ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานศิลันตรา

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 7 ศิลันตรา

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 50


    ตอนที่ 7 : ศิลันตรา
     
     
               หลังจากเสร็จสิ้นพิธีส่งวิญญาณของศิลา อันตรามีอาการเศร้าโศกเสียยิ่งกว่าทุกคน หญิงสาวพร่ำโทษตนเองตลอดเวลาว่าเป็นเพราะนางด้อยฝีมือการรบ เป็นเหตุให้ศิลาเป็นห่วงและมาช่วยโดยไม่ทันระวังตนเอง แต่คนที่รู้สึกผิดยิ่งกว่าเห็นจะเป็นคีรินที่นำพาไส้ศึกเข้ามายังหมู่บ้าน    คีรินพยายามไปเยี่ยมเยียนอันตราที่บ้านบ่อยครั้ง พยายามพูดคุยเพื่อให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นบ้างแต่ดูเหมือนจะไร้ผล ผ่านไปเกือบสัปดาห์อันตรายังไม่ยอมกินยังไม่ยอมพูดจากับใครเลยจนกระทั่ง   คีรินเริ่มท้อ

                หลังจากที่เสียทั้งพี่ชายและภรรยาไป คีรินก็ย้ายกลับเข้ามาอยู่กระท่อมพ่อนายกับผาคำ แม้ภายนอกพ่อนายจะไม่แสดงอาการเศร้าโศกนัก แต่ผู้เป็นลูกย่อมรู้ดีว่าเขาเสียใจเพียงใด วันหนึ่งหลังมื้อค่ำ ผาคำซึ่งระยะหลังพูดลงน้อยก็เรียกคีรินเข้ามาพูดคุยด้วยสีหน้าจริงจัง

               
    “พ่อเสียพี่เจ้าไปคนหนึ่งแล้ว พ่อไม่อยากสูญเสียใครอีก”

                ผาคำใช้เสียงแสบพร่าและแผ่วเบาเอ่ยขึ้นทันทีที่ทั้งคู่นั่งลงบนแคร่

               
    “ลูกทราบดีขอรับท่านพ่อ”

                คีรินตอบเสียงเรียบ

               
    “ข้าไม่อยากเสียนางขวัญไปด้วย”

                ผาคำบอกจุดประสงค์

               
    “ท่านพ่อหมายความว่า...”

                คีรินเลิกคิ้วตอบบิดา

               
    “ใช่ ตอนนี้เจ้าเป็นทายาทคนเดียว และข้ายังคงต้องการให้อันตรามาเป็นนางขวัญของเผ่า”

               
    “แต่นางยังไม่หายเศร้าโศก”

                คีรินตอบสีหน้าเศร้า

               
    “ข้าจะไปพูดกับนางและอุตราเอง”

                พ่อนายกล่าวจบก็ลุกขึ้นหายลับไปยังห้องส่วนตัว แม้จะดีใจที่ในที่สุดก็ได้ครอบครองนางอันเป็นที่รัก แต่สิ่งที่เขากังวลก็คือใจของอันตรา

                วันรุ่งขึ้นผาคำไปพบอุตราเพื่อเจรจาการหมั้นหมายและการแต่งงานแต่เช้า แต่ก็เดินกลับออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขากลับมายังกระท่อมแล้วถอนหายใจหลายครั้ง คีรินซึ่งกลับมาจากถ้ำพิธีเห็นสีหน้าของบิดาก็พอจะเดาได้ว่าถูกปฏิเสธมาเป็นแน่

               
    “นางใจแข็งกว่าที่ข้าคิด”

                ผาคำบ่นพึมพำทันทีที่เห็นคีรินเดินเข้ามาในกระท่อมในตอนบ่ายก่อนจะเดินเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้องตำรา คีรินได้แต่ถอนหายใจ แล้วคว้าถุงย่ามตำราและมีดสั้นประจำกายเดินออกไปด้านนอก

                คีรินเดินตรงไปที่กระท่อมของอันตรา แต่ก็ไม่พบใคร เขาจึงเดินไปยังต้นไทรอันเป็นที่ประจำของอันตรา แต่ยังคงไร้เงาของหญิงสาว ความหวังของเขาอยู่ที่ลำธารที่ชายป่าด้านใต้อีกครั้ง แต่ก็ยังคงไร้วี่แววเจ้าของร่างระหงผิวสีแทน ที่หมายสุดท้ายของเขาคือที่ผาศักดิ์สิทธิ์

                กว่าจะพาร่างสูงโปร่งนั้นมาถึงผาอันเป็นจุดมุ่งหมาย คีรินถึงกับเหนื่อยหอบ ตากลมโตกวาดไปรอบๆ หวังเพื่อจะพบร่างระหงผิวสีแทนนั้น แล้วเขาก็ไม่ผิดหวัง อันตราในชุดผ้าป่านยาวสีขาวจรดตาตุ่มนั่งนิ่งบริเวณที่ศิลาสิ้นลมอย่างเหม่อลอย ตาโศกสีสนิมของหญิงสาวจ้องมองไปที่เรียวนิ้วซึ่งกำลังลูบหญ้าต้นเล็กๆ บริเวณนั้นอย่างทะนุถนอมดังว่ามันคือร่างของศิลา  โสตประสาทของหญิงสาวไม่รับรู้อะไรนอกจากความโศกเศร้าของตนเอง แม้น้ำตาจะแห้งเหือดไปแล้ว แต่แววตาก็ยังคงว่างเปล่า คีรินถือโอกาสเดินเข้าไปแล้วนั่งลงข้างๆ ร่างระหงนั้นพร้อมๆ กับเอื้อมวงแขนโอบกอดร่างนั้นอย่างอบอุ่น เมื่อสัมผัสได้ว่าคีรินนั่งลงเคียงข้าง อันตราจึงชายตาที่สะท้อนประกายด้วยน้ำใสๆ ขึ้นมามอง แล้วโผเข้ากอดร่ำไห้อย่างลืมตัว

               
    “อันตรา ทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก เลิกโทษตัวเองเสียที”

                คีรินปลอบใจพลางใช้มือนุ่มของเขาลูบไปตามเรือนผมสลวยของหญิงสาวอย่างทะนุถนอม

               
    “หากข้า...”

                อันตราพยายามพูดทั้งน้ำตา แต่ชายหนุ่มใช้นิ้วของเขาปิดปากไม่ให้หญิงสาวได้พูดอะไรออกมาอีก เขาโน้มตัวลงมาประกบปากรูปกระจับกับเรียวปากอิ่มของอันตราอย่างนุ่มนวล และค่อยๆ ประคองจนหญิงสาวเอนลงนอนบนพื้นหญ้านั้นอย่างสงบ อันตรามิได้ขัดขืนแต่อย่างใด และโต้ตอบรสจูบนั้นอย่างนุ่มนวลเช่นกัน

                ในขณะที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี อยู่ๆ อันตราก็ชะงัก ทำหน้าตระหนกเล็กน้อยด้วยความละอายก่อนจะลุกขึ้นแล้วถอยกรูดหนีคีรินที่ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาจนแทบจะตกหน้าผา โชคดีที่คีรินคว้าร่างระหงนั้นไว้ทัน ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ร่วงลงไปเบื้องล่างนั้นคงมิใช่เพียงเศษหินเท่านั้น แต่คงเป็นร่างของอันตราเสียมากกว่า คีรินตกใจจนมือสั่น เขาแทบไม่อยากคิดเลยว่าหากเขาคว้าร่างนั้นไว้ไม่ทันแล้วอันตราจะมีสภาพเป็นเช่นไร เมื่อตั้งสติได้คีรินพาร่างหญิงสาวห่างออกมาจากริมผา แล้วประคองให้นั่งลงที่โขดหิน ก่อนจะนั่งลงคุกเข่าข้างๆ กายหญิงสาว

               
    “ข้าขอร้องให้เจ้าเป็นนางขวัญของข้า”

                คีรินพูดขณะคว้ามือของหญิงสาวมากุมไว้จนแน่น อันตราได้แต่ก้มหน้าครุ่นคิด ใจของนางว้าวุ่นมิอาจละความรู้สึกผิดที่มีต่อศิลาได้ ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ และเรื่องที่ศิลาจากไป แม้จะรู้ดีว่าเป็นความต้องการของพ่อนาย แต่อันตราก็ไม่สามารถมองข้ามความผิดจารีตนี้ไปได้ การมีคู่หมายก็เหมือนดังเป็นภรรยาของศิลาแล้ว แม้จะยังมิเคยร่วมเสพสมรัก แต่นางก็พร้อมยอมพลีเป็นสมบัติของศิลาตั้งแต่เสร็จพิธีการหมั้นหมายแล้ว การหมั้นหมายหรือแต่งงานกับคีริน จึงถือเป็นการมีคู่ครั้งที่สองอันเป็นการเหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองที่อันตราไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

               
    “ข้าทำไม่ได้ดอกคีริน ข้าเป็นของท่านพี่ศิลาแล้ว”

                หญิงสาวตอบเสียงแผ่วเบาหลังจากที่ได้ใคร่ครวญอย่างดีแล้ว

               
    “แต่ท่านพ่อก็เห็นชอบ”

                “ให้ข้ายังเหลือเกียรติและความภาคภูมิใจในตนเองเสียอย่างหนึ่งเถิดคีริน ข้าคงทนมีชีวิตต่อไปไม่ได้ หากเกียรติสุดท้ายของข้าต้องถูกทำลายลง”

                หญิงสาวตอบด้วยสายตาอ้อนวอน สายน้ำใสๆ ไหลเป็นทางอาบพวงแก้มนวลนั้นจนเปียกโชก

               
    “ข้ารักเจ้านะอันตรา จากนี้ไปข้าสัญญาว่าเจ้าจะได้รับเกียรติจากข้าเสมอไป”

                คีรินยังคงอ้อนวอน แต่ยังคงไร้ผล หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าไปมา

               
    “ประโยชน์อันใดที่จะกล่าวคำนั้นในเวลานี้ ข้ารอคำนั้นจากเจ้ามาเกือบตลอดชีวิต แต่เจ้ากลับเอ่ยคำนั้นในวันที่ข้ารับไว้ไม่ได้”

                อันตราหลับตานิ่งพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาด้วยเสียงเรียบ คีรินเริ่มท้อ คลายมือที่กุมไว้ไปหยิบมีดสั้นที่พกติดตัวมา กระชับด้ามมีดไว้แน่น ส่งปลายแหลมของมีดจ่อไว้ที่ลำคอของเขา

               
    “ถ้าเช่นนั้น สิ่งนี้คงทดแทนสิ่งที่ข้าเคยติดค้างเจ้าไว้ได้”

                คีรินกดแรงลงไปให้คมมีดบาดผิวขาวเนียนจนเลือดแดงฉานไหลซึมออกมาตามรอยแยก อันตราตระหนกกับการกระทำของคีรินจึงโผเข้าไปแย่งมีดสั้นทันที

               
    “อย่าคิดโง่ๆ นะคีริน เจ้าเป็นทายาทคนเดียวของท่านผาคำ จักทำตัวเยี่ยงนี้ได้เช่นไร”

                อันตราพร่ำเตือนสติทั้งๆ ที่น้ำตายังนองหน้า

               
    “เช่นนั้น เจ้าควรรับเป็นนางขวัญของข้า”

                คีรินลดมือที่ถือมีดสั้นลงทันทีที่เห็นว่าการขู่นี้ได้ผล

               
    “หากเช่นนั้นเจ้าส่งมีดนั่นมาก่อน”

                อันตรายังไม่คลายความระแวง ยื่นมือมารับมีดสั้นจากมือของคีรินที่กำลังอมยิ้มให้กับความสำเร็จของตนเอง

               
    “ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้ารับปาก”

                อันตราเอ่ยเสียงเศร้า

               
    “ข้ารับปากเจ้าได้ทุกอย่าง”

                คีรินยิ้มตอบ เพราะคิดว่ากล่อมอันตราได้สำเร็จแล้ว

               
    “เจ้าต้องปรับปรุงตัว ฝึกฝนการยุทธ์ การปกครอง เป็นทายาทที่ดีของพ่อนายต่อไป”

                อันตราพูดขณะกระชับมีดสั้นในมือ จ้องไปที่ตากลมโตนั้นอย่างวิงวอน

               
    “ข้ารับปาก และเจ้าจะได้เห็นสิ่งนั้น”

                คีรินตอบพลางดึงตัวของหญิงสาวมากอดหลังจากที่เห็นรอยยิ้มจางๆ จากความพอใจของอันตราแล้ว

                เมื่อคีรินคลายวงแขนออกแล้ว อันตราจึงขอให้เขาหลับตาลงเพราะมีบางอย่างจะมอบให้ คีรินหลับตาแต่โดยดี อันตราก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของคีรินก่อนจะยันกายลุกขึ้นเดินตรงไปยังหน้าผา ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาหลังจากได้รับจุมพิตไปเพียงครู่ หันไปตามเสียงเดินของอันตรา ก็เห็นร่างของระหงนั้นหยุดอยู่บริเวณที่ศิลาสิ้นลม มือที่สั่นเทาทั้งสองข้างยกมีดสั้นที่รับไปจากคีรินกดลงบนอกบริเวณเดียวกันกับหอกที่ทะลุผ่านร่างของศิลา มีดสั้นในมือของอันตราตัดขั้วหัวใจในฉับพลันโดยที่ชายหนุ่มไม่ทันตั้งตัว คีรินถลันไปรับร่างหญิงสาวที่กำลังจะล้มลงบนพื้น น้ำตาของเขานองหน้าอีกครั้ง

               
    “เหตุใดเจ้าทำเยี่ยงนี้”

                คีรินร่ำไห้ถามขณะประคองร่างหญิงสาวอย่างทะนุถนอม

               
    “เพื่อเกียรติของข้ากับท่านพี่ศิลา”

                อันตรารวบรวมลมหายใจสุดท้ายตอบคีรินอย่างแผ่วเบา ตาของหญิงสาวมิอาจฝืนเปิดขึ้นทานทนความเจ็บปวดของร่างกายได้อีกนานนัก แม้จะอยากเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาของคีรินเป็นครั้งสุดท้าย แต่แขนของหญิงสาวก็ยกขึ้นมาได้เพียงครึ่งทาง ก่อนจะร่วงลงพร้อมกับน้ำตาหยาดสุดท้ายที่ไหลออกมาจากดวงตาโศกสีสนิมนั้นอย่างสงบในอ้อมกอดของชายที่นางรักที่สุด

                 คีรินกอดร่างของอันตราร่ำไห้ปานจะขาดใจอยู่จนค่ำ เมื่อได้สติเขาจึงช้อนร่างนั้นขึ้นด้วยแขนทั้งสองอย่างทะนุถนอมเสียยิ่งกว่าตอนที่อันตรามีชีวิต แม้วิญญาณจะหลุดลอยไปแล้ว หากแต่เขายังสามารถสัมผัสไออุ่นแห่งรักจากนางได้ พวงแก้มใสถูกทำความสะอาดจากคราบน้ำตาไปแล้วและยังไม่ซีดจาง ดูเพียงผิวเผินคีรินยังเผลอคิดไปว่านางเพียงแค่อ่อนแรงและผล็อยหลับไปเท่านั้น แต่ลมหายใจที่เขาไม่สามารถสัมผัสจากนางได้และคราบดอกเลือดสีแดงฉานบนผ้าป่านสีขาวที่ปกคลุมร่างของอันตราอยู่เป็นเครื่องช่วยยืนยันว่านางได้จากเขาไปแล้วจริงๆ คีรินอดกลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจอุ้มร่างนั้นแล้วกลับเข้าสู่หมู่บ้านด้วยสีหน้าขึงขัง

                เมื่อมาถึงลานกลางหมู่บ้านคีรินวางร่างระหงที่ปราศจากวิญญาณนั้นลงบนโต๊ะที่ว่าง ขณะที่อุตราผู้เป็นพ่อวิ่งมาด้วยสีหน้าตระหนกกว่าทุกครั้งในชีวิต ผาคำและคนอื่นๆ ต่างเข้ามาล้อมวงรอบๆ โต๊ะด้วยความสงสัยและตกใจ ทันทีที่ทราบข่าวการจากไปของบุตรสาวอุตราทิ้งความทระนงเยี่ยงนักรบร่ำไห้ออกมาอย่างไม่เกรงจะเสียเกียรติ ทุกคนในเผ่าต่างเศร้าโศก และทำความเคารพอันตราผู้เป็นว่าที่นางขวัญที่ได้จากไปแล้วเป็นครั้งสุดท้าย

                จากความสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ผาคำสละตำแหน่งพ่อนาย และให้คีรินรับตำแหน่งต่อ คีรินที่สุขุมขึ้นแล้วรับหน้าที่เป็นพ่อนายอย่างไม่ขาดตกบกพร่องตามที่รับปากอันตราไว้ก่อนที่นางจะตัดสินใจจากเขาไป และสิ่งแรกที่เขาได้ทำคือจารึกความทรงจำแห่งการจากไปของคนที่เขารักที่สุดทั้งสองคน ณ ผาศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นที่ทั้งพี่ชายและหญิงคนรักได้จากไป ผาแห่งนั้นจะกลายเป็นเป็นผาอันศักดิ์สิทธิ์กว่าที่เคยเป็นมา ผาแห่งนั้นเป็นผาของ ศิลา และ อันตรา ผาแห่งนั้นจึงได้ชื่อจากคีรินว่า
    “ศิลันตรา” จากนี้และตลอดไป
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×