คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 การเผชิญหน้า
#4
การเผชิญหน้า“
ทำไมแกมาช้านัก” ยัยส้มเปรี้ยวต่อว่าทันทีที่ฉันโผล่มาถึงหน้าประตูห้องสุดหรูของคุณเธอ“
นี่ฉันก็รีบสุดๆ แล้ว เกือบชนมอเตอร์ไซค์ตรงทางเข้าคอนโดฯ แกแล้วเนี่ย” ฉันอธิบาย พร้อมกับเดินเบียดตัวเข้าไปนั่งที่โซฟารับแขก“
ไอซ์ แกช่วยคิดหน่อยสิ ทำยังไงป๋าถึงจะไม่จับฉันแต่งงานกับนายภูมินั่น” ยัยส้มเปรี้ยวถามพร้อมกับเขย่าแขนของฉันที่กำลังกอดตุ๊กตาหมีตัวกำลังเหมาะมือที่วางประจำอยู่บนโซฟานั้น“
ชื่อภูมิเหรอยะ ใช่คุณภูมิภักดิ์ ลูกชายคุณภักดีหรือเปล่า” ฉันถามอย่างตื่นเต้น เพราะคุ้นเคยอยู่กับข่าววงสังคมอยู่บ้าง“
อื้อ” ยัยส้มเปรี้ยวของฉันตอบส่งๆ พลางเบ้ปากแสดงอาการพิกล“
เฮ้ย หล่อดีนี่หว่ายัยเปรี้ยว อายุมากกว่าแก 2-3 ปีเอง จบโทจากอังกฤษ และก็ทำงานกับบริษัทใหญ่ที่นั่นอยู่ กำลังเนื้อหอมเลยนะ แกไม่สนใจเหรอ ฉันว่าน่าสนใจดีนะ” ฉันทำตาลุกวาว กึ่งแปลกใจและตื่นเต้นที่เพื่อนสาวของฉันจะปล่อยให้ผู้ชายเด่นๆ อย่างคุณภูมิภักดิ์หลุดมือไป“
ฉันบอกแกแล้วไง ว่าไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าเป็นคนที่ป๋าหามาให้ ฉันไม่เอา” ยัยส้มเปรี้ยวพูดสะบัดเสียง พร้อมกับเดินไปที่หน้าประตู“
แกไปรถฉันนะ ฉันจะได้มีข้ออ้างกลับมาส่งแก” เพื่อนสาวของฉันพูดพร้อมกับคว้ากระเป๋าเดินลิ่วๆ ออกไปด้านนอก ทำให้ฉันต้องวางเจ้าตุ๊กตาหมีตัวนุ่มแล้วเดินตามเจ้าหล่อนไปบ้านของยัยส้มเปรี้ยวตั้งอยู่นอกเมืองจึงใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะขับรถไปถึง
รถของยัยส้มเปรี้ยวที่มีฉันนั่งมาด้วย ผ่านรั้วบ้านที่ทำขึ้นจากไม้ ทาเคลือบด้วยสีน้ำตาลเป็นแถวแนวดูเป็นระเบียบ ประตูรั้วถูกเปิดรอไว้นานแล้ว สองข้างทางที่จะเข้าไปยังตัวบ้านมีต้นเข็ม ปลูกเป็นแถวตลอดแนวถนน ออกดอกสีแดงสะพรั่ง จนไปถึงโรงรถที่มีต้นเฟื่องฟ้าหลากสีปลูกขึ้นแซมกันไปมาอยู่รอบๆ
คุณหนูส้มเปรี้ยวของบ้านนี้ ค่อยๆ ขับรถไปตามทางอย่างผิดสังเกต เหมือนกับไม่อยากให้รถถึงโรงรถอย่างไรก็อย่างนั้น ฉันแอบหันไปมองหน้าเพื่อนรัก ก็พบสีหน้ากังวลอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน โธ่ ยัยส้มเปรี้ยวไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรกับการมาบ้านของตัวเองเลย คนที่น่าจะกังวล และลำบากใจมากกว่ากันน่าจะเป็นฉันนะ เฮ้อ
ในที่สุดรถยุโรปคันงามของยัยส้มเปรี้ยวก็มาถึงโรงรถ เมื่อรถจอดนิ่งสนิทเพื่อนสาวของฉันก็หันมาทางฉัน และเริ่มบทสนทนาอีกครั้งหลังจากเงียบมาตลอดทาง
บ้านของยัยส้มเปรี้ยวไม่ใช่คฤหาสน์ทรงยุโรปหลังใหญ่เหมือนกับอภิมหาเศรษฐีหลายๆ คนนิยมสร้างไว้เพื่อเชิดหน้าชูตากัน แต่กลับเป็นหมู่เรือนไทยที่ใหญ่พอสมควร รายรอบด้วยเรือกสวน ที่มีทั้งไม้ผล ไม้ดอก และไม้ประดับ ทำให้บ้านดูร่มรื่น น่าอยู่อาศัยมากทีเดียว แต่ยัยส้มเปรี้ยวของฉันกลับไม่ชอบที่จะอยู่บ้านแบบนี้ คุณเธออ้างว่ามันดูเป็นบ้านมากเกินไป และไม่มีความคล่องตัวเวลาจะออกไปไหนมาไหน ประกอบกับต้องทำงานในย่านธุรกิจ จึงมีข้ออ้างขออนุญาตคุณป๋าไปอยู่ที่คอนโดฯ กลางใจเมืองตั้งแต่เริ่มทำงาน“
ไอซ์ ฉันลืมนึกไปน่ะ แกลำบากใจหรือเปล่าเนี่ยที่ต้องมาบ้านฉัน” ยัยส้มเปรี้ยวนึกออกจนได้ ฉันก็เคืองเจ้าหล่อนอยู่นิดๆ นะ แต่อารามร้อนรนและหาที่พึ่งไม่ได้ ส้มเปรี้ยวก็คงไม่ได้นึกถึงอะไรอื่นนอกจากหาคนมาเป็นเพื่อน“
เออ ไม่เป็นไรหรอก ฉันโอเค” ฉันตอบเสียงเรียบๆ พยายามไม่แสดงความตื่นเต้น และความกังวล“
ยัยส้มเปรี้ยวเดินนำฉันมาถึงบันไดเรือน พบน้าแก้ว แม่บ้านและแม่นมของยัยส้มเปรี้ยว ทันทีที่เห็นส้มเปรี้ยวกับฉันเดินมา น้าแก้วก็ฉีกยิ้มแสดงอาการตื่นเต้นดีใจจนฉันแอบเขินไม่ได้
ฉันขอโทษนะเว้ย แต่ถ้าแกโอเค ก็ดีแล้ว ไป ขึ้นบ้านเหอะ” ส้มเปรี้ยวพูดจบก็คว้ากระเป๋าถือ และก้าวออกจากรถทันที เพื่อนสาวคนนี้ของฉันมักทำอะไรว่องไวเสมอ ถึงกระนั้นฉันก็เห็นแววตากังวลที่ไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ด้วยท่าทีมั่นใจสุดๆ ของคุณเธอ“
คุณหนูเปรี้ยว พาคุณไอซ์มาด้วยเหรอคะ น้าไม่เจอคุณไอซ์ตั้งนาน คิดถึงจังค่ะ” น้าแก้วพูดพลางเดินเข้ามาจับไม้จับมือฉันอย่างตื่นเต้น“
นี่น้าแก้วน่ะ คิดถึงยัยไอซ์มากกว่าเปรี้ยวแล้วหรือคะ” เปรี้ยวเม้มปาก พลางตัดพ้อแม่นมของตนเอง“
แหม ก็น้าเจอคุณหนูเปรี้ยวบ่อยกว่าคุณไอซ์นี่คะ น้าไม่ได้เจอคุณไอซ์เลยตั้งแต่ ... เอ่อ” น้าแก้วชะงักเล็กน้อยเมื่อจะกล่าวถึงเหตุการณ์นั้น“
คุณพ่อล่ะ” ยัยส้มเปรี้ยวตัดบท คงเพราะไม่อยากให้ใครพูดถึงเหตุการณ์นั้นอีก อันที่จริงคนที่ไม่อยากฟังน่าจะเป็นฉันมากกว่า แต่ฉันคิดว่าฉันรู้สึกเฉยๆ แล้วนะ“
หลังจากบรรจงถอดรองเท้า และวางไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันกับยัยส้มเปรี้ยวก็เดินตรงไปยังห้องรับแขก ซึ่งมีคนกำลังสนทนาอย่างออกรสอยู่แล้ว น้าแก้วเดินนำไปก่อนเพื่อแจ้งการมาของพวกเราให้เจ้าของบ้านและผู้มาเยือนทราบ แล้วเดินย้อนกลับมา สวนกับฉันและยัยส้มเปรี้ยวก่อนจะถึงหน้าประตูห้องสักสองสามเมตร แล้วหายเข้าไปในครัว
รออยู่ที่ห้องรับแขกนั่นล่ะค่ะ ท่านรออยู่นานแล้ว อ้อ คุณภูมิภักดิ์กับคุณภักดีก็มาถึงแล้วนะคะ” น้าแก้วรายงานละเอียดยิบ แล้วหันมาพูดกับฉันต่อ “เชิญคุณไอซ์ด้วยกันเลยนะคะ เห็นคุณท่านบ่นคิดถึงคุณไอซ์อยู่เหมือนกัน” ฉันยิ้มตอบน้าแก้วแล้วเดินตามยัยส้มเปรี้ยวขึ้นไปบนเรือน“
อ้าว นั่นไงหนูส้มเปรี้ยวมาพอดี” คุณป๋า หรือคุณโอภาส พ่อบังเกิดเกล้าของยัยส้มเปรี้ยวพูดขึ้นทันทีที่เห็นลูกสาวคนเล็กเดินนำหน้าฉันเข้าประตูห้องไป ยัยส้มเปรี้ยวยิ้มตามมารยาท“
นั่นคุณภักดี” คุณป๋าผายมือไปยังชายพุงพลุ้ย และดูใจดีที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้ส้มเปรี้ยวกับฉันรู้จัก ฉันกับยัยส้มเปรี้ยวยกมือไหว้อย่างนอบน้อมขึ้นพร้อมกัน ยังไม่ทันเสร็จสิ้นดีคุณป๋าก็แนะนำแขกอีกคนให้รู้จัก “ส่วนนั่นคุณภูมิ” ยัยส้มเปรี้ยวกับฉันก็ได้แต่ยกมือไหว้ตามธรรมเนียมอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูยัยส้มเปรี้ยวของฉันจะออกอาการสะดีดสะดิ้ง เมินหน้าเล็กน้อย ไม่นอบน้อมเหมือนเมื่อสักครู่“
นี่ส้มเปรี้ยว ลูกสาวตัวแสบ กับหนูไอซ์ คงจะพอรู้จักกันมาบ้างแล้ว” คุณป๋าเอ่ยอย่างอารมณ์ดี และหันมายิ้มกับฉัน“
ครับ ผมรู้จักคุณส้มเปรี้ยวมาตั้งแต่เรียนอยู่ที่อังกฤษด้วยกันแล้วล่ะครับ ส่วนคุณไอซ์เพิ่งพบกันที่งานเปิดตัวนิตยสารใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว” คุณภูมิภักดิ์เอ่ยพร้อมกับยิ้มเล็กๆ ดูดีทีเดียว ฉันหันไปมองยัยส้มเปรี้ยวก็เห็นแม่ตัวดีทำท่าเมินไปทางอื่น ฉันเริ่มสงสัยเสียแล้วว่าระหว่างยัยส้มเปรี้ยวกับคุณภูมิมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรกันหรือเปล่า เพราะไม่เคยเห็นยัยเพื่อนตัวดีแสดงอาการแบบนี้มาก่อน“
รู้จักกันมาก่อนอย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะ ว่าไหมภักดี” คุณป๋าหันไปขอความเห็นจากเพื่อนรัก พร้อมกับหัวเราะลั่นบ้าน“
นั่นสิ” คุณภักดีตอบแสดงความเห็นด้วย แล้วยื่นแก้ววิสกี้ชนกัน เหมือนกับต้องการฉลองอะไรกันสักอย่าง ฉันล่ะอยากบอกท่านทั้งสองเสียจริงว่าอย่าเพิ่งรีบดีใจกันไป ดูท่ายัยส้มเปรี้ยวของฉันต้องก่อเรื่องอะไรเร็วๆ นี้แน่ๆ“
หนูไอซ์ เย็นนี้ทานข้าวเย็นด้วยกันนะ” คุณป๋าหันมาออกปากชวนฉันที่ได้แต่นั่งเงียบๆ มาตั้งแต่เข้ามาถึงห้องรับแขกนี้แล้ว“
เอ่อ ...” ฉันแสดงอาการลังเล และลำบากใจที่จะตอบตกลง ซึ่งคุณป๋าก็คงสังเกตได้ และน่าจะเดาได้ว่าฉันกังวลเรื่องอะไร“
ปริญมันไม่อยู่หรอกวันนี้ ไปดูแลงานต่างจังหวัด” คุณป๋าแจ้งข่าวเกี่ยวกับลูกชายคนโต ซึ่งก็เป็นพี่ชายคนเดียวของยัยส้มเปรี้ยวให้กับฉัน“
สักครู่น้าแก้วก็เดินเข้ามาในห้องรับแขก พร้อมกับอมยิ้มอย่างคนมีความสุขเต็มที่เข้ามาเพื่อแจ้งว่าอาหารเย็นพร้อมแล้ว คุณป๋าเลยสั่งให้ตั้งสำรับที่เรือนศาลากลางบ้าน แล้วชักชวนแขกทั้งสอง รวมทั้งฉันไปรับประทานอาหารเย็น
เราทั้งห้าย้ายที่จากห้องรับแขกเพื่อมาสู่โต๊ะอาหารที่ศาลากลางบ้าน แต่สิ่งที่ฉันไม่อยากพบที่สุดกับปรากฏอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว
ค่ะ” ฉันตอบตกลง แล้วหันไปสบตาเพื่อนสาวที่ยังทำท่าเมินคุณภูมิภักดิ์อยู่ตั้งแต่เมื่อกี้“
อ้าวปริญ ไหนแกบอกจะกลับพรุ่งนี้” คุณป๋าเอ่ยขึ้นอย่างฉงนที่เห็นลูกชายคนโตยืนรออยู่ที่โต๊ะอาหาร ฉันได้แต่หน้าถอดสี ทั้งที่คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว แต่ก็อดใจหายวูบไม่ได้ที่ได้เห็นหน้าผู้ชายคนนี้อีกครั้ง“
พอดีงานเสร็จเร็วน่ะครับป๋า” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ก็ไม่วายหันมองมาทางฉัน ที่กำลังอยากจะแทรกแผ่นดินหนี“
เป็นไงไอซ์ สบายดีไหม” พี่ชายของเพื่อนรักหันมาทักทายตามมารยาท“
ค่ะ” ฉันได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ตอบไปโดยไม่สบตาคู่สนทนา ยัยส้มเปรี้ยวเข้าใจสถานการณ์ดีจึงรีบโวยวายตัดบท“
ระหว่างทานอาหารฉันกับส้มเปรี้ยวแทบจะไม่ได้พูดอะไรเลยนอกจากคำว่า
อาหารมื้อนี้ เป็นอาหารที่ดูเหมือนจะยาวนานที่สุดสำหรับฉัน แต่ละนาทีที่ผ่านไปดูราวกับเป็นชั่วโมง แต่ไม่ว่างานเลี้ยงใดก็ย่อมมีวันเลิกรา ในที่สุดเวลาแห่งความลำบากใจของฉันก็ผ่านพ้นไป ทันทีที่ทานอาหารเสร็จ คุณป๋ากับคุณภักดีพากันไปจิบกาแฟปรึกษาเรื่องงานกันต่อ ทิ้งเด็กๆ ให้สนทนากันเอง ยัยส้มเปรี้ยวถูกพี่ปริญกับคุณภูมิรั้งตัวเพื่อชวนคุยหลายต่อหลายเรื่อง ส่วนฉันถือโอกาสออกมาช่วยน้าแก้วล้างจานที่ครัว อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ชอบทำงานบ้านนักหรอกนะ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ฉันยินดีล้างจานมากกว่าต้องไปเผชิญหน้ากับพี่ปริญ
หลังจากล้างจานเสร็จฉันก็ออกมาเดินเล่น รอเวลาที่ยัยส้มเปรี้ยวจะหาข้ออ้างปลีกตัวออกมาได้ ฉันเดินไปนั่งที่ศาลาไม้กลางสนามหญ้า มันเป็นที่ที่ฉันเคยมานั่งเป็นประจำเวลามาที่บ้านของยัยส้มเปรี้ยว แต่ฉันก็ไม่ได้มาที่นี่ได้ปีกว่าแล้ว มันไม่มีเหตุผลที่ฉันจะต้องมาแล้วนี่นา
ฉันนั่งเงียบๆ มองดูดาวที่กระจายอยู่เต็มท้องฟ้า คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด เหล่าดวงดาวเลยสว่างสุกใสเป็นพิเศษ ฉันมองไปก็พาลไปนึกถึงหน้านายหยิ่งนั่นจนได้ อะไรกัน ฉันคิดถึงนายนั่นอีกแล้ว บ้าน่า เขาก็แค่คนที่เคยเจอบนรถเมล์ คิดได้อย่างนั้นฉันก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
ทานข้าวกันเถอะค่ะ แหม เปรี้ยวหิวจนไส้กิ่วแล้ว” พูดจบยัยเพื่อนรักก็คว้ามือฉันเดินไปยังโต๊ะอาหาร ฉันรู้สึกถึงแรงบีบเล็กๆ ที่เป็นการส่งกำลังใจเล็กๆ ให้ฉันด้วย“ค่ะ” แต่ดูเหมือนทั้งสี่หนุ่มจะคุยกันออกรสออกชาติดีมาก พี่ปริญกับคุณภูมิดูจะถูกคอกันเป็นอย่างดี จริงๆ แล้วมื้ออาหารเย็นวันนี้บรรยากาศครึกครื้นมากทีเดียว แต่ยิ่งครึกครื้นเท่าใด ฉันยิ่งอยากจะแทรกตัวหนีออกมาเร็วๆ เท่านั้น แม้จะพยายามก้มหน้าก้มตาทานอาหารอย่างเงียบๆ แต่ก็อดลอบสังเกตไม่ได้ว่าพี่ปริญพยายามส่งสายตามาทางฉันอยู่บ่อยๆ เฮ้อ ฉันไม่ควรมากับยัยส้มเปรี้ยวเลย“
คิดอะไรอยู่เหรอไอซ์” เสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลังของฉัน ทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกปนตื่นเต้น“
ปะ เปล่า ค่ะ” ฉันละล่ำละลักตอบคล้ายคนติดอ่าง นี่ล่ะสิ่งที่ฉันกลัวที่สุดที่จะมาบ้านหลังนี้ ฉันกลัวการต้องเผชิญหน้ากับพี่ปริญ“
ยังโกรธพี่อยู่หรือ” พี่ปริญเอ่ยถาม พร้อมกับเดินเข้ามานั่งในศาลากับฉัน เขายกมือทั้งสองขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะกลางศาลาอย่างที่เคยทำ สายตาทั้งคู่จับจ้องมาที่ฉัน เขายังคงเหมือนเดิมทุกอย่างเหมือนตอนที่เราเคยรักกัน ใช่แล้วล่ะ พี่ปริญคนนี้ล่ะที่ทำให้ฉันอกหักเมื่อปีกว่าๆ ที่ผ่านมา และนี่เป็นเหตุผลที่ฉันบอกว่าไม่จำเป็นต้องมาที่บ้านหลังนี้ ประกอบกับช่วงนั้นยัยส้มเปรี้ยวไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ ฉันเลยยิ่งห่างไกลบ้านหลังนี้ออกไปทุกทีๆ ไม่นึกไม่ฝันว่าพอยัยส้มเปรี้ยวกลับมา คุณเธอก็ลากฉันมาที่นี่ มาเจอพี่ปริญอีกจนได้“
ไอซ์ เอ่อ เปล่า” ฉันเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ไม่สมกับเป็นคนทำงานในวงการหนังสือเลยสักนิด“
พี่รู้ว่ามันอาจสายไปที่จะพูด แต่พี่อยากจะปรับความเข้าใจกับไอซ์” พี่ปริญพูดพร้อมทั้งยื่นมือมาเพื่อพยายามจับมือของฉัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทั้งๆ ที่อยากให้เขาจับมือของฉันไว้ให้นานแสนนาน แต่ฉันก็ถอยมือหนีมากุมไว้ที่หน้าตัก“
อย่าพูดถึงมันเลยค่ะ ฐานะที่พี่ปริญกับไอซ์เป็นอยู่ตอนนี้มันดีที่สุดแล้ว” ฉันพูดจบก็เดินหนีออกมาจากศาลานั้น ตรงไปยังตัวเรือน แม้จะรู้ว่ามันเสียมารยาทแต่ฉันคงต้องรีบขอให้ยัยส้มเปรี้ยวไปส่งฉันเสียที ฉันทนอยู่กับสถานการณ์แบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
ความคิดเห็น