ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานศิลันตรา

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5 การศึก

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 50


    ตอนที่ 5 : การศ
     

                หลังมื้อค่ำของวันนี้เป็นเวลาเข้าหอของคีรินกับมารตี คีรินดื่มน้ำตาลหมักที่เหลือจากงานคืนก่อนจนเมามายพอควร เขาเดินสะเปะสะปะเข้าไปยังกระท่อมเรือนหอพบมารตีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แม้จะเมาเล็กน้อย แต่คีรินก็ยังคงครองสติได้อยู่ ชายหนุ่มประคองร่างเล็กๆ ของหญิงสาวเข้าไปยังเตียงนอน พิศดูใบหน้ารูปไข่ อย่างทะนุถนอม

                หากตาที่เรียวเล็กนั้นเป็นนัยน์ตาคมสีสนิมเล่าเขาจะมีซาบซึ้งเพียงใด หากผิวขาวอมชมพูนี้เป็นผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนเล่าเขาจะมีความสุขแค่ไหน เขาบรรจงจุมพิตลงไปบนหน้าผากเนียนเรียบนั้นอย่างแผ่วเบา ถอนเรียวปากมาพิศดูพวงแก้มสีชมพูนั้นก่อนจะก้มลงจุมพิตอีกครั้งพลางประคองร่างบางนั้นให้เอนลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม เขาบรรจงประทับเรียวปากของเขาอีกครั้งลงบนปากเรียวบางของมารตีขณะที่แผ่นอกกว้างของเขาเบียดแนบชิดกับอกอิ่มของหญิงสาว มือที่ว่างของเขาก็ลูบไล้ปลดพันธนาการอาภรณ์ของหญิงสาวจนแทบไม่เหลือ มือของมารตีก็เปลี่ยนจากยันอกของเขาเป็นก่ายกอดอย่างแนบแน่นในเกือบทันที

                หลังจากสัมผัสรสจูบจากหญิงสาวจนพอใจคีรินก็ถอนจุมพิตนั้นออกมาพลางจ้องใบหน้า หวังว่าจะเจอกับหน้าสวยคมของอันตรา แต่เมื่อพิศจนชัดเห็นเป็นหน้าสวยหวานของมารตีแล้วคีรินถึงกับชะงัก หยุดการกระทำนั้นอย่างไม่รู้ตัว คีรินปล่อยร่างของมารตีแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างหมดอารมณ์ ใช้มือทั้งสองลูบหน้าอย่างครุ่นคิด มารตีจึงยันกายลุกขึ้นมาแล้วประทับริมฝีปากบางของตนเองกับริมฝีปากรูปกระจับของคีรินเพื่อสานต่ออารมณ์ในทันที หญิงสาวผลักร่างให้ชายหนุ่มเอนลงอย่างง่ายดาย แล้วพรมจูบไปตามร่างกายของเขาพร้อมๆ กับเปลื้องอาภรณ์ที่สวมใส่ สานต่อกิจกรรมของทั้งสองให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ในที่สุด

                หลังจากเกิดเรื่องที่ริมลำธาร คีรินพยายามเข้าไปพูดคุยกับอันตราบ่อยๆ แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะพยายามหลบเลี่ยงเขาเสมอและพยายามเกาะติดอยู่กับศิลาตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวันพิธีหมายหมั้น พิธีจัดขึ้นอย่างง่ายๆ ไม่มีการจัดเลี้ยงเอิกเกริกเช่นพิธีแต่งงาน มีเพียงการประกาศระหว่างมื้ออาหารค่ำ และแลกเครื่องประดับต่อกัน ศิลามอบแหวนที่ทำจากหินแร่สีแดงให้กับอันตรา ส่วนอันตรามอบสร้อยหนังประดับจี้รูปพยัคฆ์ที่ทำจากเขี้ยวเสืออันเป็นสมบัติประจำตระกูลของอันตราจากรุ่นสู่รุ่น แต่เมื่ออุตรามีอันตราเป็นลูกสาวคนเดียว สมบัติชิ้นนี้จึงตกอยู่กับผู้เป็นเขย หลังเสร็จพิธีแลกของชาวเผ่าทุกคนต่างโห่ร้องแสดงความยินดี พร้อมกับร่วมดื่มน้ำตาลหมักเป็นการเฉลิมฉลอง

                หลังเสร็จสิ้นมื้อค่ำ ศิลาอาสาเดินไปส่งอันตราและอุตราที่บ้าน อันตราเดินไปเงียบๆ ระหว่างที่ชายทั้งสองต่างสนทนาทั้งสัพเพเหระและเรื่องงานแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในเดือนถัดไปจนกระทั่งถึงกระท่อม อุตราขอตัวเข้าไปก่อนเพื่อเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้ล่ำลากันตามลำพัง อันตราเพียงแต่ส่งยิ้มลาและเอ่ยราตรีสวัสดิ์ให้กับศิลาก่อนเขาจะหันหลังเดินกลับไปเท่านั้น

                ยังไม่ทันที่อุตราและอันตราจะนอนหลับสนิท ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงหนึ่งเคาะประตูกระท่อมเรียกเบาๆ แต่ด้วยสัญชาตญาณนักรบ ทำให้ทั้งคู่หูไวพอจะได้ยิน อุตรามีลางสังหรณ์ว่าเกิดเรื่องเร่งด่วนบางอย่างขึ้นแน่ๆ เพราะการเคาะเบาๆ นี้ย่อมไม่ต้องการให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องรับรู้ อุตรากระซิบกระซาบกับผู้มาเคาะประตูอยู่เพียงครู่ก็เข้ามาหยิบเสื้อตัวยาวพร้อมกำชับให้อันตราดูแลกระท่อมเป็นอย่างดี แล้วจึงเร่งร้อนเดินตามผู้ส่งข่าวตรงไปยังกระท่อมพ่อนายทันที

                แม้บิดาจะกำชับให้อยู่แต่ภายในบ้าน แต่อันตราก็อดเป็นห่วงไม่ได้ หญิงสาวออกมายืนชะเง้อรอที่หน้ากระท่อมหวังจะให้บิดากลับมาบอกเล่าเหตุด่วนนั้นโดยเร็ว อันตราสังเกตไปรอบๆ หมู่บ้าน เห็นเพียงบางบ้านเท่านั้นที่ยังคงจุดไฟรอผู้กลับมา แต่ละบ้านล้วนเป็นชาวเผ่าที่เป็นนักรบและนักตำราระดับสูงทั้งนั้น

                ขณะที่กังวลอยู่กับการกลับมาของบิดา อันตราไม่ทันสังเกตว่ามีร่างหนึ่งเดินเข้ามาทางด้านหลัง จึงถูกรวบตัวและใช้มือนุ่มนั้นอุดปากไม่ให้อันตราส่งเสียงร้องออกมาได้ ผู้จู่โจมลากตัวอันตราเข้าไปในกระท่อมก่อนจะทิ้งร่างระหงนั้นลงบนแคร่ที่ห้องนั่งเล่นพร้อมกับปิดกลอนประตู

                ทันทีที่เป็นอิสระ อันตราหันไปจ้องหน้าผู้มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ และพยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ หากแต่ต้องชะงักเมื่อพบว่าเจ้าของใบหน้างาม ตากลมโต ปากรูปกระจับ เป็นผู้จู่โจมในค่ำคืนนี้ เมื่อเห็นอันตราไม่พยายามส่งเสียงร้องและไม่ขัดขืน คีรินจึงลดตัวลงนั่งบนแคร่ข้างๆ อันตราที่กำลังตกตะลึง เขาก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากขอโทษด้วยเสียงอ้อมแอ้ม อันตราไม่กล่าวคำใดตอบ ได้แต่เดินไปเปิดประตู ผายมือเชื้อเชิญให้แขกผู้นี้ออกไปจากกระท่อม

               
    “ข้ารู้ว่าเจ้าอาจเกลียดข้าแล้ว แต่ข้าอยากคุยบางอย่างกับเจ้า”

                คีรินไม่ทำท่าว่าจะลุกขึ้นตามความต้องการของหญิงสาวเลย เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของเขาแล้ว อันตราจึงปิดประตูไว้เช่นเดิม และยืนรอบทสนทนาที่ตรงหน้าชายหนุ่ม คีรินเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนจะพูดคุยอะไรกับอันตรา เขาเพียงแต่อยากพบหน้า อยากเป็นเหมือนเช่นที่เคยมาเท่านั้น เขารู้แก่ใจดีว่าไม่มีประโยชน์อะไร รังแต่จะทำให้อันตราเกลียดเขามากขึ้นเท่านั้น แต่ก็มีบางสิ่งที่ยังคงค้างคาใจของเขาอยู่

               
    “ข้าอยากรู้ว่าเจ้ายังรักข้าอยู่บ้างรึไม่”

                ชายหนุ่มเค้นเสียงเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา เป็นผลให้หญิงสาวหน้าตาตระหนกเล็กน้อย อันตราถอนหายใจก่อนจะเงียบไปพักใหญ่ ตัวนางเองไม่คาดคิดเช่นกันว่าจะถูกถามเช่นนี้ หญิงสาวใช้ความคิดอยู่นานเพื่อคิดหาคำตอบที่เหมาะสม แต่ทว่ากลับไม่ได้คำตอบนั้นเลย

               
    เจ้าจะอยากรู้ไปใย ในเมื่อเจ้าก็ได้ครองคู่กับคนที่เจ้ารักแล้ว ข้าไม่มีหน้าที่ต้องตอบคำถามเจ้าอีกต่อไป

                อันตราเอ่ยตอบมาด้วยเสียงเรียบเฉย ก่อนจะหันหลังให้คีรินเพื่อซ่อนเร้นความปวดร้าวในใจที่จะแฝงออกมาทางแววตาที่กำลังเอ่อล้นด้วยน้ำตา

               
    “เจ้ากลับไปหาเมียเจ้าเสียเถอะ นางคงรอเจ้าอยู่อย่างกระวนกระวายแล้ว”

                อันตราพูดต่อทั้งที่ยังไม่หันกลับมามองหน้าคีริน ชายหนุ่มยันหายลุกขึ้น ยืนนิ่งมองแผ่นหลังของอันตราอย่างเสียดาย เขากำลังจะก้าวออกจากกระท่อมแต่เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ชายหนุ่มเดินเข้าไปรวบร่างนั้นจากด้านหลังแนบแน่น อันตราตระหนกมาก แต่ไม่ว่าจะพยายามขัดขืนเพียงใดก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากอ้อมอกของคีรินได้เลย

               
    “เจ้าทำอะไรน่ะคีริน บ้าไปแล้วรึ”

                อันตราได้แต่ต่อว่าด้วยน้ำเสียงตระหนก แต่ก็ไม่เป็นผล คีรินยิ่งกระชับวงแขนนั้นแน่นขึ้นอีกจนหญิงสาวแทบหายใจไม่ออก อันตราสัมผัสได้ถึงหยดน้ำใสๆ ที่ไหลรินลงมาที่ไหล่นวลเนียนนั้น คีรินหลั่งน้ำตาด้วยเหตุอันใด

               
    “เจ้าร้องไห้รึ”

                อันตราตกใจที่รับรู้ว่าคีรินผู้เย่อหยิ่งเงียบขรึมร้องไห้ออกมา หญิงสาวหยุดดิ้นรน แล้วจึงหันกลับมาพูดคุยกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น

               
    “มีเหตุอันใดทำให้เจ้าเสียใจถึงขนาดนี้รึ”

                อันตราเอ่ยถามพลางใช้มือทั้งสองข้างเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลลงมาเล็กน้อยจากตากลมโตคู่นั้น คีรินไม่ตอบอะไร ได้แต่ดึงร่างของอันตราเข้ามาแนบชิดดังว่าไม่อยากให้จากไปไหน อันตราใช้มือทั้งสองข้างลูบแผ่นหลังเขาไปมาเพื่อปลอบประโลมและรอคำพูดเพื่อระบายความอัดอั้นจากคีริน

               
    “ข้าไม่อยากเสียเจ้าไป”

                คีรินเอ่ยขึ้นหลังจากที่คลายวงแขน และสบตาหญิงสาว เขาใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเชยคางของอันตราก่อนจะบรรจงประทับรอยจูบที่นุ่มนวลกว่าคราวก่อน อันตราไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด หญิงสาวหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบนั้น แต่จิตสำนึกของนางก็ไม่ปล่อยให้ทำเช่นนี้นานนัก ทันทีที่รู้สึกได้ว่ามีแหวนหินแร่สีแดงวงหนึ่งสวมอยู่บนนิ้ว หญิงสาวก็ผลักอกของคีรินออกไป เม้มปากด้วยความสำนึกผิด ก้มหน้าและหลบตาด้วยความละอายใจ

               
    “เจ้ากลับไปเสียเถอะ”

                อันตราพูดทั้งๆ ที่ยังก้มหน้า คีรินยังคงไม่ยอมปล่อยร่างนั้น และพยายามรั้งแขนทั้งสองนั้นเข้ามาอีกครั้ง

               
    “ทำไมล่ะอันตรา ข้ารู้นะว่าเจ้ายังรักข้าอยู่”

                คีรินเอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน แต่หญิงสาวยังคงนิ่งเฉย เมื่อเห็นว่าไร้ผลคีรินจึงยอมจากไปโดยดี เมื่อลับร่างของชายหนุ่มแล้ว อันตราจึงทรุดตัวลงกับแคร่ร้องไห้ดังว่าจะยอมให้น้ำไหลออกมาจนกายแห้งเหือด

                หลังคีรินจากไปไม่นานอุตราก็กลับมาถึงกระท่อมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และแจ้งข่าวกับอันตราว่ามีเหตุการณ์เคลื่อนไหวของเผ่าฟาน ที่กำลังรุกรานเผ่าอื่นๆ ตั้งแต่เชิงดอย ตีขึ้นมาเรื่อยๆ และคาดว่าจะตีมาถึงอาณาเขตของเผ่าขุณณาในเร็ววันนี้ ที่สำคัญพิธีแต่งงานของอันตราอาจต้องถูกเลื่อนไปจนกว่าจะจัดการเรื่องเผ่าฟานได้จนเรียบร้อยแล้ว

                 เช้าวันรุ่งขึ้น ชายฉกรรจ์ในเผ่าต่างออกมาเตรียมตัวเพื่อการรบทั้งสิ้น บ้างซ้อมดาบ บ้างซ้อมหอก บ้างซ้อมธนู ส่วนพวกนักตำราต่างรวมตัวกันปรึกษายุทธวิธีการรบอยู่ภายในถ้ำพิธีร่วมกับผาคำและศิลา อันตราก็ถูกเรียกตัวเข้าไปหารือในถ้ำพิธีเช่นเดียวกัน แม้จะไม่อยากพบหน้าคีรินนักแต่หญิงสาวก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเป็นไปตามตำแหน่งและคำสั่งของหัวหน้าเผ่า การวางแผนยุทธวิธีแต่ละครั้งไม่สามารถขาดคีรินได้เลย เพราะเขาเป็นผู้ชำนาญการตำรายิ่งว่าใครในเผ่าทั้งสิ้น อันตราเองแม้ทั้งความรู้เรื่องตำราและยุทธวิธีการรบจะไม่เป็นรองใครในเผ่า แต่ก็ยังห่างชั้นกับคีรินมากนัก ส่วนเรื่องฝีมือการใช้อาวุธแม้จะเหนือชั้นกว่าคีรินหลายเท่าแต่ด้วยสรีระที่เป็นหญิงก็ย่อมเสียเปรียบผู้ชาย

                เมื่อรับทราบยุทธวิธีอย่างคร่าวๆ แล้ว อันตราก็กลับออกมาจากถ้ำ เพื่อสั่งการสั่งสมอาวุธที่จำเป็น หญิงสาวเข้าไปดูแลการตีดาบ และตระเตรียมลูกธนูด้วยตัวเอง ตลอดเวลาอันตราพยายามมองหามารตีผู้ที่นางรู้ดีว่าเป็นไส้ศึกแต่ก็หาไม่พบ ครั้นจะถามกับคีรินหญิงสาวเองก็ไม่อยากสู้หน้า เมื่อดูแลการตระเตรียมอาวุธจนพอใจแล้ว อันตราจึงเลี่ยงเดินไปทางกระท่อมของแม่เฒ่าอันนา เพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของมารตี เมื่อไปถึงก็ยังคงเห็นมารตีปรนนิบัติแม่เฒ่าอยู่ไม่ห่างกายทำให้อันตราโล่งใจที่ไม่เห็นมารตีเคลื่อนไหวอะไรตอนนี้

                ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ยังอดห่วงไม่ได้ เพราะคีรินเป็นผู้ครอบครองตำราการยุทธ์อันเป็นความรู้สืบทอดประจำเผ่าไว้มากมาย หากมารตีคัดลอกหรือจดจำการยุทธ์เหล่านั้นไปบอกแก่พวกของตน ก็อาจส่งผลให้ฝ่ายขุณณาเพลี่ยงพล้ำได้ ไหนจะเรื่องแผนผังหมู่บ้าน และทางเข้า รวมทั้งกับดักต่างๆ ก่อนเข้าหมู่บ้านอีก อันตราใคร่ครวญปัญหาในข้อนี้แล้ว จึงเรียกเฮยาซึ่งเป็นนักรบคนสนิทของอุตรามาสั่งการบางอย่างลับๆ

                คีรินหารือกับนักตำราและนักรบระดับสูงอย่างเคร่งเครียดจนค่ำ จึงได้กลับไปยังกระท่อม เขาเดินกลับมาอย่างเงียบๆ ไม่ได้ถือตะเกียงหรือคบไฟมาด้วย เมื่อกลับมาถึงกระท่อมเขาก็เห็นแสงวับวามจากตะเกียงภายในบ้านทำให้เขารู้ว่าภรรยาได้กลับมาจากปรนนิบัติแม่เฒ่าอันนาแล้ว ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ส่งเสียงเรียกแต่อย่างใด ชายหนุ่มเปิดประตูกระท่อมเข้าไปอย่างแผ่วเบาด้วยความเพลีย และตั้งใจจะเข้านอนทันที แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงกุกกักจากห้องเก็บตำราของเขา แม้จะเป็นสามีภรรยากันแล้วแต่คีรินก็ยังไม่วางใจมารตีมากพอจะให้เข้ามาในห้องตำราบ่อยนัก เขาจึงค่อยๆ เดินเลียบผนังจนเกือบถึงหน้าประตูห้อง เห็นมารตีพยายามค้นหาอะไรบางอย่างจากกองตำรา คีรินเริ่มสงสัยในพฤติกรรมของภรรยาแต่เขาสุขุมมากพอที่จะไม่ทำอะไรให้แตกตื่น คีรินเดินอย่างแผ่วเบากลับไปยังบริเวณประตูหน้ากระท่อม ก่อนจะส่งเสียงร้องเรียกมารตีแล้วพยายามเปิดประตูกุกกักอย่างจงใจให้มารตีรู้ตัว ผู้เป็นภรรยาวิ่งมาเปิดประตูต้อนรับสามีทันทีที่ได้ยินเสียงร้องเรียกโดยไม่แสดงพิรุธใดๆ เลย ส่วนคีรินเองก็ทำทีเป็นไม่รู้เห็น เขาต้องการความแน่ใจมากกว่านี้ มิฉะนั้นเขาเองที่จะต้องเป็นฝ่ายเสียใจ

                วันถัดมาคีรินแอบวางตำราการยุทธ์เล่มหนึ่งไว้ในที่เห็นได้ชัดและทำสัญลักษณ์เล็กๆ ไว้ว่าวางตำราเล่มนั้นไว้อย่างไร หากตำราเล่มนี้เคลื่อนไปแม้แต่นิดเขาจะรู้ได้ในทันที และแน่ใจได้อย่างแน่นอนว่าผู้ที่เขาเลือกเป็นภรรยาคือไส้ศึกที่คอยส่งข่าวให้พวกฟานรู้ความเคลื่อนไหวภายในเผ่า จนกล้าเหิมเกริมคิดตีหมู่บ้านของเผ่าขุณณาอีกครั้ง เขานึกย้อนไปแล้วเสียใจนักที่ไม่เชื่อคำเตือนของอันตรา และเสียใจยิ่งกว่าที่เขาปล่อยให้ความหลงใหลในตัวหญิงต่างเผ่าผู้นี้ทำให้เขาต้องเสียอันตราไป

                เมื่อกลับจากหารือการศึกที่ถ้ำพิธี คีรินรีบกลับมาสำรวจห้องตำราของเขา ตำราการยุทธ์เล่มนั้นถูกเคลื่อน น้ำหมึกสำหรับเขียนแผ่นหนังลดลงจำนวนหนึ่ง เขาแน่ใจแล้วว่ามารตี หญิงผู้นอนเคียงข้างเขาทุกคืนคือไส้ศึกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่สามารถตัดใจจัดการกับมารตีผู้นี้ได้ เขาต้องการที่ปรึกษา ในเวลาที่รู้สึกสับสน และวุ่นวายใจเช่นนี้ คนที่เคยอยู่เคียงข้างเขาเสมอคืออันตรา แต่ในเวลานี้แม้แต่ชื่อของเขานางยังไม่อยากจะได้ยินเสียด้วยซ้ำ คีรินคิดมากจนนอนไม่หลับ เมื่อเห็นว่ามารตีหลับสนิทดีแล้วเขาจึงลุกขึ้นจากเตียงอย่างแผ่วเบา และย่องออกไปยังต้นไทรที่ท้ายหมู่บ้านด้านทิศเหนือ มันเคยเป็นที่ของเขากับอันตรา ไม่ว่าจะทะเลาะกัน หารือกัน หรือระบายเรื่องไม่สบายใจต่อกัน ทั้งสองก็จะนัดกันที่นี่ แต่ในคืนนี้คีรินคงต้องไปนั่งขบคิดถึงวิธีการแก้ไขปัญหานี้เพียงลำพัง เมื่อไปถึงบริเวณต้นไทร เขาก็ต้องประหลาดใจ อันตรานั่งเหม่อมองท้องฟ้าและดวงดาวในคืนเดือนมืดเหมือนโชคช่วย เขาทั้งดีใจที่มีผู้ปรึกษา และดีใจที่ได้พบอันตรา หญิงสาวพยายามลุกขึ้นเดินหนีทันทีที่คีรินมาถึง แต่ชายหนุ่มก็ฉุดรั้งข้อมือไว้ได้ทันท่วงที

               
    “ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้า”

                อันตรากระซิบเสียงดุ เพราะเกรงชาวเผ่าคนอื่นจะได้ยิน

               
    “ข้ามีเรื่องสำคัญ เกี่ยวกับมารตี”

                คีรินใช้เสียงกระซิบตอบมาเช่นเดียวกัน

               
    “เรื่องเมียเจ้าไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

                หญิงสาวตอบพลางสะบัดข้อมือให้พ้นจากพันธนาการ แล้วทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม

               
    “มารตีเป็นไส้ศึก”

                คีรินกล่าวเสียงเรียบเฉยขณะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ อันตรา หญิงสาวแปลกใจที่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของคีริน และได้แต่หันมาสบตาอย่างไม่เชื่อหูตนเอง

               
    “เจ้าอาจไม่เชื่อ แต่ข้ามั่นใจว่ามารตีเป็นไส้ศึกให้พวกฟาน”

                คีรินทำสีหน้าผิดหวังและสำนึกผิดขณะที่กล่าวต่อ เขาทิ้งระยะเพียงครู่ก่อนจะหันไปสบตากับอันตราที่กำลังยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก เป็นยิ้มแรกจากอันตราที่เขาไม่ได้เห็นมานานแสนนานแล้ว

               
    “เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องตลกรึไง”

                คีรินถามด้วยน้ำเสียงขุ่น

               
    “เปล่าดอก ข้าดีใจที่ในที่สุดเจ้าก็รู้ความจริง”

                อันตราเผยยิ้มออกมาจนเห็นฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบนั้น เป็นยิ้มที่คีรินจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด เขาซาบซึ้งดีแล้วว่ารอยยิ้มของอันตรามีค่าเพียงใด

               
    “เจ้ารู้รึ”

                คีรินถามด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย

               
    “ข้าเคยเห็นนางพูดคุยและส่งม้วนกระดาษให้พวกฟานที่ชายป่าทิศใต้”

                อันตราอธิบายด้วยเสียงเรียบๆ

               
    “ข้าควรจักทำอย่างไรดี” คีรินเอ่ยถามน้ำเสียงวิตก

               
    “ไม่ต้องห่วงดอก ข้าสั่งให้คนปรับเปลี่ยนกับดักรอบๆ หมู่บ้านใหม่ทั้งหมดแล้ว ส่วนทางเข้าข้าก็ให้เฮยาและพรรคพวกช่วยกันเร่งทำทางลวงเพิ่มขึ้นอีก”

                อันตราบอกกล่าวแผนที่ตระเตรียมไว้แก่คีรินเพื่อให้เขาสบายใจขึ้น

               
    “แต่ตำราการยุทธ์ที่นางแอบคัดลอกส่งไปให้พวกฟาน ข้าไม่รู้ว่ามากโขสักเท่าใด”

                “เจ้าคิดหรือยังว่าจะจัดการกับนางเยี่ยงไร” อันตราเลิกคิ้วถาม

               
    “นี่ล่ะ สิ่งที่ข้าต้องการปรึกษากับเจ้า ข้าสับสน ข้าไม่รู้ว่าควรทำเยี่ยงไร”

                “ข้าจะบอกเจ้าแต่เพียงว่าคำตอบของเจ้าอาจอยู่ที่ต้นตะแบกอันเคยเป็นที่ของเจ้าก็ได้” พูดจบอันตราก็ยันกายลุกขึ้น แล้วเดินตรงไปยังกระท่อมทันที

                คีรินนั่งอยู่ลำพังใต้ต้นไทรนั้นเป็นนาน แม้จะวิตกกังวลเกี่ยวกับมารตีและงุนงงกับคำตอบของอันตรามากเพียงใด แต่ใจของเขากลับเบิกบานด้วยรอยยิ้มที่อันตรามอบให้ในคืนนี้ เขาได้น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นกลับคืนมาอีกครั้ง แม้จะดูห่างเหินกันไปบ้าง แต่มันก็ยังดีกว่าท่าทีเย็นชาและน้ำเสียงเรียบเฉยที่เขาได้รับมาตลอดหลายเดือนนี้ แม้จะยังคิดไม่ตกเรื่องมารตี แต่คีรินก็กลับไปพักผ่อนที่กระท่อมด้วยจิตใจที่แจ่มใสกว่าตอนที่เดินมายังต้นไทรแห่งนี้มากนัก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×