ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หยิ่งจริง ๆ ! แต่ปิ๊งนายแล้วสิ

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 หยิ่งแรกพบ

    • อัปเดตล่าสุด 6 ธ.ค. 50


    #1 หยิ่งแรกเจอ
     
    อากาศร้อนอบอ้าว ผสมกลิ่นเหงื่อไคลของผู้โดยสารหลากหลายบนรถเมล์ปรับอากาศที่แน่นเสียจนไม่รู้สึกถึงไอเย็น ทำให้ฉันแทบจะอาเจียนเสียตรงนี้ให้ได้ หากวันนี้ยัยเพื่อนตัวแสบทั้งหลายไม่หักหลังฉันละก็ ฉันคงไม่ต้องมานั่งทุกข์ทรมานบนรถเมล์ปรับอากาศสาย 39 ในขณะนี้แน่ๆ
     
                   
    โชคดีหน่อยที่ตอนฉันขึ้นรถมาเป็นต้นสายของรถเมล์ จึงยังมีที่พอให้ฉันนั่ง ไม่เช่นนั้นฉันคงต้องยืนโหนรถเมล์ตั้งแต่รังสิตจนถึงสนามหลวงเลยทีเดียว ฉันนั่งคู่กับคุณยายท่าทางใจดีคนหนึ่ง แกขึ้นรถเมล์มาก่อนฉัน ฉันเลือกนั่งคู่กับแกเพราะดูน่าไว้วางใจ ไม่น่าจะแอบหลับแล้วเอาหัวมาพิงไหล่ฉันอย่างที่ฉันโดนเป็นประจำ

                   
    แม้จะนั่งเฉยๆ บนรถเมล์ แต่ก็ทำเอาฉันเพลียเหมือนกัน เพราะฉันเมารถง่าย ยิ่งมีกลิ่นอับๆ และแอร์ไม่เย็นอย่างนี้แล้วล่ะก็ ฉันยิ่งเมาไปกันใหญ่ ฉันจึงเลือกวิธีหลับ เพื่อที่จะได้ไม่รับรู้ความน่าคลื่นเหียนนี้อีกต่อไป

                   
    ฉันเริ่มหลับตั้งแต่ช่วงลาดพร้าว เพราะแถวนั้นรถติดอย่างมหาโหด ฉันหลับไปนานเท่าไรก็ไม่ทราบเพราะก่อนหลับไม่ได้ดูนาฬิกา แต่พอตื่นมาก็ถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง บริเวณนั้นใกล้กับสถานศึกษาหลายแห่ง จึงมีคนขึ้นมาใช้บริการรถเมล์คันที่ฉันนั่งอีกเป็นจำนวนมาก มากพอจะทำให้ฉันรู้สึกคลื่นเหียนยิ่งขึ้น

                   
    ฉันหลับต่อไม่ไหว จึงควานหายาดมที่ฉันพกติดตัวเสมอในกระเป๋าถือ เมื่อได้ยาดมผู้ช่วยชีวิต ฉันก็สูดดมมันเหมือนกับคนกระหายอยากยาปานนั้นล่ะ ช่วยไม่ได้นี่ก็ฉันยังไม่อยากอาเจียนบนรถเมล์นี่นา

                   
    ที่ป้ายรถเมล์นี้ มีผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมา และเกาะอยู่ใกล้ๆ กับฉัน เขาถือของพะรุงพะรัง โดยมากแล้วเป็นหนังสือ และพาชนะทรงกระบอกยาว ซึ่งฉันเดาว่าน่าจะเป็นที่ใส่แบบแปลนอะไรบางอย่าง หากคาดไม่ผิดเขาคนนี้น่าจะเป็นสถาปนิก ด้วยความมีน้ำใจ ฉันจึงออกปากให้ความช่วยเหลือ

                   
    ฉันอารมณ์เสียพอสมควรที่พยายามทำความดี แต่กลับถูกปฏิเสธน้ำใจถึงสองครั้ง ฉันจึงคว้ายาดมนั้นมาสูดต่อ ให้หายเวียนหัว แม้จะรู้สึกเสียความรู้สึก แต่ฉันก็อดลอบสังเกตลักษณะของเขาไม่ได้ อายุเขาน่าจะเด็กกว่าฉันประมาณ 2-3 ปี ผมยาวเคลียต้นคอ รูปร่างสูงโปร่ง ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่พับแขนทั้งสองข้างขึ้นมา เขาสะพายกระเป๋าผ้าสีดำมาหนึ่งใบ แรกทีเดียวฉันคิดว่าเป็นกระเป๋าเอกสาร แต่เมื่อพิจารณานานเข้า จึงเห็นชื่อยี่ห้อของคอมพิวเตอร์โน้ตบุคยี่ห้อหนึ่ง ทำให้ฉันถึงบางอ้อที่สงสัยแต่แรกว่าทำไมเขาจึงไม่ใส่หนังสือไว้ในกระเป๋าของเขา จะว่าไป การได้มองเขามาตลอดทางทำให้ฉันรู้สึกเมารถน้อยลงมาก“Said I loved You But I lied”                 ” 

                   
    แม้จะรู้ว่าเสียมารยาท แต่ช่วยไม่ได้ที่เขาคุยโทรศัพท์ใกล้ๆ ฉัน และฉันก็ปิดหูไม่ได้เสียด้วย ทำให้ฉันรู้ว่าเขาถูกเจ้านายโทรมาตาม เพราะเลยเวลานัดส่งแบบแปลนให้ลูกค้า และที่เขาไปสายเพราะรถของเขาเกิดเสียระหว่างทาง ทำให้ต้องขึ้นรถเมล์ซึ่งกินเวลานานกว่าจะถึง ฉันได้ยินเขาเจรจาใบหน้าเคร่งเครียดอยู่นาน จนกระทั่งเจรจาขอเลื่อนนัดออกไปสักสองสามชั่วโมงสำเร็จ เขาจึงวางสาย และถอนหายใจโล่งอกออกมาเบาๆ
    ป้ายรถเมล์ที่ยายลงไป มีคนลงเยอะมาก ทำให้ที่นั่งข้างๆ ฉันว่าง และเหลือเขาคนเดียวที่ยังไม่มีที่นั่งในตอนนี้ ฉันจึงเขยิบเข้ามานั่งชิดหน้าต่าง เพื่อให้เขาลงมานั่งข้างๆ ฉัน เขาทำท่าลังเล มองไปรอบๆ รถเมล์เล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจนั่งลง พร้อมทั้งจัดข้าวของทั้งโน้ตบุค แปลน และหนังสือเหล่านั้น วางให้ลงตัว เราทั้งคู่ยืนอยู่บริเวณป้ายรถเมล์นั้นเป็นนานสองนานก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีแท็กซี่ว่างๆ สักคันผ่านมา เรายืนรอกันได้ประมาณ 20 นาทีก็มีรถแท็กซี่ว่างคันแรกโผล่มาจนได้ ฉันรีบโบกรถให้จอด แล้วเดินไปที่รถทันทีที่รถแท็กซี่จอด แม้จะหมั่นไส้นายจอมหยิ่งแค่ไหน แต่ฉันก็อดทำตัวเป็นคนมีน้ำใจไม่ได้ ตะโกนถามเขาเป็นครั้งสุดท้าย หากครั้งนี้ปฏิเสธฉันอีก ก็พอกันที

                   
    ตลอดทางเขาไม่แม้แต่จะหันมามองฉันอีกเลย แม้ฉันจะโมโหที่เขาปฏิเสธน้ำใจฉันถึงสองครั้ง แต่หากเขาหันมาขอให้ฉันช่วยถือหนังสือเหล่านั้น ฉันก็ยังคงยินดี ให้ตายสิ ผู้ชายอะไรหยิ่งชะมัด ฉันสังเกตว่าเขาเปลี่ยนมือเพื่อถือหนังสือหลายครั้ง และบริเวณลำแขนที่ถูกน้ำหนักของหนังสือกดทับก็เป็นรอยแดงมากแล้ว ยิ่งเห็นยิ่งสงสาร แต่ก็ไม่อยากออกปากอาสาช่วยอีก เพราะฉันไม่อยากรู้สึกเสียหน้าไปมากกว่านี้แล้ว

                   
    จนกระทั่งเลยอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิมาได้สักเล็กน้อย เสียงริงโทนโทรศัพท์ก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงเพลงเดียวกับของฉัน

                   
    หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จเขาหันมาส่งยิ้มให้ฉัน และยื่นมือมาขอหนังสือของเขาคืน ทำให้ฉันได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชาย ที่มีกลิ่นหอมเย็น ผสมกลิ่นเหงื่อบางๆ ของเขาทำให้ดูมีเสน่ห์มากทีเดียว

                   

                   
    เขายังคงมองไปด้านหน้า ไม่คิดจะหันมาพูดคุยกับฉันสักนิด ฉันพยายามหันไปเพื่อจะสบตากับเขาสักครั้งเพื่อเริ่มบทสนทนา แต่เขาก็ไม่มีท่าทีจะหันมาทางฉันเลย ฉันเริ่มถอดใจและคว้ายาดมขึ้นดม พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูสภาพจราจรที่กำลังติดแหง็กเหมือนลานจดรถขนาดมหึมาในกรุงเทพฯนั้นจนกระทั่งถึงสนามหลวง

                   
    ป้ายที่ฉันและเขาลงเป็นป้ายปลายทางของรถเมล์สายนี้ ฉันเดินตามเขาลงป้ายรถเมล์มาติดๆ พอก้าวลงถึงพื้นด้วยความทุลักทุเล เขาก็หันซ้ายแลขวา ฉันเดาว่าเขาคงหาทางต่อรถ หรือนั่งรถแท็กซี่ต่อไป แต่ท่าทางคงจะไม่ค่อยได้ขึ้นรถเมล์บ่อยนัก จึงดูเงอะๆ เงิ่นๆ ประกอบกันสมบัติที่เขาหอบมาด้วย ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกขัดหูขัดตาอย่างไรชอบกล
                   
                   
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×