ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานศิลันตรา

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 เผ่าฟาน

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 50


    ตอนที่ 2 : เผ่าฟาน
     

                หลังจากเสร็จสิ้นอาหารมื้อค่ำ อันตราปล่อยให้ผู้เป็นบิดากลับที่พักไปก่อน หญิงสาวออกมาเดินเล่น ณ บริเวณต้นไทรด้านเหนือของหมู่บ้านอันเป็นที่ประจำที่นางต้องมาเวลามีเรื่องต้องคิดเสมอ อันตราเลือกนั่งบนรากใหญ่ของต้นไทรที่โผล่มาจากพื้นดิน พลางเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า คืนนี้ไม่ใช่คืนเดือนหงาย แต่แสงจันทร์ก็ไม่มืดมิดไปเสียทีเดียว ยังเห็นดาวขึ้นมากระพริบอวดแสงอยู่ประปรายรอบๆ พระจันทร์เสี้ยวที่ส่องแสงนวลตา

               
    “อันตราอยู่ที่นี่เอง”

                เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูยังแว่วมาแต่ไกล ทำให้อันตราขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหันไปมองพลางยิ้มเจื่อนๆ ต้อนรับผู้มาเยือน

               
    “ท่านพี่ศิลา”

               
    “มาดูดาวรึ”

                ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ พลางทิ้งร่างกำยำนั้นลงนั่งที่พื้นข้างๆ อันตรา ชันเข่าทั้งสองขึ้นมา และส่งสายตาเหม่อมองไปที่ดวงจันทร์ หญิงสาวใช้เพียงความเงียบแทนคำตอบ และหันไปจ้องมองท้องฟ้าที่แสนรักนั้นต่อ

                ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบเป็นดนตรีขับกล่อมยามค่ำคืนอยู่ได้เพียงครู่ จนกระทั่งเสียงทุ้มนั้นเอ่ยขึ้นมาอย่างครุ่นคิดและใคร่ครวญดีแล้ว

               
    “ท่านพ่อต้องการให้เราเป็นคู่หมายกัน”

                ศิลาเปรยลอยๆ ด้วยน้ำเสียงเครือเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น

               
    “ข้าก็จะตอบเช่นทุกครั้ง”

                หญิงสาวเอ่ยตอบทั้งๆ ที่ยังไม่ละสายตาจากผืนกำมะหยี่สีดำนั้น

               
    “พี่ก็บอกท่านพ่อแล้ว คืนนี้ท่านพ่อจึงอยากคุยกับเจ้าด้วยตัวเอง”

                ชายหนุ่มละสายตาจากดวงจันทร์และดวงดาว หันมามองดวงหน้าของหญิงสาวเพื่อค้นหาคำตอบ อันตราได้แต่นิ่งเงียบ สายตายังคงเหม่อลอยไปยังจุดเดิม หญิงสาวครุ่นคิดเพียงครู่จึงหลับตาพลางถอนสายใจอย่างอ่อนแรง และยันกายลุกขึ้น ศิลาจึงดีดตัวขึ้นยืนตาม ทั้งสองยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไทรอีกเพียงครู่ อันตราจึงหันมาพยักหน้าเล็กน้อยให้ศิลา ก่อนจะก้าวเดินตรงไปยังกระท่อมพ่อนาย

               
    “มาแล้วรึ”

                เสียงแหบพร่าร้องทักขึ้นเบาๆ ทันทีที่เห็นร่างของอันตราและศิลาเดินเข้ามายังกระท่อม เขาผายมือกร้านนั้นไปยังแคร่ที่ปูด้วยหนังสัตว์อย่างดี พลางทิ้งตัวนั่งลงบนฟูกด้านตรงข้าม หญิงสาวนั่งลงช้าๆ มือเรียวทั้งสองถูกประสานอยู่บนตักทันทีที่ลงนั่ง สายตาหลุบต่ำและแฝงแววกังวล เมื่อส่งอันตราถึงที่แล้ว ศิลาจึงเดินเลี่ยงไปยังลานกลางหมู่บ้านเพื่อให้ผู้เป็นบิดาสนทนาอย่างเป็นส่วนตัวกับอันตรา

               
    “ศิลาคงบอกเจ้าแล้วว่าข้าอยากคุยกับเจ้าเรื่องอะไร”

                ผาคำเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิม

               
    “เจ้าค่ะ”

                อันตรายังคงก้มหน้าในขณะที่ตอบคำถาม

                “ข้าเองก็ไม่ได้อยากบังคับเจ้าตอนนี้ดอกนะ แต่ก็ไม่เห็นใครเหมาะสมไปกว่าเจ้า ศิลาเองก็มีใจต่อเจ้า”

                น้ำเสียงของผาคำยิ่งแสดงความเอ็นดูมากกว่าเดิม แม้จะเป็นผู้ใหญ่กว่า ซ้ำยังมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าเผ่า แต่เขาก็เต็มใจที่จะใช้น้ำเสียงขอร้องเช่นนี้กับอันตรา

                “เจ้าค่ะ”

                หญิงสาวยังคงตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย

                “เอาล่ะ เจ้ายังไม่ต้องตอบข้าตอนนี้ดอก ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกหนึ่งปี วันนี้ของอีกหนึ่งปีข้างหน้า หากเจ้ายังไม่เปลี่ยนใจ ข้าก็จะมองหาหญิงอื่นในเผ่า”

                “เจ้าค่ะ”

                ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบกินเวลาผ่านไป อันตราไม่มีทีท่าจะอธิบาย หรือตอบโต้อะไรนอกไปจากคำว่า เจ้าค่ะ เลย ผาคำจึงอ่อนใจ และอนุญาตให้หญิงสาวกลับไปพักผ่อนด้วยความผิดหวัง เขาเองไม่เคยยอมล้มเหลวกับอะไรง่ายๆ แต่ดูท่าทีแล้วเขาอาจจะต้องยอมแพ้กับอันตราเสียเป็นคราวแรก

                หลังจากทำความเคารพหัวหน้าเผ่าตามธรรมเนียมแล้ว อันตราก็เดินกลับไปยังกระท่อมของตน และจำเป็นต้องผ่านลานกลางหมู่บ้านซึ่งศิลาดักรออยู่แล้ว เขาไม่คาดหวังว่าหญิงสาวจะตอบรับการหมั้นหมายครั้งนี้ เพราะเขาถูกปฏิเสธมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แม้อันตราจะไม่เคยเอ่ยเหตุผลที่ปฏิเสธการหมั้นหมายกับเขา แต่ศิลาก็รู้อยู่เสมอมาว่าอะไรคือเหตุผลนั้น

               
    “อันตรา”

                ศิลาเอ่ยเรียกทันทีที่เห็นหญิงสาวเดินมาถึงลานกลางหมู่บ้าน แม้แสงไฟจากคบเพลิงจะสลัว แต่เขาก็สังเกตเห็นยิ้มแห้งนั้นอย่างชัดเจน วันนี้อันตราไม่สดใสอย่างเช่นที่เขาเคยเห็นเลย เขาสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ตั้งแต่พบกันตอนบ่ายที่ท้ายหมู่บ้านทิศเหนือ จนกระทั่งมื้อค่ำที่หญิงสาวกินได้น้อยเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เนื้อกวางเป็นอาหารสุดโปรดของนาง

               
    “เจ้าไม่สบายใจอะไรก็บอกพี่ได้นะ”

                ศิลาเอ่ยเสนอตัวด้วยน้ำเสียงขรึมและท่าทางสุขุม

               
    “ไม่มีอะไรดอกเจ้าค่ะ ข้าแค่ไม่สบายนิดหน่อย”

                อันตราตอบทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดเดิน ศิลาจึงต้องเดินตามไปคุยด้วย

               
    “เจ้าปิดพี่ไม่ได้ดอก เจ้าคงไม่สบายใจเรื่องหญิงสาวที่เจ้าคีรินพามา”

                แม้จะพยายามหักห้ามความรู้สึก แต่ศิลาก็ซ่อนเร้นน้ำเสียงที่แสนเศร้าปนน้อยใจของเขาเองไม่ได้ อันตราไม่ตอบ เพียงแต่ชะงักฝีเท้าลงชั่วครู่ ก่อนจะหันมาสบตากับศิลา แม้จะเก่งเพียงใด เข้มแข็งเพียงไหน แต่เวลาเช่นนี้อันตราต้องการเพียงใครสักคนที่จะเข้าใจ ดวงตาสีสนิมนั้นเอ่อล้นด้วยน้ำใสๆ แม้จะมีเพียงแสงจันทร์และแสงคบเพลิง แต่ศิลาก็เห็นเงาแวววาวที่สะท้อนแสงระยิบนั้นได้ดี เขายื่นอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้นดึงอันตราเข้ามาซบที่ไหล่เพื่อบอกแก่หญิงอันเป็นที่รักว่าเขายินดีเป็นที่พึ่งพิงยามเศร้าใจของนางได้เสมอ

               
    ร้องเถอะอันตรา เวลานี้จะไม่มีใครเห็นเจ้าร่ำไห้นอกจากพี่ ร้องเถอะหากมันจะทำให้เจ้าในวันพรุ่งนี้เข้มแข็งกว่าเจ้าในวันนี้ได้

                เขาพูดพลางกระชับวงแขนนั้นให้แน่นเข้ามาอีกเพียงเล็กน้อย และใช้มือข้างหนึ่งลูบผมนุ่มสลวยนั้นเบาๆ ด้วยความห่วงใย

                อันตราปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร ดึกดื่นเช่นนี้ไม่มีชาวเผ่าคนใดตื่นมาได้ยินนางร้องไห้อีกแล้ว แม้หญิงสาวจะไม่เคยคิดรักศิลาเช่นคนรักได้เลยสักครั้ง หากแต่เขากลับเป็นคนคนเดียวที่หญิงสาวไว้ใจที่สุด หญิงสาวซบไหล่กว้างผึ่งผายนั้นร้องไห้อยู่เป็นนานอย่างไม่อาย เพราะคิดว่าทุกคนคงพักผ่อนกันหมดแล้ว แต่ถึงกระนั้นความเป็นไปในคืนนี้ตั้งแต่ที่กระท่อมพ่อนายจนกระทั่งเหตุการณ์ที่ลานกลางหมู่บ้านกลับอยู่ในสายตาของผู้แฝงอยู่ในเงาตะคุ่มที่พุ่มไม้ในบริเวณใกล้เคียงนั้นโดยตลอด
     
                เวลาผ่านไปหลายเดือนหลังจากที่คีรินพามารตีมาอยู่ที่หมู่บ้าน ตั้งแต่นั้นมาไม่มีวันใดเลยที่ชายหนุ่มจะไม่แวะเวียนไปเยี่ยมแม่เฒ่าอันนา ซึ่งแน่นอนว่ามีมารตีอยู่เคียงข้างเสมอ ยิ่งนานวันอันตรายิ่งรู้สึกได้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่าคีรินหลงใหลหญิงเชิงดอยผู้นี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น สายตาลุ่มหลงที่ปรากฏทุกครั้งเวลาเห็นเวลาที่เขาได้พบมารตียิ่งทำให้อันตราเจ็บช้ำเป็นทวีคูณเมื่อคีรินทำตัวห่างเหินและส่งสายตาที่เย็นชายิ่งกว่าเดิมมาให้ตนเอง ไม่ว่ามารตีจะทำอะไรก็ดูน่าเอ็นดูและดีเลิศไปเสียทุกอย่างสำหรับคีริน และไม่ว่าอันตราจะทำอะไรก็ดูจะขัดหูขัดตาเขาไปเสียทุกอย่างเช่นกัน

                แม้หลายเดือนที่ผ่านมาอันตรายังไม่เคยเห็นว่ามารตีทำเรื่องอะไรผิดปกติอย่างที่กังวลไว้แต่แรก แต่หญิงสาวก็อดวิตกไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรมารตีก็เป็นหญิงสาวจากดอยต่ำ เป็นหญิงสาวจากนอกเผ่า และอาจจะเป็นได้ว่านางเป็นคนจากเผ่าฟาน แม้ในช่วงสองถึงสามปีมานี้พวกฟานจะไม่ได้มารุกรานเผ่าขุณณาเลยก็ตาม นั่นก็เป็นเพราะชนเผ่าขุณณามีกำลังและยุทธวิธีที่กล้าแข็งกว่า เกิดการสู้รบกันครั้งใด เผ่าฟานก็พ่ายแพ้กลับไปทุกครั้ง แต่ทุกครั้งที่คิดว่ามารตีเป็นไส้ศึกจากเผ่าฟานอันตราก็ต้องหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น เพราะคิดไปเองว่าตนเองคงอิจฉาที่คีรินให้ความสนใจกับหญิงสาวแปลกหน้านี้มากเกินไป ถึงกระนั้นอันตราก็ไม่เคยละเลยการเฝ้าสังเกตมารตีเลยสักครั้ง

                สิ่งที่ทำให้อันตรารู้สึกแย่มากที่สุดตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่สงสัยว่ามารตีจะเป็นไส้ศึก หากแต่เป็นเพราะคีรินอารมณ์ร้ายใส่นางมากขึ้นทุกวัน และเอาใจใส่มารตีมากขึ้นเท่าๆ กับที่เขาร้ายกับอันตรา วันนี้ก็เช่นกัน หญิงสาวมีปากเสียงกับคีรินเช่นทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนๆ ต้นเหตุมาจากมารตีนั่นเอง

                แม้มารตีจะไม่เคยทำเรื่องเดือดร้อนอย่างร้ายแรงถึงคนในเผ่า หากแต่นับวันหญิงสาวรูปร่างหน้าตาอ้อนแอ้นอรชรคนนี้ยิ่งทำตัวไม่สมกับรูปลักษณ์อันงามนั้นแม้แต่น้อย เมื่อใดที่คีรินและแม่เฒ่าอันนาไม่อยู่ มารตีก็ทำตัวเกียจคร้านใช้อำนาจอภิสิทธิ์ในฐานะคนโปรดของลูกชายคนเล็กของหัวหน้าเผ่าเพื่อบังคับให้ชาวเผ่าคนอื่นทำงานแทน แต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปาก เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนโปรดของคีริน ชาวเผ่าต่างเอือมระอาในพฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอกของมารตี แต่ก็ทำได้เพียงระบายให้อันตราฟังเท่านั้น เพราะเกรงว่าหากหัวหน้าเผ่าหรือศิลารู้เข้าคีรินจะได้รับโทษจากการกระทำของมารตีแทน

                อันตราพยายามเตือนให้คีรินรู้ถึงความไม่พอใจของชาวเผ่า หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมานอกจากคีรินจะไม่รับฟังแล้ว ยังต่อว่าอันตราว่าใส่ร้ายมารตีด้วยความอิจฉาจึงเกิดมีปากเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนอันตราเดินหนีออกมาเอง

                หญิงสาวเดินลงมาที่ลำธารชายป่าทิศใต้ของหมู่บ้าน อันที่จริงที่ตรงนี้เคยเป็นที่ประจำของคีริน แต่มันก็ไม่ได้รับความสนใจอีกเลยหลังจากที่มีมารตีมาอยู่ที่หมู่บ้านด้วย อันตราจึงกลับมายึดที่แห่งนี้เป็นที่สงบสติอารมณ์เวลาทะเลาะกับคีรินแทน หญิงสาวต้องการที่เงียบสงบเช่นนี้เพื่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย อันตราเลือกที่จะปีนขึ้นไปอยู่บนต้นตะแบกที่มีใบปกครึ้มหนานั้นแทนจะนั่งใต้ร่มไม้ เพราะบริเวณนี้มีสัตว์ร้ายเพ่นพ่านอยู่มากนัก

                ขณะทอดอารมณ์ผ่อนคลายจากความเครียดที่ต้องทะเลาะกับคีรินเมื่อครู่ใหญ่ๆ อันตราก็สังเกตเห็นร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากชายป่า เดินผ่านข้ามลำธารไม่ไกลจากต้นไม้ที่อันตราปีนขึ้นไปนอนเอกเขนก ร่างบางนั้นวิ่งอย่างแผ่วเบาและคล่องแคล่ว ตาเรียวเล็กคู่นั้นก็หันไปมาเพื่อดูว่ามีใครอยู่แถวนี้บ้าง แม้จะอยู่ไม่ใกล้นัก แต่อันตราก็จำใบหน้าหวานสวยที่ทำให้คีรินหลงใหลนั้นได้ดี หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครบริเวณนั้นมารตีก็ใช้ปากเป่าเพื่อส่งสัญญาณบางอย่างก่อนที่จะมีชายฉกรรจ์ในชุดหนังสัตว์สั้น พร้อมอาวุธที่มีทั้งหอกและดาบประมาณสี่ห้าคนโผล่มาจากป่าอีกด้านหนึ่งของลำธาร แม้จะไม่เคยคลุกคลีกับชนเผ่าฟานมากนัก แต่อันตราก็จำอาภรณ์แบบนี้ได้ดีตั้งแต่การรบครั้งล่าสุด หญิงสาวมั่นใจว่าชายกลุ่มนี้เป็นพวกฟานแน่นอน

               
    มารตีเป็นพวกฟานจริงๆรึนี่

             
    อันตรารำพึงกับตัวเองแต่ก็ยังไม่ละสายตาจากเหตุการณ์

                ชายหนุ่มในชุดประจำเผ่าฟานต่างลดตัวลงนั่งในท่าชันเข่าขึ้นมาหนึ่งข้างเพื่อทำความเคารพและวางอาวุธประจำกายไว้ข้างตัวต่อหน้ามารตี แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่มารตีพูดคุยกับชายฉกรรจ์เหล่านี้ แต่ถึงกระนั้นอันตราก็ดูออกว่ามารตีมีฐานะสูงกว่าชายเหล่านั้นเป็นแน่ ขณะนี้ใจของอันตราเต้นระรัวที่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับมารตีในที่สุด แต่ในเวลาเดียวกันก็ยิ่งกังวลมากขึ้นอีก หญิงสาวมั่นใจว่าคีรินจะไม่มีวันเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอันขาดเพราะเขาหลงใหลหญิงสาวผู้นี้เสียจนไม่สนใจอะไรอีกแม้กระทั่งตำราที่เขาเคยรักเสียยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นหากนำเรื่องนี้ไปปรึกษาศิลาหรือผาคำ ก็จะนำความเดือดร้อนมาให้คีรินเป็นแน่

                หลังจากสนทนากันอยู่เพียงครู่ อันตราก็สังเกตเห็นมารตียื่นม้วนกระดาษส่งให้กับชายฉกรรจ์พวกนั้น ก่อนที่พวกเขาจะทำความเคารพมารตีและเดินหายเข้าไปในป่า ส่วนมารตีก็เดินหันหลังกลับไปยังหมู่บ้าน อันตรารอให้มารตีหายกลับเข้าไปในหมู่บ้านก่อนจึงปีนลงจากต้นไม้ และเดินตรงไปยังกระท่อมของแม่เฒ่าอันนา
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×