ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หยิ่งจริง ๆ ! แต่ปิ๊งนายแล้วสิ

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 ชายผู้ไม่หวั่นไหว

    • อัปเดตล่าสุด 7 ธ.ค. 50


    #2 ชายผู้ไม่ไหวหวั่น
     

                นายจอมหยิ่งของฉัน ทำท่าลังเลอยู่ได้ไม่เกินสิบวินาทีก็ตัดสินใจตะโกนตอบฉันออกมาด้วยความมั่นอกมั่นใจ

               
    “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวคงมีรถคันใหม่” ให้ตายสิ เขาปฏิเสธฉันอีกจนได้ ฉันล่ะโมโหควันออกหูเลยทีเดียว ตัวเองจะไปไม่ทันนัดอยู่รอมร่อยังจะหยิ่งอีก ด้วยอารมณ์อะไรก็ไม่ทราบ ฉันหันไปบอกคนขับแท็กซี่ทันที

               
    “พี่คะ รอเดี๋ยวนะคะ” พูดกับคนขับรถเสร็จฉันก็ก้าวฉับๆ ตรงรี่ไปยังนายจอมหยิ่งนั่น แล้วคว้ากล่องใส่แปลนทรงกระบอกของเขาถือไปที่รถ เขาได้แต่ทำสีหน้าตะลึง เพราะคงคิดไม่ถึงว่าฉันจะกล้าทำกับเขาถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ เขาจำเป็นต้องวิ่งตามของของเขาไปที่รถแท็กซี่ ฉันก็รู้ว่ามันออกจะดูบ้าบิ่นไปหน่อยที่ทำแบบนี้ แต่ทำอย่างไรได้ล่ะ ฉันแอบได้ยินว่าเขาเลื่อนนัดเป็นหกโมงเย็น แล้วนี่ก็อีกเพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น จะรอรถแท็กซี่คันต่อไปก็คงไปไม่ทันนัดแน่ๆ

               
    “นี่ คุณ ทำอะไรน่ะ” เขาโวยวายขณะวิ่งตามกล่องใส่แปลนของเขาไปที่รถแท็กซี่คันนั้น ฉันไม่ตอบสักคำ ได้แต่ผลักเขาเข้าในนั่งในรถ คนขับรถแท็กซี่มีสีหน้างงงวยเล็กน้อย แต่ก็คงไม่กล้าถามอะไรมาก ได้แต่นั่งนิ่งๆ รอฟังจุดหมายปลายทางต่อไป

               
    “ไปเซ็นทรัลปิ่นเกล้าค่ะ” ฉันแจ้งที่หมายทันทีที่เข้ามานั่งข้างๆ นายจอมหยิ่งนั่น ในเวลาปกติจากสนามหลวง ถึงเซ็นทรัลปิ่นเกล้าใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที แต่ในช่วงเวลาเลิกงานเช่นนี้ 20 นาทีออกจะไม่พอเสียด้วยซ้ำ เผลอๆ ก็ครึ่งชั่วโมง ขืนฉันปล่อยให้นายหยิ่งนั่นรอรถคันต่อไปอีก หากไม่ถูกไล่ออกจากงาน ก็คงถูกตำหนิมากกว่านี้

                ตลอดทางนายหยิ่งก็ยังคงไม่พูดไม่จากับฉัน ฉันเองก็ไม่หวังว่าจะได้พูดคุยอะไรกับเขาหรอกนะ แต่ก็แอบสังเกตว่าเขาลอบหันมามองฉันหลายครั้งทีเดียว กว่าจะถึงที่หมายฉันนับคร่าวๆ แล้วเขาหันมามองฉันมากกว่าสิบครั้งเชียว เมื่อใกล้ถึงหน้าห้าง ฉันจึงออกปากถามครั้งแรก

               
    “คุณจะไปที่ไหน ที่บอกว่าแถวๆ เซ็นทรัลปิ่นเกล้าน่ะ จะได้ให้พี่เขาไปส่งถูกที่” ฉันไม่กล้าใช้เสียงหวานหรือส่งยิ้มกับเขาอีกแล้ว

               
    “ก็ที่เซ็นทรัลนั่นล่ะครับ” เขาตอบเสียงเนือยๆ ทำให้ฉันเดาไม่ออกว่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่

               
    “ถ้างั้นก็ดีแล้วค่ะ ฉันก็ลงที่นั่น” เมื่อฉันพูดจบรถก็มาถึงลานจอดรถแท็กซี่หน้าห้างพอดี ฉันจึงค้นกระเป๋าถือเพื่อหาเงินค่าโดยสารมาจ่ายคนขับรถ แต่เพราะความไร้ระเบียบของฉัน ฉันจึงหากระเป๋าสตางค์ไม่เจอสักที

               
    “ไม่ต้องหรอกคุณ ผมจ่ายแล้ว” เขาพูดหลังจากจ่ายเงินให้คนขับรถ แล้วเปิดประตูเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ฉันเดินตามเขาไปติดๆ เพราะหวังจะจ่ายค่ารถคืนให้เขาสักครึ่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ เมื่อเกือบถึงประตูห้าง เขาหยุดเดิน แล้วหันมาพูดกับฉัน

               
    “คุณเก็บไว้เถอะครับ ขอบคุณที่มีน้ำใจกับผมนะครับ ผมขอตัวก่อน” เขารัวคำพูดโดยที่ฉันยังไม่ทันจะโต้ตอบสักคำ อะไรกันนะนี่ผู้ชายคนนี้ วันนี้ช่างมีเรื่องหงุดหงิดสำหรับฉันมากเสียจริง

                ก่อนที่จะอารมณ์เสียเพราะนายจอมหยิ่งที่ฉันไม่รู้จักชื่อไปมากกว่านี้ ฉันก็ต้องรีบเดินเข้าห้างไปยังที่นัดหมายกับยัยเพื่อนๆ ตัวแสบของฉันเสียก่อน เพราะมีคดีต้องสะสาง

                เมื่อไปถึงร้านอาหารร้านหนึ่งในห้างนั้น ก๊วนแสบของฉันนั่งล้อมวงทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยกันอยู่แล้ว เมื่อเห็นฉันเดินเข้าไป พวกนั้นก็โบกมือทักทาย แสดงตนให้รู้ว่าอยู่ตรงไหน หากเป็นวันอื่นฉันคงปลื้มใจที่เพื่อนๆ ต่างยินดีกับการมาถึงของฉันเสียขนาดนี้ แต่วันนี้มันต่างออกไป

               
    “ยัยไอซ์ มาแล้วเหรอยะ” ยัยส้มเปรี้ยวตัวดีตะโกนถามเสียลั่นร้าน ฉันไม่แปลกใจหรอก เพราะไม่ว่าไปที่ไหนๆ ยัยเพื่อนคนนี้ก็แผดเสียงแปดหลอด ประกาศศักดาให้ใครๆ รู้ทั้งนั้นว่าหล่อนมาถึงที่นั่นแล้ว

               
    “เออสิ แสบนักนะยัยเปรี้ยว หลอกให้ฉันไปที่รังสิต แล้วนัดเพื่อนๆ มาที่ปิ่นเกล้า” ฉันบ่นกระปอดกระแปดพลางหาที่นั่งที่ว่างสำหรับฉัน

               
    “แหม แก เพื่อนล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นโกรธไปได้” ยัยมะนาว สุดแสบอีกคนในก๊วนออกหน้าปกป้องยัยส้มเปรี้ยวทันที

               
    “พวกแกก็เล่นแรงไป รู้ก็รู้ว่ามันนั่งรถเมล์ไม่ค่อยได้ ยังจะแกล้งไม่ให้มันขับรถมาเองอีก” น้ำหวาน เพื่อนที่แสนดีที่สุดเอ่ยทัดทาน

               
    “อ้าว ไม่มีใครบังคับให้มันนั่งรถเมล์เลยนะหวาน รถแท็กซี่ก็มีทำไมไม่นั่งล่ะ ช่วยไม่ได้นี่นา ดันงกเองนี่” ส้มเปรี้ยวพูดพลางหัวเราะลั่นร้าน

               
    “ใช่แล้วหวาน ให้มันรู้จักทำอะไรลำบากๆ บ้างเหอะ ปล่อยมันเป็นคุณหนูมานานแล้ว” ยัยมะนาวยังคงเข้าข้างยัยส้มเปรี้ยวต่อ ฉันขี้เกียจฟังเพื่อนๆ เถียงกัน จึงตัดบท

               
    “เออ ช่างเหอะ ฉันหิวแล้ว ถ้าแกไม่สั่งอะไรให้ฉันกิน ฉันจะกินขาพวกแกแล้วนะ” ฉันพูดพลางหัวเราะ ทำให้ทุกคนพลอยหัวเราะไปกับฉันด้วย

                ฉันและเพื่อนต่างทำงานกันหมดแล้ว เพราะแต่ละคนอายุก็ปากว่ายี่สิบห้าปีกันทั้งนั้นแล้ว แต่ยังไม่มีใครสักคนมีวี่แววว่าจะแต่งงาน ยัยส้มเปรี้ยวนั้นเปรี้ยวสมชื่อ คบผู้ชายไม่ซ้ำหน้าในแต่ละเดือน จึงไม่มีทีท่าว่าจะลงเอยกับใครง่ายๆ เพราะหล่อนประกาศแล้วว่าชาตินี้จะไม่ยอมไปเป็นทาสในเรือนเบี้ยของผู้ชายคนไหนแน่ๆ ส่วนยัยมะนาวก็ห้าวเสียจนใครไม่กล้าจีบ โผงผางโวยวาย อาจเพราะมีอาชีพเป็นนักข่าวจึงไม่เคยกลัวเกรงอะไรเท่าไรนัก และมั่นใจในตัวเองสูงมากเกินขีดจำกัด จะดูดีหน่อยก็คือน้ำหวาน เพื่อนผู้แสนหวานและแสนดีของฉัน น้ำหวานมีคนรักแล้ว และคบหากันมาตั้งแต่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย แต่ก็ยังไม่เคยคุยกันถึงเรื่องแต่งงานแต่งการเสียที เพราะต่างห่วงงานด้วยกันทั้งคู่ ส่วนฉัน เฮ้อ ไม่อยากจะบอกเลย ว่าเพิ่งอกหักมาได้ปีกว่าแล้วล่ะ เอาเป็นว่าฉันไม่พูดถึงมันก็แล้วกัน

                หลังจากทานอาหารเสียจนอิ่มแปล้แล้ว เราทั้งสี่ก็เดินเล่นในห้าง ดูข้าวของราคาแพงต่างๆ ที่แสดงอยู่ แต่ไม่ซื้อหรอกนะ ฉันยอมควักเงินหลายพันบาทเพื่อเสื้อผ้าชิ้นเดียวไม่ลง จะมีก็แต่ยัยส้มเปรี้ยวเท่านั้นล่ะ ที่ทุนหนา และช้อปปิ้งสบายมือ เพราะมีพ่อเป็นเจ้าของโรงงานอาหารกระป๋องส่งออก พวกเราที่เหลือก็ไม่ใคร่จะอยากใส่ของแพงกันนัก เพราะเห็นว่าใช้ไปก็ใช่ว่าจะเหาะได้นี่นา

                เราวางแผนกันว่าจะเดินไปรอบๆ ห้างจนกว่าห้างจะปิด อาศัยมองของสวยงามเป็นอาหารว่าง เมื่อผ่านร้านกาแฟร้านหนึ่งในห้างฉันก็ต้องสะดุดตา นั่นมันนายหยิ่งที่ฉันเจอบนรถเมล์นี่นา ฉันชะงัก และหยุดดูให้แน่ใจว่าใช่เขาแน่ๆ จนเพื่อนๆ ต่างแปลกใจ เพราะฉันมักจะเป็นคนเดินนำหน้าเพื่อนๆ เสมอ

               
    “ไอซ์ แกเป็นไรเนี่ย หยุดทำไม” มะนาวถามอย่างหงุดหงิด เพราะฉันหยุดกะทันหัน ทำให้คุณเธอเดินชนฉันเสียค่อนข้างแรง

               
    “เออ เปล่า ไม่มีไร” ฉันตอบส่งๆ ไป แต่สายตายังคงจ้องมองเข้าไปในร้านกาแฟนั้น

               
    “เฮ้ย แกมองผู้ชายนี่นา” ยัยส้มเปรี้ยวตาไว มองตามสายตาฉันไปเจอนายหยิ่งนั่นพอดี

               
    “แหม รสนิยมดีเหมือนกันนี่แก น่ารักนะเว้ย แกรู้จักหรือเปล่า” ยัยส้มเปรี้ยวกระเซ้าต่อ

               
    “ไม่หรอก” ฉันตอบพลางเดินต่อไปข้างหน้า แต่ยัยส้มเปรี้ยวกลับดึงแขนฉันไว้

               
    “เดี๋ยวสิแก เพื่อนๆ อยากดื่มกาแฟสักหน่อย จริงไหมพวกแก” ส้มเปรี้ยวพูดเองเออเอง พลางลากฉันเข้าไปในร้านกาแฟ

               
    “อะไร แกไม่ชอบกาแฟนี่” ฉันโวยวาย แต่ก็ไม่กล้าเสียงดัง เพราะในร้านมีลูกค้าอยู่มากมาย และฉันก็ไม่ชอบทำตัวเด่นเหมือนยัยส้มเปรี้ยวเสียด้วยสิ

               
    “แต่วันนี้ บรรยากาศในร้านดีนี่ ฉันเลยอยากกินกาแฟ” ยัยส้มเปรี้ยวยื่นหน้ามาบอกทันทีที่บังคับฉันนั่งลงบนโซฟาในร้านใกล้ๆ กับโต๊ะที่นายจอมหยิ่งนั่งอยู่พอดี

                ไม่รู้ว่าฉันควรจะดีใจดีหรือเปล่า ที่นายหยิ่งนั่นไม่สังเกตว่าฉันเดินเข้ามาในร้าน ส่วนฉันก็แอบมองเขาอยู่เป็นระยะๆ ดูสีหน้าเขาเคร่งเครียด เพราะกำลังนำเสนอแบบแปลนกับลูกค้าล่ะมั้ง มะนาวกับส้มเปรี้ยวเป็นคนเดินไปสั่งกาแฟ ปล่อยให้ฉันกับน้ำหวานนั่งอยู่ที่โต๊ะกันสองคน น้ำหวานเองก็คงสังเกตว่าฉันหันไปมองนายหยิ่งนั่นบ่อยๆ และทำให้เธอสงสัยไม่น้อย

               
    “ไอซ์ รู้จักเขาหรอจ๊ะ” น้ำหวานกระซิบถามแผ่วเบาที่สุด

               
    “คือ ก็ไม่เชิงหรอกหวาน เจอบนรถเมล์น่ะ” ฉันยื่นหน้าข้ามโต๊ะไปกระซิบตอบน้ำหวาน เพราะเกรงว่านายหยิ่งนั่นจะได้ยิน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลัวนายนั่นได้ยินไปทำไมกัน น้ำหวานได้แต่พยักหน้ารับรู้ แล้วก็ไม่ถามอะไรต่อ จนกระทั่งยัยส้มเปรี้ยวกับยัยมะนาวเดินกลับมาที่โต๊ะ พร้อมแก้วกาแฟคนละสองแก้วสำหรับเราทั้งสี่คน

                เมื่อกลับมานั่งที่โต๊ะ ยัยส้มเปรี้ยวก็พยายามส่งสายตาให้กับนายหยิ่งตลอดเวลา แต่เขาก็มุ่งอยู่กับงานเสียจนไม่ได้สนใจคนรอบๆ ข้าง ฉันเผลอหัวเราะออกมาที่ยัยส้มเปรี้ยวทำท่าทางหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ เพราะโดยปกติยัยส้มเปรี้ยวจะไม่เคยพลาดเรื่องผู้ชายง่ายๆ เลยสักครั้ง ฉันเริ่มรู้สึกว่ายัยส้มเปรี้ยวจะเอาจริงเอาจังมากขึ้น ถึงขนาดลงทุนนั่งรอให้เขาเจรจางานให้เสร็จ ซึ่งกินเวลาเกือบชั่วโมงทีเดียว

                เมื่อชายวัยกลางคน ท่าทางภูมิฐานซึ่งฉันเดาว่าน่าจะเป็นลูกค้าของเขาเดินออกไปจากร้านกาแฟ ฉันลอบสังเกตว่าเขาแอบถอนหายใจเบาๆ อย่างเช่นที่ทำบนรถเมล์ บรรจงพับแขนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าของเขาอีกครั้ง แล้วหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ ขณะที่สายตายังคงจ้องอยู่บนจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คนั้น ฉันไม่รู้ว่าฉันนั่งมองเขานานแค่ไหน แต่รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อยัยส้มเปรี้ยวลุกขึ้นจากโต๊ะของเราแล้วเดินไปที่โต๊ะที่นายหยิ่งนั่นนั่งอยู่คนเดียว

               
    “ขอโทษค่ะ ฉันนั่งด้วยคนได้ไหมคะ” ยัยส้มเปรี้ยวใช้ประโยคเดิมเพื่อเริ่มบทสนทนากับผู้ชายอีกแล้ว ฉันทำหน้าไม่ถูก เพราะทันทีที่ยัยส้มเปรี้ยวเข้าไปทัก เขาก็เงยหน้ามาพบกับฉันพอดี ให้ตายสิ อย่างนี้เขาก็รู้หมดว่าฉันนั่งมองหน้าเขามาตั้งนานแล้ว

               
    “เชิญครับ ผมก็กำลังจะกลับพอดีครับ” นายหยิ่งพูดพลางปิดคอมพิวเตอร์ และจัดแจงเก็บของ ฉันสังเกตว่าหนังสือหนาๆ สามเล่มนั้นหายไปแล้ว ชายวัยกลางคนคนเมื่อกี้คงนำกลับไปแล้ว เพราะฉันเห็นเขาถือกระเป๋าเอกสารเดินออกไปด้วย

               
    “เดี๋ยวสิคะ ฉันชื่อส้มเปรี้ยวค่ะ คุณชื่ออะไรคะ” ยัยส้มเปรี้ยวใช้สายตายั่วยวนสุดฤทธิ์เพื่อเรียกร้องความสนใจจากนายหยิ่งนั่น

               
    “ผม เมธาครับ” เขาตอบออกมา พร้อมกับหยิบสมบัติและลุกขึ้นยืน

               
    “อ้าว คุณเมธาจะกลับแล้วจริงๆ หรือคะ” ยัยส้มเปรี้ยวตกใจมาก เพราะไม่เคยมีประวัติว่าถูกผู้ชายผละหนีทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จัก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ชายที่ไม่หวั่นไหวกับยัยส้มเปรี้ยวสักนิด

               
    “ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมขอตัวก่อน” นายหยิ่ง หรือนายเมธา พูดจบก็เดินออกไปทันทีโดยไม่มีทีท่าจะสนใจยัยส้มเปรี้ยวของฉันเลย ฉันมองตามเขาไปจนกระทั่งเขาออกไปนอกร้านก็เห็นเขามองมาที่ฉัน สบสายตากันอย่างจัง พลันใบหน้าของฉันร้อนวูบวาบ และแดงระเรื่อขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×