ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานศิลันตรา

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6 การโจมตีและความสูญเสีย

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 50


    ตอนที่ 6 : การโจมตีและความสูญเสีย
     
     
               วันต่อมาคีรินทำตัวตามปกติ กลับบ้านดึกเช่นทุกคืน มารตีเองก็ทำหน้าที่ปรนนิบัติเขาอย่างเช่นที่ทำเป็นประจำทุกวัน หลังจากเข้านอนไม่นานคีรินก็สะดุ้งตื่นเพราะจิตใจที่เป็นกังวล เขาหันไปด้านข้างซึ่งควรจะมีร่างของมารตีนอนอยู่ แต่ข้างตัวเขากลับว่างเปล่า คีรินนึกย้อนไปถึงบทสนทนาระหว่างเขาอันตราเมื่อคืนก่อนหน้า เขาจึงคว้ามีดสั้นประจำตัวเดินมุ่งตรงไปยังชายป่าด้านใต้ คีรินเลือกใช้ทางลัดที่เฮยาเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ตามคำสั่งของอันตราเพื่อให้ไปถึงยังชายป่านั้นเร็วขึ้น เมื่อใกล้ถึงลำธารเขาหลบอยู่หลังต้นยางใหญ่เพื่อสังเกตการณ์ ไม่นานนักร่างอรชรของมารตีก็ปรากฏบริเวณทางออกเดิมที่เขาและนางพบกัน หญิงสาวใช้มือทั้งสองข้างทำสัญญาณเสียงเพียงครู่ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ที่เร้นกายในเงาป่าด้านตรงข้ามก็ออกมาเรียงแถว แม้จะไม่ใช่นักรบ แต่ด้วยสัญชาตญาณทำให้คีรินรู้ทันทีว่ามารตีเรียกกำลังคนเพื่อเข้าโจมตีในคืนนี้แน่แล้ว เขาใช้ทางลัดทางเดิมวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อกลับไปแจ้งข่าวยังหมู่บ้าน

                คีรินตัดสินใจวิ่งตรงไปยังกระท่อมของอุตรา มีอันตราเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขาสามารถแจ้งข่าวโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก เมื่อถึงหน้ากระท่อมเขาเคาะประตูถี่รัวโดยไม่สนใจมารยาทอีกต่อไป

               
    “อันตรา ท่านอาอุตราตื่นเร็ว”

                คีรินตะโกนเสียงดัง จนทำให้ชาวเผ่ากระท่อมใกล้เคียงพากันตื่นไปด้วย อุตราออกมาเปิดประตู และมีร่างของอันตราเดินตามมาอย่างตระหนก คีรินพุ่งตัวเข้าไปหาอันตราทันทีที่ประตูเปิด

               
    “มารตีพาคนมาโจมตีหมู่บ้านเราแล้วอันตรา”

                อันตราได้แต่สีหน้าตระหนกมองหน้าบิดา แต่เมื่อตั้งสติได้อุตราก็คว้าอาวุธวิ่งตรงไปยังกระท่อมพ่อนาย ส่วนอันตรามุ่งไปยังกระท่อมของเฮยาเพื่อดำเนินการตามแผนทันที ทิ้งให้คีรินยืนตะลึงงันอยู่เพียงคนเดียวที่กระท่อมของอุตรา

                หลังจากตั้งสติได้ คีรินจึงถลันไปยังถ้ำพิธีอันเป็นสถานที่ประชุมหารือการยุทธ์ของเผ่า เขาพบทั้งผาคำ ศิลา และนักรบเอกคนอื่นๆ ที่นั่นอย่างพร้อมเพรียง ทันทีที่เขาปรากฏกาย ทุกคนต่างจ้องมองตรงมายังเขาเป็นตาเดียว แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยคำพูดใดออกมาเลย

               
    “ข้ารู้ว่าข้าเป็นผู้นำภัยมาสู่ชาวเรา”

                คีรินก้มหน้ารับผิด

               
    “เอาเถิด อย่างน้อยเจ้าก็เป็นคนมาแจ้งข่าวการศึกด้วยตนเอง”

                ผาคำตัดบทและเริ่มสั่งการตามแผนการยุทธ์

                ที่ลานกลางหมู่บ้านชายฉกรรจ์นักรบทุกคนต่างถือคบเพลิงในมือเรียงเป็นแถวอย่างมีระเบียบ บ้างถือหอก บ้างถือดาบ บ้างถือธนู เฮยาและชายหนุ่มอีกสองสามคนกำลังช่วยกันแจกม้วนกระดาษอันเป็นแผนผังกับดักและทางลับใหม่ของหมู่บ้าน อันตราถือคันธนู และเหน็บดาบสั้นไว้ที่เอวพร้อมสำหรับการรบเช่นกัน แม้จะเคยผ่านการรบกับเผ่าฟานมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นนางแทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลยนอกจากเป็นกองหลัง และด้วยความเป็นเด็กสาว ทั้งศิลาและอุตราก็ต่างปกป้องเสียจนแทบไม่ได้ลงอาวุธเลย แต่คราวนี้อันตราเป็นหญิงเต็มตัว และมีฝีมือการยุทธ์ไม่เป็นรองใคร จึงไม่มีใครทัดทานการร่วมรบได้เลย

                หลังจากจัดแถวกองรบได้ไม่นาน ศิลาก็เดินลงมาสั่งการแผนการรบ เด็กหนุ่มซึ่งยังไม่พร้อมรบเป็นผู้คุ้มกันลำเลียงผู้หญิงและเด็กไปหลบซ่อนยังที่ปลอดภัย และให้หัวหน้ากองแต่ละกองแยกกันไปตามหน้าที่ ศิลาและอันตราเป็นกองซุ่มกองแรกด้วยกัน ส่วนผาคำกับคีรินประจำอยู่ศูนย์สั่งการที่บริเวณหมู่บ้าน การรบเริ่มขึ้นทันทีที่กองรบแรกของเผ่าฟานโดนกับดักที่ทำไว้ หลังจากนั้นศิลาก็นำกองรบแรกเข้าโจมตีทันที แม้ชาวเผ่าขุณณาจะมียุทธวิธีที่ดี และฝีมือการยุทธ์ที่ล้ำเลิศเพียงใด ก็ไม่สามารถต้านกำลังของพวกฟานที่มีเยอะกว่าหลายเท่าได้ กองรบทั้งด้านทิศตะวันตกและตะวันออกจึงจำต้องเข้ามารวมกันเพื่อต้านไม่ให้พวกฟานเข้าในหมู่บ้านได้ กองรบที่มีอุตราเป็นผู้นำ ถูกตีกระหนาบหนักที่สุดจนต้องถอยร่นมาถึงอันตราและศิลา อุตราได้รับบาดเจ็บสาหัสจากลูกธนูอาบยาพิษของเผ่าฟาน แม้จะโชคดีที่ไม่ถูกส่วนสำคัญ แต่อุตราก็รู้สึกชาจนแทบจับดาบยกขึ้นสู้ป้องกันตัวเองไม่ได้ อันตราเห็นว่าบิดากำลังจะถูกพวกฟานรุม จึงวิ่งเข้าไปหมายจะช่วยเหลือให้ได้ แม้จะแข็งแรงและเชี่ยวชาญเพียงใด อันตราซึ่งเป็นหญิงก็เพลี่ยงพล้ำถูกดาบจากฝ่ายตรงข้ามหลายแผล ขณะที่ศิลากำลังจ้วงแทงคู่ต่อสู้อยู่เห็นว่าอันตรากำลังเข้าสู่สถานการณ์ย่ำแย่ จึงถลันเข้าไปช่วยหญิงสาวอย่างไม่คิดชีวิตโดยไม่ทันสังเกตว่ามีฟานผู้หนึ่งถือหอกวิ่งพุ่งตรงมายังเขา หลังจากสังหารฟานที่เข้าโจมตีสองพ่อลูกได้แล้ว ศิลาก็รู้สึกเจ็บแปลบปวดร้าวจากบริเวณแผ่นหลังทะลุมายังหน้าอก แต่ความเจ็บปวดนั้นก็ไม่ได้ทำให้ชายชาติทหารอย่างเขาถึงกับหมดแรง เขาดึงหอกนั้นออกจากร่างแล้วหันไปใช้ดาบฟาดลงทีเดียวสังหารได้อย่างน้อยสามศพ ก่อนที่จะกระอักเลือด และทรุดลงโดยมีดาบเป็นเครื่องยันพื้น กองรบอื่นๆ เห็นท่าไม่ดีจึงสั่งให้ถอยร่น อุตราและศิลาถูกกองช่วยเหลือหามกลับไปยังหมู่บ้าน โดยมีอันตราและหัวหน้ากองอื่นๆ คุ้มกันตลอดทาง

                ทั้งหมดใช้ทางลับใหม่เป็นทางกลับเข้าสู่หมู่บ้านโดยแต่ละกองแยกย้ายกันไปตามหัวหน้ากองของตน กองของอันตราและศิลามาถึงยังหมู่บ้านและแจ้งข่าวความเสียเปรียบให้กับผาคำได้รู้ พ่อนายตัดสินใจถอยร่นไปตั้งหลักที่บริเวณผาศักดิ์สิทธิ์ทันที ที่นั่นเป็นที่สูงและมีชัยภูมิที่ดีต่อการรบ หากแต่ไม่สามารถทำการเกษตรหรือเลี้ยงสัตว์ได้จึงไม่ได้ใช้เป็นที่ตั้งหมู่บ้าน ทางขึ้นไปสู่ผาศักดิ์สิทธิ์นั้นรกชัฏ เป็นอุปสรรคต่อพวกฟานซึ่งชำนาญการรบในที่ราบและแม่น้ำ เมื่อไปถึงผาศักดิ์สิทธิ์ ผาคำเป็นผู้สั่งการกองรบด้วยตัวเอง โดยให้กระจายกำลังเป็นจุดๆ รวมทั้งบนผานี้มีหินใหญ่น้อยมากมายพอที่จะเป็นอาวุธทำลายกองรบได้

                กองธนูเป็นกองรบด่านแรกที่พวกฟานต้องเจอ ตามมาด้วยกองทัพก้อนหินที่มีอย่างอุดมบริเวณนั้น เล็กบ้างใหญ่บ้างแต่ก็คงเพียงพอที่จะทำให้นักรบฟานบางคนไม่สามารถเดินทางขึ้นมาได้อีก และหากมีใครเหลือรอดจะถูกโจมตีด้วยกองหอกและดาบที่จะกระหนาบโจมตีจากสองข้างทางที่เป็นทางขึ้นสู่ผาศักดิ์สิทธิ์เพียงทางเดียว

                แม้จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในครั้งแรก หากแต่ยุทธวิธีนี้กลับใช้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจนัก กองรบของฟานกระเจิงไปกันคนละทิศละทาง ผาคำพยายามมองหามารตีผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นลูกสะใภ้และเป็นไส้ศึก หากแต่ไม่พบนางเลย หลังจากที่พวกฟานแตกทัพกันไปแล้วเขาก็ไม่มีเวลามาใส่ใจไส้ศึกคนนี้มากนัก เพราะกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของศิลามากกว่า

                ศิลากำลังถูกพยาบาลอย่างดีจากหมอยาและอันตรา แม้ศิลาจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งเพียงใด แต่ผาคำผู้เป็นพ่อก็รู้แก่ใจดีว่าลูกชายคนโตคงไม่รอดพ้นคืนนี้เป็นแน่ เนื่องจากสภาพบาดแผลที่ดูแย่กว่าที่เคยพบเห็นมา พวกฟานถนัดการใช้พิษ และพิษที่ศิลาถูกมานั้นคงไม่ใช่พิษทั่วๆ ไป ใบหน้าคมเข้มที่เคยอมชมพูของเขากลับกลายเป็นซีดหมอง เหงื่อกาฬผุดทั่วตัวดั่งอาบ มือที่สั่นเทาของเขามีมือของอันตรากุมแน่นอยู่ตลอดเวลา

               
    “ท่านพี่ศิลา ท่านต้องอยู่กับข้านะ พวกฟานแพ้ไปหมดแล้ว หลังจากนี้พิธีแต่งงานของเราจะจัดขึ้นได้แล้วนะเจ้าคะ”

                อันตราพูดด้วยเสียงสั่นเครือเพราะร่ำไห้ไม่หยุดตั้งแต่มาถึงผาศักดิ์สิทธิ์

               
    “เจ้าอย่าร่ำไห้เลยอันตรา”

                ศิลาพูดด้วยเสียงเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน พลางใช้มือสั่นเทานั้นเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มของหญิงสาวด้วยความรักสุดหัวใจ

               
    “ท่านพี่ศิลา ท่านต้องอยู่นะ ต้องอยู่เข้าพิธีแต่งงานกับข้า”

                อันตราพูดพลางใช้มือทั้งสองข้างจับมือของศิลาที่เอื้อมมาเช็ดน้ำตา แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดร่ำไห้ได้

               
    “ถึงกายพี่จากไป แต่ใจพี่จะอยู่กับเจ้าตลอดไปอันตรา”

                ศิลาเค้นเสียงพูดออกมาแทบไม่เป็นคำ มือของเขาเริ่มไร้แรงจะไขว่คว้า หนังตาของเขาแทบจะฝืนมองใบหน้างามและเปรอะด้วยน้ำตานั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว อย่างน้อยเขาก็ดีใจที่ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตได้อยู่ใกล้นาง เขาเหลือบตาไปทางบิดาและน้องชายเล็กน้อยโดยที่ยังไม่ได้เอ่ยคำใด ชายผู้เคยปกป้องเผ่ามานักต่อนักก็ไม่สามารถบังคับร่างกายด้วยสติสัมปชัญญะได้อีกต่อไป และเส้นชีวิตของเขาก็ขาดผึงไปพร้อมๆ กับมือที่ร่วงลงจากมือสู่ตักของอันตรา เสียงสุดท้ายที่โสตประสาทของเขาสัมผัส คือเสียงปล่อยโฮของอันตราอันเป็นที่รักของเขานั่นเอง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×