อิสรภาพ
ร่างผอมโซสกปรกมอมแมมบนม้านั่งนั้น ช่างเหมือนกับว่ามีใครนำผ้าขี้ริ้วใช้แล้วสักผืนมากองไว้ แมลงวันแมลงหวี่ที่บินตอมหัวหูนับร้อย ยิ่งทำให้สิ่งที่เห็นดูไม่แตกต่างกับขยะเน่าๆ สักเท่าใดนัก เท้าผอมเห็นเพียงแต่หนังหุ้มกระดูกคู่นั้นเกร็งกระตุกเป็นระยะๆ เพื่อไล่บรรดาแมลงที่ตอมแผลอักเสบบนหน้าแข็งที่มีทั้งน้ำหนองและเลือดสีช้ำๆ เหวอะหวะน่าขยะแขยงปนน่าเวทนา
ผมยุ่งๆ บนหัว และหนวดเครารกรุงรังที่มีสีขาวปนกับสีดำนั้น บ่งอายุของผู้เป็นเจ้าของว่าน่าจะเลยวัยกลางคนไปหลายปีนัก คนที่ผ่านไปผ่านมาคุ้นชินกับภาพน่าสังเวชนั้นเพราะต้องเห็นสภาพเช่นนี้ทุกๆ เช้า จึงไม่มีใครใคร่สนใจจะไล่ หรือสนทนากับชายผู้นี้สักเท่าใด ประกอบกับกลิ่นตัวฉุนอับรุนแรง โชยเข้าจมูกผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาทุกวัน ยิ่งทำให้ไม่มีใครคิดแม้จะเข้าไปเฉียดใกล้เขาเลย
แม้หลายคนที่เห็นเขาเป็นครั้งแรกจะสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงยึดม้านั่งใกล้ป้ายรถเมล์นี้เป็นวิมานย่อมๆ ของเขา แต่เมื่อพบเจอภาพนั้นบ่อยๆ ก็ต่างลืมเลือนความสงสัยนั้นกันไป เหลือเพียงความเคยชินที่จะทำเป็นไม่เห็นเขาเสียทุกคน เว้นเสียแต่บางครั้งที่เขาลุกขึ้นมาทำตัวโหวกเหวกโวยวาย หรือร้องรำทำเพลง ทำให้คนที่ป้ายรถเมล์ต้องเดินหนีไปขึ้นรถที่ป้ายอื่น หรือโบกรถแท็กซี่เพื่อหนีไปให้เร็วที่สุด
ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำมาหากินอะไร มีความใฝ่ฝันความทะเยอทะยานในชีวิตอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าเขามีความกังวล หรือหน้าที่รับผิดชอบดั่งคนทั่วไปหรือเปล่า สิ่งที่ทุกคนเห็นคือขยะของสังคม ที่เกือบจะเน่าเฟะกองอยู่บนม้านั่งใกล้ป้ายรถเมล์นี้ทุกวัน
ชายบนม้านั่งนอนเอกเขนกปล่อยให้แมลงวันและแมลงหวี่ตอมอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเวลาสาย เมื่อผู้คนที่ป้ายรถเมล์ซาลง เขาก็ขยับขาขวาที่มีแผลเหวอะหวะนั้นลงจากม้านั่ง ตามด้วยขาซ้ายที่ดูจะสมบูรณ์กว่าเล็กน้อย แต่ความสกปรกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย แขนผอมเกร็งทั้งคู่ของเขาทำหน้าที่ช่วยยันกายให้ลุกขึ้นมานั่งอย่างยากเย็น เมื่อนั่งตัวตรงได้แล้ว เขาก็เริ่มบิดลำตัวพลางชูไม้ชูมือทำท่าบิดขี้เกียจ และอ้าปากหาวหวอด เผยให้เห็นไรฟันสกปรกที่มีแต่คราบหินปูนและร่องรอยของฟันผุ หนวดเคราและผมเผ้าที่รกรุงรังถูกปาดให้เรียบด้วยน้ำลายที่เขาเพิ่งนำมาแตะมือ และลูบไล้จากโคนผม จนถึงปลายผมที่เป็นยุ่งเหยิงเสียยิ่งกว่ารังหนู
เขาหันซ้ายแลขวาไปรอบๆ ป้ายรถเมล์ มีวัยรุ่นเพียงสองสามคนกำลังนั่งรอรถเมล์อยู่ แต่พอเขาขยับตัวจะลุกขึ้น วัยรุ่นพวกนั้นต่างลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปยังป้ายถัดไป บางคนก็ใช้มืออุดจมูกกึ่งเดินกึ่งวิ่ง เหมือนกับหนีอะไรบางอย่าง บางคนก็เพียงค่อยๆ ก้าวไปทีละนิด ให้ดูคล้ายกับว่าไม่ได้ตั้งใจจะเดินหนี แต่ชายผู้นั้นก็ไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่ลุกยืนขึ้นและปัดเศษผงที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งของเขา ตรงไปยังพาชนะทรงเหลี่ยมที่ตั้งอยู่ข้างๆ ม้านั่งนั้น คุ้ยเขี่ยอยู่เพียงครู่ เขาก็คว้าบางสิ่งบางอย่างออกมาวางบนม้านั่งนั้น หากมองเผินๆ ก็จะเห็นเป็นเพียงถุงพลาสติกใช้แล้ว และกระป๋องน้ำบุบบู้บี้สองสามกระป๋องเท่านั้น
หลังจากคุ้ยเขี่ยจนพอใจแล้ว ชายผู้นั้นก็ลงนั่งแกะถุงพลาสติกสีขาวขุ่นนั้นออก และหยิบขนมปังไส้สังขยา ปนราดำเป็นจุดๆ ออกมา เขาพิจารณาเพียงสักครู่ก็นำสิ่งที่เคยเป็นอาหารนั้นเข้าปาก เคี้ยวสองสามครั้งก็กลืนลงไป หลังจากนั้นกระป๋องบุบบู้บี้สีแดงสดก็ถูกนำมาเขย่าสองสามครั้ง แ ละถูกขว้างทิ้งลงถังขยะนั้นอย่างเดิม เพราะคงไม่เหลืออะไรที่เขาต้องการอีก กระป๋องน้ำอัดลมอีกกระป๋องมีสภาพดีกว่าเล็กน้อย เมื่อเขาหยิบขึ้นมาเขย่า ก็มีน้ำสีดำกระฉอกออกมาจำนวนหนึ่ง เขาไม่รอช้า รีบกรอกน้ำที่เหลือลงปากสั่นเทานั้นทันที หลังจากนั้นก็ขว้างกระป๋องน้ำลงถังขยะอีกตามเดิม ถุงพลาสติกที่ถูกนำมาวางไว้บนม้านั่ง ถูกนำไปทิ้งในถังขยะ แทบไม่เหลือร่องรอยของมื้ออาหารเช้าของเขาแม้แต่น้อย
ชายผู้นั้นเดินวนไปวนมาอยู่บริเวณป้ายรถเมล์สักครู่ แล้วจึงตัดสินใจเดินไปยังถังขยะอีกใบที่ป้ายรถเมล์ถัดไป เมื่อพบอะไรที่เขาสามารถจะกินได้ เขาก็นำมันกลับมาวางไว้ที่ม้านั่งของเขาไม่เคยกังวลว่าจะมีใครขโมยอาหารของเขาไป จนกระทั่งพอใจเขาจึงมานั่งแกะถุงพลาสติกที่ละชิ้นเขย่ากระป๋องน้ำทีละกระป๋อง และลงมือบริโภค จนกระทั่งไม่เหลืออะไรที่เขาจะกินได้ ตกบ่ายใกล้เวลาเลิกเรียน ชายผู้นั้นหายตัวไปจากป้ายรถเมล์นั้น ไม่มีใครเคยสนใจว่าเขาจะไปที่ใด เขาจะปรากฏตัวอีกทีก็ต่อเมื่อเวลาดึก ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้คนบริเวณป้ายรถเมล์นั้นเบาบางลง
เวลาสามทุ่มกว่าๆ ชายวัยกลางคนพาร่างขะมุกขะมอมนั้น กลับมาที่ม้านั่ง ขณะนี้เหลือเพียงนักศึกษาสาวรอรถเมล์อยู่เพียงคนเดียว เขาพิจารณาเรือนผมของหญิงสาวที่ถูกรวบมัดไว้เป็นเปียเรียบร้อย ผูกด้วยที่รัดผมสีสันสวยงามเหมือนลูกกวาด ในมือถือหนังสือเล่มหนาๆ สองสามเล่ม และสะพายกระเป๋าหนัง ติดลวดลายดอกไม้น่ารักสดใส เมื่อเธอรู้สึกตัวว่าถูกเขามองอยู่ก็พลันสีหน้าหวาดหวั่น ดวงตาตื่นกลัว กระสับกระส่าย ลอบดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือซ้ายถี่ยิบ โดยที่ไม่ได้สนใจเวลาที่บอกแม้แต่น้อย หากแต่เพียงทำไปเพื่ออยากเร่งเวลาให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
ชายผู้นั้นยังคงจ้องมองหญิงสาวอย่างไม่วางตา เขายังคงนั่งใช้มือทั้งสองยันหัวเข่า และนั่งนิ่งมองโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกายไหวติง แม้เขาจะยังไม่มีทีท่าจะเข้าไปทำร้าย แต่หญิงสาวก็พยายามถอยหนีด้วยกังวลจะเกิดอันตราย กระทั่งรถเมล์คันหนึ่งผ่านมา เธอจึงรีบขึ้นไปโดยไม่สนใจเลยว่าเป็นคันที่เธอต้องการขึ้นหรือไม่
เมื่อรถเมล์พาร่างนักศึกษาสาวคนนั้นหายลับไปแล้ว ชายวัยกลางคนก็เอนตัวลงนอน ใช้ที่พักแขนต่างหมอน ยกขาทั้งสองขึ้นมาไขว้กัน แล้วกระดิกเท้าเป็นจังหวะ สายตาเหม่อมองตรงไปยังเบื้องบน คืนนี้มีดาวเต็มท้องฟ้าสว่างสุกใส มีเพียงแสงจากพระจันทร์เสี้ยวเท่านั้นที่ออกมาส่องแสงแข่งความงามของหมู่ดารา เขาส่งยิ้มให้กับดาวดวงน้อยเหล่านั้น บ้างก็หัวเราะ บ้างก็ทำทีเหมือนกำลังสนทนาอยู่ด้วยกัน เป็นเช่นนี้อยู่ราวสองชั่วโมงเขาก็ผล็อยหลับไปพร้อมๆ กับรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้า กลมกลืนกับคราบไคลความสกปรกที่ติดค้างสะสมมาก่อนหน้านี้
วันต่อมาเหตุการณ์เป็นไปเช่นเดิม เขาตื่นตอนสายๆ ออกหาอาหารตามถังขยะซึ่งเป็นดั่งครัวของเขา เดินไปเดินมานัยว่าเพื่อออกกำลังกายทั้งวัน จนกระทั่งค่ำราวๆ สามทุ่มก็กลับมายังที่พำนัก
คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด มีเพียงแสงดาวที่แข่งกันอวดแสงระยิบระยับ ไร้แสงจันทร์อวดแข่งแสงนวลเช่นทุกคืน เขากลับมาถึงม้านั่งไม่ทันไร ก็มีหญิงสาวสองสามคนเดินมารอรถที่ป้ายรถเมล์ เขาพิจารณาพวกเธอเหล่านั้น เช่นเดียวกับที่ทำกับนักศึกษาสาวคืนก่อนหน้านี้ และปฏิกิริยาตอบรับจากหญิงสาวเหล่านั้นก็คืออาการถอยหนี และตื่นกลัวเช่นที่ทุกคนเป็น จนกระทั่งมีรถเมล์คันใหม่มาเทียบ เหล่าหญิงสาวเหล่านั้นก็จากไป
“คนบ้าเมื่อกี้ไม่น่าไว้วางใจเลยนะเธอ” หญิงสาวในชุดสีเทาอมเขียวพูดกับเพื่อนที่นั่งข้างๆ ทันทีที่ได้ขึ้นรถเมล์
“ไม่หรอกมั้ง ลุงแกก็แค่คนบ้า คงไม่มีพิษสงอะไรหรอก” หญิงสาวในชุดเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ดูจะอ่อนวัยกว่าเอ่ยขึ้นตอบคัดค้าน
“อย่ามองโลกในแง่ดีไปหน่อยเลยยัยนิสา คนบ้านี่ล่ะไม่น่าไว้วางใจ ดูสิจ้องพวกเราตาเป็นมัน” หญิงสาวอีกคนที่แต่งกายด้วยชุดคล้ายๆ กันเอ่ยแทรก
“ใช่ คนบ้าน่ะไม่มีความยับยั้งชั่งใจหรอก ไม่รู้หรอกอะไรถูกอะไรผิด จะไปไว้ใจได้อย่างไรล่ะ” หญิงสาวคนแรกเอ่ยสรุป และไม่มีใครเอ่ยความเห็นอะไรต่อ จึงมีเพียงเสียงเครื่องยนต์ของรถเมล์ดังกระหึ่ม แทนเสียงการสนทนาของทั้งสามคน
คืนวันต่อมาสาวนิสาจำต้องเลิกงานดึกกว่าปกติ กว่าจะออกมา จากที่ทำงานซึ่งเป็นโรงงานเย็บผ้ากลางเก่ากลางใหม่ที่กลางซอย เวลาก็ล่วงมาเกือบสองยามแล้ว ผู้คนที่เคยเดินขวักไขว่แทบเบียดชนกันเมื่อตอนกลางวัน กลับร้างเหลือเพียงแต่สุนัขจรจัดสองสามตัวเดินเผ่นพ่านไปมาหาเศษอาหารอยู่ตามซอย หญิงสาวมีสีหน้ากังวล กึ่งเดินกึ่งวิ่งเหลียวหน้าเหลียวหลังอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งถึงป้ายรถเมล์ที่หน้าปากซอย
ที่ป้ายรถเมล์ชายเสียสตินอนนิ่งอยู่บนม้านั่งอีกฟากของป้ายรถเมล์ที่นิสายืนอยู่ เธอเบาใจลงไปบ้างที่ชายเสียสตินอนหลับอยู่ แม้ก่อนหน้านี้เธอจะเป็นคนมองโลกในแง่ดี เห็นว่าคนบ้าไม่น่ามีพิษภัยอะไร แต่ข่าวสาวโรงงานหลายคนหายตัวไป หรือไม่ก็ถูกทำร้าย หรือข่มขืนในระยะนี้มีมากเหลือเกิน คนที่ถูกสงสัยมากที่สุดคนหนึ่งก็คือชายเสียสติผู้นี้ หญิงสาวจึงเปลี่ยนทัศนคติ ไม่สามารถไว้ใจคนบ้าที่ขาดความยับยั้งเช่นคนทั่วไปได้ ดังนั้นเมื่อเห็นชายผู้นั้นนอนสงบไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัวว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้น จึงทำให้นิสารู้สึกปลอดภัยมากกว่า
หญิงสาวยืนอยู่เพียงไม่นานก็มีเด็กชายวัยรุ่นผอมเกร็งสองคนเดินมาที่ป้ายรถเมล์นั้นเช่นกัน เธอส่งยิ้มทักทายแสดงความเป็นมิตร และรู้สึกคลายความกังวลที่มีเพื่อนยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์นี้ด้วย อย่างน้อยหากชายเสียสตินั้นคิดจะทำร้ายเธอ ก็มีคนสามารถช่วยปกป้องเธอจากเขาได้ นิสายืนรอรถอยู่นานก็ยังไม่มีวี่แววว่ารถเมล์นั้นจะมาถึงในเวลาอันใกล้ มีเพียงรถยนต์ขนผักที่นานๆ จะผ่านมาสักคัน แต่เธอก็ยังอุ่นใจที่อย่างน้อยก็มีเพื่อนอยู่ที่ป้ายรถเมล์
เวลาผ่านไปอีกนานพอดู เด็กวัยรุ่นรูปร่างผอมแห้งทั้งสองยังคงซุบซิบพูดคุยกันอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของป้ายรถเมล์ หากแต่นิสาเริ่มร้อนใจ คิดกังวลต่างๆ นาๆ ต่อเหตุร้ายที่อาจเกิดจากชายเสียสติผู้นั้น ขณะกำลังรอรถเมล์อย่างใจจดใจจ่อ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งมาจอดเทียบที่ป้ายรถเมล์นั้น ผู้ขี่มาเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่กำยำ เด็กชายวัยรุ่นสองคนเดินไปพูดคุยกับชายคนนั้นพลางลอบมองเธอด้วยสายตาพิกล นิสารู้สึกไม่น่าไว้วางใจ กำลังจะขยับเดินออกไปรอรถเมล์ที่ป้ายอื่น แต่ก็สายไปเสียแล้ว เด็กวัยรุ่นทั้งสอง และคนที่เพิ่งขับรถมาเทียบที่ป้ายรถเมล์ปราดมารวบตัวเธอไว้โดยที่เธอยังไม่ทันจะขยับหนี
“ช่วยด้วย อุ๊บ” นิสาตะโกนขอความช่วยเหลือสุดเสียง แต่ก็ไม่มีโอกาสจะพูดมากไปกว่านั้นก็ถูกแรงจากหมัดของชายรูปร่างกำยำที่มาใหม่กระแทกลงที่ท้องน้อย จนเธอตัวงอ ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น ไม่มีแม้แต่เสียงโอดโอยจากเธอ กระเป๋าสะพายสีดำร่วงลงพื้น ทั้งลิปสติก แป้ง กระเป๋าสตางค์ และของใช้อื่นๆ กระเด็นกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ชายโฉดทั้งสามรีบเข้าไปช่วยกันประคองร่างเธอขึ้นมา แต่คนรูปร่างกำยำที่ดูอายุมากกว่าเด็กวัยรุ่นอีกสองคนก็ต้องร้องโอย ด้วยแรงจากของแข็งบางอย่าง
“โอ้ย ใครทำกูวะ” ชายรูปร่างกำยำร้อง ปล่อยมือจากร่างสาวน้อยนิสา หันไปมองหาที่มาของของแข็งที่มากระทบที่หลังของตน เมื่อหันไปมองเขาก็เห็นท่อนไม้ขนาดยาวพอประมาณ ถูกกำอยู่ในมืออย่างมั่นคงของชายวัยกลางคน ผมเผ้าพะรุงพะรังคนนั้น
“เฮ้ย พวกมึง รีบจัดการไอ้แก่บ้านี่ไปซะพ้นๆ กูจะจัดการกับอินังนี่” ชายคนเดิมสั่งเด็กวัยรุ่นทั้งสองคน ทำให้ทั้งสองปล่อยมือจากร่างของหญิงสาว และรี่เข้าไปตะลุมบอนชายเสียสติคนนั้น เหตุการณ์ดูเหมือนว่าจะเลวร้ายลงสำหรับนิสา เพราะผู้ที่พยายามเข้ามาช่วยเธอเป็นเพียงชายสกปรกคนหนึ่งเท่านั้น จะสู้แรงวัยรุ่นสองคน กับชายฉกรรจ์อีกหนึ่งคนได้อย่างไร
แม้จะยังไม่ได้สติดี แต่นิสาก็พยายามไขว่คว้าหาของในกระเป๋าของเธอที่น่าจะนำมาใช้ป้องกันตัวได้บ้าง เธอใช้มือซ้ายที่ว่างจากการกุมท้องไว้ ควานหาของในกระเป๋าถือที่ตกอยู่ข้างลำตัวของเธอ โชคดีเป็นของเธอที่เธอพบบางสิ่งก่อนที่ชายรูปร่างกำยำนั้นจะหันมาที่เธอ แม้เรี่ยวแรงจะเหือดหายเกือบสิ้น แต่พลังความเอาตัวรอดมีมากเกินกว่าจะให้เธออยู่เฉยๆ รอให้คนชั่วมาย่ำยี
ไม่ทันที่คนพวกนั้นจะเข้ามาทำร้ายนิสาซ้ำสอง แสงสว่างจากรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ก็สาดเข้ามาที่ป้ายรถเมล์นั้น แม้จะยังไม่รู้ว่าเป็นใครแต่หญิงสาวก็มีความหวังขึ้นมาในทันใด ในขณะเดียวกันเด็กวัยรุ่นสองคน และชายฉกรรจ์คนนั้นก็ผละจากร่างของนิสา และวิ่งหนีออกไปจากป้ายรถเมล์นั้น นิสาค่อยๆ ยันกายตัวเองลุกขึ้นมา คว้ากระเป๋าถือที่ตกอยู่และคลายมือจากปากกาปลายแหลมที่เธอหวังจะใช้เป็นอาวุธ
“เฮ้ยพวกมึงทำอะไรน่ะ” เสียงดังมาจากรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่เพิ่งมาใหม่อย่างเอาเรื่อง ทันทีที่รถหยุด แต่ทั้งสามก็วิ่งและขี่รถหนีไปไกลเกินกว่าที่เขาจะตามทันแล้ว เจ้าของรถพาร่างสูงใหญ่นั้นลงมาจากรถ และตรงเข้ามาหาสาวนิสาผู้โชคร้ายทันที
“นิสาเป็นอะไรมากหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างร้อนใจ ด้วยความเป็นห่วงเช่นผู้มีน้ำใจ
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ขับรถผ่านมาแถวนี้” นิสาตอบ และไม่ลืมที่จะขอบคุณ พลางใช้มือควานหาสิ่งของที่กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ และค่อยๆ เก็บลงในกระเป๋าถือ
“มาผมช่วย” ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มใช้มือแข็งแรงนั้นหยิบของแต่ละชิ้นส่งคืนให้เจ้า
ของอย่างว่องไว
“ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” หญิงสาวรับของเก็บใส่กระเป๋า พลางยันกายลุกขึ้นยืนอย่างโซเซ
“เดี๋ยวผมพาสากลับบ้านนะ รับรองว่าปลอดภัย” เขาพูดด้วยสีหน้ากังวล แต่ไร้เสียงตอบจากหญิงสาว มีเพียงอาการพะยักหน้าตอบรับเท่านั้นที่บ่งบอกว่าไม่ปฏิเสธความมีน้ำใจของเขา
รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่พาร่างหญิงสาวและชายหนุ่มลับหายไปแล้ว แต่ชายวัยกลางคนเสียสติยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง เหมือนเศษผ้ากองอยู่ข้างถังขยะนั้นโดยที่ไม่มีใครได้นึกถึงจนกระทั่งเช้า
เช้าวันนี้บรรยากาศที่ป้ายรถเมล์เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เพราะไม่มีใครเห็นชายเสียสตินอนอยู่บนม้านั่ง ทว่าลงไปกองอยู่ข้างถังขยะแทน ถึงกระนั้นคงไม่มีใครสนใจหรือเป็นกังวล เพราะในสายตาใครๆ เขาช่างไร้ค่าเกินกว่าจะใส่ใจ
รอยแผลใหม่ที่เกิดขึ้นมาเมื่อคืนนี้มีอยู่ทั่วไป โดยมากมักเป็นแผลถลอก และรอยฟกช้ำ ที่คนทั่วไปแทบจะแยกไม่ออกจากรอยคราบไคลสกปรก กระทั่งเวลาสายชายเสียสติตื่นขึ้นคุ้ยเขี่ยหาอาหารเช่นทุกวัน เขาเดินไปเดินมาบริเวณป้ายรถเมล์อยู่เวลานาน วันนี้เขาคงไม่ใคร่จะเดินไปไกลจากนิวาสถานมากนัก จึงเดินสำรวจบริเวณ “บ้าน” ของเขาอย่างละเอียดลออ เมื่อเดินมาอีกด้านของป้ายรถเมล์ เขาก็ก้มๆ เงยๆ หยิบสิ่งของบางอย่างขึ้นมาจากพื้น มันเป็นเครื่องประดับสีแวววาว ที่ดูไม่ค่อยมีราคาเท่าใดนัก แต่สร้อยสแตนเลสที่มีล็อกเก็ตรูปหัวใจติดอยู่นั้นคงจะดูสวยงามสำหรับเขาไม่น้อย
ชายเสียสติหยิบของชิ้นนั้นพิจารณาดูสักครู่ จับมันเขย่าไปมา และใช้หูซ้ายเงี่ยฟังเสียงที่จะเกิดขึ้น แต่มีเพียงเสียงสร้อยสแตนเลสกระทบกันเท่านั้น เขาจับมันพลิกไปพลิกมาอยู่นานจนกระทั่งฝาล็อกเก็ตนั้นเปิดออก จึงเห็นรูปของสาวนิสาคนที่เกิดเหตุเมื่อคืนนี้อยู่ข้างใน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะจำเหตุการณ์เมื่อคืน หรือแม้กระทั่งนิสาได้หรือเปล่า แต่เขาก็เก็บมันลงในกระเป๋ากางเกงข้างที่ยังใช้การได้ทันที และเดินสำรวจอาณาจักรของเขาต่อไป
ที่โรงงานกลางซอย เพื่อนๆ ของนิสานั่งล้อมวงฟังเหตุการณ์ระทึกใจที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างตื่นเต้น ระหว่างพักทานอาหารกลางวัน
“โชคดีนะนิสา ที่วุฒิเขาขับรถผ่านไปพอดี ไม่อย่างนั้นเธอจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้” หญิงคนที่ดูอายุมากที่สุดเอ่ยสรุปเมื่อนิสาเล่าเหตุการณ์จบ
“แล้วสารู้หรือเปล่า ว่าคนที่เข้ามาทำร้ายไอ้คนชั่วนั่นเป็นใคร” หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับนิสาถามแทรก
“ไม่รู้หรอก ฉันไม่ทันได้สังเกต พอวุฒิมาช่วยฉันก็รีบกลับบ้าน มองกลับมาอีกทีก็ไม่เห็นใครแล้ว สงสัยว่าจะหนีไปเสียแล้วมั้ง” นิสาคาดเดา พลางเขี่ยอาหารในจานไปมา เพราะกินอะไรไม่ลง
“แหม วุฒินี่ก็สมกับเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเลยนะ ที่เขาลือกันว่าวุฒิแอบชอบเธอมานานก็คงจริงล่ะสิเนี่ย” หญิงสาวรูปร่างอวบอ้วนอีกคนพูดพลางเคี้ยวอาหารในปากตุ้ยๆ แต่นิสาไม่ได้เอ่ยอะไร ได้แต่ฝากรอยยิ้มเจื่อนๆ บนใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอายนั้นแทนคำตอบ
ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง แม้จะผ่านมาเป็นเดือนแล้ว แต่นิสาพยายามไม่กลับบ้านดึกๆ คนเดียวอีก เธอรู้ตัวว่าไม่ใช่คนสวยอะไรมากมาย แต่อย่างไรเสียเธอก็เป็นผู้หญิง ถึงแม้หน้าตาและผิวพรรณกระดำกระด่างเช่นชาวอีสานทั่วไปที่ต้องถูกแดดถูกลมตั้งแต่เด็ก และไม่มีปัญญามาคอยบำรุงผิวกายดั่งเช่นลูกคนรวย แต่เธอก็ได้เปรียบตรงที่เธอต้องทำงานหนักมาแต่เล็ก ถึงรูปร่างจะไม่อรชรอ้อนแอ้น แต่ก็ดูสมส่วน ประกอบกับตาที่กลมโตและคิ้วเรียวยาว ทำให้เธอดูดีกว่าสาวอีสานทั่วๆ ไปมาก
ค่ำวันหนึ่ง นิสาและเพื่อนจำต้องทำงานล่วงเวลาอีก ทำให้ต้องออกมารอรถตอนดึก แต่นิสาก็รู้สึกอุ่นใจอยู่บ้างที่มีเพื่อนอยู่หลายคน คงไม่มีใครกล้าทำร้ายเธอเช่นในคืนนั้นอีก ขณะที่กำลังสนทนาอยู่กับเพื่อนๆ นิสาสังเกตว่าชายเสียสติพยายามเดินเข้ามาใกล้ๆ กลุ่มของเธอหลายครั้ง เขาเดินเข้ามาและทำท่าชะเง้อ เหมือนกับมองหาอะไรบางอย่าง เขามองหน้าทุกๆ คนในกลุ่ม จนกระทั่งถึงนิสา เขามองนิสานิ่งไม่วางตาดังพยายามนึกอะไรบางอย่างให้ออก สายตาที่จ้องมองนั้นแม้จะไม่ได้มีแววประสงค์ร้ายแต่อย่างใด ทว่าเพื่อนๆ ในกลุ่มต่างชักชวนกันเดินหนีไปยังป้ายรถเมล์อื่น
เมื่อกลุ่มของนิสาเดินหายลับไปแล้ว ชายเสียสติจึงเดินกลับไปที่ม้านั่ง เอนตัวลงเพื่อเตรียมพักผ่อน ทว่าเขารู้สึกว่ามีของแข็งบางอย่างในกระเป๋ากางเกง เขาจึงควักมันออกมาดู และทำตาลุกโพลงดังดีใจอะไรหนักหนา และทำตาละห้อยมองไปทิศทางที่นิสาและเพื่อนๆ เดินจากไป เขาเก็บสร้อยล็อกเก็ตนั้นลงกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง นอนหลับไปกระทั่งเช้า และดำเนินกิจวัตรของเขาวนเวียนเช่นทุกวัน
ระยะนี้สาวโรงงานทุกคนต่างมีความจำเป็นต้องใช้เงิน จึงต้องทำงานล่วงเวลา และกลับบ้านกันดึกๆ ดื่นๆ เสมอ แม้จะมีข่าวการปล้น จี้ และข่มขืน แต่นิสาและเพื่อนๆ ก็มิได้เป็นกังวลเท่าใดนัก เพราะนอนใจที่กลับบ้านพร้อมๆ กันทุกครั้ง ไม่น่าจะเกิดอันตรายกับตนเองได้ หากจะกังวลก็ด้วยเรื่องของชายเสียสติที่ป้ายรถเมล์เสียมากกว่า ที่ระยะหลังๆ มักจะเข้ามาป้วนเปี้ยนๆ ด้อมๆ มองๆ นิสาเป็นพิเศษ สร้างความไม่ไว้วางใจกับนิสาและเพื่อนๆ เป็นอย่างมาก
“สา คืนนี้เธอจะทำล่วงเวลาจริงหรือ พวกเรามาทำงานเป็นเพื่อนเธอกันไม่ได้สักคน” เพื่อนสาวร่างอวบอ้วนคนหนึ่งพูดขึ้นกลางวงรับประทานอาหารกลางวัน
“มันจำเป็นนี่นา ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก วุฒิบอกว่าจะมารับ” นิสาตอบพลางอมยิ้มเมื่อพูดถึงชายคนรัก
“แหม คนมีแฟนก็ดีอย่างนี้ล่ะเนอะ” หญิงที่ดูสูงวัยกว่าทุกคนในกลุ่มกระเซ้า
“แต่ระวังลุงบ้าที่ป้ายรถเมล์หน่อยก็ดีนะสา พี่เห็นระยะนี้แกชอบมาด้อมๆ มองๆ สา แปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้” เพื่อนสาวรูปร่างอ้วนท้วนคนเดิมเอ่ยอย่างกังวล
“จ้ะ ฉันจะระวังตัว”
ถึงเวลาเลิกงานวุฒิติดต่อนิสาบอกว่า อาจมาถึงล่าช้าสักเล็กน้อย นิสาจึงเดินออกมารอที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอยคนเดียว ที่ป้ายรถเมล์ว่างเปล่า มีเพียงม้านั่งว่างๆ และนิสาเท่านั้น ไม่มีทั้งเพื่อนร่วมรอรถ หรือแม้กระทั่งชายเสียสติคนนั้น การยืนรอรถเพียงลำพังสร้างทั้งความกังวล และความเบาใจไปพร้อมๆ กันในใจของนิสา เธอกังวลใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ร้ายในวันนั้น หากคนกลุ่มนั้นกลับมาอีก เธอคงไม่โชคดีเป็นครั้งที่สอง เพราะไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลยสักคน แต่เธอก็เบาใจที่ไม่มีสายตาของชายเสียสติคอยจ้องมองเธอ และไม่รู้ว่าจะทำร้ายเธอเมื่อใด
เวลาล่วงมาเกือบๆ สี่ทุ่ม แต่วุฒิก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาถึง นิสากระวนกระวายใจมากขึ้นทุกครั้งที่ยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา บริเวณป้ายรถเมล์เงียบเชียบราวกับป่าช้า กระทั่งมีเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดที่ป้ายรถเมล์นั้น แต่นิสาใจจดใจจ่อกับวุฒิมากเกินกว่าจะหันไปมองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่นั้น
ชายที่มาใหม่ มีรูปร่างสูงใหญ่ กำยำ น่าจะมีอายุราวๆ สามสิบต้นๆ แววตาดุดัน เมื่อจอดรถมอเตอร์ไซค์เรียบร้อย เขาเดินมุ่งตรงมายังร่างของนิสาโดยที่นิสาไม่ได้รู้ตัวแม้แต่น้อยว่ามีคนประสงค์ร้ายต่อเธอ จนกระทั่งกระเป๋าถือในมือถูกกระชาก ข้าวของกระจัดกระจายลงเต็มพื้น
“เอ๊ะ” นิสาร้องด้วยความตกใจ เมื่อหันไปทางแรงกระชากนั้นก็พบกับหน้าที่เธอคุ้นเคย มันเป็นคนที่เคยทำร้ายเธอเมื่อครั้งที่แล้วนั่นเอง แม้จะตั้งสติได้ไม่ดีนัก แต่นิสาก็ร้องขอความช่วยเหลือทันทีที่รู้ตัวว่าเกิดอันตรายขึ้น
“ช่วยด้วยค่ะ” นิสาร้องสุดเสียงที่เธอมี และพยายามร้องซ้ำ แต่เจ้าคนใจทรามใช้
มือหยาบหนานั้นเข้ามาปิดปากของเธอไว้จนไม่สามารถส่งเสียงใดๆ ออกมาได้ มีแต่เพียงเสียงอู้อี้ในลำคอเท่านั้น แต่มันก็คงไม่เพียงพอให้ใครในละแวกนี้ได้ยิน
“คราวก่อนมึงรอดไปได้ มึงคิดว่าคราวนี้กูจะปล่อยให้มึงรอดไปอีกหรือไง ฤทธิ์มากนักนะอีนี่” มันพูดพร้อมกับรวบร่างของนิสาไว้ และพยายามพาไปที่รถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ คันนั้น นิสาพยายามดิ้นรนสุดแรง และในจังหวะที่คนร้ายกำลังเปลี่ยนมือที่ใช้ปิดปากเธอ นิสาจึงดึงมือของมันมากัดอย่างสุดแรง จนเป็นเหตุให้ไอ้คนใจบาปปล่อยมือจากร่างของนิสา และใช้มืออีกข้างตบหน้านิสาฉาดใหญ่ จนเธอรู้สึกถึงรสเฝื่อนปนกลิ่นคาวเลือดในปากของเธอ คนร้ายพยายามเข้ามารวบตัวนิสาอีกครั้ง แต่ก็มีแรงจากของแข็งลงมากระทบที่ท้ายทอยของมันอย่างจัง
ไอ้คนใจบาปเบนความสนใจไปจากนิสา และหันไปมองทางผู้ที่เข้ามาทำร้าย เมื่อหันกลับไปมันก็พบกับร่างของชายเสียสติที่กำลังถือปีบสังกะสีเก่าๆ ใบหนึ่งอยู่ในมือ นิสาเองก็ตกใจเช่นกันที่เห็นชายเสียสติเข้ามาทำร้ายไอ้คนใจโฉดนั้น แต่เมื่อพิจารณาเพียงครู่เดียวเธอก็เข้าใจว่าชายเสียสติเพียงต้องการมาช่วยเธอเท่านั้น
คนร้ายกำหมัดแน่น และพุ่งหมัดนั้นเต็มแรงเข้าลำตัวของชายเสียสติ โชคดีที่เขานำปี๊บผุๆ ใบนั้นป้องกันตัวไว้ได้ทัน ถึงกระนั้นก็เป็นผลทำให้ปี๊บถึงกับทะลุ และขาดร่องแร่ง ชายเสียสติพยายามใช้ปี๊บผุๆ ใบนั้นกวัดแกว่งไปมาเพื่อป้องกันตัว และหวังว่าจะทำอันตรายให้กับคนร้ายได้บ้าง แต่ก็ไร้ผล ในที่สุดปี๊บในมือของชายเสียสติก็ถูกปัดกระเด็นไปไกลด้วยแรงของชายชั่วคนนั้น
เมื่อเห็นว่าชายเสียสติไม่มีอาวุธ หรืออุปกรณ์ป้องกันตัวแล้ว เจ้าคนร้ายก็รี่เข้าไป
ทำร้ายเขาด้วยหมัดและเท้า ชายเสียสติไม่มีแรงพอจะต่อสู้ได้ ได้แต่ทำตัวงอขดอยู่กับพื้น และกลิ้งไปมาเพื่อหลบเท้าและมือนั้น
ฝ่ายนิสาเองก็ตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อตั้งสติได้เธอก็ลังเลว่าควรจะหนีเอาตัวรอด แล้วไปเรียกคนมาช่วยชายเสียสติ หรือจะช่วยเขาในขณะนั้นดี เพราะหากเธอช่วยเขาในตอนนี้ มีโอกาสที่คนร้ายจะกลับมาทำร้ายเธออีก แต่หากเธอหนีไปแล้วเรียกคนอื่นมาช่วย เธอจะรอด แต่ชายเสียสติซึ่งเป็นผู้มีพระคุณของเธออาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
นิสาลังเลอยู่นานกระทั่งเธอเห็นท่อนไม้หนาๆ ท่อนหนึ่งที่ข้างถังขยะ เธอรีบวิ่งไปหยิบมันมา จับไม้นั้นไว้อย่างมั่นคง และลงแรงทุบลงที่ต้นคอของคนร้ายเต็มแรงเป็นผลมันผู้นั้นสลบเหมือดลงไป เธอตะลึงงันเพียงสักครู่จึงวิ่งไปดูชายเสียสติ และประคองขึ้นมาบนม้านั่งอย่างไม่รังเกียจ พลางตะโกนของความช่วยเหลือ ไม่นานนักวุฒิก็ขับรถมอเตอร์ไซค์มาถึงป้ายรถเมล์นั้น
“วุฒิ วุฒิ ช่วยด้วย” นิสาตะโกนเรียกคนรักทันทีที่แน่ใจ ทั้งๆ ที่ยังประคองร่างของชายเสียสติอยู่
“เกิดอะไรขึ้นล่ะสา” วุฒิวิ่งหน้าตาตื่นมายังที่ม้านั่งที่คนรักนั่งอยู่ และสังเกตเห็นร่างชายฉกรรจ์คนหนึ่งนอนสลบอยู่บริเวณไม่ไกลนัก
“วุฒิเรียกตำรวจทีสิ ไอ้คนนั้นมันจะทำร้ายสา โชคดีที่ลุงบ้าแก เข้ามาช่วยไว้” นิสาพูดพลางร่ำไห้ น้ำตาไหลพราก ปากทั้งสองสั่นระริกด้วยความตกใจ และตื่นกลัว วุฒิหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมา และกดเรียกไปยังหมายเลขฉุกเฉินเพื่อแจ้งเหตุ
ขณะรอเจ้าหน้าที่มาถึงที่เกิดเหตุ ชายเสียสติก็ฟื้นขึ้นมา แม้ร่างกายจะสะบักสะบอมเพราะถูกทำร้ายค่อนข้างหนัก แต่เมื่อฟื้นขึ้นมาเห็นว่านิสายังปลอดภัยดี เขาก็เพียงแต่ยิ้มแห้งๆ ให้ทั้งสอง และยันกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล
“ลุง ฉันขอบใจลุงมากนะ ที่ช่วยฉันไว้” นิสาพูดออกมาด้วยความตื้นตัน ที่ผู้มีพระคุณของเธอไม่เป็นอันตรายมากอย่างที่เธอคาดไว้แต่ต้น
“ผมก็ขอบคุณลุงมากเหมือนกัน ที่ช่วยแฟนผมไว้” วุฒิกล่าวสำทับ ชายเสียสติไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เพียงแต่ใช้มือคลำไปตามกางเกงเก่าขาดรุ่งริ่งของเขา เหมือนกับกำลังจะหาอะไรบางอย่าง เขาคลำอยู่นานจนกระทั่งไปเจอของในกระเป๋ากางเกงของเขา
ชายเสียสติประคองร่างลุกขึ้นจากม้านั่งอย่างโซซัดโซเซ แล้วก็ล้วงเอาสร้อยคอพร้อมล็อกเก็ตของนิสาออกมา เขาเขย่ามันสองสามครั้ง ก่อนจะยื่นไปตรงหน้านิสาที่กำลังงงงันกับพฤติกรรมของชายเสียสติ
“ของเอ็งหรือเปล่า” เขากล่าวเสียงแหบพร่า นิสาได้ยินจากปากของชายเสียสติเป็นครั้งแรกตั้งแต่เธอได้เห็นเขาที่ป้ายรถเมล์นี้
นิสาและวุฒิมองหน้ากันเพราะคาดไม่ถึงว่าชายเสียสติจะเป็นผู้เก็บของคืนให้นิสา ทำให้ทั้งสองเข้าใจสาเหตุที่ชายเสียสติพยายามด้อมๆ มองๆ มาที่นิสาตลอดเวลาหลังจากเกิดเหตุการณ์ในครั้งแรก
นิสาตื้นตันและรู้สึกผิดไปพร้อมๆ กันที่มองชายเสียสติในแง่ร้าย นอกจากจะได้สร้อยคอพร้อมล็อกเก็ตของเธอคืนแล้ว เธอยังได้รู้ว่าชายเสียสติก็เคยช่วยเธอในคืนนั้นด้วยเช่นเดียวกับคืนนี้ ลำคอของนิสาตีบตับ น้ำตาเอ่อล้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เธอทำได้แต่เพียงยกมือทั้งสองขึ้นมา และไหว้ชายเสียสติผู้มีพระคุณกับเธอถึงสองครั้ง
“ฉันขอบคุณ และก็ขอโทษที่เข้าใจลุงผิดไป ต่อไปนี้ฉันสัญญานะจ๊ะ ว่าจะดูแลลุงอย่างดี คืนนี้ลุงไปพักที่บ้านฉันเถอะจ้ะ ฉันจะหาเสื้อผ้าใหม่ให้ลุง หาข้าวปลาให้ลุง ลุงจะได้ไม่ต้องมาอาศัยป้ายรถเมล์นี้อีก” นิสาพูดพลางร่ำไห้ สร้างความสลดใจแก่วุฒิเป็นอย่างมาก
“บ้านข้าอยู่ที่นี่ อย่าเอาข้าไปไหนเลย ข้าจะนอนแล้ว พวกเอ็งกลับๆ ไปเหอะ” ชายเสียสติพูดพลางใช้ถุงพลาสติกข้างๆ ตัวปัดม้านั่งนั้นไปมา ทำให้ทั้งนิสาและวุฒิต้องลุกขึ้นหลีกที่ให้เขานอน
“สา ลุงแกคงมีความสุขที่ได้อยู่แบบนี้ อย่าไปทำลายโลกของแกเลย สาก็รู้ว่าแก เอ่อ ... สติไม่ดี” วุฒิออกความเห็นหลังจากที่ชายเสียสติเอนตัวลงนอน
“แต่สาว่าลุงแกไม่ได้บ้านะวุฒิ คนบ้าที่ไหนจะมาช่วยเหลือกันได้ขนาดนี้” นิสาคัดค้าน
“แต่ลุงแกก็ยืนยันแล้ว ว่าแกอยากอยู่ตรงนี้ เอางี้ไม๊ พี่ว่าทุกเช้า ทุกเย็น สาก็หาข้าวหาปลามาให้แก หาเสื้อผ้ามาให้แกเปลี่ยน เท่านั้นก็น่าจะพอแล้ว เพราะถึงอย่างไรพี่คิดว่าแกคงไม่ไปอยู่ให้ใครดูแลหรอก” วุฒิแนะทางออกให้กับคนรัก นิสาได้แต่นิ่งเงียบ จนกระทั่งรถตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ และพาตัวของคนร้ายไป นิสาและวุฒิจำต้องไปให้ปากคำด้วย ส่วนชายเสียสตินั้นไม่ว่าจะบังคับเท่าไรก็ไม่ยอมไป ตำรวจเห็นว่าเป็นคนเสียสติจึงอาศัยเพียงปากคำจากวุฒิและนิสาเท่านั้น
นิสาตั้งใจแล้วว่าวันรุ่งขึ้นจะหาข้าวปลาอาหาร เสื้อผ้าใหม่ๆ และยารักษาโรคที่จำเป็นมาให้ชายเสียสติ และเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาให้เพื่อนๆ ฟัง ให้ทุกคนเข้าใจชายเสียสติให้ถูกต้องเสียใหม่ ให้ทุกๆ คนรู้ว่าแม้เขาจะเสียสติแต่จิตใจเขาดีกว่าคนทั่วไปเสียอีก
ขณะนี้นิสาตระหนักแล้วว่าเส้นบางๆ ที่แบ่งระหว่าง “คนดี” กับ “คนไม่ดี” นั้นต่างกับเส้นที่แบ่งระหว่าง “คนดี” กับ “คนบ้า” โดยสิ้นเชิง การเป็นคนบ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นเป็นคนไม่ดี คนบ้าบางคนก็เป็นคนดีเสียยิ่งกว่า “คนดีๆ” บางคนเสียอีก
เมื่อรถตำรวจพาคนร้ายจากไป นิสากับวุฒิก็เดินมากล่าวลาชายเสียสติที่ม้านั่ง แต่เขาก็ไม่หันมามอง หรือโต้ตอบใดๆ มีเพียงเสียงหายใจขัดๆ ที่ดังตอบกลับมา ทั้งวุฒิและนิสาจึงตัดสินใจจากไป ป้ายรถเมล์นั้นจึงร้างผู้คนอีกครั้ง บนม้านั่งนั้นชายเสียสติยันกายขึ้นนั่งอย่างอ่อนแรง เขาไอออกมาสองสามครั้ง พาลิ่มเลือดไหลกระเซ็นออกมาจนเต็มเสื้อสีมอๆ ของเขา เขาจึงใช้แขนเสื้อปาดรอยเลือดที่ติดตามหนวดเคราอย่างลวกๆ แล้วเอนกายนอนลงอีกครั้ง
เขามองสูงขึ้นไปยังบนท้องฟ้าเช่นเคย คืนนี้ยังคงเป็นคืนเดือนมืด ดาวที่เคยกระพริบระยิบระยับค่อยๆ ถูกกลืนหายไปทีละดวงสองดวง เพราะหมู่เมฆดำทะมึนกำลังค่อยๆ เคลื่อนมาบดบัง ดังม่านบางๆ ที่ค่อยๆ หนาขึ้นทุกที
ชายชราจ้องมองดาวที่ถูกค่อยๆ กลืนหายไปทีละดวงอย่างตั้งใจ เขารู้สึกอิสระทุกครั้งที่ได้นอนดูพวกมัน เขายินดีจะมองดูพวกมันทั้งคืน แต่คืนนี้เขารู้สึกแปลกใจที่เขาแทบไม่เหลือแรงที่จะฝืนหนังตาที่กำลังคล้อยต่ำลงมาทุกที ขณะเดียวกันเรื่องราวในอดีตของเขาต่างพรั่งพรูมาในสมองอย่างรื่นไหลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งตั้งแต่ก่อนที่เขาจะบ้า และหลังจากที่เขาเลือกจะบ้า
แม้ชายเสียสติเคยเลือกเดินข้ามเส้นบางๆ ที่แบ่งคนบ้าออกจากคนดี สู่โลกของคนบ้า เพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการเสื่อมโทรมของสังคมทุกวันนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่เขาไม่อาจเดินข้ามผ่านเส้นแบ่งเขตของคนดี ไปสู่โลกของคนเลวได้เลยสักครั้ง
ไม่กี่นาทีต่อมา เมฆดำทะมึนก็กลืนแสงระยิบระยับของดวงดาวจนหายสิ้น ขณะเดียวกันชายเสียสติก็ไม่สามารถรั้งให้ดวงตาของเขาเบิกโพลงเฝ้ามองดูดวงดาวเหล่านั้นได้อีกต่อไป ความทรงจำที่ไหลพรั่งพรูเมื่อครู่ค่อยๆ ดับหายไปทีละเรื่อง ความบ้าเคยทำให้เขารู้สึกอิสระจากสังคมเน่าๆ และถูกมองว่าเป็นขยะสังคมมาแล้วครั้งหนึ่ง ถึงกระนั้นเขาก็ยังต้องวนเวียนอยู่บนโลกที่ซ้อนทับกันอยู่เรื่อยไปที่ป้ายรถเมล์นั้น แต่การหลับใหลครั้งนี้ของเขา ทำให้เขาเป็นอิสระจากพันธนาการทั้งปวงในโลก แม้กระทั่งเส้นบางๆ ที่เคยแบ่งเขาออกจากคนทั่วไปก็ไม่สามารถฉุดรั้งเขาไว้จากอิสรภาพนั้นได้อีกต่อไป
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น