ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานศิลันตรา

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 ความรู้สึกในใจ

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 50


    ตอนที่ 4 : ความรู้สึกในใจ
     

                แทนที่อันตราจะตรงกลับไปยังกระท่อมตามที่บอกบิดาและศิลาไว้ กลับเดินเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถึงต้นไทรที่ท้ายหมู่บ้านด้านเหนือ หญิงสาวทิ้งตัวนั่งลงบนรากใหญ่ของต้นไทรที่โผล่พ้นดินมาเช่นเคย ใช้แขนทั้งสองข้างรวบกอดเข่า และวางคางกลมมนนั้นบนเข่าทั้งสองอย่างเชื่องช้า แม้ความเหน็ดเหนื่อยทางร่างกายจะทำให้เพลียมากเพียงใด แต่หญิงสาวก็ยังไม่อยากกลับบ้านนัก คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย พระจันทร์แจ่มกระจ่างกว่าคืนใดๆ จนทำให้แสงดวงดาวนั้นริบหรี่จนแทบมองไม่เห็น คงเช่นเดียวกับมารตีในใจของคีรินตอนนี้ที่สุกสว่างเหนือใครจนคีรินไม่สามารถมองใครได้อีกหรือเห็นว่ามีใครคนอื่นที่ยังรอส่องแสงให้คีรินเห็น อันตราหัวเราะให้กับตัวเองเบาๆ ที่ปล่อยให้ตนเองคิดถึงคีรินเช่นนี้อีกแล้ว นางคิดกับคีรินเช่นเดิมต่อไปไม่ได้อีกแล้ว คีรินมีภรรยาแล้ว และตัวอันตราเองก็เช่นกัน อีกไม่นานก็ต้องเป็นคู่หมายกับศิลา ต่อไปก็ต้องเป็นภรรยาของศิลาเช่นกัน

               
    “แอบมานั่งดีใจตรงนี้อยู่คนเดียวล่ะสิ”

                เสียงทุ้มแต่ทว่าแข็งกระด้างค่อนขอดมาจากอีกด้านหนึ่งของต้นไทร ทำให้หญิงสาวตกใจเล็กน้อย คลายวงแขนนั้นออกจากเข่าพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ โดยไม่โต้ตอบใดๆ ทั้งสิ้น เจ้าของเสียงนั้นเดินอ้อมต้นไทรมายืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาว แต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดตอบโต้ไปนอกจากความนิ่งเฉย

               
    “คงดีใจมากสินะ ที่จะได้เป็นนางขวัญของเผ่า”

                เสียงเดิมยังคงค่อนขอดต่อไปหมายจะให้หญิงสาวโต้ตอบอะไรกลับมาบ้าง อันตราถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแล้วใช้ตาโศกสีสนิมจ้องไปยังตากลมโตที่รับกับคิ้วเข้มนั้นแทนคำตอบ ก่อนจะขยับกายเดินออกไป

               
    “เดี๋ยว”

                คีรินร้องเบาๆ พลางใช้มือรั้งแขนอันตราก่อนที่จะเดินจากไป แม้จะชะงักฝีเท้าแต่หญิงสาวก็ไม่ได้หันกลับมาแต่อย่างใด

               
    “เจ้าตอบข้าก่อนสิ ว่าเจ้าดีใจมากใช่รึไม่”

                คีรินลดความแข็งกร้าวของน้ำเสียงลง แต่ก็ยังคงไร้ผล อันตราไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากเลย หญิงสาวพยายามสะบัดให้มือของคีรินออกไปจากแขน แต่แทนที่มือนั้นจะหลุดออกไปกลับกระชับแน่นขึ้นจนอันตรารู้สึกเจ็บ คีรินใช้มือดึงแขนอีกข้างหนึ่งของอันตราให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา เพื่อค้นหาคำตอบให้ได้

               
    “ว่ายังไงล่ะ เจ้าดีใจมากใช่รึไม่ที่จะได้เป็นเมียท่านพี่ศิลา”

                สายตาของคีรินแข็งกร้าวอย่างที่อันตราไม่เคยเห็น อันตรายังคงไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับมา ได้แต่เบี่ยงหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาของชายหนุ่ม การถูกขัดใจด้วยความเงียบอย่างที่ไม่เคยโดนมาก่อน ทำให้อารมณ์ของคีรินพลุ่งพล่าน ให้นางด่าว่าอย่างเช่นแต่ก่อน คีรินคงรู้สึกดีกว่าให้นาง
    เงียบเช่นนี้ เขาใช้มือทั้งสองเขย่าตัวอันตราถามคำถามเดิมซ้ำไปมาด้วยเสียงที่ดังและกร้าวขึ้น

               
    “เจ้าบอกข้ามาสิ”

                “ใช่”

                หญิงสาวเอ่ยตอบออกมาเป็นครั้งแรก พร้อมกับสะบัดแขนทั้งสองข้างของคีรินออกจากตัว และสาวเท้าก้าวอย่างรวดเร็วออกมาจากบริเวณนั้น ทิ้งให้คีรินตะลึงงันกับคำตอบถึงกับปล่อยให้ร่างตนเองทรุดลงกองกับพื้น คีรินหัวเราะให้กับตนเองเบาๆ ก่อนจะดึงเชือกฝ้ายสำหรับพิธีมงคลนั้นออกจากศีรษะ ใจที่ร้อนรุ่มขณะนี้ทำให้เขาเริ่มไม่เข้าใจตนเองว่าเหตุใดจึงต้องไม่พอใจกับท่าทีของอันตราในคืนนี้

               
    “ข้าเป็นอะไรไป ข้าเป็นอะไรไปกันแน่”

                คีรินรำพึงพลางเหม่อมองไปยังลูกไฟสีนวลกลมโต ดังว่าต้องการให้พระจันทร์นั้นเป็นผู้ตอบคำถามนี้แก่เขา แต่ใครล่ะจะตอบมันได้ดีกว่าตัวเขา

                มือเรียวยาวขาวนวลของมารตีกำลังชโลมน้ำมันหอมประพรมไปทั้งร่างและเส้นผม ขณะจ้องมองภาพสะท้อนของตนเองที่หน้าคันฉ่อง ก่อนเข้านอนที่กระท่อมของแม่เฒ่าอันนา ในที่สุดเวลาที่มารตีรอคอยก็มาถึง แม้จะยังไม่ได้เข้าหอ แต่หญิงสาวยิ้มให้กับตนเองได้ที่แผนการได้ลุล่วงไปแล้วอีกขั้นตอนหนึ่ง การต้องเสียสละตัวเองในฐานะลูกสาวคนโตของหัวหน้าเผ่าฟานนับว่าคุ้มค่า การต้องเป็นภรรยาของคีรินซึ่งแม้จะเป็นเพียงลูกชายคนเล็กของหัวหน้าเผ่าขุณณาก็ทำให้นางมีโอกาสได้เข้าไปล้วงความลับให้เผ่าของนางได้ แต่นางก็ไม่คาดคิดว่าอันตราจะล่วงรู้แผนการของนาง และถึงกับยอมแต่งงานกับศิลาเพื่อเป็นนางขวัญ ผู้มีสิทธิอำนาจโดยชอบธรรมที่จะจำกัดขอบเขตความรับรู้เรื่องราวภายในของเผ่า กระนั้นมารตีก็ยังไม่ถอดใจ การถูกเลี้ยงดูให้มีจิตใจเข้มแข็ง ทำให้นางตัดใจจากอามาคนรักของนางเพื่อกระทำภารกิจนี้ไม่ยากนัก ถึงกระนั้นแม้คีรินจะรูปงามและเอาใจสารพัดแต่ก็ไม่สามารถทำให้มารตีมีความรู้สึกรักเขาได้อย่างแท้จริงได้เลย หญิงสาวรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงความลุ่มหลงของชายหนุ่ม และพอดูออกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้คืนนี้ได้ไม่ยากนัก อย่างไรเสียพิธีแต่งงานระหว่างนางกับคีรินก็เสร็จสิ้นไปแล้ว แผนการของนางไม่มีทางผิดพลาดเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นมารตีจึงเตรียมตัวเข้านอน รอเวลาเข้าหอในคืนวันถัดไปอย่างใจจดใจจ่อ

                หลังจากพิธีแต่งงาน มารตียังไม่สามารถออกจากกระท่อมของแม่เฒ่าอันนาได้จนกว่าจะถึงเวลาส่งตัวเข้าหอซึ่งเป็นกระท่อมสร้างใหม่ ระหว่างวันคีรินจึงยังไม่สามารถพบมารตีได้เลย ชายหนุ่มเองรู้สึกแปลกใจตนเองอยู่ไม่น้อยที่แทบจะไม่นึกถึงมารตีเลย เขาใช้เวลาเกือบครึ่งวันเพื่อเดินตามหาอันตราอย่างเงียบๆ ในหมู่บ้าน จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของทั้งหญิงสาวและศิลาเลย คีรินจึงถอดใจแล้วหอบตำราเดินไปยังชายป่าด้านใต้ เขาเดินไปหยุดตรงต้นตะแบกใกล้ลำธารที่ซึ่งเคยเป็นที่ประจำของเขาก่อนจะมีมารตีเข้ามาในชีวิต

                แม้ตำราที่อยู่ในมือจะเปิดค้างตอนที่คีรินชอบอ่านที่สุด ทว่าตากลมโตของชายหนุ่มกลับเหม่อลอย ใจก็คิดถึงไปแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน เขารู้ดีมาตลอดว่าอันตรามีใจต่อเขาเช่นไร หญิงสาวทำดีกับเขามาโดยตลอดตั้งแต่เด็กจนโต เขาเองต้องยอมรับว่ามีความผูกพันกับอันตรามากเสียยิ่งกว่าศิลาพี่ชายของเขาเองเสียอีก แต่ถึงกระนั้นเขากลับรู้สึกขัดใจทุกครั้งที่อันตราพยายามเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเขาแม้จะด้วยความหวังดีก็ตาม เขาคิดอยู่เสมอว่านั่นเป็นเพราะหญิงสาวสงสารเขาที่ไม่เคยมีแม่ ผู้เป็นมารดาของคีรินจากไปในวันที่เขาลืมตาขึ้นมาดูโลก ถึงเขาจะไม่เคยรู้จักแม่ของตนเองแต่ก็ระลึกอยู่เสมอว่าเขามีแม่เพียงคนเดียว การที่อันตราพยายามเข้ามาดูแลเอาใจใส่ทำหน้าที่แทนแม่ของเขาจึงทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

                ตั้งแต่มารตีเข้ามาในอยู่ในหมู่บ้านเขารู้สึกได้ว่าอันตราห่างเหินไปจากเขาเช่นกัน เขาพยายามเรียกร้องความสนใจต่างๆ นาๆ ในแบบของเขามากขึ้น แต่อันตรากลับมีความพยายามกับเขาน้อยลง ซ้ำยังสนิทสนมกับศิลามากขึ้นอีกด้วย เขาเคยมั่นใจมาตลอดว่าอันตรารักเขานักหนาจนกระทั่งคืนหนึ่งคืนนั้นที่เขาเริ่มไม่มั่นใจ

                หลังจากที่พามารตีเข้าหมู่บ้าน เขารู้แน่ว่าอันตราย่อมไม่พอใจที่ทำผิดกฎของเผ่า และพยายามไปพูดปรับความเข้าใจกับหญิงสาว เขารอพบอันตราที่เข้าไปพบกับผาคำตามคำสั่งแต่ก็ยังคงไม่มีโอกาส หลังจากออกมาจากกระท่อมพ่อนายแล้วอันตราก็ตรงไปยังศิลาและสวมกอดกันอย่างแนบแน่นจนเขาเองทนดูอยู่ไม่ได้เช่นกัน จึงใช้ความมืดเป็นเครื่องกำบังและหลบกลับไปยังกระท่อมด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

                ความไม่พอใจจากเหตุการณ์คืนนั้นทำให้คีรินเริ่มไม่มั่นใจในความรักที่อันตรามีต่อเขามากขึ้น เขาพยายามเอาใจใส่มารตีมากขึ้นเพื่อกระตุ้นนิสัยต้องการเอาชนะของอันตราให้ลุกขึ้นมาสู้ และใส่ใจเขามากขึ้น แต่ทว่ากลับไร้ผล อันตราพร่ำบ่นเขาน้อยลงเรื่อยๆ จะมีก็แต่เรื่องสำคัญ หรือเรื่องที่ชาวเผ่าร้องเรียนมาเกี่ยวกับมารตีเท่านั้นที่อันตราจะนำมาพูดกับเขา ไม่มีสักครั้งเลยที่อันตราจะทะเลาะเรื่องมารตีกับเขาเพราะความหึงหวง และระยะหลังๆ เขายังสังเกตได้ว่าอันตราแทบไม่มีรอยยิ้มให้เขาเลย ผิดกับเวลาที่อันตราอยู่กับศิลาจะมีแต่รอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะอย่างร่าเริง จนกระทั่งครั้งที่ทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนทำให้อันตราเงียบแล้วเดินหนีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในวันนั้น เขาหวังว่าหญิงสาวจะกลับมาง้อเขาแต่เวลาผ่านไปนานจนเขาตัดสินใจเข้าไปพบกับผู้เป็นบิดาเรื่องแต่งงานกับมารตีโดยไม่ทันคิด

                เขาเร่งเร้าบิดาให้เจรจาเรื่องแต่งงานกับมารตีโดยปดว่าหมั้นหมายกันมาได้ครึ่งเดือนแล้ว และต้องการแต่งงานโดยเร็วที่สุด ผาคำนั้นไม่ใคร่จะขัดใจคีรินนักเพราะคิดว่าตนเองไม่สามารถให้ความรักกับลูกชายคนเล็กได้เพียงพอโดยปราศจากภรรยาที่จากไป จึงยอมตามใจทุกอย่าง ถึงจะไม่เห็นด้วยนักแต่ผาคำก็ไปเจรจากับแม่เฒ่าอันนาทันที

                เมื่อนึกย้อนเรื่องราวมาถึงตอนนี้ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าเขาเองต่างหากที่ไม่ยอมรับความรู้สึกของตนเองมาแต่ต้น เขาเองต่างหากที่ขาดอันตราไม่ได้ ทันทีที่เขารู้ว่าอันตรารับการหมั้นหมายกับศิลา เขาจึงตะลึงและไม่สามารถฝืนยินดีกับพี่ชายได้เลยแม้แต่นิด ทันทีที่ผู้เป็นพ่อประกาศการหมั้นหมายของอันตรากับศิลาจึงทำให้เขาร้อนรนจนต้องตามไปคุยกับอันตราให้รู้เรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา

                เมื่อคิดได้เช่นนั้น ตากลมโตของคีรินก็กลับแดงระเรื่อพร้อมกับประกายใสๆ อย่างอดไม่ได้ เขาส่ายหน้าให้กับตนเอง เรื่องที่เกิดขึ้นคงเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว คืนนี้เขาต้องเข้าหอกับมารตี และในอีกหนึ่งสัปดาห์อันตราต้องกลายเป็นคู่หมายของศิลา

               
    “มันสายไปแล้วสินะ”

                คีรินพูดกับตัวเองเบาๆ แต่ก็ปล่อยให้ตนเองเศร้าโศกได้ไม่นานก็เห็นร่างสูงโปร่งผิวสีน้ำผึ้งเดินเลาะเลียบลำธารมาจากทางต้นน้ำ เป็นอันตรานั่นเอง เขารู้สึกดีใจนักที่พบหญิงสาวที่นี่ อันตราไม่ทันสังเกตเห็นคีริน จึงเดินเหม่อลอยจนกระทั่งใกล้บริเวณต้นตะแบก คีรินลุกขึ้นเดินตรงไปประชิดตัวหญิงสาวโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว

               
    “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ใยไม่อยู่กับท่านพี่ศิลา”

                แม้จะดีใจเพียงใด แต่คีรินกลับใช้คำพูดค่อนขอดหญิงสาวอย่างตั้งใจ อันตราไม่ตอบพยายามเบี่ยงตัวเดินกลับไปยังหมู่บ้าน แต่คีรินก็ใช้มือรั้งแขนของหญิงสาวไว้ทัน อันตราใช้ตาคมสีสนิมนั้นหันกลับมาจ้องมองคีรินอย่างเอาเรื่อง และพยายามขัดขืนให้ปล่อยตนเอง แต่ทว่าไร้ผล    คีรินใช้มือทั้งสองรวบร่างของหญิงสาวดึงเข้ามาจนชิดร่างเขาด้วยแรงที่มากพอจะทำให้นางเจ็บ

               
    “รังเกียจข้ามากนักรึ”

                คีรินใช้เสียงกร้าวด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน

               
    “ใช่”

               
    “ดี”

                ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงที่เค้นออกมาอย่างยากเย็น แล้วใช้เรียวปากรูปกระจับของเขาพยายามบดลงไปยังริมฝีปากอวบอิ่มที่เพิ่งจะกล่าวคำพูดทำร้ายจิตใจเขาเมื่อสักครู่นี้หมายจะขยี้ให้แหลกลาญจนไม่สามารถกล่าวคำเช่นนั้นได้อีก อันตราตกใจกับการกระทำของคีรินแต่ก็พยายามขัดขืน หญิงสาวดิ้นรนจนพ้นจากอ้อมอกของคีรินได้ จึงใช้มือข้างที่ถนัดฟาดลงไปเต็มแรงที่แก้มข้างหนึ่งของคีรินแล้ววิ่งหนีหายไปในหมู่บ้าน

                เมื่อรู้สึกตัวว่าสิ่งทำลงไปนั้นเลวร้ายเพียงใด คีรินได้แต่ใช้มือขึ้นมาลูบแก้มที่เป็นริ้วแดงนั้นอย่างอ่อนแรง เขาทรุดลงนั่งข้างๆ ลำธารนั้น แล้วทิ้งตัวลงนอนจ้องไปยังเบื้องบน หัวเราะให้กับตัวเองทั้งๆ ที่มีน้ำใสๆ ปริ่มที่นัยน์ตาทั้งสองข้าง

               
    เจ้าเกลียดข้าแล้วสินะอันตรา’ เขารำพึงเบาๆ กับตัวเอง
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×