก หากไม่มีเจ้า การศึกของเราไหนเลยจะชนะติดต่อกันถึงสามครั้ง ข้าเองก็เห็นเจ้าเหมือนลูกชาย หลังจบศึกนี้อย่าลืมแนะนำนางให้ข้ารู้จัก ข้าจะเป็นเจ้าภาพจัดงานแต่งให้เจ้าเอง”ตรัสพลางตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ ทำให้แม่ทัพหนุ่มยิ้มอย่างตื้นตันใจ สองมือยกขึ้นประสาน แล้วกล่าว

      “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

      ********

         ปลายเดือนเก้า ทัพของจงกั๋วใต้นำโดยแม่ทัพไป๋เซียนหยวนบุกตีค่ายของจงกั๋วเหนือแตกพ่าย ถอยร่นเข้าไปในหุบเขาหยางซาน จวกั๋วเหนือเสียกำลังไปราวสามพันเศษ ส่วนทางจงกั๋วใต้บาดเจ็บล้มตายรวมหนึ่งพัน

      ต้นเดือนสิบ ค่ายที่แตกไปของจงกั๋วเหนือเป็นเพียงอุบาย เมื่อไล่ตามเข้าไปถึงหุบเขาหยางซาน ก็โดนพลธนูและพลทหารของจงกั๋วเหนือซึ่งซุ่มรออยู่ลอบโจมตี สถานการณ์ตึงมือ ผ่านไปสามวันสามคืนก็ยังไม่สามารถตีฝ่าวงล้อมไปได้ แม่ทัพเว่ยจิวใช้คนสามพันที่ค่ายสังเวยชีวิตเพื่อล่อให้พวกเขาติดกับ เป็นแผนที่อมหิตยิ่งนัก

      เข้าสู่วันที่สี่ซึ่งถูกปิดล้อมในหุบเขา ทหารจงกั๋วใต้จากหนึ่งหมื่อนเหลือเพียงสองพัน ทหารขอวจงกั๋วเหนือไม่เมาก แต่อาศัยชัยภูมิในการโจมตีแบบกองโจร อีกทั้วยังปิดล้อมเส้นทางหนาแน่นจนมิอาจตีฝ่าไปได้ อากาศเริ่มหนาวเย็น วันนั้นแม่ทัพของทั้งสองได้ประมือกัน ฝ่ายเว่ยจิงพลาดท่าถูกหนึ่งดาบ เซียนหยวนจึงสามารถนำไพร่พลที่เหลืออยู่ตีฝ่าวงล้อมไปได้ และได้ถอยร่นกลับไปตั้งหลักที่เมือง โดยที่ทางจงกั๋วเหนือไม่ได้ตามมาเพราะแม่ทัพบาดเจ็บ อีกทั้งการรบยืดเยื้อในฤดูหนาวย่อมไม่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย

      กลางเดือนสิบ แม่ทัพเซียนหยวนกลับถึงเมือง แม้จะไม่ได้ชัยกลับมา แต่ข่าวว่าแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บก็สร้างขวัญกำลังใจแก่ทหารและผู้คนไม่น้อย

      อากาศหนาวแรกของเหมันต์ปีนี้เย็นจัดกว่าปีก่อนๆ ร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มเดินไปยังสะพาน จุดนัดพบของเขากับแม่นางเสวี่ยเหมย

      เขาเพิ่งกลับมาถึงเมือง หลังจากรายงานสถานการณ์การรบเสร็จฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว แต่แม้ว่าจะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่ขาของเขาก็ยังคงพามาที่นี่ แม้ไม่รู้ว่าจะได้พบสตรีในดวงใจหรือไม่

      เซียนหยวนนั่งลงบนหิน แน่นอนว่านางไม่อยู่ ปกติเขาจะได้พบนางแค่ในยามกลางวันเท่านั้น จึงได้แต่นั่งเงียบๆ ทอดสายตามองผิวน้ำ แล้วจึงถอนหายใจออกมา

      แต่ไม่ได้พบนางก็อาจจะดีกว่าก็เป็นได้ ข่าวที่ว่าเว่ยจิงถูกดาบเขาหนึ่งแผลแพร่ไปทั่วเมือง หากได้พบเสวี่ยเหมยตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้จะพูดกับนางว่าอย่างไร

      จะดีแค่ไหนหากนางมิได้แซ่ตงฟาง... จะดีเพียงใดหากนางไม่ใช่น้องสาวของเว่ยจิง...

      เซียนหยวนถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับจวนด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง...

      ***********

                       สี่วันหลังจากนั้น เขายังคงไม่ได้พบนาง ในใจร้อนรนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในใจอยากรีบไปหานางถึงที่จวน แต่ก็กังวลว่าที่นางหายไปเพราะไม่อยากพบเขา จึวได้แต่เพียงมานั่งรอนางที่ริมสะพานทุกวัน กระทั่งถึงวันที่ห้า

                      ปลายสะพานอีกฝั่งปรากฏเงาร่างสูงระหงผอมบางในชุดขาว นางยังคงนำพิณติดกายมาเช่นุกครั้ง และดูจะแปลกใจเล็กน้อยเมื่อพบเขา

                      “ข้านึกว่าท่านยุ่งกับงานอยู่เสียอีก”เสวี่ยเหมยกล่าว น้ำเสียงของนางฟังดูอ่อนระโหยโรยแรง เมื่อนางเดินมานั่งข้างเขาก็ทำให้เห็นว่าหน้าของนางซีดเซียวและเต็มไปด้วยความกังวลหม่นหมอง ทำให้หัวใจของแม่ทัพหนุ่มกระตุกวูบ

                      เขารู้ดี... เหตุผลที่ทำให้นางมีสีหน้าวิตกเช่นนี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากข่าวพี่ชายของนาง

      “ข้าขอโทษ... เรื่องพี่เจ้า”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พลันรู้สึกว่าตนเองไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้านางตรงๆ

      เสวี่ยเหมยมองสีหน้ารู้สึกผิดของบุรุษข้างกายแล้วจึงกุมมือหนาไว้เบาๆ ก่อนเอ่ย

      “จะขอโทษทำไม เรื่องนี้ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วย่อมเกิดขึ้นในสักวัน ตงฟางเสวี่ยชิงกับไป๋เซียนหยวนถูกกำหนดให้อยู่ร่วมโลกเดียวกันมิได้ ข้าเองก็ทำใจเอาไว้แต่แรกแล้ว”

      “เสวี่ยเหมย...”เซียนหยวนมองสบดวงตาของนาง แล้วกุมกระชับมือบางของนางไว้แน่น ยึดสิ่งนี้เป็นที่พึ่งให้หัวใจอันเหนื่อยล้า

      ทำสงคราม ไม่ใช่เพียงกายที่เหนื่อย แต่เป็นจิตใจที่เหนื่อยกว่า....

      “เจ้าหายไปไหนมาสี่วัน ข้านึกว่าเจ้าเกลียดข้าเสียแล้ว”

      ประโยคที่เรียกเสียวหัวเราะจากร่างบาง เสวี่ยเหมยเอนศรีษะซบไหล่กว้าง แล้วจึงตอบ

      “ท่านน่ะเป็นพวกชอบคิดมาก ข้าสุขภาพไม่ดีมาแต่เล็ก พออากาศเย็นลงหน่อยจึงล้มป่วยเท่านั้น”

      เซียนหยวนได้ยินคำตอบแล้วจึงยิ้มอย่างโล่งอก นางไม่ได้เกลียดเขา...

      “ที่ข้าคิดมากเพราะว่าเจ้าสำคัญต่อข้ามากน่ะสิ”

                      สถานะของเขากับนางอาจเรียกได้ว่าครุมเครือ ทั้งตัวเขาและเสวี่ยเหมยเองต่างมิเคยพูดถึงเรื่องรักไคร่หรือพันธะผูกพันธ์ใดๆ เพราะสถานการณ์ยังไม่แน่นอน ชีวิตเขาเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่ชื่อว่าสนามรบ ไม่อาจรู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จึงมิกล้าสัญญาใดๆกับนาง แต่ลึกๆในใจพวกเขาต่างรู้ดีว่าความรู้สึกนี้คือรัก...

                      “เซียนหยวน ท่านเกลียดเว่ยจิงหรือไม่”เสวี่ยเหมยถาม ดวงตาคู่งามที่มักทอประกายอยู่เสมอราวกับมีม่านหมอกบางๆปกคลุม

                      “ไม่... ข้าไม่เกลียดเขา แต่ก็ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับเขาได้ เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข รวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง ข้าต้องเอาชนะเขา เช่นเดียวกับเว่ยจิงที่ต้องสังหารข้าเพื่อจวกั๋วเหนือ มันต่างเป็นหน้าที่และชะตาของเรา”แม่ทัพหนุ่มตอบตามความจริง แม้ใจจะรู้สึกรวดร้าว หากชะตาของเขาและเว่ยจิงคือการห้ำหั่นกันจนตายไปข้าง ชะตาของเสวี่ยเหมยก็คือการต้องสูญเสียใครคนใดคนหนึ่งไป ซึ่งสิ่งนั้นคงทรมาณจิตใจนางอย่างมาก

                      มือที่กุมประสานกันนั้นราวกับสามารถเชื่อมความรู้สึกถึงกันได้ ใจเขารู้สึกเจ็บปวด แต่ในอีกด้านหนึ่งก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้าถึงในใจอย่างอ่อนหวาน

                      “แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว... อย่างน้อยข้าก็ได้รู้ว่าแม้ท้ายสุดหากเป็นท่านที่สังหารเว่ยจิง ก็ไม่ได้ทำเพราะว่าท่านเกลียดเขา”นางเอ่ย ก่อนจะนั่งตัวตรง แล้วเริ่มบรรเลงพิณออกมาเพลงหนึ่ง บทเพลงที่แม้จะไพเราะอ่อนหวาน หากก็ฟังดูเศร้าอย่างน่าประหลาด

                      เมื่อเพลงจบลง นางก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวลา แต่ยังไม่ทันที่จะได้ออกเดิน เซียนหยวนก็ถามขึ้น เป็นคำถามที่เขาเคยได้พูดไปก่อนหน้านี้แล้ว

      “เสวี่ยเหมย เจ้าอยากอยู่กับข้าหรือไม่”

      นัยน์ตาสองคู่สบประสาน เสี้ยววินาทีนั้นช่างยาวนานดั่งปีผัน ก่อนที่เรียวปากสีชมพูซีดจะโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันอ่อนหวาน งดงามจนแทบทำให้ทุกสรรพสิ่งด้อยค่า

      “ข้าปรารถนาจะอยู่กับท่าน จริงๆนะ นั่นเป็นเพียงความปรารถนาหนึ่งเดียวของข้าในตอนนี้”เอ่ยจบ ร่างในชุดขาวก็ข้ามสะพานหายไป พร้อมกับแสงสุดท้ายของทิวา...

      ************

                      ต้นเดือนสอง อากาศอบอุ่นลงแล้ว สงครามเริ่มขึ้นอีกครั้ง ไป๋เซียนหยวนยกทัพไปรบ ครานี้ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าเป็นศึกครั้งสุดท้าย ไพร่พลทั้งหมดถูกเกณฑ์มาหลายสิบหมื่น ต่อสู้กันติดพันจนต่างฝ่ายต่างเหนื่อยล้าเต็มที

                      ไป๋เซียนหยวนบนหลังม้าประจันหน้ากับเว่ยจิงในชุดเกราะที่แปดเปื้อนไปด้วยโลหิตพอๆกับเขา มือโยนป้ายหยกลงบนพื้นแล้วจึงตะโกนขึ้น

      “เว่ยจิง รบกันติดพันแบบนี้มีแต่จะสูญเสียทั้งสองฝ่าย ข้าขอท้าเจ้า ประลองตัวต่อตัว ฝ่ายใดปราชัยคือพ่ายศึกนี้ ทหารที่เหลือต้องยอมแพ้ซะ เจ้าเห็นด้วยหรือไม่!”

                      “ดี! ประลองกันตัวต่อตัว แพ้ชนะเอาถึงตาย!”เว่ยจิงตอบเสียงดัง แล้วจึงโยนป้ายหยกประจำตัวลงบนพื้นเป็นการรับคำท้าตามธรรมเนียมปฎิบัติ

                       เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ของตนตกลงกันเช่นนั้น เหล่าทหารจึงหยุดรบกันแล้วถอยห่างออกเป็นวงกว้าง เว้นระยะไว้เป็นสนามประลองของทั้งสองคน

                      เซียนหยวนและเว่ยชิงต่างคุมเชิงกันอยู่ ไม่มีฝ่ายไหนลงมือก่อนเสียที ทำให้บรรยากาศนั้นทั้งกดดันและเงียบเชียบเสียจนได้ยินเสียงหายใจของเหล่าทหาร

                      และฝ่ายที่เปิดฉากก่อนก็คือเซียนหยวน แม่ทัพหนุ่มควบม้าตะบึงเข้าใส่อีกฝ่าย กระบี่ในมือฟาดฟันอย่างรวดเร็ว หากเว่ยจิงก็เอี้ยวตัวหลบทัน แล้วสวนกระบี่กลับไปอย่างรวดเร็ว

                      จากการได้ประมือกันก่อนหน้านี้ เซียนหยวนประจักต์แก่ตนเองว่าเพลงดาบของอีกฝ่ายนั้นรวดเร็วทรงพลัง จับทางได้ยาก คราก่อนที่เขาชนะมาได้ก็นับว่าอาศัยโชคอยู่หนึ่งส่วน แต่คราวนี้เป็นการประลองครั้งสำคัญที่เดิมพันถึงอนาคตของแผ่นดิน ในใจเขาเองแท้จริงก็กังวลไม่น้อย

      เคร้ง!

      เสียงเหล็กปะทะกันดังก้องหลายครั้ง กระบี่คมปลาบต่างมิมีใครยอมใคร ต่างฝ่ายต่างผลัดกันโจมตีและตั้งรับอย่างรวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน นาทีนี้หากพลาดท่าครั้งหนึ่งมิได้หมายถึวเพียงขีวิต แต่คือจงกั๋วทั้งแผ่นดิน!!

                      เมื่อประมือกันนานเข้า เซียนหยวนพบว่ากระบี่ของอีกฝ่ายไม่เฉียบคมเท่าแต่ก่อน คาดว่าเป็นเพราะแผลคราวก่อนยังไม่หายดี เขาจึงสบโอกาศที่ความเร็วของเว่ยจิงตกลงก้มลงหลบกระบี่ของอีกฝ่าย แล้วสวนกลับทันทีอย่างว่องไว เว่ยจิงทั้งปัดป้องและหลบไม่ทันจึงพลัดตกจากหลังม้า อีกทั้งยังโดนปลายกระบี่ถากเข้าที่ไหล่จนโลหิตซึมออกจากชุดเกราะ

                      “สภาพแบบนั้นยังกล้ารับคำท้าประลองกับข้าอีกนะ อยากแพ้ถึงขนาดนั้นเลยหรือไง”เซียนหยวนเอ่ย วาจายั่วโทสะเช่นนั้นทำให้อีกฝ่ายกัดฟันกรอด ก่อนตวัดกระบี่เข้าที่ขาของม้า ทำให้อีกฝ่ายถูกสลัดร่วงลงพื้น

      “ฝีมือเจ้าไม่ดีเหมือนปาก”เว่ยจิงเค่นเสียง ก่อนวาดกระบี่ในมือ เซียนหยวนที่ยังล้มอยู่บนพื้นรีบกลิ้งตัวหลบอย่างทุลักทุเล แล้วจึงรีบลุกขึ้น ก้มตัวหลบอาวุธที่ฟาดฟันเข้าหาตนอย่างมิเว้นช่องให้พัก

      ด้วยความที่ยังมิทันตั้งหลัก ทำให้เซียนหยวนได้แต่ถอยร่นไม่เป็นกระบวนท่า นึกในใจว่าไม่น่ายั่วโทสะอีกฝ่าย กระบี่ในมือไม่มีโอกาสได้ฟาดฟันเพราะเพียงปัดป้องก็เต็มกลืน

      เว่ยจิงรู้สึกถึงความเจ็บที่ลุกลามจากแผลใหม่ที่ไหล่และแผลเก่าที่สีข้าง ทำให้จังหวะหายใจเริ่มไม่คงที่ ความเร็วเริ่มตก แต่ก็ยังคงกัดฟันลุกไล่อีกฝ่ายต่อไป

      หากมิจบการต่อสู้โดยเร็ว ร่างกายเขาต้องไม่ไหวแน่

      ความเร็วและอานุภาพกระบี่ของเว่ยจิงลดลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นจังหวะที่ทำให้เซียนหยวนสามารถโต้กลับได้ กระบี่ในมือที่ได้แต่ปัดป้องจึงเป็นฝ่ายรุกกลับ อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเอี้ยวตัวหลบ เตะเข้าที่ลำตัว จงใจเล็งตำแหน่งแผลเก่า แม้จะดูเป็นวิธีสกปรกไปบ้าง แต่การต่อสู้ที่เดิมพันใหญ่หลวงเช่นนี้  ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดเขาก็ต้องชนะให้ได้!

                      ร่างสูงเพรียวเมื่อถูกเตะเข้าก็ถึงกับทรุด ความเจ็บปวดระรอกใหญ่เข้าโจมตีจนแทบลุกไม่ไหว หยาดเหงื่อผุดพราย แต่เพราะหน้าที่ซึ่งแบกไว้อยู่บนบ่าทำให้เขาต้องกัดฟันยืนขึ้น หากยังมิทันได้โต้กลับ คมกระบี่ก็มุ่งเข้าสู่ตำแหน่งศรีษะ ในระยะห่างเพียงแค่นี้ ทำให้เว่ยจิงได้เพียงก้มหลบในเสี้ยววินาทีที่ความตายกำลังมาเยือน

                      เคร้ง!

      เสียงของกระบี่ที่ปะทะเข้ากับเกราะศรีษะดังก้อง ซึ่งหากมิได้สวมมันไว้ ที่กลิ้งอยู่บนพื้นคงไม่ใช่เกราะแต่เป็นหัวของแม่ทัพแห่งจงกั๋วเหนือแทน

                      นาทีนั้นทุกคนแทบลืมหายใจ เช่นเดียวกับเซียนหยวน แต่เหตุผลนั้นมิใช่เพราะตกตะลึงที่เห็นอีกฝ่ายรอดมาได้ แต่เป็นเพราะเมื่อไร้ซึ่งหมวกเกราะปิดบัง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทุกคู่คือเส้นผมสีน้ำหมึกที่ปลิวไหวตามแรงลม และใบหน้างดงามสยบใต้หล้า โลหิตแดงฉานที่เปรอะเปื้อนผิวขาวนั้นหาได้แลดูน่าพรั่นพรึงไม่ แต่กลับทำให้คนผู้นี้เป็นดั่งเทพยาดาผู้นำพาซึ่งความตาย

                      ใบหน้าที่หากตัดหยาดเลือดและความทรนงองอาจในแววตาออกไป ก็แทบไม่ต่างอะไรกับเสวี่ยเหมยผู้เป็นน้องเลยสักนิด...

                      ในช่วงเวลาที่เซียนหยวนกำลังตกตะลึงกับภาพที่ซ้อนทับกับสตรีที่ตนรัก แม้เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่ก็เป็นวินาทีซึ่งเกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย เว่ยจิงรวบรวมแรงทั้งหมดร่ายเพลงกระบี่อันรุนแรง รัศมีกระบี่ดุดันเฉียบคม แม้ว่าเซียนหยวนจะได้สติคืนมาและยกกระบี่ขึ้นปัดป้อง แต่ก็มิอาจต้านทานได้ เหล็กกล้าที่ว่าแข็งยามพบกับเพลงกระบี่ชุดนี้ก็ถึงกับแตกหักเป็นสอง แม่ทัพหนุ่มแห่งจงกั๋วใต้ผงะถอยไปหลายก้าว ก่อนจะถูกรัศมีกระบี่อันรุนแรงผลักให้ล้มลงกับพื้น ครั้นจะรีบลุกขึ้นก็ถูกฝ่าเท้าของอีกฝ่ายกระทืบลงกลางอกจนกระอักโลหิต

                      “มาจบเรื่องเถอะ... ลาก่อน ไป๋เซียนหยวน เจ้ากับข้าไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน แต่เป็นชะตาเจ้าที่ถูกกำหนดให้ตายด้วยมือข้า”เว่ยจิงเอ่ย นัยน์ตาหงคู่สวยว่างเปล่าเย็นชา ก่อนที่จะเงื้องกระบี่ในมือขึ้น เป็นการจบศึกระหว่างเหนือใต้ที่ยืดเยื้อยาวนานกว่าสิบปี

                      ในสายตาของเซียนหยวน ภาพของคมกระบี่ที่สะท้อนแสงแดดนั้นราวกับภาพช้าที่ค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หัวสมองเขาว่างเปล่า ร่างกายเหนื่อยล้าเสียจนความตายที่กำลังเข้ามาใกล้ช่างเย้ายวนเกินกว่าจะปฏิเสธมัน

      ทว่า... ในขณะที่จิตใจกำลังน้อมรับการหลับใหลนิรันด์นั้น ภาพของตงฟางเสวี่ยเหมยก็ไหลเข้ามาในสมอง ภาพรอยยิ้มของนาง แววตาของนาง มือของนางที่ไล่ไปตามสายพิณ แม้จะมีรูปโฉมดุจเดียวกัน แต่แววตาของนางนั้นแตกต่างจากเว่ยจิง มันอ่อนโยน ทอประกายสุกใส บางคราก็เหม่อลอย และบางครั้งก็โศกเศร้า มิได้เย็นชาไรความรู้สึกเช่นนี้

      เขาอยากพบนางอีกครั้ง... อยากกลับไปหานาง ตบแต่งนางเป็นภรรยา คอยดูแลปกป้องนางไปตลอด ใช่..  เขาเห็นแก่ตัว แต่หากให้เขาเลือก เขาก็จะเลือกสังหารเว่ยจิงเพื่อที่ตนจะได้รอดกลับไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเสวี่ยเหมย

      มือกวาดไปบนพื้น คว้าเอากระบี่ที่หักขึ้นมา ไม่สนใจว่าคมของมันจะบาดลึกเข้าไปในเนื้อจนเลือดไหล สัญชาติญาณในการรักษาชีวิตสั่งการให้เขาจับมันไว้แน่นและใช้แรงทั้งหมดแทงมันออกไป

      แปะ...แปะ...

      เซียนหยวนรู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆที่ตกลงบนใบหน้า เป็นของเหลวสีแดงที่เจือด้วยกลิ่นคาวซึ่งเขาแสนจะคุ้นชิน

      มันคือโลหิต... จากมือของเขา และจากแผลที่อกของเว่ยจิง...

      ความเงียบเข้าครอบครองทุกวรรพสิ่ง ทุกคนลืมที่จะหายใจ ดวงตาเบิกกว้างมองดูภาพของแม่ทัพใหญ่แห่งแดนเหนือที่ถูกเศษกระบี่แทงเข้ากลางอก ในขณะที่มือยังคงกุมกระบี่แน่น ปลายของมันห่างจากร่างของแม่ทัพแห่งแดนใต้เพียงไม่กี่เซนติเมตร

      “ลาก่อน ตงฟางเสวี่ยชิง ข้ากับเจ้าไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน แต่เป็นชะตาเจ้าที่ถูกกำหนดให้ตายด้วยมือข้า”เซียนหยวนพูดเสียงเบา ด้วยประโยคเดียวกับที่อีกฝ่ายเอ่ยเมื่อครู่

      เว่ยจิงหลับตาลงช้าๆ กับแผลที่หน้าอกนั้น ไม่ต้องถึงมือหมอ เขาก็รู้ว่าตนไม่มีทางรอด เลือดสดๆยิ่งไหลทะลักในยามที่อีกฝ่ายกระชากเศษกระบี่ออก ย้อมเสื้อผ้าและชุดเกราะให้แดงฉาน

      “เป็นครั้งแรกที่เจ้าเรียกชื่อจริงๆของข้า...”เว่ยจิงพูด น้ำเสียงแผ่วเบาขาดห้วง ก่อนที่ร่างเขาจะล้มลงกับพื้น ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วทุกอณูของร่างกาย

      ใช่...มันเป็นชะตา เมื่อต่างก็เป็นแม่ทัพใหญ่ของเหนือและใต้ จะช้าจะเร็วก็ต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างอยู่ดี

      “เสวี่ยเหมย... น้องสาวข้า...”เขาพยายามเอ่ย แต่กลับหาเสียงตนเองไม่เจอ ความคาวคลุ้งในลำคอก่อเกิดเป็นหยาดเลือดที่ออกมาแทนที่คำพูด ดวงตาหงคู่สวยมองดูแม่ทัพฝ่ายศัตรูที่ยืนมองตนอยู่เบื้องบน หยาดน้ำตาไหลผ่านผิวแก้มกลิ้งลงสู่พื้น

      ...มีสิ่งเดียวที่เขาห่วงเหลือเกิน... ครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขา เสวี่ยเหมย...

                      เซียนหยวนมองดูร่างที่ลมหายใจรวยรินของเว่ยจิง ไม่เหลือซึ่งความทรนงองอาจเหนือใต้หล้า ใบหน้าซีดเซียวที่ตัดกับสีแดงของโลหิตแลดูงดงามเปราะบาง กระทั่งแววตาที่จ้องมองมาทางเขายังแลดูโศกเศร้าและวอนขอจนชั่วขณะหนึ่งเขาแทบแยกไม่ออกว่าคนผู้นี้คือเว่ยจิง มิใช่เสวี่ยเหมย

      “อย่าห่วง ข้าจะดูแลนางเอง”เขาพูด ใจหนึ่งเพราะนึกเวทนาคนใกล้ตาย เขามิได้เกลียดอีกฝ่ายจริง แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะสังหาร ไม่เป็นฝ่ายฆ่า ก็จะถูกฆ่า สิ่งเดียวที่เขาจะทำเพื่ออีกฝ่ายได้คือดูแลเสวี่ยเหมยให้ดีที่สุด เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่เขารัก

      เมื่อได้ยินดังนั้น เว่ยจิงก็ฝืนยิ้มออกมาบางๆ แววตาของเขาพร่ามัวเลือนลาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำตาหรืออะไร เรียวปากขยับเล็กน้อยคล้ายต้องการบางสิ่ง แต่ก็ไม่... กระทั่งลมหายใจสุดท้ายได้หยุดลงพร้อมกับเปลวเพลิงแห่งชีวิตที่มอดดับ

      เซียนหยวนมองดูศัตรูแห่งตน คนที่แม้ตายก็ตายตาไม่หลับ แล้วจึงถอนหายใจ ร่างสูงย่อกายลง ลูบมือผ่านดวงตาอีกฝ่าย ใบหน้าที่เหมือนกับสตรีอันเป็นที่รักทำให้เขามิอาจทนจ้องมองนานๆได้

      “หลับให้สบายเถิด”

      แท้จริงใจข้ามิได้ปรารถนาจะสังหารเจ้าเลยจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ

      ...พวกเราต่างก็ไม่มีทางเลือก...

      ****************

                      หลังสงครามยุติด้วยชัยชนะของจงกั๋วใต้และการตายของแม่ทัพแห่งจงกั๋วเหนือ เหล่าขุนนางกังฉินในวังหลวงแห่งจงกั๋วเหนือต่างก็หนีไปคนละทางเหมือนผึ้งแตกรัง บ้างก็หนีทัน บ้างก็ถูกจับกุมระหว่างทางและถูกจับประหารเพื่อไม่ให้ผู้คนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ด้านจักรพรรดิก็ถูกถอดจากอำนาจ และองค์ชายจินเสี้ยนก็ได้ขึ้นครองบรรลังก์แทน พระองค์ทรงจัดระเบียบราชสำนักที่เน่าเฟะเสียใหม่ ปลดขุนนางกังฉิน ส่งเสริมคนรุ่นใหม่มีความสามารถ รวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นดังเดิมท่ามกลางความปิติยินดีของประชาราษฏร์ ส่วนด้านไป๋เสียนหยวนก็กลายเป็นวีรบุรุษของทั้งแผ่นดิน เรื่องราวชัยชนะของเขาทั้งถูกนำไปแต่งเป็นนิยาย วาดภาพ และแสดงละคร และเจ้าตัวก็ได้รับเกียรติจากองค์จักรพรรดิแต่งตั้งให้เป็นบุตรบุญธรรมอีกด้วย

                      เป็นเวลาสามเดือนหลังศึกครั้งสุดท้ายที่ไป๋เซียนหยวนวิ่งวุ่นช่วยจักรพรรดิพระองค์ใหม่สะสางเรื่องราวต่างๆให้เข้าที่เข้าทาง ทำให้เขาไม่มีเวลาแวะไปหาเสวี่ยเหมย และเขาเองก็คิดว่านางคงยังไม่อยากพบหน้าเขาตอนนี้

                      การที่สูญเสียครอบครัวไปมันเจ็บปวดยังไง เขาเองก็รู้ดี ดังนั้นแม้ว่านางจะเคยบอกว่ายอมรับในชะตาได้ก็ตาม กระนั้นเขาก็รู้ว่านางต้องการเวลาเพื่อทำใจอยู่บ้าง

                      วันนี้ทางวังหลวงได้จัดงานเลี้ยงฉลองการรวมดินแดนเป็นปึกแผ่นอย่างเป็นทางการ ทุกที่ต่างเต็มไปด้วยบรรยากาศของความรื่นเริง ส่วนเขาเองก็ต้องดื่มสุรารับคารวะจากผู้คนมากหน้าหลายตาซึ่งตนรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างจนหมดไปหลายจอก

                      “เซียนหยวน เดี๋ยวเจ้ารอชมการแสดงต่อไปนี้ ข้าได้เชิญแม่นางตงฟางมาบรรเลงพิณ ฝีมือเรื่องดนตรีของนางเป็นหนึ่งในแผ่นดินเชียวล่ะ”จักพรรดิที่ประทับอยู่ข้างเขาเอ่ยขึ้น

      “แม่นางตงฟาง? เสวี่ยเหมยน่ะหรือ”เขาถาม หัวใจพลันเต้นผิดจังหวะเมื่อนึกถึงเสวี่ยเหมยทซึ่งเขามิได้พบหน้ามาสามเดือน

      “เจ้ารู้จักนางด้วยหรือ... จะว่าไปก็ไม่แปลกกระมัง นางเป็นน้องสาวของเว่ยจิง แต่ตอนสงครามได้ตัดสัมพันธ์กับเว่ยจิงแล้วลี้ภัยมาอยู่กับเรา ข้าเคยพบนางอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นสตรีที่ฉลาดและรูปโฉมงดงามราวเทพธิดา”ตรัสพลางยกสุราขึ้นจิบ คำชมที่เอ่ยถึงนั้นทำให้เซียนหยวนขยับยิ้มบางอย่างเห็นด้วยระคนภาคภูมิใจเล็กๆ  ครั้นกำลังจะบอกว่านางนี่แหละที่เป็นสตรีในใจเขา เสียงพิณใสเสนาะก็ดังขึ้นเสียก่อน

                      ที่กลางท้องพระโรงปรากฏเกี้ยวที่มีร่างแบบบางของสตรีนั่งอยู่ นางสวมชุดสีฟ้าปักเลื่อมทอง เส้นผมยาวนั้นเป็นสีเดียวกับน้ำหมึก ขับเน้นผิวให้ยิ่งขาวกระจ่าง ยามเมื่อทุกคนเห็นดวงหน้านั้นก็แทบลืมหายใจกับรูปโฉมงดงามที่ทำให้ทุกสรรพสิ่งในโลกหม่นหมองเมื่อยกมาเปรียบเทียบ

                      คนหามวางเกี้ยวลงกับพื้น ก่อนหลบฉากออกไปให้เหลือเพียงสตรีเจ้าของเสียงพิณ นิ้วเรียวยาวของนางไล่ไปตามเส้นสายที่สั่นสะเทือน กำเนิดเสียงที่ร้อยเรียงเป็นท่วงทำนองไพเราะอ่อนหวาน

                      ทุกคนต่างอยู่ใต้มนต์สะกดของรูปโฉมอันงดงามและเสียงเพลง หากเซียนหยวนนั้นกลับขมวดคิ้วเข้าหากัน เขามองดูร่างบางในอาภรณ์สีฟ้า แลดูแปลกตายิ่งนักสำหรับเขาที่มักเห็นนางสวมชุดขาวอยู่เสมอ

                      “ฝ่าบาท ที่บรรเลงเพลงอยู่นั่นคือตงฟางเสวี่ยเหมยใส่หรือไม่”เขาตัดสินใจเอ่ยถาม เรียกพระเนตรคมปลาบให้หันมามองอย่างขบขัน

       “ใช่ นางคือตงฟางเสวี่ยเหมย แม้หน้าตาจะเหมือนเว่ยจิงมาก แต่ไม่ใช่เป็นเขาฟื้นคืนชีพมาแน่นอน”

                      จักรพรรดิทรงคิดว่าเขาตกใจที่เห็นรูปโฉมนางกับเว่ยจิงดั่งโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ซึ่งแท้จริงไม่ใช่แบบนั้น แต่เขาก็ไม่อาจอธิบายได้ เพียงแต่รู้สึกว่านางเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่เพราะนางดูแปลกตาในอาภรณ์สีสันและใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอาง แต่เป็นเพราะเสียงพิณของนางไม่เหมือนกับที่เขาเคยฟัง...

                      เมื่อการแสดงบรรเลงพิณจบลง เซียนหยวนก็รีบกล่าวลาองค์จักรพรรดิและผลุนผลันออกไปท่ามกลางความงุนงงของคนรอบข้าง ร่างสูงตรงไปยังประตูที่เกี้ยวถูกหามออกไป แล้วจึงเอ่ยเรียก

      “เสวี่ยเหมย”

      เจ้าของนามหันมามองที่เขา ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนขยับยิ้มบาง

      “มีอะไรหรือ”

      เขาพินิจมองสตรีที่ก้าวลงจากเกี้ยวด้วยกริยางดงามนุ่มนวล คิ้วยิ่งขมวดเข้าหากันเป็นปม แล้วจึงได้ตัดสินใจถามคำถามที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตออกไป

      “เจ้าคือแม่นางเสวี่ยเหมยใช่หรือไม่”

      ประโยคที่เรียกเสียงหัวเราะกังวาลใส ดวงตาหงคู่สวยทอประกายขบขัน ก่อนย้อนถาม

      “แล้วเหตุใดข้าจึงไม่ใช่เสวี่ยเหมยเล่า”นางถามกลับ ก่อนเดินนำเขาออกไปยังอุธยานด้านนอกที่เงียบสงบผิดกับงานเลี้ยงด้านใน

      เซียนหยวนถูกถามกลับเช่นนั้นก็อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เดินตามนางออกไปเงียบๆ นึกเรียบเรียงคำพูดอยู่ในใจว่าจะเอ่ยอย่างไรดี เพราะมันดูประหลาดพิกลที่มาถามคำถามเช่นนี้กับนาง กระนั้นเขาก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ

      “เพราะว่า... เสียงพิณเจ้าไม่เหมือนเดิม”เขาตัดสินใจเอ่ยออกไป ซึ่งนั่นทำให้ฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงัก เสวี่ยเหมยค่อยๆเบือนหน้ามาหาเขา ดวงตาคู่สวยที่เมื่อคู่ยังคงพราวระยับด้วยความขบขันแปรเปลี่ยนเป็นหมองเศร้าจนคนมองรู้สึกเจ็บปวด

      “กระทั่งเสียงพิณยังแยกออกเช่นนี้ ท่านคงรักเขามากจริงๆกระมัง”นางรำพึงออกมาเบาๆ ซึ่งถ้อยคำนั้นสร้างความงุนงงแก่ผู้ฟังยิ่งนัก แม่ทัพหนุ่มจึงได้เอ่ยถาม

      “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

      นางมิได้ตอบในทันที แต่กลับมองดูบุปผชาติงดงามรอบกายอย่างเหม่อลอย โดยที่ในความเหม่อลอยนั้นแฝงไว้ด้วยความรวดร้าวจับใจ

                      “ท่านเซียนหยวนทราบหรือไม่ว่าข้าสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉนั้น ตั้งแต่ที่ย้ายเข้ามายังจงกั๋วใต้ ข้าก็ไม่เคยออกมานอกจวนเลย”

      ประโยคนั้นดั่งก้อนหินหนักๆที่ฟาดเข้าเต็มศรีษะจนสมองมึนงง เซียนหยวนรู้สึกสับสนจนเรียบเรียงความคิดไม่ถูก อะไรหลายๆอย่างเริ่มปะติปะต่อกันในสมอง บางสิ่งที่เขาเริ่มเดาได้อย่างเลือนลาง และปรารถนาเหลือเกินว่าที่เขาคิดนั้นไม่ใช่เรื่องจริง

      “หมะ... หมายความว่าอย่างไรกัน”

      เสวี่ยเหมยละสายตาขึ้นมาสบกับดวงตาของแม่ทัพหนุ่ม หยาดน้ำตาไหลรินจากนัยน์ตาคู่งาม แววตาของนางนั้นปนเปด้วยความเจ็บปวดและเวทนาสงสาร

      “หมายความว่าท่านมิเคยได้พบตงฟางเสวี่ยเหมย บุคคลที่บรรเลงพิณตรงปลายสะพานนั้นคือเสวี่ยชิง.... พี่ชายฝาแฝดของข้า”

      ชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกได้ว่าโลกทั้งใบได้พลิกกลับกระทันหันจนมิอาจตั้งตัว...

      ************

                      แม่ทัพกองธงสีชาด เว่ยจิง คือนามที่ทุกคนใช้เรียกขานเขา ตงฟางเสวี่ยชิง

      แม้ว่าจะไม่ชอบใจกับราชสำนักที่บัดนี้เละเทะ จักรพรรดิเป็นหุ่นเชิด ขุนนางชั่วช้ามีอำนาจบาตรใหญ่จนประเทษต้องแตกแยกเป็นเหนือใต้ กระนั้นเมื่อถูกเรียกตัวจากชายแดนไปรับหน้าที่นำทัพต่อกรกับจงกั๋วใต้ เขาก็มิอาจปฏิเสธ แม้ว่านั่นจะเป็นการจงใจส่งเขาไปตายก็ตาม...

                      ส่งไปตาย... ใช่ คงไม่มีคำไหนเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว เทพสงครามไป๋เซียนหยวนที่นำทัพบุกตีจนจงกั๋วเหนือแตกพ่ายถอยร่นไม่เป็นกระบวนทำให้เหล่าแม่ทัพขี้ขลาดตาขาวทั้งหลายหาเรื่องส่งคนไปตายแทน ซึ่งหน้าที่นั้นก็ถูกโยนกันไปโยนหันมาจนตกถึงเขาที่ดูแลชายแดนมาตลอด ทำให้แม้ตงฟางจะเป็นสกุลเก่าแก่ แต่ก็ไม่มีฐานอำนาจอะไรในเมืองหลวง จึงได้แต่ก้มหัวรับหน้าที่นำทัพไปอย่างไม่มีทางเลือก กระนั้นด้วยความเป็นห่วงน้องสาวผู้ซึ่งเป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของตน จึงได้ให้นางไปลี้ภัยอยู่จงกั๋วใต้ ดีที่องค์ชายจินเสี้ยนเป็นผู้มีคุณธรรม ดังนั้นเมื่อนางบอกว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับจงกั๋วเหนืออีก จึงได้อนุญาติให้นางอยู่ที่นั่นได้ แม้จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของทางการก็ตาม

                      แต่กลับไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเอาชนะไป๋เซียนหยวนได้...

      หลังจากนำทัพจนได้รับชัยชนะกลับมานั้น ทางราชสำนักและขุนนางชั่วช้าทั้งหลายก็ยกยอปอปั้นสรรเสริญเขากันใหญ่ ทั้งที่ก่อนหน้าที่ไม่เคยเหลือบแลด้วยซ้ำ ช่างน่ารังเกียจนักจนบางครั้งเขาก็นึกว่าหากพ่ายแพ้และตายไปในสนามรบตั้งแต่แรกคงดีกว่า

                      เมื่อได้ก้าวเดินแล้ว... ก็มีแต่ต้องก้าวต่อไปเท่านั้น...

      เขากลายเป็นเทพสงครามแห่งแดนเหนือ แม้จะไม่ได้ชอบใจเลยก็ตาม การเป็นแม่ทัพของจงกั๋วเหนือที่เละเทะเช่นนี้ก็เป็นได้เพียงตัวหมากของพวกน่ารังเกียจ และเป็นปิศาจร้ายในสายตาประชาชน แต่เขาก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ และเดินหน้าต่อไป และในระหว่างนั้นก็ยังคงกังวบว่าเสวี่ยเหมยจะตกเป็นเครื่องมือไว้บีบบังคับเขาในภายหลังได้ เขาจึงหมั่นไปเยี่ยมนางเสมอ อาศัยทางลับลักลอบเข้าเมือง และด้วยความที่เป็นพี่น้องฝาแฝดซึ่งแม้แต่คนใกล้ตัวยังแยกไม่ออก เขาจึงสามารถเดินเหินในเมืองได้โดยใช้ชื่อและฐานะของนาง อาศัยตรงนี้ในการเก็บข้อมูลต่างๆของจงกั๋วใต้ และนั่นทำให้เขาประจักต์แก่ใจดีว่า จงกั๋วใต้นั้นดีกว่าจงกั๋วเหนือมากเพียงไร บ้านเมืองและผู้ปกครองเช่นองค์ชายจินเสี้ยนต่างหากที่ราษฏรษ์ต้องการ

                      ดังนั้น เขาจึงมีภาพของแผนการหนึ่งผุดขึ้นลางๆในใจ...

      แต่แล้วดั่งโชคชะตาได้เล่นตลก วันหนึ่งในขณะที่เขากำลังนั่งเหม่อลอย ในใจครุ่นคิดถึงแผนการ ก็ได้พบเจอกับไป๋เซียนหยวน...

                      ใช่ เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นไป๋เซียนหยวน แต่อีกฝ่ายไม่รู้จักเขา เพราะแม้จะเคยพบกันในสใรภูมิ แต่เขาก็ใส่หมวกเกราะปิดบังใบหน้าเอาไว้ และยิ่งน่าขบขันเมื่อคนผู้นี้คิดว่าเขาเป็นสตรี

      แต่เอาเถิด... ในเมื่อหน้าตาของเขากับเสวี่ยเหมยเหมือนกัน แม้เสียงเขาจะต่ำกว่านาง แต่ก็พอมองได้ว่าเป็นสตรีเสียงทุ้มคนหนึ่ง

      “ท่านคือแม่ทัพไป๋กระมัง”เขาแสร้งเอ่ยถาม พยายามเต็มที่ที่จะสวมบทบาทของหญิงสาวให้แนบเนียนที่สุด

      “ข้าแซ่ไป๋ ชื่อเซียนหยวน”

      “ได้พบท่านช่างเป็นเรื่องน่ายินดี วีรกรรมของท่านโด่งดังไม่น้อย”ตอบพลางนึกสนุก จึงได้หยิบเพลงหนึ่งที่เพิ่งได้ยินเด็กๆร้องเล่นกันเมื่อครู่ขึ้นมาร้องบ้าง

       เก่งกาจเทียมฟ้า สยบเมฆา เทพาสงคราม

      นำทัพกรีทา ต้านศัตรูพ่าย ไล่อริร้าย

      จ้าวทักษิณา สยบอุดร ประชาสรรเสิญ

      เหนือพ่ายทุกกระบวน ด้วยไป๋เซียนหยวน จงกั๋วหนึ่งเดียว

       “เพลงนี้แต่งได้เกินจริงไปแล้ว หากข้าเป็นเทพสงครามจริง คราวก่อนคงไม่พลาดท่าเพลี่ยงพล้ำศัตรู”เซียนหยวนกล่าวอย่างถ่อมตัว แต่มันไม่แนบเนียนพอ เขาจึงเห็นถึงประกายความภาคภูมิในดวงตาสีหมึกคู่นั้น ในใจนึกหมั่นไส้ แต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่เห็น

      “ไม่มีความจริงใยจึงมีเพลงนี้ขึ้น แม่ทัพไป๋อย่าได้ถ่อมตัว แม้ท่านพ่ายแพ้ แต่ทางเหนือก็กรำศึกมานาน ทั้งยังเคยพ่ายแพ้ศึกใหญ่ให้ท่านสามครั้ง ครานี้คงได้รับความเสียหายไม่น้อย”

      เซียนหยวนเมื่อเห็นว่าเขาวิเคราะห์สถานการณ์ของสงครามได้เช่นนี้ก็ทำท่าทีแปลกใจ แล้วถาม

       “ที่แม่นางพูดมานั้นถูกต้อง ไม่ทราบว่าแม่นางเป็นปราชญ์สำนักใดหรือ”

       “ข้าเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น”เสวี่ยชิงตอบ พยายามเต็มที่ที่จะไม่หลุดหัวเราะออกมา ดีที่เขาเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง ละครฉากนี้จึงยังดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แล้วจึงถามประโยคถัดมาด้วยความสงสัยใคร่รู้

      “แม่ทัพของจงกั๋วเหนือที่ท่านประมือด้วยคราวก่อน ท่านคิดว่าเขาเป็นอย่างไร”

      อยากรู้นักว่าเซียนหยวนจะนินทาอะไรเขาให้สาวงามฟัง...

      “แม่นางคงหมายถึงเว่ยจิงกระมัง”แม่ทัพแห่งจงกั๋วใต้ว่า แล้วก็ทำท่าทางครุ่นคิด

      “เขาเป็นคนเก่ง ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ถูกส่งไปอยู่ชายแดนเหนือตั้งหลายปี เพิ่งถูกเรียกตัวกลับมาเมื่อศึกครั้งที่แล้ว หากทัพจงกั๋วเหนือมีเขานำตั้งแต่แรก ไม่แน่ว่าชัยชนะสามครั้งของข้าจะได้มาง่ายดายเช่นนี้ ในฐานะศัตรูข้ามองว่าเขาอันตราย แต่ในฐานะทหาร ข้าชื่นชมว่าเขามีความสามารถ”ไป๋เซียนหยวนตอบ ในใจก็นึกหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าอาศัยความสามารถตนกับทัพที่เข้มแข็ง ไม่นานก็คงบุกตีจงกั๋วเหนือที่กองทัพนับวันยิ่งอ่อนกำลัง ช่วยองค์ชายจินเสี้ยนรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้อีกครั้ง ไม่คาดว่าจงกั๋วเหนือกลับซ่อนตัวผู้มีความสามารถไว้คนหนึ่ง คราวนี้การจะรวมจงกั๋วเหนือใต้คงลำบากเพิ่มขึ้นหลายส่วน”

      คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เสวี่ยชิงรู้สึกประหลาดใจ เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ตอนแรกนึกว่าจะว่าร้ายเขาแล้วยกยอปอปั้นตัวเองเสียอีก หากเป็นการเกี้ยวสตรีลาะก็ เขาให้สอบตก...

       “แม่ทัพไป๋ห้าวหาญตรงไปตรงมายิ่ง ข้าน้อยเลื่อมใส”พูดพลางประสานมือคำนับเลียนแบบชาวยุทธ์อย่างหยอกล้อ เพราะถึงแม้จะสอบตกเรื่องเกี้ยวสาว แต่ถ้ามองในมุมของการคบสหาย คนผู้นี้ก็ถือว่าไม่เลว

       “มิกล้า มิกล้า จอมยุทธ์หญิงกล่าวเกินไปแล้ว”

      ยิ่งเห็นท่าทางเป็นคนสบายๆซื่อตรงและไม่ประสาเรื่องนารีเช่นนี้ เขายิ่งรู้สึถูกชะตา จึงได้หัวเราะออกมา และยิ่งเมื่อเห็นท่าทางตะลึงงันไม่สมตัวของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้รู้สึกขบขัน

       “เห็นแก่ที่ท่านยกย่องข้าเป็นจอมยุทธ์ ข้าจะเล่นเพลงให้ท่านฟังหนึ่งเพลง”พูดพลางกรีดนิ้วลงบนสายพิณ อันเป็นเครื่องดนตรีที่เมื่อแรกเขาเพียงเรียนเป็นเพื่อนเสวี่ยเหมย ไปๆมาๆก็กลับชอบขึ้นมาและร่ำเรียนอย่างจริงจัง ถึงขั้นที่เขาเองกล้าพูดไปได้เลยว่าฝีมือไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน

      เสียงเสนาะใสร้อยเรียงเป็นท่วงทำนอง ที่เขาเลือกเล่นนั้นเป็นเพลงพื้นบ้านของชายแดนที่เขาเคยประจำการอยู่ ทำนองไม่ได้ละเอียดละอออะไร แต่ก็ฟังดูสนุกสนานร่าเริงดี

      “ไพเราะมาก”เซียนหยวนกล่าวชม น้ำเสรยงจริงใจไม่ใช่เพียงตามมารยาททำให้เขาเผลอยิ้มกว้าง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่มีสตรีที่ไหนยิ้มรับคำชมเปิดเผยเช่นนี้ จึงได้รีบเสแสร้งถ่อมตัว

      “ฝีมืออ่อนด้วยนัก คำชมของท่านข้าไม่กล้ารับ”

      เขามองดูทองฟ้าที่แสงแดดเริ่มอ่อนลง ประมาณเวลาในใจแล้วจึงกล่าวลา

      “ข้าคงต้องกลับแล้ว ขอบคุณแม่ทัพไป๋ที่สนทนาเป็นเพื่อน”พูดจบ เขาก็หันกายเดินขึ้นสะพาน ข้ามไปอีกฟากอันเป็นเขตุที่เสวี่ยเหมยได้รับอนุญาติให้มีอิสระแค่เพียงบริเวณนั้น

                      เสวี่ยชิงลอบยิ้มคนเดียวอย่างเป็นสุข การได้พบกันอย่างมิได้คาดคิดนั้นทำให้เขาได้สัมผัสตัวตนจริงๆของอีกฝ่าย ทั้งสุภาพซื่อตรงผิดกับภาพลักษณ์ห้าวหาญของเทพสงครามยามอยู่ในสนามรบนัก

      “ไป๋เซียนหยวน... จะดีแค่ไหนหากเราต่างก็มิใช่แม่ทัพของแดนเหนือใต้”

      เขารำพึงกับตนเอง แล้วจึงถอนหายใจอย่างแสนเสียดาย

      ***************

      เสวี่ยชิงต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นแม่ทัพหนุ่มยืนอยู่ที่ปลายสะพานในวันถัดมา คล้ายกับกำลังยืนรอใครบางคน

      คงไม่ใช่ว่ารอเขากระมัง...

      “ท่านแม่ทัพ...”เขาลองเอ่ยทัก ทำดวงตาคมปลาบรีบเบือนไปมองอีกฟากหนึ่งของปลายสะพาน และนั่นทำให้เสวี่ยชิงเกือบหลุดหัวเราะเมื่อพบว่าดวงตาของไป๋เซียนหยวนทอประกายระยับอย่างลิงโลดเต็มที

       “ท่านมารอข้าหรือ”เขาแกล้งถามหยอก แล้วจึงเดินข้ามสะพานมา หยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างสูง

      เซียนหยวนกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนตอบอย่างมีมาด

      “ข้าแค่เดินผ่านมาเท่านั้น”

      คำตอบที่ได้รับทำให้เขาเลิกคิ้วสูง นัยน์ตาคู่สวยมองดูร่างที่เกรียมแดดไปครึ่งซีกของอีกฝ่าย แล้วยิ้มอย่างขบขัน
      โกหกได้ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย...

      “ถ้าเช่นนั้น.... ท่านแม่ทัพคงไปอาบแดดมาก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่ ผิวจึงได้เกรียมเช่นนี้”เขาพูดพลางใช้นิ้วจิ้มๆท่อนแขนแกร่ง ท่าทางที่แสดงออกว่าไม่ได้เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายสักนิดทำเอาเซียนหยวนรู้สึกกระดากอย่างยิ่ง

      แม่ทัพเลื่องชื่อคนหนึ่งถึงกับมาดักรอสตรีแปลกหน้าจนแดดเผาไปครึ่งร่าง ถ้าใครรู้เข้า เขามิต้องถูกล้อไปอีกนานรึ

      เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของแม่ทัพหนุ่มแล้ว เสวี่ยชิงจึงได้หัวเราะร่า ก่อนจะใช้มือปัดๆก้อนหินใหญ่แล้วนั่งลง โดยไม่ลืมฉุดร่างสูงให้นั่งลงข้างๆ
      เอาเถิด... วันนี้ข้าจะแกล้งเจ้าเท่านี้พอละกัน...

      “ว่าแต่ท่านแม่ทัพมีธุระอะไรกับข้าหรือ”

      คำถามนั้นทำเอาเซียนหยวนชะงักไปทันที ทั้งยังอึกอักอยู่นานคล้ายไม่รู้จะหาคำใดมาพูด รอสักพักจึงได้เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง

       “ข้าอยากรู้ชื่อเจ้า”

      ประโยคที่ทำให้คนฟังอดหัวเราะเบาๆไม่ได้ ไป๋เซียนอยวนผู้นี้อ่อนด้อยกับเรื่องอิสตรีเสียจริง!
      มองดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายพึงใจในตัวเขา ไม่สิ พึงใจในตัวเสวี่ยเหมย ถึงขั้นต้องมารอพบเช่นนี้ แล้วใยจึงมิหยอดคำหวานเช่นที่ควรทำเล่า

      “ให้แม่ทัพเลื่องชื่อเช่นท่านมารอเพื่อถามชื่อ นองจากข้าแล้วจะมีใครได้รับเกรียติเช่นนี้อีก”เขาพูดกลั้วหัวเราะ ในน้ำเสียงเจือความล้อเลียนอย่างมิปิดบัง

       “ข้าไม่ได้มารอซะหน่อย”เซียนหยวนยังอดเถียงเบาๆไม่ได้ นั่นทำให้เสวี่ยชิงยิ่งยิ้มกว้าง แล้วส่ายหน้าไปมา

      “เอาเถิด ข้าไม่ล้อท่านแล้วก็ได้”เขาว่า “แต่ท่านแน่ใจหรือว่าอยากรู้ชื่อข้า”

      หากคนตรงหน้ารู้ชื่อของเขาจะเป็นอย่างไรกันหนอ...

      “ข้าอยากรู้แน่นอน ขอทราบนามอันสูงส่งของแม่นางได้หรือไม่”เซียนหยวนถามกึ่งหยอกล้อ จึงถูกมือเรียวตีไปหนึ่งหน

      “ย่อมได้ แต่ข้าอยากให้ท่านรับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อน”เขากล่าว แต่เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของอีกฝ่าย จึงรีบพูดเสริมอีกประโยค”แน่นอนว่าไม่ใช่เรืองใหญ่หรืออันตรายต่อท่านแต่อย่างใด”

      เห็นเขากำชับเช่นนั้น เซียนหยวนจึงพยักหน้า พร้อมเอ่ย

      “ข้ารับปากเจ้า”

      ได้ยินเช่นนั้น เรียวปากบางจึงได้ยิ้มออกมา ก่อนกล่าว

      “ข้าอยากให้ท่านรับปากข้าว่า เมื่อท่านรู้นามของข้า ก็อย่าได้บอกต่อแก่ผู้ใด และเมื่อรู้นามของข้าแล้ว ท่านจะเลือกมาพบข้าอีกหรือไม่ ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน”พูดจบ มือเรียวก็ยกพิณขึ้นมาวางบนตัก ปลายนิ้วกรีดผ่านสายที่ถูกขึงพาด เขาบรรเลงเพลงสั้นๆออกมาเพลงหนึ่ง นัยน์ตาเรียวสวยเหม่อมองไปเบื้องหน้าคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ปรือปิดลง

      แน่นอนว่าเขามิอาจบอกนามอันแท้จริงของตนเองออกไปได้...

      “ข้าแซ่ตงฟาง...”เสียงนุ่มเอ่ย แซ่นั้นทำให้สีหน้าของแม่ทัพหนุ่มเปลี่ยนไปในทันที และนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาไว้อยู่แล้ว จึงไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่แววตาสะท้อนความโศกเศร้าเล็กน้อย

                      หากจงกั๋วมิมีเหนือใต้ จะดีเสียเพียงไรหนอ....

      “ชื่อเสวี่ยเหมย ตงฟางเสวี่ยเหมย และเป็นน้องสาวแท้ๆของตงฟางเสวี่ยชิง หรือก็คือเว่ยจิงที่ท่านรู้จัก...”

                      และตอนนี้ที่เราต่างเป็นศัตรูกัน เมื่อยามที่เจ้ารู้ว่าข้าคือเสวี่ยชิง เจ้าจะสังหารข้าโดยมิลังเลเลยใช่หรือไม่

      ไป๋เซียนหยวน... ตงฟางเสวี่ยชิง เราทั้งสองตั้งแต่เกิดมาคงถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเดินคนละเส้นทาง....

      ******************

      ร่างแบบบางในชุดขาวยังคงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ บนตักคือพิณ แต่กลับมิได้บรรเลง นัยน์ตาหงติดจะเหม่อลอยอยู่หลายส่วน

      วันนี้เขาคงไม่มากระมัง...

      คิดแล้วจึงถอนหายใจ นิ้วเรียวกรีดไปตามสายพิณ เกิดเสียงกังวาลใสไล่สูงต่ำ
      ใช่สิ... ในเมื่ออีกฝ่ายรู้นามของเขาไปแล้ว แม้จะเป็นการสวมรอยเป็นเสวี่ยเหมยก็เถิด แต่ก็นับว่าเป็นน้องสาวของศัตรู เช่นนั้นแล้วเขาจะมาได้อย่างไร...

      “แม่นางเสวี่ยเหมย”เสียงเรียกดังขึ้น ดึงเอาสติที่ล่องลอยไปไกลหวนกลับมา

      เขาหันไปตามเสียงเรียก เห็นร่างสูงของแม่ทัพเลื่องชื่อแห่งแดนใต้ยืนอยู่ เรียวปากจึงปรากฏรอยยิ้มอย่างยินดีระคนแปลกใจ

      “ท่านแม่ทัพ”

      อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาคู่คมเสมองทางอื่นอย่างเก้อเขินเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยประโยคที่เขาคิดเรียบเรียงมาตลอดทั้งคืน

      “แม่นางเสวี่ยเหมย ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะแซ่ตงฟางหรือเป็นน้องของใคร แต่เมื่อเจ้าตัดสินใจมาอยู่ที่จงกั๋วใต้ นั่นหมายถึงแม่นางกับทางเหนือไม่เกี่ยวข้องกันอีก และข้าเองก็...ชอบเจ้ามาก ดังนั้น... ให้ข้าเป็นสหายกับแม่นางได้หรือไม่”พูดจบ เขาเองก็แทบจะกลั้นหายใจด้วยความลุ้นระทึกกับคำตอบ

      ประโยคนั้นทำให้สมองของเสวี่ยชิงอื้ออึงไปชั่วครู่

      อะไรนะ... อีกฝ่ายมิได้รังเกียจเขา... ทั้งยังขอคบหาเป็นสหายต่อไป....

      หลังจากที่ได้สติกลับมา เขาก็หัวเราะให้กับท่าทีเกร็งๆไม่สมตัวของแม่ทัพหนุ่ม นัยน์ตาหงเปี่ยมเสน่ห์เปล่งประกายระยับดั่งดวงดาวยาวกล่าวคำตอบที่ทำให้หัวใจคนฟังเต้นระรัว

      “ตกลง ข้าเองก็ชอบท่านมาก เราเป็นสหายกันแล้วนะท่านแม่ทัพ”
      ไป๋เซียนหยวน ช่างเป็นคนประหลาดนัก...

      เขาคิด แล้วก็ลอบขำใบหน้าแดงๆและท่าทีเก้อเขินดั่งเด็กหนุ่มที่ตกอยู่ในห้วงรักเป็นครั้งแรก ชวนให้รู้สึกทั้งขบขันทั้งเอ็นดู

                      แต่คนเช่นนี้แหละที่เขาจะไว้วางใจฝากน้องสาวไว้ให้ดูแลได้... เมื่อถึงยามที่ทุกสิ่งเดินทางไปถึงจุดจบ เมื่อยามที่เขาไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว...

      “ท่านจะยืนอยู่อีกนานมั้ย นั่งลงเถิด”เขาว่า พร้อมเอื้อมมือไปดึงชายแขนเสื้อของอีกฝ่ายให้นั่งลงข้างกาย

      “เพื่อความสบายใจ เราจะไม่คุยเรื่องสงครามกัน ดีหรือไม่” เสวี่ยชิงกล่าว เรื่องสงครามหากยกมาคุยกันก็มีแต่จะลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งเซียนหยวนก็เห็นด้วย จึงพยัคหน้าตกลง

                      “แม่นางอยู่ที่นี่ สุขสบายดีหรือไม่”อีกฝ่ายพูดเปลี่ยนเรื่อง น้ำเสียงนั้นฟังดูห่วงใยและจริงใจอย่างยิ่ง ทำให้คนฟังอดรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจมิได้ 

      “นับว่าสุขสบายมากแล้วสำหรับคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นเช่นข้า อย่างน้อยเขาก็ยังอนุญาติให้ข้าออกมาเดินเล่นได้ไม่เกินเขตุสะพานนี้”เขาตอบ แล้วพูดเสริม เพราะรับรู้ได้ว่าคนถามนั้นเป็นห่วง “ข้าไม่ได้ลำบากเลย ยิ่งได้ท่านเป็นสหาย ชีวิตข้าก็นับว่ามีความสุขเพิ่มขึ้นอีกประการแล้ว”

      นั่นมิผิดกับความจริง เสวี่ยเหมยมีชีวิตที่สุขสบายดี แม้ไม่อาจไปไหนมาไหนได้ทุกที่อย่างอิสระ แต่ก็มิได้ถูกกลั่นแกล้งรังแก ทั้งจวนที่จัดไว้ให้ก็นับว่าหรูหราเกินกว่าที่ควรมอบให้กับคนของจงกั๋วเหนือมากนัก

       “เมื่อสงครามจบแล้ว เจ้าจะกลับไปทางเหนือหรือจะยังอยู่ที่นี่”

      คำถามถัดมาของอีกฝ่ายทำให้เขาชะงักไปชั่วครู่

                             เมื่อสงครามจบหรือ.... เมื่อนั้นแล้วเขายังจะคิดทำอะไรได้

      ที่ห่วงก็มีแต่เรื่องของเสวี่ยเหมยเท่านั้น....

      “เมื่อจบสงคราม จงกั๋วก็คงไม่มีเหนือใต้แล้วกระมัง”เขาเอ่ย ดวงตาทอดมองออกไปยังเบื้องหน้า แต่กลับคล้ายว่ากำลังมองไปยังสถานที่อื่นที่อยู่แสนไกล

      กระนั้นเขาก็มั่นใจ... หลังสงครามจบ ไป๋เซียนหยวนผู้นี้จะต้องดูแลเสวี่ยเหมยเป็นอย่างดีแน่นอน ดังนั้นแล้ว เขาก็คงไม่มีสิ่งใดให้ต้องอาวรณ์กระมัง...

      “ท่านอยากให้ข้าอยู่ที่นี่หรือไม่”เขาเอ่ยยิ้มๆ พร้อมหันมามองสบตาคนข้างกาย

      “ถ้าข้าตอบว่าอยากให้เจ้าอยู่กับข้า เจ้าจะว่าอย่างไร”แม่ทัพหนุ่มถามกลับ สายตาที่มองกลับไปนั้นจริงจังยิ่ง

      ความนัยของประโยคนั้น ไม่ว่าใครก็คงเข้าใจความหมาย

      ในตอนนั้น ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจของเขาไหวระรัว แต่ก็ยังแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนความหวั่นไหวนั้น แล้วพูดเปลี่ยนเรื่องโดยไม่ยอมตอบ
                      ความรู้สึกที่ไม่ควรมีกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ

      แต่ในตอนนั้นเสวี่ยชิงยังคงมิรู้ตัว....

      ***********

      ปลายเดือนเก้า ทัพของจงกั๋วใต้นำโดยแม่ทัพไป๋เซียนหยวนบุกตีค่ายของจงกั๋วเหนือแตกพ่าย ถอยร่นเข้าไปในหุบเขาหยางซาน จวกั๋วเหนือเสียกำลังไปราวสามพันเศษ ส่วนทางจงกั๋วใต้บาดเจ็บล้มตายรวมหนึ่งพัน

      ต้นเดือนสิบ ค่ายที่แตกไปของจงกั๋วเหนือเป็นเพียงอุบาย เมื่อไล่ตามเข้าไปถึงหุบเขาหยางซาน ก็โดนพลธนูและพลทหารของจงกั๋วเหนือซึ่งซุ่มรออยู่ลอบโจมตี สถานการณ์ตึงมือ ผ่านไปสามวันสามคืนก็ยังไม่สามารถตีฝ่าวงล้อมไปได้ แม่ทัพเว่ยจิวใช้คนสามพันที่ค่ายสังเวยชีวิตเพื่อล่อให้พวกเขาติดกับ เป็นแผนที่อมหิตยิ่งนัก

      เข้าสู่วันที่สี่ซึ่งถูกปิดล้อมในหุบเขา ทหารจงกั๋วใต้จากหนึ่งหมื่อนเหลือเพียงสองพัน ทหารขอวจงกั๋วเหนือไม่มาก แต่อาศัยชัยภูมิในการโจมตีแบบกองโจร อีกทั้วยังปิดล้อมเส้นทางหนาแน่นจนมิอาจตีฝ่าไปได้ อากาศเริ่มหนาวเย็น วันนั้นแม่ทัพของทั้งสองได้ประมือกัน ฝ่ายเว่ยจิงพลาดท่าถูกหนึ่งดาบ เซียนหยวนจึงสามารถนำไพร่พลที่เหลืออยู่ตีฝ่าวงล้อมไปได้ และได้ถอยร่นกลับไปตั้งหลักที่เมือง โดยที่ทางจงกั๋วเหนือไม่ได้ตามมาเพราะแม่ทัพบาดเจ็บ อีกทั้งการรบยืดเยื้อในฤดูหนาวย่อมไม่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย

      กลางเดือนสิบ แม่ทัพเซียนหยวนกลับถึงเมือง แม้จะไม่ได้ชัยกลับมา แต่ข่าวว่าแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บก็สร้างขวัญกำลังใจแก่ทหารและผู้คนไม่น้อย

      อากาศหนาวแรกของเหมันต์ปีนี้เย็นจัดกว่าปีก่อนๆ ยังผลให้บาทแผลของเขาปวดหนึบ ราบกับกำลังกัดกินเข้าไปถึงกระดูก

                      ร่างผอมเพรียวของเสวี่ยชิงนอนอยู่บนเตียง หมอเพิ่งจะเข้ามาเปลี่ยนผ้าพันแผลและจากไป ในห้องซึ่งอบอวนไปด้วยกลิ่นยาชวนมึนงงจึงมีเพียงเขาเท่านั้น

      ตอนนี้หิมะคงตกแล้วกระมัง...

      ไม่รู้ว่าทำไม ในหัวของเขาได้ปรากฏภาพของใครคนหนึ่ง

      ไป๋เซียนหยวน...

                      ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ใช่ไปยืนรอแม่นางเสวี่ยเหมยหรือไม่...

      เขาแค่นยิ้มออกมาบางๆ การที่เขานึกห่วงใยอีกฝ่ายย่อมเป็นเรื่องปกติ กับเซียนหยวนที่คุยกันถูกคอเช่นนั้น หากมินับฐานะของกันและกัน ย่อมสามารถนับได้ว่าอีกฝ่ายเป็นสหาย

                      หากแต่ความรู้สึกคิดถึงเช่นนี้เล่า ใช่ว่าสมควรเกิดขึ้นหรือ...

      ไป๋เซียนหยวนอาจมิสันทัดในเรื่องรัก แต่เขานั้นไม่ใช่... และเสวี่ยชิงรู้ดีว่าความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจตนนั้นมิใช่เรื่องดีเลย

      จะดีแค่ไหนหากอีกฝ่ายมิได้เป็นไป๋เซียนหยวน... จะดีเพียงใดหากเขาไม่ใช่ตงฟางเสวี่ยชิง...

      เสวี่ยชิงถอนหายใจด้วยความรู้สึกอันหนักอึ้ง มือเรียวแตะลงที่บาดแผลของตนเบาๆ

                      แปลกที่ว่าแม้มันจะเจ็บ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน...

                      ดั่งเช่นรสชาติของรักที่เขามิปรารถนาจะลิ้มลองสักนิด หากเมื่อได้รับรู้ กลับยากที่จะถอนตัว...

      ***********

      สี่วันหลังจากนั้น บาแผลเขาเริ่มสมาน แม้ว่าจะยังไม่หายดี หากในใจกลับร้อนรนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อคิดว่าเซียนหยวนจะต้องรู้สึกผิดหวังเพียงไรหากมารอที่ปลายสะพานแล้วมิได้พบกับ เสวี่ยเหมย

      ในที่สุด เขาจึงตัดสินใจออกมาจากจงกั๋วเหนือ โดยอ้างว่าจะมาสืบข่าว ทั้งที่ความจริงแล้วเพียงปรารถนาจะพบหน้าของใครบางคน...

                      เขารีบเร่งเดินทาง ปละก็เป็นอย่างที่คิด ณ ปลายสะพานอีกฝั่ง ไป๋เซียนหยวนกำลังรอเขาอยู่...

                      “ข้านึกว่าท่านยุ่งกับงานอยู่เสียอีก”เสวี่ยชิงกล่าว พยายามปั้นแต่งสีหน้าประหลาดใจ หากน้ำเสียงของตนกลับฟังดูอ่อนระโหยโรยแรงเหลือเกิน

                      โชคดีที่อีกฝ่ายคิดว่าเหตุผลที่ทำให้เขามีสีหน้าวิตกเช่นนี้เป็นเพราะข่าวเรื่องอาการบาทเจ็บของ เสวี่ยชิง จึงมิได้ติดใจสงสัยเรื่องสีหน้าหรือน้ำเสียงของเขา

      “ข้าขอโทษ... เรื่องพี่เจ้า”เซียนหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

      เสวี่ยชิงมองสีหน้ารู้สึกผิดของบุรุษข้างกาย และโดยไม่ทันรู้ตัว มือของเขากลับเอื้อมไปกุมมือหนาไว้อย่างแผ่วเบา

      “จะขอโทษทำไม เรื่องนี้ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วย่อมเกิดขึ้นในสักวัน ตงฟางเสวี่ยชิงกับไป๋เซียนหยวนถูกกำหนดให้อยู่ร่วมโลกเดียวกันมิได้ ข้าเองก็ทำใจเอาไว้แต่แรกแล้ว”

      เพียงเพราะข้าคืออุดร... และเจ้าคือทักษิณา...

      “เสวี่ยเหมย...”เซียนหยวนสบตาเขา แล้วกุมกระชับมือบางไว้แน่น

      มือนั้นส่งผ่านความอบอุ่นตรงเข้าสู่หัวใจ ราวกับหยาดน้ำที่ชโลมหัวใจแห้งผากให้ชุ่มชื่น เสวี่ยชิงเพียงยึดมือนี้เป็นที่พึ่งให้หัวใจอันเหนื่อยล้า

      สงครามและแผนการณ์ในใจที่ดำเนินมาจนเกือบเสร็จสมบูรณ์ ทำให้เขาเหนื่อยเหลือเกิน...

       “เจ้าหายไปไหนมาสี่วัน ข้านึกว่าเจ้าเกลียดข้าเสียแล้ว”

      ประโยคโหยหากึ่งตัดพ้อที่ทำให้เขาหัวเราะออกมาเบาๆ เสวี่ยชิงเอนศรีษะซบไหล่กว้าง แล้วจึงตอบ

      “ท่านน่ะเป็นพวกชอบคิดมาก ข้าสุขภาพไม่ดีมาแต่เล็ก พออากาศเย็นลงหน่อยจึงล้มป่วยเท่านั้น”

                      เพียงครั้งนี้เท่านั้น... เขาจะลืมให้หมดว่าตนเป็นใคร และทำตามหัวใจดูสักครั้ง

       “ที่ข้าคิดมากเพราะว่าเจ้าสำคัญต่อข้ามากน่ะสิ”

                      ไม่มีคำบอกที่ลึกซึ้ง หัวใจของเขาไหวระรัว ลึกๆในใจพวกเขาต่างรู้ดีว่าความรู้สึกนี้คือรัก...

                      “เซียนหยวน ท่านเกลียดเว่ยจิงหรือไม่”เขาถาม เป็นคำถามที่เขาเก็บงำความอยากรู้ไว้ในใจตลอดมา

      เพราะที่เซียนหยวนรักคือ เขาที่เป็น เสวี่ยเหมยแล้วกับตัวตนของเขาจริงๆเล่า คงเกลียดชังมากกระมัง...

      หากคำตอบที่ได้รับกลับผิดจากที่คิดไว้

                      “ไม่... ข้าไม่เกลียดเขา แต่ก็ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับเขาได้ เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข รวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง ข้าต้องเอาชนะเขา เช่นเดียวกับเว่ยจิงที่ต้องสังหารข้าเพื่อจวกั๋วเหนือ มันต่างเป็นหน้าที่และชะตาของเรา”แม่ทัพหนุ่มตอบตามความจริง แม้ใจจะรู้สึกรวดร้าว หากชะตาของเขาและเว่ยจิงคือการห้ำหั่นกันจนตายไปข้าง ชะตาของเสวี่ยเหมยก็คือการต้องสูญเสียใครคนใดคนหนึ่งไป ซึ่งสิ่งนั้นคงทรมาณจิตใจนางอย่างมาก

                      มือที่กุมประสานกันนั้นราวกับสามารถเชื่อมความรู้สึกถึงกันได้ ใจเขารู้สึกเจ็บปวด แต่ในอีกด้านหนึ่งก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้าถึงในใจอย่างอ่อนหวาน

                      “แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว... อย่างน้อยข้าก็ได้รู้ว่าแม้ท้ายสุดหากเป็นท่านที่สังหารเว่ยจิง ก็ไม่ได้ทำเพราะว่าท่านเกลียดเขา”เสวี่ยชิงเอ่ย ก่อนจะนั่งตัวตรง แล้วเริ่มบรรเลงพิณออกมาเพลงหนึ่ง บทเพลงที่แม้จะไพเราะอ่อนหวาน หากก็ฟังดูเศร้าอย่างน่าประหลาด

                      นี่คงเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย... ในฐานะของเสวี่ยเหมย

                      เมื่อเพลงจบลง เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวลา แต่ยังไม่ทันที่จะได้ออกเดิน เซียนหยวนก็ถามขึ้น เป็นคำถามที่อีกฝ่ายเคยได้พูดไปก่อนหน้านี้แล้ว

      “เสวี่ยเหมย เจ้าอยากอยู่กับข้าหรือไม่”

      นัยน์ตาสองคู่สบประสาน เสี้ยววินาทีนั้นช่างยาวนานดั่งปีผัน ก่อนที่เรียวปากสีชมพูซีดจะโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันอ่อนหวาน งดงามจนแทบทำให้ทุกสรรพสิ่งด้อยค่า

      “ข้าปรารถนาจะอยู่กับท่าน จริงๆนะ นั่นเป็นเพียงความปรารถนาหนึ่งเดียวของข้าในตอนนี้”เขาตอบ แม้รู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ก็ตาม เสวี่ยชิงพยายามบังคับให้ตนหันหลังให้อีกฝ่าย กัดฟันเดินข้ามสะพานไปด้วยฝีเท้าอันหนักอึ้ง

      ทั้งๆที่ตอนแรกเพียงแค่พบกันโดยบังเอิญ...

      ทั้งๆที่ต่อมาเขาเพียงวางแผนสร้างความผูกพันธ์ภายใต้ภาพของเสวี่ยเหมย เพื่อที่หลังจากเขาไม่อยู่แล้ว เซียนหยวนจะได้ดูแลน้องสาวของตนตลอดไป

      แต่ตั้งแต่เมื่อใดกันที่พลั้งเผลอ... ทำให้แผนการผิดพลาดอย่างมิน่าให้อภัย

      ครั้งหน้าที่ได้พบกัน นั่นคงเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา....

      ************

      ต้นเดือนสอง อากาศอบอุ่นลงแล้ว สงครามเริ่มขึ้นอีกครั้ง เว่ยจิงแห่งจงกั๋วเหนือยกทัพไปรบ ครานี้ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าเป็นศึกครั้งสุดท้าย ไพร่พลทั้งหมดถูกเกณฑ์มาหลายสิบหมื่น ต่อสู้กันติดพันจนต่างฝ่ายต่างเหนื่อยล้าเต็มที

                      ไป๋เซียนหยวนบนหลังม้าประจันหน้ากับเว่ยจิงในชุดเกราะที่แปดเปื้อนไปด้วยโลหิตพอๆกับเขา มือโยนป้ายหยกลงบนพื้นแล้วจึงตะโกนขึ้น

      “เว่ยจิง รบกันติดพันแบบนี้มีแต่จะสูญเสียทั้งสองฝ่าย ข้าขอท้าเจ้า ประลองตัวต่อตัว ฝ่ายใดปราชัยคือพ่ายศึกนี้ ทหารที่เหลือต้องยอมแพ้ซะ เจ้าเห็นด้วยหรือไม่!”

                      “ดี! ประลองกันตัวต่อตัว แพ้ชนะเอาถึงตาย!”เสวี่ยชิงตอบเสียงดัง เพราะตนเองก็ต้องการจบศึกนี้ให้รวดเร็วที่สุด มือโยนป้ายหยกประจำตัวลงบนพื้นเป็นการรับคำท้าตามธรรมเนียมปฎิบัติ

                       เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ของตนตกลงกันเช่นนั้น เหล่าทหารจึงหยุดรบกันแล้วถอยห่างออกเป็นวงกว้าง เว้นระยะไว้เป็นสนามประลองของทั้งสองคน

                      เซียนหยวนและเว่ยชิงต่างคุมเชิงกันอยู่ ไม่มีฝ่ายไหนลงมือก่อนเสียที ทำให้บรรยากาศนั้นทั้งกดดันและเงียบเชียบเสียจนได้ยินเสียงหายใจของเหล่าทหาร

                      และฝ่ายที่เปิดฉากก่อนก็คือเซียนหยวน แม่ทัพหนุ่มควบม้าตะบึงเข้าใส่อีกฝ่าย กระบี่ในมือฟาดฟันอย่างรวดเร็ว หากเสวี่ยชิงก็เอี้ยวตัวหลบทัน แล้วสวนกระบี่กลับไปอย่างรวดเร็ว

                      จากการะประมือกันคราวก่อน เขารู้ดีว่าไป๋เซียนหยวนนั้นฝีมือร้ายกาจ เพลงดาบของอีกฝ่ายทั้งดุดันทรงพลัง ซึ่งนั่นก็เป็นผลดีต่อแผนการณ์ที่เขาได้วางไว้

                      เคร้ง!

      เสียงเหล็กปะทะกันดังก้องหลายครั้ง กระบี่คมปลาบต่างมิมีใครยอมใคร ต่างฝ่ายต่างผลัดกันโจมตีและตั้งรับอย่างรวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน นาทีนี้หากพลาดท่าครั้งหนึ่งมิได้หมายถึวเพียงขีวิต แต่คือจงกั๋วทั้งแผ่นดิน!!

                      เมื่อประมือกันนานเข้า บาดแผลที่ยังไม่หายดีก็สร้างความจบปวดเสียจนแขนนั้นหนักอึ้งราวถูกเหล็กถ่วง กระบี่ของเสวี่ยชิงไม่เฉียบคมเท่าแต่ก่อน เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเขาช้าลงจึงสบโอกาศก้มลงหลบกระบี่ของเขา แล้วสวนกลับทันทีอย่างว่องไว เสวี่ยชิงทั้งปัดป้องและหลบไม่ทันจึงพลัดตกจากหลังม้า อีกทั้งยังโดนปลายกระบี่ถากเข้าที่ไหล่จนโลหิตซึมออกจากชุดเกราะ

                      “สภาพแบบนั้นยังกล้ารับคำท้าประลองกับข้าอีกนะ อยากแพ้ถึงขนาดนั้นเลยหรือไง”เซียนหยวนเอ่ย

      เสวี่ยชิงกัดฟันกรอด มิใช่เพราะถ้อยคำยั่วโทสะของอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะบาดแผลเริ่มเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว มือเรียวตวัดกระบี่เข้าที่ขาของม้า ทำให้แม่ทัพแห่งแนใต้ถูกสลัดร่วงลงพื้น

      “ฝีมือเจ้าไม่ดีเหมือนปาก”เขาเค่นเสียง ก่อนวาดกระบี่ในมือ เซียนหยวนที่ยังล้มอยู่บนพื้นรีบกลิ้งตัวหลบอย่างทุลักทุเล แล้วจึงรีบลุกขึ้น ก้มตัวหลบอาวุธที่ฟาดฟันเข้าหาตนอย่างมิเว้นช่องให้พัก

      ด้วยความที่ยังมิทันตั้งหลัก ทำให้เซียนหยวนได้แต่ถอยร่นไม่เป็นกระบวนท่า นึกในใจว่าไม่น่ายั่วโทสะอีกฝ่าย กระบี่ในมือไม่มีโอกาสได้ฟาดฟันเพราะเพียงปัดป้องก็เต็มกลืน

      เสวี่ยชิงรู้สึกถึงความเจ็บที่ลุกลามจากแผลใหม่ที่ไหล่และแผลเก่าที่สีข้าง ทำให้จังหวะหายใจเริ่มไม่คงที่ ความเร็วเริ่มตก แต่ก็ยังคงกัดฟันลุกไล่อีกฝ่ายต่อไป

      หากมิจบการต่อสู้โดยเร็ว ร่างกายเขาต้องไม่ไหวแน่...

      ความเร็วและอานุภาพกระบี่ของเสวี่ยชิงลดลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นจังหวะที่ทำให้เซียนหยวนสามารถโต้กลับได้ กระบี่ในมือที่ได้แต่ปัดป้องจึงเป็นฝ่ายรุกกลับ อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเอี้ยวตัวหลบ เตะเข้าที่ลำตัว จงใจเล็งตำแหน่งแผลเก่า แม้จะดูเป็นวิธีสกปรกไปบ้าง แต่การต่อสู้ที่เดิมพันใหญ่หลวงเช่นนี้  ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดเขาก็ต้องชนะให้ได้!

                      ร่างสูงเพรียวเมื่อถูกเตะเข้าก็ถึงกับทรุด ความเจ็บปวดระรอกใหญ่เข้าโจมตีจนแทบลุกไม่ไหว หยาดเหงื่อผุดพราย แต่เพราะหน้าที่ซึ่งแบกไว้อยู่บนบ่าทำให้เขาต้องกัดฟันยืนขึ้น

                      บนบ่าของเขามีแผ่นดินจงกั๋วกดทับอยู่... มิใช่เหนือหรือใต้ แต่เป็นจงกั๋วแผ่นดินเดียว

      เขาวางแผนนี้มานาน... และมันกำลังจะลุล่วง...

      คมกระบี่ของเซียนหยวนมุ่งเข้าสู่ตำแหน่งศรีษะ ในระยะห่างเพียงแค่นี้ ทำให้เสวียชิงได้เพียงก้มหลบในเสี้ยววินาทีที่ความตายกำลังมาเยือน

                      เคร้ง!

      เสียงของกระบี่ที่ปะทะเข้ากับเกราะศรีษะดังก้อง ซึ่งหากมิได้สวมมันไว้ ที่กลิ้งอยู่บนพื้นคงไม่ใช่เกราะแต่เป็นหัวของแม่ทัพแห่งจงกั๋วเหนือแทน

                      นาทีนั้นทุกคนแทบลืมหายใจ เช่นเดียวกับเซียนหยวน แต่เหตุผลนั้นมิใช่เพราะตกตะลึงที่เห็นอีกฝ่ายรอดมาได้ แต่เป็นเพราะเมื่อไร้ซึ่งหมวกเกราะปิดบัง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทุกคู่คือเส้นผมสีน้ำหมึกที่ปลิวไหวตามแรงลม และใบหน้างดงามสยบใต้หล้า โลหิตแดงฉานที่เปรอะเปื้อนผิวขาวนั้นหาได้แลดูน่าพรั่นพรึงไม่ แต่กลับทำให้คนผู้นี้เป็นดั่งเทพยาดาผู้นำพาซึ่งความตาย

                      ใบหน้าที่หากตัดหยาดเลือดและความทรนงองอาจในแววตาออกไป ก็แทบไม่ต่างอะไรกับเสวี่ยเหมยผู้เป็นน้องเลยสักนิด...

                      ในช่วงเวลาที่เซียนหยวนกำลังตกตะลึงกับภาพที่ซ้อนทับกับสตรีที่ตนรัก แม้เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่ก็เป็นวินาทีซึ่งเกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย เสวี่ยชิงรวบรวมแรงทั้งหมดร่ายเพลงกระบี่อันรุนแรง รัศมีกระบี่ดุดันเฉียบคม แม้ว่าเซียนหยวนจะได้สติคืนมาและยกกระบี่ขึ้นปัดป้อง แต่ก็มิอาจต้านทานได้ เหล็กกล้าที่ว่าแข็งยามพบกับเพลงกระบี่ชุดนี้ก็ถึงกับแตกหักเป็นสอง แม่ทัพหนุ่มแห่งจงกั๋วใต้ผงะถอยไปหลายก้าว ก่อนจะถูกรัศมีกระบี่อันรุนแรงผลักให้ล้มลงกับพื้น ครั้นจะรีบลุกขึ้นก็ถูกฝ่าเท้าของอีกฝ่ายกระทืบลงกลางอกจนกระอักโลหิต

                      “มาจบเรื่องเถอะ... ลาก่อน ไป๋เซียนหยวน เจ้ากับข้าไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน แต่เป็นชะตาเจ้าที่ถูกกำหนดให้ตายด้วยมือข้า”เสวี่ยชิงเอ่ย นัยน์ตาหงคู่สวยว่างเปล่าเย็นชา ก่อนที่จะเงื้องกระบี่ในมือขึ้น เป็นการจบศึกระหว่างเหนือใต้ที่ยืดเยื้อยาวนานกว่าสิบปี

                      คำอำลานั้นเป็นของจริง หากแต่...

                      ในสายตาของเซียนหยวน ภาพของคมกระบี่ที่สะท้อนแสงแดดนั้นราวกับภาพช้าที่ค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หัวสมองเขาว่างเปล่า ร่างกายเหนื่อยล้าเสียจนความตายที่กำลังเข้ามาใกล้ช่างเย้ายวนเกินกว่าจะปฏิเสธมัน

      ทว่า... ในขณะที่จิตใจกำลังน้อมรับการหลับใหลนิรันด์นั้น ภาพของตงฟางเสวี่ยเหมยก็ไหลเข้ามาในสมอง ภาพรอยยิ้มของนาง แววตาของนาง มือของนางที่ไล่ไปตามสายพิณ แม้จะมีรูปโฉมดุจเดียวกัน แต่แววตาของนางนั้นแตกต่างจากเว่ยจิง มันอ่อนโยน ทอประกายสุกใส บางคราก็เหม่อลอย และบางครั้งก็โศกเศร้า มิได้เย็นชาไรความรู้สึกเช่นนี้

      เขาอยากพบนางอีกครั้ง... อยากกลับไปหานาง ตบแต่งนางเป็นภรรยา คอยดูแลปกป้องนางไปตลอด ใช่..  เขาเห็นแก่ตัว แต่หากให้เขาเลือก เขาก็จะเลือกสังหารเว่ยจิงเพื่อที่ตนจะได้รอดกลับไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเสวี่ยเหมย

      มือกวาดไปบนพื้น คว้าเอากระบี่ที่หักขึ้นมา ไม่สนใจว่าคมของมันจะบาดลึกเข้าไปในเนื้อจนเลือดไหล สัญชาติญาณในการรักษาชีวิตสั่งการให้เขาจับมันไว้แน่นและใช้แรงทั้งหมดแทงมันออกไป

      แปะ...แปะ...

      เซียนหยวนรู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆที่ตกลงบนใบหน้า เป็นของเหลวสีแดงที่เจือด้วยกลิ่นคาวซึ่งเขาแสนจะคุ้นชิน

      มันคือโลหิต... จากมือของเขา และจากแผลที่อกของเว่ยจิง...

                      ที่จะต้องตาย... เป็นเขา เว่ยจิงแห่งอุดร มิใช่ไป๋เซียนหยวน...

      ความเงียบเข้าครอบครองทุกวรรพสิ่ง ทุกคนลืมที่จะหายใจ ดวงตาเบิกกว้างมองดูภาพของแม่ทัพใหญ่แห่งแดนเหนือที่ถูกเศษกระบี่แทงเข้ากลางอก ในขณะที่มือยังคงกุมกระบี่แน่น ปลายของมันห่างจากร่างของแม่ทัพแห่งแดนใต้เพียงไม่กี่เซนติเมตร

      “ลาก่อน ตงฟางเสวี่ยชิง ข้ากับเจ้าไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน แต่เป็นชะตาเจ้าที่ถูกกำหนดให้ตายด้วยมือข้า”เซียนหยวนพูดเสียงเบา ด้วยประโยคเดียวกับที่อีกฝ่ายเอ่ยเมื่อครู่

      เสวี่ยชิงหลับตาลงช้าๆ กับแผลที่หน้าอกนั้น ไม่ต้องถึงมือหมอ เขาก็รู้ว่าตนไม่มีทางรอด เลือดสดๆยิ่งไหลทะลักในยามที่อีกฝ่ายกระชากเศษกระบี่ออก ย้อมเสื้อผ้าและชุดเกราะให้แดงฉาน

      มันคือสิ่งที่เขาจงใจให้เป็นตั้งแต่แรก แสร้งต่อสู้ให้ถึงที่สุด และเขารู้ดีว่าเมื่อวินาทีสุดท้ายมาถึง เซียนหยวนจะต้องสังหารเขาอย่างแน่นอน

      เพราะอีกฝ่ายมี เสวี่ยเหมยอยู่เต็มหัวใจ และย่อมต้องสังหาร เว่ยจิง เพื่อจะได้มีชิวิตรอดกลับไปพบสตรีอันเป็นที่รัก...

      ความตายที่เขาเตรียมใจรอรับมาเนิ่นนาน เมื่อถึงเวลาจริงๆ หัวใจสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด

      “เป็นครั้งแรกที่เจ้าเรียกชื่อจริงๆของข้า...”เขาพูด น้ำเสียงแผ่วเบาขาดห้วง ก่อนที่ร่างจะล้มลงกับพื้น ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วทุกอณูของร่างกาย

      ใช่...มันเป็นชะตา เมื่อต่างก็เป็นแม่ทัพใหญ่ของเหนือและใต้ จะช้าจะเร็วก็ต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างอยู่ดี

      เช่นนั้นแล้ว สู้เขาซึ่งเป็นผู้นำทัพของจงกั๋วเหนือเป็นฝ่ายปราชัยมิดีกว่าหรือ จะได้จบศึกอันยาวนานนี้ จะได้รวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง ใต้การปกครองอันสงบสุขเยี่ยงจงกั๋วใต้ในตอนนี้

      ชีวิตเขานับว่าด้อยค่านักเมื่อเทียบกับทั้งแผ่นดิน...

      “เสวี่ยเหมย... น้องสาวข้า...”เขาพยายามเอ่ย แต่กลับหาเสียงตนเองไม่เจอ ความคาวคลุ้งในลำคอก่อเกิดเป็นหยาดเลือดที่ออกมาแทนที่คำพูด ดวงตาหงคู่สวยมองดูแม่ทัพฝ่ายศัตรูที่ยืนมองตนอยู่เบื้องบน หยาดน้ำตาไหลผ่านผิวแก้มกลิ้งลงสู่พื้น

      ...ก่อนหน้านี้ มีสิ่งเดียวที่เขาห่วงเหลือเกิน... ครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขา เสวี่ยเหมย...

      หากตอนนี้กลับพบว่ามีบางคนเพิ่มเข้ามาในหัวใจ... ความเห็นแก่ตัวเล็กๆของเขาร่ำร้องว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อจะได้พูดคุยกับเซียนหยวนให้นานกว่านี้อีกสักนิด ได้บรรเลงเพลงให้เขาฟังนานกว่านี้อีกสักหน่อย

                      แต่แน่นอน... เขารู้ดีว่ามันมิอาจเป็นไปได้...

                      เซียนหยวนมองดูร่างที่ลมหายใจรวยรินของเว่ยจิง ไม่เหลือซึ่งความทรนงองอาจเหนือใต้หล้า ใบหน้าซีดเซียวที่ตัดกับสีแดงของโลหิตแลดูงดงามเปราะบาง กระทั่งแววตาที่จ้องมองมาทางเขายังแลดูโศกเศร้าและวอนขอจนชั่วขณะหนึ่งเขาแทบแยกไม่ออกว่าคนผู้นี้คือเว่ยจิง มิใช่เสวี่ยเหมย

      “อย่าห่วง ข้าจะดูแลนางเอง”เขาพูด ใจหนึ่งเพราะนึกเวทนาคนใกล้ตาย เขามิได้เกลียดอีกฝ่ายจริง แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะสังหาร ไม่เป็นฝ่ายฆ่า ก็จะถูกฆ่า สิ่งเดียวที่เขาจะทำเพื่ออีกฝ่ายได้คือดูแลเสวี่ยเหมยให้ดีที่สุด เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่เขารัก

      เมื่อได้ยินดังนั้น เสวี่ยชิงก็ฝืนยิ้มออกมาบางๆ แววตาของเขาพร่ามัวเลือนลาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำตาหรืออะไร เรียวปากขยับเล็กน้อยคล้ายต้องการบางสิ่ง แต่ก็ไม่... กระทั่งลมหายใจสุดท้ายได้หยุดลงพร้อมกับเปลวเพลิงแห่งชีวิตที่มอดดับ

      เซียนหยวนมองดูศัตรูแห่งตน คนที่แม้ตายก็ตายตาไม่หลับ แล้วจึงถอนหายใจ ร่างสูงย่อกายลง ลูบมือผ่านดวงตาอีกฝ่าย ใบหน้าที่เหมือนกับสตรีอันเป็นที่รักทำให้เขามิอาจทนจ้องมองนานๆได้

      “หลับให้สบายเถิด”

      แท้จริงใจข้ามิได้ปรารถนาจะสังหารเจ้าเลยจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ

      ...พวกเราต่างก็ไม่มีทางเลือก...

       

      สิ่งหนึ่งที่ข้าไม่เคยได้บอกเจ้า คือข้ารักเจ้า ไป๋เซียนหยวน...

      ....และข้าจะเก็บงำมันไว้ตลอดกาล....

       

      ****************

                      เรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับรู้ทำให้ไป๋เซียนหยวนแทบคุ้มคลั่ง

      ที่แท้เป็นเขานั่นเอง... เป็นเขานั่นเอง คนที่ตนรักสุดหัวใจ คนที่คิดว่าคือเสวี่ยเหมยมาตลอด แท้จริงกลับเป็นเสวี่ยชิง

                      มือแกร่งกำแน่น เล็บจิกลงไปในเนื้อจนโลหิตไหลซึม เขามิอาจใช้ถ้อยคำใดๆในโลกมาบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ได้

      ด้วยมือเดียวกันนี้ที่เขาเกาะกุมมือบอบบางเอาไว้... เป็นมือที่สังหารผู้เป็นที่รัก

                      ยามเมื่อความจริงกระจ่าง ทำให้เขาคาดเดาออกถึงเจตนาของเสวี่ยชิง อีกฝ่ายทำเช่นนี้เพื่อยุติสงครามอันยาวนาน คนที่เป็นวีรบุรุษตัวจริงของจงกั๋ว คนที่ทั้งแผ่นดินติดค้าง มิใช่เขาไป๋เซียนหยวน แต่เป็นตงฟางเสวี่ยชิง

                      ความรวดร้าวในใจกดทับจนเขาหายใจไม่ออก...

      ไม่จริง... มันต้องไม่ใช่เรื่องจริง!

                      วินาทีนั้นเขาออกวิ่งไปยังปลายสะพาน ไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มองเขาอย่างตื่นตกใจ สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือเมื่อไปถึงยังสะพาน เขาจะพบร่างในชุดขาวที่ส่งยิ้มให้เขาเหมือนเช่นเคย

                      เสวี่ยชิง... เจ้าจะต้องอยู่ตรงนั้น บรรเลงเพลงพิณ ยิ้มและหัวเราะอย่างงดงาม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้าแค่ฝันไปเท่านั้น มันมิได้เกิดขึ้นจริง เจ้าจะต้องยังมีชีวิตอยู่...

                      แต่แล้วไป๋เซียนหยวนก็ประจักต์แก่สายตาว่าตรงปลายสะพานนั้นว่างเปล่า...

      หยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาจากนัยน์ตาคู่คม กรั่นหรองเอาความเจ็บปวนสุดทนซาบซับสู่ธรณี...

      **********

      คนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมสะพาน...

      ข้างกายเขาคือต้นหลิวอ้อนแอ้น กับต้นท้อที่ออกดอกบานสะพรั่ง สายน้ำสะท้อนประกาย กลีบท้อร่วงหล่นอ้อยอิ่ง ขับเน้นเงาร่างของบุรุษผู้นั้นให้ดูยากแก่การเข้าถึง

      คนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมสะพาน ทอดมองไปยังปลายสะพานอีกฝั่ง...

      ข้างกายเขาอีกฟากคือกลุ่มเด็กน้อยที่ล้อมวงเล่นกันอย่างสนุกสนาน

      วันเวลาผ่านไป กลุ่มเด็กน้อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นบุตรธิดาของพวกเขาที่เข้ามาเล่นแทน

      คนผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่ริมสะพาน...

      กาลเวลาผันแปร ใบไม้ร่วงหล่น ประเดี๋ยวประด๋าวก็ผลิใบใหม่ ดอกท้อบานสะพรั่ง ร่วงโรย วนเวียนไปตามฤดู กลุ่มเด็กน้อยเติบโตขึ้น กลายเป็นหลานของเด็กกลุ่มแรกที่มาจับกลุ่มนั่งเล่นแทนที่กลุ่มเก่า

      คนผู้นั้นยังคงไม่ไปไหน...

      ผู้คนแปรเปลี่ยน สรรพสิ่งผันแปร กระทั่งผมยาวดำคลับของคนผู้นั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว

      สิ่งเดียวที่ยังเหมือนเดิมคือ เขายังคงยืนอยู่ริมสะพาน ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าคล้ายกับโลกนี้มิมีสิ่งใดควรค่าแก่การใส่ใจนอกเสียจากอีกฟากของสะพานนั้น

      นับจากวันนั้นเขายังคงเฝ้ารอ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีก็ผ่านพ้นไปหลายสิบปี...

      เมื่อแรกนั้นผู้คนต่างอ้อนวอนให้เขากลับไปรับราชการ เลิกยึดติดกับสิ่งที่ไม่อาจหวนกลับ

                      แต่เขาก็ไม่ฟัง... เขายังคงรออยู่เช่นนั้น เชื่อมั่นว่าในสักวันหนึ่ง เสวี่ยชิงจะก้าวเดินมาจากอีกฟาก พร้อมรอยยิ้มอันงดงามดังเดิม

                      ตงฟางเสวี่ยเหมยเฝ้ามองเขาอยู่เช่นนั้น นางมิได้บอกให้เขาเลิกเฝ้ารอแต่อย่างไร เพียงแต่รำพึงออกมาประโยคหนึ่ง

      “ลิขิตสวรรค์ช่างโหดร้ายกับผู้ที่รักกันอย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้”

                      และหลังจากนั้นสามปี นางก็ล้มป่วยและสิ้นใจไป ตลอดชีวิตหลังสงครามของนางนั้นสุขสบายดี เซียนหยวนยกทุกสิ่งให้แก่นาง ทำตามคำสัญญาที่ว่าจะดูแลนางเป็นอย่างดี...

                      วันเวลาผ่านไป เนิ่นนานจนในที่สุดผู้คนก็ต่างลืมเลือนว่าใครกันที่ยืนอยู่ริมสะพานทุกเช้าค่ำ เนิ่นนานจนเส้นผมดำสนิทแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว ร่างกายที่เคยสูงใหญ่ก็งอค่อมลง

                      แต่เขาก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น รอคอยต่อไป วันแล้ววันเล่า นานเสียจนตนเองก็บอกไม่ได้ว่าผ่านไปแล้วกี่สิบปี...

                      ไป๋เซียนหยวนจ้องมองไปยังอีกฟากฝั่งของสะพาน ความชราทำให้นัยน์ตาที่เคยคมปราบนั้นฟ่าฟาง ร่างกายที่เคยมีเรี่ยวแรงเหนื่อยล้าเกินทานทน กระนั้นเขาก็มิเคยละสายตาไปเลยสักครั้ง ด้วยกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นเสวี่ยชิงอีก

                      และแล้ววันหนึ่ง... ท่ามกลางความมึนมัวราวกับถูกขี้เถ้าป้ายทับตา ณ ปลายสะพานแห่งนั้น เขามองเห็น...

      ร่างเพรียวระหงในชุดขาวก้าวเดินอย่างแช่มช้า มือเรียวนั้นยังคงโอบประครองพิณคันเดิม และเรียวปากกำลังขยับเป็นรอยยิ้มงดงามสว่างสไวเสียจนทำให้ทุกสรรพสิ่งในโลกด้อยค่า

                      “รอข้านานหรือไม่”

      น้ำเสียงอันนุ่มนวลนั้นยังคงเหมือนในความทรงจำ แจ่มชัดในโสตประสาท

                      “ไม่...”

      เสียงของเขาแหบแห้งและสั่นพร่า เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ จนคล้ายกับจะลืมวิธีพูดไปเสียหมด

                      หยาดน้ำตาหลั่งรินออกจากดวงตาอันฝ้าฟาง นั่นทำให้เสวี่ยชิงหัวเราะ ก่อนจะยื่นมือออกมาเบื้องหน้า

                      “ไปกันเถอะ”

      วลีสั้นๆนั้นเป็นสิ่งที่ใจของเซียนหยวนปรารถนามาเนิ่นนาน เรียบง่ายเพียงนี้เอง สิ่งที่เขาต้องการ แสนเรียบง่ายถึงเพียงนี้เอง..

      แค่ปรารถนาจะได้พบหน้าอีกครั้งด้วยนามที่แท้จริง ด้วยฐานะที่แท้จริง...

                      วินาทีที่มือนั้นสัมผัสกัน เซียนหยวนพลันรู้สึกว่าช่วงเวลายาวนานที่ผ่านมามิได้ด้อยค่าเลย...

      เสวี่ยชิง... ข้ารักเจ้า...

      อยากจะเอื้อนเอ่ย หากก็ลิมวิธีพูดไปเสียแล้ว

      ราวกับอีกฝ่ายรับรู้ได้ มือนั้นจึงกุมมือของเขาไว้อย่างนุ่มนวล พร้อมเสียงอันไพเราะที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินได้กล่าวออกมาสั้นๆ

      “อืม... ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน...”

                      คนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมสะพาน...

      ข้างกายเขาคือต้นหลิวอ้อนแอ้น กับต้นท้อที่ออกดอกบานสะพรั่ง สายน้ำสะท้อนประกาย กลีบท้อร่วงหล่นอ้อยอิ่ง ขับเน้นเงาร่างของบุรุษผู้นั้นให้ดูยากแก่การเข้าถึง

      คนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมสะพาน ทอดมองไปยังปลายสะพานอีกฝั่ง...

      ข้างกายเขาอีกฟากคือกลุ่มเด็กน้อยที่ล้อมวงเล่นกันอย่างสนุกสนาน

      วันเวลาผ่านไป กลุ่มเด็กน้อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นบุตรธิดาของพวกเขาที่เข้ามาเล่นแทน

      คนผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่ริมสะพาน...

      กาลเวลาผันแปร ใบไม้ร่วงหล่น ประเดี๋ยวประด๋าวก็ผลิใบใหม่ ดอกท้อบานสะพรั่ง ร่วงโรย วนเวียนไปตามฤดู กลุ่มเด็กน้อยเติบโตขึ้น กลายเป็นหลานของเด็กกลุ่มแรกที่มาจับกลุ่มนั่งเล่นแทนที่กลุ่มเก่า

      คนผู้นั้นยังคงไม่ไปไหน...

      ผู้คนแปรเปลี่ยน สรรพสิ่งผันแปร กระทั่งผมยาวดำคลับของคนผู้นั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว

      สิ่งเดียวที่ยังเหมือนเดิมคือ เขายังคงยืนอยู่ริมสะพาน ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าคล้ายกับโลกนี้มิมีสิ่งใดควรค่าแก่การใส่ใจนอกเสียจากอีกฟากของสะพานนั้น

                      และวันหนึ่ง คนผู้นั้นก็ก้าวเดินออกไป ข้ามไปยังอีกฟากฝั่ง และล้มลงตลอดกาล

                      ...เขามิได้ยืนอยู่ริมสะพานอีกต่อไปแล้ว...

      ***********

                      แสงสีส้มของอาทิตย์อัสดงอาบไล่ไปทั่ว หญิงสาววัยกลางคนมือหนึ่งถือตะกร้าผลไม้ อีกมือจูงมือของเด็กน้อยวัยราวสิบขวบ แล้วจึงหยุดลงริมสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง

                      เมื่อครั้งนางยังเยาว์วัยอยู่มาก ได้เดินผ่านที่แห่งนี้กับมารดา และพบผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ริมสะพานแห่งนั้น ตอนนั้นยังจำได้ว่านางจะเข้าไปทัก แต่ก็ถูกห้ามไว้เสียก่อน

                      หลังจากนั้นนางก็มิเคยได้ผ่านมาทางนี้อีกเลย จึงไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ชายชราผู้นั้นได้ก้าวข้ามสะพานไปหรือไม่...

      “ท่านแม่ มองอะไรอยู่หรือ”เด็กน้อยกระตุกมือของผู้เป็นมารดาเบาๆ ดวงตากลมโตบนดวงหน้าอ่อนใสจ้องเป๋งมาทางนางอย่างไคร่รู้

      หญิงสาวส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนตอบ “ไม่มีอะไรหรอก เรารีบกลับกันเถอะ พ่อเจ้ารอกินข้าวอยู่แหนะ”

      ทั้งสองออกเดินต่อ พลัน สายลมแรงวูบหนึ่งก็พับเอาหมวกของเด็กน้อยให้ปลิวไปตกอยู่ที่ริมสะพานแห่งนั้น

      “อ๊ะ! หมวกของข้า”ร่างเล็กๆปล่อยมือของมารดา แล้วรีบวิ่งไปเก็บหมวกของตน

                      ยังมิทันที่จะได้วิ่งไปถึง คนที่เพิ่งข้ามสะพานมาก็ก้มลงเก็บหมวกใบนั้นขึ้น ก่อนส่งยิ้มให้เด็กน้อย

      “นี่เป็นของเจ้ากระมัง”

                      แม้จะยังเยาวัย แต่รอยยิ้มนั้นช่างงดงามจนเด็กชายตะลึงตลาน

      “ขอบคุณพี่สาว”เด็กน้อยเอ่ย แล้วจึงรับหมวกคืนมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

      คนที่เก็บหมวกได้พลันชะงักกับคำว่า พี่สาว ไปชั่วครู่ แล้วจึงหันไปมองค้อนคนที่เดินมาด้วยกันซึ่งกำลังกลั้นหัวเราะหน้าดำหน้าแดง

                      “ไม่เป็นไรหรอก คราวหน้าระวังด้วยนะ วันนี้ลมแรงทีเดียว”เขาพูด ส่งยิ้มเอ็นดูให้อีกครั้ง แล้วจึงลุกขึ้น ก่อนเดินต่อ โดยไม่วายหันมาว่าคนข้างกาย

                      “เดี๋ยวเถอะ เมื่อครู่ขำอะไรของเจ้านะลู่ไป๋”

      ดวงตาคู่คมมองดูเสี้ยวหน้างดงามที่บึ้งตึง ก่อนจะยิ้มขำๆ แล้วตอบ

      “เปล่านี่... เจ้ามองผิดไปแล้วกระมัง... พี่สาว”คำพูดหยอกล้อเช่นนั้นทำให้เรียวปากบางบึ้งตึง ร่างเพรียวพลันเร่งฝีเท้าขึ้นอย่างโกรธเคือง ทำให้ลู่ไป๋ต้องรีบวิ่งเหยาะๆตาม

                      “อย่าโกรธข้าเลยน่า... ก็เจ้างามถึงเพียงนี้ เด็กๆจะเข้าใจผิดก็ไม่แปลก”เขาพูด พลางฉวยมือบางมาจับไว้ นัยน์ตาคู่คมมองมาอย่างสำนึกผิดเจือออดอ้อน ทำเอาสุดท้ายคนจะโกรธก็โกรธไม่ลง

                      ”เอาเถอะ ครั้งนี้ยกโทษให้เจ้าก็ได้”เขาพูด ทำให้คนตัวสูงยิ้มกว้างออกมาราวกับเด็ก

      “ข้ารู้อยู่แล้วว่าอวี้ชิงของข้าใจดีที่สุด”

                      ประโยคที่คนฟังได้แต่ส่ายหน้าไปมา หากหัวใจนั้นกลับรู้สึกอบอุ่นหาใดเปรียบ

      คนรักที่ปากหวานเสียยิ่งกว่าผลไม้เชื่อมของเขา แล้วยังสายตาเช่นนั้นอีก ทำให้เขาจะใจแข็งสักครั้งก็ทำไม่สำเร็จสักทีสิน่า...

                      “คราวหน้าถ้ายังล้อข้าอีกล่ะก็ ข้าโกรธจริงๆด้วย”

      กระนั้นก็ยังอดพูดขู่ไว้ก่อนไม่ได้อยู่ดี

                      “ขอรับ ข้าทราบแล้ว ถ้าทำอีกจะให้หอมแก้มเป็นการลงโทษ”ลู่ไป๋กล่าวทะเล้น ทำให้ใบหน้าสวยซับสีระเรื่อ อวี้ชิงกำลังจะอ้าปากว่าก็ถูกมือหนาจับกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปข้างหน้าอย่างอารมณ์ดี

                      สุดท้ายแล้วเขาจึงได้แต่เพียงยอมให้ลู่ไป๋เดินจูงมือไปตลอดทาง...

       

                      มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าขานกันในหมู่คนกลุ่มหนึ่งของแดนจงกั๋ว กล่าวถึงสมัยที่แผ่นดินยังแยกเป็นเหนือใต้ แม่ทัพแห่งแดนเหนือได้ปลอมตัวเข้ามาสืบความลับ และได้พบรักกับแม่ทัพแห่งจงกั๋วใต้

                      ทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งรู้ดีถึงฐานะของกันและกัน แต่อีกคนกลับไม่รู้ และได้เป็นฝ่ายสังหารแม่ทัพแห่งจงกั๋วเหนือผู้ที่แท้จริงเป็นคนที่ตนรักลงกับมือ

                      เมื่อความจริงปรากฏ แม่ทัพผู้นั้นรวดร้าวเจียนตาย เขามุ่งตรงไปยังปลายสะพานอันเป็นจุดนัดพบของทั้งคู่ เฝ้ารออีกฝ่ายวันแล้ววันเล่า และเรื่องราวก็จบลงอยู่ที่ตรงนี้

                      ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงตอนต่อ ไม่มีใครรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วทั้งสองได้พบกันอีกหรือไม่

      หากแต่บัดนี้ มีมือของคนคู่หนึ่งกำลังจับจูง ก้าวเดินไปด้วยกันด้วยสีหน้าอันเปี่ยมสุข....

                      ในสักวันหนึ่ง.... ในช่วงเวลาหนึ่ง ที่ข้านั้นมิใช่ตงฟางเสวี่ยชิง และเจ้ามิใช่ไป๋เซียนหยวน

      ....เราจะได้พบกันอีกครั้งอย่างแน่นอน....

                      มือของอวี้ชิงและลู่ไป๋กุมกันไว้แน่น ในขณะที่ทั้งคู่ก้าวเดินออกไปบนถนนที่ทอดยาว

      มิใช่เพียงถนนบนผืนดินเท่านั้น หากแต่บนเส้นทางของชีวิต พวกเขาก็ยังคงจับมือกันไว้มั่น และจะไม่มีวันคลายออกตลอดกาล...

      -End-

                     

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×