ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6
ตอนที่ 6
ทันทีที่สองเท้าของอุสิชาเหยียบลงมายังท่าเรือของเกาะ ทิวทัศน์สีฟ้าขาวของท้องฟ้าและน้ำทะเลสลับกับสีเขียวขจีของเกาะอื่นๆ ทอดตัวเรียงรายไปจนสุดลูกหาลูกตาเบื้องหน้าก็ทำให้หญิงสาวคลายความวิงเวียนจากอาการเมาคลื่นนั้นได้อย่างชะงัด แม้จะยังติดใจทิวทัศน์ที่เพิ่งได้เห็น แต่อุสิชาก็ไม่ลืมเข้าไปติดต่อห้องพักที่จองไว้และนำของไปเก็บก่อนจะมาตักตวงความงามอันเงียบสงบนี้ให้เต็มอิ่ม
หญิงสาวรู้สึกว่าไม่ผิดหวังเลยที่เลือกมาพักผ่อนที่เกาะนี้ ผืนทะเลสีครามเข้มที่ทอดตัวยาวดั่งว่าจะบรรจบกับผืนฟ้าใสเบื้องบนสร้างความรู้สึกสงบในใจของเธอเป็นอย่างมาก แม้ทางรีสอร์ทจะมีเครื่องเล่นทางน้ำไว้บริการมากมายแต่ก็ไม่ทำให้อุสิชาเบนความสนใจไปจากความสุขสงบนี้ได้เลย แม้จะเหน็ดเหนื่อยและเพลียกับการเดินทางมากเพียงใด แต่ในคืนแรกอุสิชาก็นั่งมองทะเลและท้องฟ้าที่เปลี่ยนจากสีฟ้าใสจนกลายเป็นสีดำสนิทในที่สุด
กว่าอุสิชาจะตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้วเพราะกว่าจะได้นอนก็เกือบสว่าง แม้จะเสียดายที่ไม่ได้นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นอย่างที่คิดไว้ แต่หญิงสาวก็คิดในใจว่ายังมีอีกหลายเช้ารออยู่บนเกาะนี้ หลังจากจัดการกับอาหารมื้อแรกของวันแล้ว อุสิชาก็เดินสำรวจไปรอบๆ พื้นที่ของรีสอร์ท ตกเย็นหญิงสาวก็เดินไปถึงทางตะวันตกของเกาะที่มีสะพานยาวเหยียดยื่นไปในทะเลเหมาะที่จะนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินเป็นที่สุด ดูจากสีของท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มเกือบแดงก็พอจะประมาณได้ว่าอีกไม่นานนักก็จะถึงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน อุสิชาตัดสินใจเดินไปตามสะพานไม้จนสุดปลายสะพาน รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกเหมือนตนเองนั่งอยู่กลางทะเล เบื้องหน้ามีแต่ผืนทะเลที่ระลอกคลื่นสะท้อนแสงแวววาวระยิบระยับจากดวงอาทิตย์ เงาอาทิตย์ที่สะท้อนอยู่บนผืนน้ำทอดต่ำลงเรื่อยๆ แสงสีส้มจางๆ ดวงเล็กๆ ก็กลายเป็นลูกไฟสีแดงจัดที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำงามตา ตัดกับสีม่วงคล้ำของน้ำทะเลและผืนฟ้าที่เกือบจะมืดสนิทในไม่ช้า หญิงสาวนั่งจ้องมองดูลูกไฟเคลื่อนหลบหลังเกลียวคลื่นไปจนลับ แต่แม้แสงเดือนจะโผล่ขึ้นมาแทนที่แต่อุสิชาก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเหมือนยังไม่อยากจากไปไหนจนกระทั่งได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ชอบดูดาวหรือครับ” แม้เสียงนุ่มทุ้มนั้นจะเอ่ยถามอย่างสุภาพแต่สำเนียงของผู้พูดก็แปร่งหูเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นเจ้าของภาษา อุสิชาหันไปตามเสียงนั้นก็พบกับดวงตาที่กำลังจ้องมองพระจันทร์อย่างเพ้อฝัน แม้แสงสว่างจากพระจันทร์จะน้อยนิดแต่ก็พอสังเกตได้ว่าตาคู่นั้นเป็นสีฟ้าสดใส และจัดได้ว่าเป็นนัยน์ตาที่สวยประทับใจที่สุดเท่าที่เคยพบมา อุสิชาได้แต่ยิ้มตอบก่อนจะขอตัวกลับไปยังบริเวณที่พัก
แม้จะพอใจกับการได้พักผ่อนอย่างสงบอยู่บนเกาะ แต่ก็ยังมีกิจกรรมบางอย่างที่อุสิชาสนใจ โดยเฉพาะการขี่จักรยานชมเกาะ แม้ก่อนหน้านี้หญิงสาวจะเดินสำรวจไปจนเกือบรอบเกาะแล้วก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกว่าตนเองไปได้ไม่ทั่วถึงนักเพราะรู้สึกล้ามากกว่า เมื่อได้จักรยานมาทุ่นแรงและเวลาจึงทำให้หญิงสาวสนุกกับทัวร์เล็กๆ บนเกาะนี้ได้มาทีเดียว เมื่อขี่จักรยานไปอีกฟากของเกาะที่ยังเดินไปไม่ถึงก็พบหมู่บ้านชาวประมงที่ยังอาศัยอยู่บนเกาะนี้ ที่หมู่บ้านมีการขายทั้งของที่ระลึกและร้านอาหารแบบง่ายๆ อุสิชาจึงเดินเข้าไปดูว่าจะสามารถซื้อของฝากอะไรให้หลานสาวได้บ้าง ของฝากส่วนมากเป็นเครื่องประดับและพวงกุญแจที่ชาวบ้านทำเอง หญิงสาวใช้เวลาที่ร้านนี้อยู่นานกว่าจะได้ของที่ถูกใจ เมื่อออกมาจากร้านค้านั้นก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว
เมื่อเห็นว่าใกล้จะได้เวลาอุสิชาจึงขี่จักรยานมายังสะพานเดิมเพื่อรอเวลาพระอาทิตย์ตกดิน แต่ครั้งนี้ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามีชายชาวต่างชาติรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีน้ำตาลอ่อน นั่งอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว เมื่อเห็นว่าที่ชมวิวของตนเองไม่ว่างหญิงสาวจึงคิดจะเลี้ยวจักรยานกลับ
“เดี๋ยวครับ” เขาร้องห้ามพลางยันตัวลุกขึ้นวิ่งมาทางอุสิชาด้วยความตื่นเต้นเป็นเหตุให้หญิงสาวชะงัก
“คุณคงจะมาชมพระอาทิตย์ตกดิน ชมด้วยกันสิครับ” เขาเอ่ยชวนอย่างมีไมตรี แม้จะพูดชัดถ้อยชัดคำ แต่สำเนียงของเขาก็ยังคงแปร่งเช่นเดิม
“ขอบคุณนะคะ แต่ไม่ดีกว่า” อุสิชาตอบพลางยึดจักรยานเตรียมจะเลี้ยวกลับอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นก็ดินเนอร์กับผมค่ำนี้ได้ไหมครับ” ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะเผยจุดประสงค์ แม้จะยอมรับว่าตนเองรู้สึกประทับใจตาสวยๆ ของชาวต่างชาติผู้นี้ แต่อุสิชาก็ยังคงยืนยันปฏิเสธ
“วันนี้ดิฉันเหนื่อยมากค่ะคงต้องขอตัว ขอโทษด้วยนะคะ” อุสิชาพูดจบก็จูงจักรยานกลับไปที่ชายหาด ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่หมดกำลังใจ
“ผมชื่อปิแอร์ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” เขาตะโกนตามหลังอุสิชาอย่างที่เธอนึกไม่ถึง แม้จะรู้สึกตกใจแต่ก็อดหัวเราะเบาๆ ให้กับตนเองไม่ได้
เย็นวันต่อมาอุสิชาไปนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินที่จุดเดิม แม้จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่พบปิแอร์ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก และคิดว่าเขาคงกลับไปแล้ว เมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้วหญิงสาวจึงเตรียมตัวเดินกลับที่พักเพื่อรับประทานอาหารค่ำ แต่ก็ต้องผงะที่พบกับปิแอร์เข้าที่กลางสะพาน
“ผมคิดว่าจะไม่พบคุณเสียแล้ว” สำเนียงแปร่งๆ พูดขึ้นปนเสียงหอบเล็กน้อย อุสิชาจึงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ผมขอร้อง ค่ำนี้ไปดินเนอร์กับผมนะครับ” ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอนจนอุสิชาเกือบใจอ่อน
“อะไรกันคะคุณ เรายังไม่รู้จักกันเลย” หญิงสาวพูดแกมหัวเราะ
“เมื่อวานผมแนะนำตัวเองไปแล้ว ถ้าคุณลืมไปแล้ว ผมแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้งก็ได้ครับ ผมชื่อปิแอร์” เขาพูดพลางยื่นมือขวาออกมาเพื่อทักทายตามธรรมเนียมของเขา
“ฉันชื่อทรายค่ะ” หญิงสาวยิ้มตอบก่อนจะแนะนำตนเองออกไปทั้งๆ ที่ยังกอดอก ปิแอร์จึงต้องเก็บมือตัวเองไว้กับตัว
“สาย ที่หมายถึง มาช้า น่ะหรือครับ” ปิแอร์ทำคิ้วขมวด ทำให้อุสิชาอดหัวเราะไม่ได้ ความเข้าใจผิดทางภาษานี่ทำให้ความหมายเพี้ยวไปได้ถึงขนาดนี้
“ไม่ใช่ค่ะ ทราย ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า แซนด์ น่ะค่ะ” หญิงสาวหัวเราะอย่างขบขันขณะดูสีหน้าของชายหนุ่มที่กำลังงุนงงอย่างเต็มที่
“ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณว่าแซนดี้จะดีกว่านะครับ จะได้ไม่เข้าใจผิด” ชายหนุ่มเอ่ยปากขออนุญาต อุสิชาได้แต่ยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการยอมรับ แม้จะเพิ่งคุยกันได้ไม่ทันไร แต่อุสิชารู้สึกถูกคอกับชายคนนี้มาก ดังนั้นจึงเต็มใจยอมไปทานมื้อค่ำกับปิแอร์ตามคำชวนของเขาในค่ำคืนนี้
ปิแอร์จัดโต๊ะดินเนอร์ใกล้ที่พักที่อยู่ในบริเวณบ้านพักส่วนตัวของเขาที่อยู่อีกฟากและสัญญาว่าขากลับจะมาส่งอุสิชาถึงรีสอร์ท เขาพาเธอไปนั่งที่โต๊ะปูผ้าขาวประดับด้วยชามแก้วใสขนาดพอเหมาะที่มีดอกไม้นานาสีสันลอยอยู่สองสามดอก ตรงกลางชามแก้วมีเชิงเทียนตั้งอยู่ แสงจากเทียนสะท้อนแสงจากชามแก้วและน้ำในชามสว่างไสว เบื้องหน้ามีทั้งจานและมีดส้อมจัดวางแบบตะวันตกอย่างเรียบร้อย บริเวณรอบๆ โต๊ะอาหารก็มีคบไฟปักอยู่รอบๆ ให้แสงวับๆ แวมๆ ดูโรแมนติค ปิแอร์ปล่อยให้อุสิชานั่งรอที่โต๊ะอาหารเพียงครู่ก็กลับออกมาจากในตัวบ้านพร้อมกับอาหารและไวน์
“มื้อนี้ผมลงมือทำอาหารเอง หวังว่าคุณคงพอใจนะครับ” ปิแอร์พูดขณะรินไวน์ให้เธอ อุสิชาไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มบางๆ ด้วยความรู้สึกขอบคุณ
หลังจากอาหารมื้อค่ำกับปิแอร์ครั้งแรกแล้ว อุสิชาก็เริ่มสนิทสนมกับชายหนุ่มมากขึ้น และได้ชิมอาหารค่ำฝีมือปิแอร์ทุกวัน แรกทีเดียวอุสิชาหลงคิดว่าเขาน่าจะเป็นพ่อครัวใหญ่ แต่กลับรู้ว่าเขาเป็นนักธุรกิจ ทั้งสองคุยถูกคอกันมาก ปิแอร์ชวนอุสิชาไปทำกิจกรรมอื่นๆ บนเกาะมากมายด้วยกัน และนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันทุกวันจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่ปิแอร์จะพักอยู่บนเกาะนี้ เขาจึงลงมือทำอาหารค่ำมื้อพิเศษเพื่อเป็นการอำลา
“คืนนี้ผมขอเปิดแชมเปญเพื่อมิตรภาพของเรานะครับ” ปิแอร์พูดหลังจากอาหารค่ำผ่านไปแล้ว
“ยินดีค่ะ” หญิงสาวรับคำ
“ถ้าอย่างนั้นผมเชิญในบ้านจะดีกว่า” ปิแอร์เสนอพลางยื่นมือมารับอุสิชา หญิงสาวเต็มไปตามไปแต่โดยดีเพราะคิดว่าอาจเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบเจอกัน
ทั้งคู่ดื่มแชมเปญพลางพูดคุยกันไปจนกระทั่งแชมเปญหมดไปเกือบสองขวด อุสิชาเริ่มหน้าระเรื่อขึ้นและรู้สึกมึนเล็กน้อยจึงขอตัวกลับ
“เดี๋ยวก่อนแซนดี้ ผมมีบางอย่างอยากบอกคุณ” ปิแอร์รั้งมือเธอไว้ก่อนที่จะจากออกไป
“คะ”
“คุณเคยเชื่อเรื่องรักแรกพบไหมครับ” ปิแอร์ถามสีหน้าจริงจัง อุสิชาจับน้ำเสียงได้ว่าปิแอร์คงไม่ได้พูดเล่นแน่ๆ
“ไม่ค่ะ แล้วคุณล่ะ” หญิงสาวถามกลับบ้าง
“ก่อนนี้ผมก็ไม่เคย จนกระทั่งได้พบคุณ” ปิแอร์กระซิบตอบก่อนจะก้มลงจุมพิตที่ติ่งหูของเธอ หญิงสาวผลักอกเขาออกเพื่อจะได้มองหน้าเขาให้ชัดกว่านี้
อุสิชาจ้องมองไปที่นัยน์ตาสีฟ้านั้นอย่างค้นหาคำตอบก่อนจะโน้มคอเขาลงมาเพื่อจุมพิตที่ริมฝีปากของเธอ ปิแอร์พาร่างของอุสิชาไปยังโซฟาของห้องรับแขกทั้งๆ ที่ยังไม่ถอนริมฝีปาก เขาผลักร่างนั้นให้เอนลงบนโซฟานุ่มนิ่มชั้นดีก่อนจะถอนริมฝีปากออกมาเพื่อพิศดูใบหน้างามที่เขาหลงรักแต่แรกเห็นนั้นอีกครั้ง
“ผมรักคุณ แซนดี้” เขาพูดจบก็ระดมจูบไปทั่วเรือนร่าง และมอบความรักในแบบของเขาให้แก่อุสิชาที่เต็มใจยอมรับความรักของเขาเช่นเดียวกัน
แม้จะหลับไปบนโซฟาด้วยความเพลียจากกิจกรรมที่ทำกับปิแอร์ไปได้ไม่นาน แต่อุสิชาก็สะดุ้งตื่นทันทีที่รู้สึกว่ามือของปิแอร์สัมผัสบริเวณรอบๆ คอของเธอ
“อะไรกันคะปิแอร์” หญิงสาวตกใจที่รู้สึกถึงความเย็นของโลหะบริเวณรอบๆ คอเธอ
“ผมให้คุณ เป็นเครื่องระลึกถึงกัน” เขาตอบพลางก้มลงจุมพิตที่แก้มของเธอ อุสิชาคว้าจี้ที่ติดกับสร้อยคอนั้นมาดู เป็นรูปไม้กางเขนสีเงินประกายวาววับที่เธอเห็นปิแอร์สวมใส่เสมอ
“นี่มันของประจำตัวคุณนี่คะ คุณเคยบอกว่าเป็นแพลตตินั่มแท้ แล้วเพชรตรงกลางนี้ก็เป็นของจริง”
“นั่นล่ะ ผมจึงหวังว่ามันมีค่ามากพอจะเป็นของขวัญให้กับผู้หญิงที่ผมรัก” ปิแอร์ตอบด้วยสายตาหวานซึ้งเช่นเดียวกับที่ไกรพมักทำกับเธอเสมอๆ
“ไกรพ”อุสิชาแทบลืมชื่อนี้เสียสนิทระหว่างที่ใกล้ชิดกับปิแอร์ ซ้ำยังทำสิ่งที่เรียกว่านอกใจเขาไปกับปิแอร์เสียแล้ว อุสิชาเริ่มรู้สึกไม่ดีต่อสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไป แม้ไกรพจะไม่รู้แต่ตัวเธอเองก็รู้ดี
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าแซนดี้ สีหน้าไม่ดีเลย” ปิแอร์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นอุสิชาสีหน้าเปลี่ยนไป หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้า และพยายามยิ้มออกมาให้สดใสที่สุด เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยิ้มออกปิแอร์จึงช้อนร่างของเธออุ้มตรงไปยังห้องนอนทันที
“อะไรคะปิแอร์” หญิงสาวร้องถามพลางทุบต้นแขนเขาเบาๆ
“ผมอยากลาคุณอีกสักรอบ” ปิแอร์ตอบเธอเป็นประโยคสุดท้ายของค่ำคืน แม้อุสิชาจะรู้สึกผิดต่อไกรพ แต่เมื่ออะไรมันเลยเถิดมาจนป่านนี้แล้ว หญิงสาวก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องห้ามใจตนเองอีกต่อไป
เช้าวันรุ่งขึ้นอุสิชาตื่นขึ้นมาในขณะที่ปิแอร์กำลังหลับสนิท เขาจะออกจากเกาะนี้ในตอนบ่ายจึงใช้เวลาที่เหลืออยู่พักผ่อนให้ยาวที่สุด อุสิชาตัดสินใจไม่ปลุกเขาก่อนที่จะกลับไปยังที่พักและเช้คเอาท์ออกทันทีโดยไม่บอกลาและไม่ทิ้งไว้กระทั่งช่องทางติดต่อกับเธออีก แม้จะยอมรับว่าเต็มใจมีความสัมพันธ์กับปิแอร์ในคืนที่ผ่านมา แต่หญิงสาวก็พยายามตัดใจจากเขาก่อนที่จะผูกพันกันไปมากกว่านี้ และเก็บเรื่องราวบนเกาะนี้เป็นความลับตลอดไปเพื่อไม่ให้ไกรพเสียใจ ถึงอย่างนั้นก็ตามสร้อยคอแพลตตินั่มก็ยังคงเป็นเครื่องแทนความรักของปิแอร์ที่มีต่อตัวเธอตลอดไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น