ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานศิลันตรา

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 มารตี

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 50


    ตอนที่ 1 : มารตี
     
                บนชายฝั่งของสายน้ำใสดังกระจกที่ไหลเอื่อยผ่านลำธารเล็กๆ ด้านทิศใต้ของหมู่บ้าน เป็นมุมสงบเหมาะสำหรับการปลีกตัวมานั่งเล่นนอนเล่นอ่านตำราอยู่เงียบๆ คนเดียวเสียยิ่งกว่าที่ใด แม้ละแวกนี้จะค่อนข้างเปลี่ยว เนื่องจากไม่มีชาวบ้านคนใดมาใช้ประโยชน์จากสายน้ำตรงนี้นักเพราะน้ำไม่มากพอสำหรับชำระร่างกายและทำความสะอาดเสื้อผ้า แต่คีรินก็ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นสิงห์สาราสัตว์ หรือแม้กระทั่งพวกฟานอันเป็นคู่อริกับชาวขุณณามาช้านาน
     
               คีริน หนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวขาวละเอียด ผมยาวสลวยถูกรวบมัดไว้ด้านหลังอย่างหลวมๆ ทิ้งเป็นปอยลงมาปรกเสื้อผ้าป่านตัวยาวสีขาว คราใดที่ลมพัดผ่าน ทั้งเสื้อผ้าบางๆ และผมเบาๆ นั้นก็ปลิวไสวไปตามลมเป็นจังหวะ ตากลมโตของเขารับกับคิ้วที่คมเข้มได้รูป จมูกเป็นสันได้รูปเหมาะเจาะกับเรียวปากสีชมพูรูปกระจับ ใบหน้าของชายหนุ่มงามสมส่วนดังใครแกล้งปั้นแต่งไว้ แม้ชายชาตรีด้วยกันก็ยังอดที่จะหันมามองไม่ได้

                ปากรูปกระจับนั้นคาบก้านดอกหญ้าที่ถูกเด็ดจากริมลำธารอย่างขบคิด ตากลมโตจ้องเขม็งไปยังตำราที่หอบหิ้วติดตัวมาอย่างตั้งใจ แผ่นหลังกว้างเอนพิงกับโคนต้นตะแบก สองขาเหยียดยาวไขว้กันในท่าสบายที่สุด เขาไม่เคยเบื่อเลยกับกิจวัตรที่ทำ ณ ที่นี้เป็นประจำทุกวัน การหนีมาอ่านตำราเงียบๆ คนเดียว ทำให้เขามีข้ออ้างที่จะหลบหลีกการเรียนรู้การปกครอง และการยุทธ์จากพี่ชายได้เป็นอย่างดี เขาคิดเสมอว่าเขาไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องราวพวกนั้น ก็ในเมื่อเขาไม่จำเป็นต้องปกครองเผ่าต่อจากบิดาเช่นเดียวกับ ศิลา พี่ชายของเขา

                ขณะกำลังดื่มด่ำอยู่กับเรื่องราวในตำรา คีรินยังไม่รู้ตัวเลยว่าวันนี้จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ความสุขสงบเช่นนี้ของเขาเปลี่ยนไป ความเงียบของชายป่าถูกทำลายด้วยเสียงฝีเท้าถี่เหมือนคนกำลังวิ่งหนีบางสิ่งบางอย่าง คีรินยังคงไม่คิดเงยหน้าขึ้นมาจากตำราของเขา จนกระทั่งเสียงฝีเท้านั้นกระชั้นเข้ามาจนกลายเป็นเสียงจ๋อมที่ลำธารตรงหน้าเขา คีรินเงยหน้าขึ้นมามองตามเสียงนั้นอย่างสงบ ภาพที่เขาเห็นคือหญิงสาวร่างบางกำลังหกล้มหกลุกอยู่ในลำธาร และมีหมาในตัวหนึ่งวิ่งตามมาติดๆ คีรินจึงก้มลงคว้าหินขนาดพอเหมาะมือ แล้วขว้างอย่างแม่นยำไปที่หัวของหมาในตัวนั้นจนสลบแน่นิ่งไป

                หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นยืนพลางก้มหัวกล่าวขอบคุณคีรินอย่างร้อนรน ขณะนั้นเองคีรินจึงสามารถพิจารณาหญิงผู้มาเยือนชัดขึ้น ดวงหน้ารูปไข่ ผิวสีขาวอมชมพูดดูสดใส ปากสีแดงระเรื่อด้วยชาด และขนตางอนยาวทำให้นางงามยิ่งกว่าหญิงใดในหมู่บ้านที่เขาได้เจอะเจอมา แม้ดวงตาจะเรียวเล็ก แต่กลับมีเสน่ห์ยากที่จะถอนสายตาได้ เครื่องแต่งกายของนางผิดแผกไปจากหญิงสาวในหมู่บ้านจนสิ้นเชิง นางคงมาจากเผ่าที่อยู่แถบดอยต่ำ เพราะนุ่งผ้าซิ่นสั้นกับเสื้อพอดีตัว คนในเผ่าขุณณาของเขาจำต้องใส่เสื้อผ้ามิดชิดกว่านี้ เพราะอากาศค่อนข้างเย็นตลอดปี หากใส่เสื้อผ้าดังเช่นหญิงแปลกหน้าคนนี้คงมีอันไม่สบายเป็นแน่

               
    “เจ้าชื่ออะไร”

                คีรินเอ่ยถามหลังจากเก็บตำราใส่ย่ามข้างตัว พลางใช้สายตาสำรวจความงามของหญิงผู้มาใหม่อย่างหลงใหล

               
    “ข้าชื่อมารตี”

                หญิงสาวตอบอย่างเอียงอายตามจริตของหญิงงาม แก้มที่แดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ยิ่งเสริมให้ มารตี ผู้นี้ดูน่ารักน่าเอ็นดูไปเสียยิ่งกว่าเดิม

               
    “หมู่บ้านเจ้าอยู่ไหน เดี๋ยวข้าจะไปส่ง”

                คีรินหยิบยื่นน้ำใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หมายจะไปผูกไมตรีกับสาวเจ้าให้ได้ แต่ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น มารตีก็สีหน้าสลดลงทันที พลางน้ำตาเอ่อคลอเบ้าประดั่งว่าจะร้องไห้

               
    “ข้าไม่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านไหนดอกจ้ะ พ่อแม่กับข้าอาศัยกระท่อมที่ปลูกไว้ไว้ที่เชิงดอยลูกเล็กด้านทิศใต้ แต่เมื่อคืนนี้ถูกพวกฟานเข้ามาปล้นอาหารและหมูไก่ที่เลี้ยงไว้ไปจนหมด พ่อแม่ข้าถูกพวกมันฆ่าตาย ตัวข้าเองวิ่งหนีออกมาได้ก็จริง แต่ก็หลงป่าเพราะไม่เคยขึ้นดอยมาจนสูงขนาดนี้เลย จนกระทั่งถูกหมาในมันวิ่งไล่อย่างที่ท่านเห็นนี่ล่ะจ้ะ”

                หญิงสาวเล่าพลางสะอึกสะอื้นจนคีรินอดสงสารและเห็นใจไม่ได้

               
    “แล้ว ท่านชื่ออะไรจ๊ะ ข้าจะได้เรียกผู้มีคุณถูก”

                หลังจากปาดน้ำตาจนแห้งดีแล้ว มารตีจึงเอ่ยถามด้วยเสียงใสขึ้นมาอีกครั้ง

               
    “ข้าชื่อคีริน เป็นลูกชายคนเล็กของพ่อนายขุณณา มาเถอะมากับข้า ข้าคงหาที่พักและอาหารสำหรับเจ้าในหมู่บ้านได้”

                คีรินพูดพลางกระชับย่ามตำราในมือและเดินนำไปตามทางเดิน ลัดเลาะผ่านไปยังทิศเหนืออันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านขุณณา

                ทางเข้าหมู่บ้านเป็นทางเดินแคบๆ มีแผ่นหินอัคนีวางเรียงกันเป็นทางยาวไปจนสุดที่ถ้ำใหญ่อีกฟากหนึ่งของหมู่บ้าน สองข้างทางเรียงรายไปด้วยกระท่อมที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ จากไม้ที่หาได้รอบๆ หมู่บ้าน แต่ทว่าให้ความอบอุ่นได้ดี คีรินพาหญิงสาวเดินเข้ามายังหมู่บ้านด้านที่มีคนน้อยที่สุด เขาพาหญิงสาวเดินเข้ามาในหมู่บ้านไม่ทันไรก็ต้องชะงักฝีเท้าลง

               
    “คีริน เจ้าพาใครมา”

                เสียงหวานใส แต่กลับดังกังวานอย่างมีอำนาจตะโกนขึ้นถามจากทิศใดทิศหนึ่งของหมู่บ้านอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องชะงักลง

               
    “มันเรื่องอะไรของเจ้าล่ะ อันตรา

                เขาพูดพลางเลิกคิ้วขึ้น เป็นเชิงท้าทาย

               
    “นี่หญิงจากหมู่บ้านแถบเชิงดอยนี่ เจ้ารู้รึไม่ว่ากำลังทำผิดกฎของเผ่าเรา”

                อันตราพูดเสียงเข้มตักเตือนเรื่องกฎ ที่ห้ามคนในเผ่าคบค้าสมาคมกับคนที่ดอยต่ำ

               
    “มารตีกำลังเดือดร้อน ข้าช่วยเพื่อคุณธรรม”

                พูดจบคีรินก็หันไปพยักหน้ากับมารตีให้เดินตามต่อไป

               
    “หากพ่อนายรู้ เจ้าจะโดนลงโทษนะ

                อันตราเดินตามไปยื้อแขนของคีรินให้เขาหยุดเดิน เขาไม่ตอบอะไร ได้แต่สะบัดแขนของอันตราออก แล้วเดินต่อไปยังบ้านของแม่เฒ่าอันนา

                แม่เฒ่าอันนาเป็นหญิงชรา ไม่มีลูกหลาน ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แต่ก็เป็นที่เคารพรักในหมู่บ้าน คีรินจึงขอให้นางเป็นธุระจัดหาเสื้อผ้าใหม่ให้มารตี และรับมารตีไว้คอยปรนนิบัติ เพราะนางแก่ชรามากแล้ว ทันทีที่พบมารตี แม่เฒ่าอันนาก็รู้สึกเอ็นดูในกริยาที่ดูเรียบร้อยน่ารักและหน้าตาผิวพรรณน่าทะนุถนอมนั้น นางจัดหาเครื่องนอนและเสื้อผ้าอย่างดีที่สุดให้มารตีจนเป็นที่พอใจแก่คีริน หลังจากจัดแจงหาที่พักและเครื่องแต่งกายใหม่ให้มารตีได้แล้วคีรินจึงเดินออกมาที่ด้านนอกกระท่อมของแม่เฒ่าอันนา แล้วตากลมโตนั้นก็เบิกกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่อเห็นร่างสูงโปร่ง ผิวสีน้ำผึ้งกำลังเดินดุ่มตรงมายังเขา

                คีรินฉวยย่ามที่วางไว้ด้านหน้ากระท่อมก่อนที่จะเดินตรงไปยังลานกว้างประจำหมู่บ้าน เขาสาวเท้าก้าวอย่างรวดเร็วหวังจะทิ้งระยะห่างจากหญิงสาวที่กำลังก้าวตามเขามาติดๆ แต่ก็หนีไม่พ้นเพราะอันตราเปลี่ยนจากก้าวเดินเร็วๆ เป็นวิ่งจนกระทั่งสามารถมาดักหน้าเขาได้

               
    “เรามีเรื่องต้องคุยกันนะคีริน”

                หญิงสาวตาคมผมสีน้ำตาลนัยน์ตาสีสนิมคว้าข้อมือของคีริน และออกแรงดึงตัวเขาตรงไปยังบริเวณสงบเงียบที่ด้านเหนือของหมู่บ้าน เมื่อถึงใต้ต้นไทรใหญ่ หญิงสาวก็คลายมือออกไปพร้อมๆ กับแรงสะบัดของคีรินที่กระแทกลงมา

               
    “เจ้ารู้รึไม่ว่าหญิงคนนั้นเป็นหญิงดอยต่ำ”

                แขนเรียวเล็กเปลี่ยนมาเป็นกอดอกขณะตั้งคำถามกับผู้เป็นทายาทอันดับสองของเผ่าอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัว คีรินไม่ตอบ ได้แต่หันไปทางอื่น ทำท่าทีไม่ใส่ใจในคำถามของหญิงสาวเลยแม้แต่นิด

               
    “เจ้าได้ยินที่ข้าพูดบ้างรึไม่”

                หญิงสาวยังคงกอดอกเช่นเดิม แต่เสียงกลับดังกังวานขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ผลตอบกลับมาจากคีรินก็ยังคงเป็นเช่นเดิม อันตราได้แต่ใช้ตาคมนั้นจ้องเขม็งไปยังคู่สนทนาด้วยสายตาแข็งกร้าว แต่ทว่ายังคงไร้ผล

               
    “เรื่องที่เจ้าจะพูดมีแค่นี้รึ” คีรินพูดออกมาเป็นประโยคแรก พลางหมุนตัวเดินกลับไปยังทิศทางเดิมมุ่งสู่ที่อาศัย ทิ้งให้อันตราถอนหายใจอย่างขัดใจ ยืนตาละห้อยอยู่ที่ตรงนั้นเพียงลำพัง

               
    “อันตรา”

                เสียงนุ่มทุ้มกังวานดังแว่วมาจากด้านชายป่าทิศเหนือของหมู่บ้าน ทำให้หญิงสาวต้องละสายตาจากร่างสูงโปร่งที่เพิ่งจากไป ตาคมสวยนั้นหันไปพบกับชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวคล้ำเล็กน้อยเพราะกรำแดดลม เขาวิ่งกระหืดกระหอบมากับชายฉกรรจ์อีกสองสามคนพร้อมคันธนูในมือ อันตราได้แต่หันมายิ้มแห้งๆ ให้ชายหนุ่ม แล้วคลายมือที่กอดอกนั้นทิ้งลงข้างตัวอย่างอ่อนแรง

               
    “ทะเลาะกันอีกแล้วสิ พวกเจ้านี่ไม่ยอมโตกันเสียที”

                ชายหนุ่มพูดขณะเดินเข้ามาใกล้ตัวหญิงสาวมากพอ พรางยื่นมือแข็งแกร่งนั้นยีศีรษะหญิงสาวเบาๆ อย่างเอ็นดู อันตราได้แต่เหลือบตาขึ้นมามองพร้อมยิ้มอันแห้งเหือดนั้นอีกครั้ง

               
    “ไปเถอะ ไปกินมื้อค่ำกัน วันนี้พี่กับเจ้าพวกนี้ได้เนื้อกวางอายุกำลังกินทีเดียว”

                ชายหนุ่มพูดพลางลดมือลงสัมผัสที่ไหล่แสดงความสนิทสนมอย่างที่เคยทำมาตั้งแต่หญิงสาวยังเด็ก

               
    “ท่านพี่ศิลา เอ่อ”

                อันตราเงยหน้า พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยสายตาวิตก แต่คำพูดก็ถูกกลืนหายไปในลำคอทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคีรินจะโดนพี่ชายลงโทษหนักเพียงใด หากรู้เรื่องที่เขากระทำลงไป

               
    “มีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่าอันตรา”

                ชายหนุ่มเลิกคิ้วที่ดกหนานั้นขึ้นแสดงความใคร่รู้

               
    “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากบอกว่าข้าก็หิวแล้วเหมือนกัน”

                อันตราเฉไฉพลางขยับตัวเดินนำไปยังลานกลางหมู่บ้าน ศิลาจึงไม่เซ้าซี้ และเดินตามหญิงสาวไป

                ตามธรรมเนียมของเผ่าขุณณานั้น ทุกคนในหมู่บ้านต้องมารวมตัวกันทุกวันเพื่อกินอาหารค่ำด้วยกัน และถือเป็นเวลาพูดคุยปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเผ่าเป็นประจำทุกวัน ในเวลาอาหารค่ำทุกคนจะได้พบปะกัน รวมทั้งหากมีใครหายไปหรือมีใครแปลกปลอมเข้ามาก็จะทราบได้ทันที

                เมื่อทุกคนในเผ่าพร้อมหน้ากันที่ลานประจำหมู่บ้านแล้ว คีรินจึงพามารตีและแม่เฒ่าเดินมาพร้อมกัน เพื่อเป็นการรับรองฐานะให้กับหญิงสาว เขาเชื่อว่าหากเขาซึ่งเป็นลูกชายของหัวหน้าเผ่าเป็นคนรับรองมารตีพร้อมๆ กับแม่เฒ่าอันนา ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรือสงสัยในตัวมารตีเป็นแน่ แต่คนที่เป็นปัญหาสำหรับเขาคงมีเพียง ผาคำ หัวหน้าเผ่าขุณณาหรือผู้เป็นบิดาของเขา และ  ศิลา ผู้เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขา และเป็นทายาทอันดับหนึ่งต่อจากผาคำ

                แม้จะเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน แต่คีรินไม่สนิทสนมกับศิลามากนัก เพราะวัยที่ต่างกันถึงเจ็ดปี จะว่าไปแล้วคนที่เขาสนิทสนมที่สุดในเผ่าก็คืออันตรา หากแต่กลับเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่เล็ก เขาคิดเสมอว่าอันตรามักจู้จี้กับเขามากเกินไป แต่อาจเป็นเพราะหญิงสาวเกิดก่อนเขามาถึงสามปี จึงคิดว่าตนเองมีหน้าที่ต้องควบคุมเด็กชายนิสัยดื้อรั้นเช่นเขาให้ได้ ถึงกระนั้นหญิงสาวก็คอยปกป้องเขามาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะปกป้องเขาจากการถูกลงโทษหรือการว่ากล่าวจากผู้เป็นบิดาและพี่ชาย แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกขอบคุณอันตราเลย กลับยิ่งเกิดความรู้สึกต่อต้านมากขึ้นและปฏิเสธอันตรามากขึ้นทุกที เหตุการณ์ในวันนี้ก็เช่นกัน คีรินมั่นใจว่าอันตราซึ่งเป็นคนเดียวนอกจากเขาและแม่เฒ่าอันนาที่เห็นว่ามารตีเป็นหญิงสาวจากดอยต่ำ จะไม่นำเรื่องไปฟ้องพ่อหรือพี่ชายของเขาเป็นอันขาด จึงกล้าปดเรื่องฐานะของมารตีทั้งๆ ที่อันตรานั่งอยู่ในลานนั้นด้วย

               
    “เจ้านำใครมาด้วยรึคีริน”

                เสียงแหบพร่าแต่ทว่าแฝงด้วยพลังตะโกนถามทันทีที่เห็นคีรินเดินประคองแม่เฒ่าอันนามาพร้อมกับหญิงสาวแปลกหน้า

               
    “นางเป็นชาวบ้านนอกหมู่บ้านขอรับ ลูกพบที่ชายป่าด้านทิศใต้เมื่อตอนกลางวัน นางบ้านแตกสาแหรกขาด พ่อแม่ตายหมด ลูกจึงช่วยไว้ขอรับท่านพ่อ

                คีรินเอ่ยตอบด้วยเสียงนุ่มนวลพร้อมๆ กับกริยานิ่งขรึม

               
    “นางเป็นคนดอยต่ำรึไม่” เสียงผู้เป็นพ่อกังวานดังกว่าเดิมด้วยความแคลงใจ

               
    “ไม่ใช่ขอรับ” คีรินยังคงใช้เสียงนิ่งๆ ตอบไปเช่นเดิม ผู้เป็นพ่อจึงไม่ซักไซ้ไล่เลียงต่อแต่อย่างใด ไม่สนใจแม้แต่จะรู้ชื่อของหญิงแปลกหน้าด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับหญิงผู้มีที่มาไม่ชัดเจนผู้นี้อยู่มาก แต่ก็ยังไม่สามารถใส่ใจได้ในตอนนี้เพราะมีเรื่องสำคัญต้องปรึกษาหารือกับศิลา

                มื้ออาหารค่ำที่มีเนื้อกวางเป็นอาหารจานหลักผ่านพ้นไปอย่างเรียบร้อยเช่นทุกวัน หากแต่มีอันตราเพียงเท่านั้นที่กินได้น้อยเพราะความกังวลเกี่ยวกับคีริน หญิงสาวกังวลหลายต่อหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่เกรงว่ามารตีจะนำความเดือดร้อนมาสู่เผ่า หรือแม้กระทั่งสายตาของคีรินยามเมื่อมองหญิงสาวแปลกหน้าผู้นี้ มันเป็นสายตาแบบที่อันตราต้องการจากคีรินบ้าง แต่ทว่าหญิงสาวกลับได้เพียงแต่สายตาที่เย็นชาและว่างเปล่าจากเขาเท่านั้น เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้คราใด อันตราก็รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจทุกครั้ง เพราะคิดไม่ตกว่าจะสามารถทำให้เหตุการณ์เหล่านี้ดีขึ้นมาได้บ้างอย่างไร
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×