ตอนที่ 7 : MY ONLY 1 | 03 : จดหมายสื่อรัก [1] [2]
03 : Solicitous
กลางดึกของคืนหนึ่ง
ตอนนี้ก็เป็นเวลาสองชั่วโมงได้แล้วที่ณภัทรใช้เวลาอยู่กับการอ่านหนังสือและตำราต่างๆ มากมายบนโต๊ะเขียนหนังสือของตนเองในห้องนอน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์ที่เขาซื้อมาอ่านศึกษาเอาไว้ในตอนปฏิบัติจริง ซึ่งพวกนี้อาจารย์หมอก็เป็นผู้แนะนำมาอีกที
ร่างสูงพักสายตาจากการอ่านและตั้งใจจะยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย และทันใดนั้นเองก็มีสายโทรเข้ามาพอดี
:: คุณชัชเชนทร์::
อ่า..ผู้อุปถัมภ์ของเขานั่นเอง
“ครับ สวัสดีครับ”
[เป็นยังไงบ้างนะ]
“หมายถึงผมหรือลูกสาวคุณล่ะครับ” ณภัทรไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าคำว่าเป็นยังไงบ้างนั่นหมายถึงใครกันแน่
[ก็ทั้งคู่ เจ้าจันทร์ไม่ได้แกล้งอะไรนะใช่ไหม]
เขาหลุดยิ้มเล็กน้อย
“ไม่หรอกครับ เธอก็ปกติ”
[ก็แสดงว่ายังพอรับมือได้ล่ะสิ] ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ นั่นจึงทำให้ณภัทรรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
อันที่จริงคุณเขาไม่ใช่คนดุอะไรนักหรอก ออกจะเป็นคนอารมณ์ดีเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยความเขาเป็นหนึ่งในผู้มีพระคุณก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเกร็งอยู่ทุกครั้ง
“ผมไม่เข้าใจว่าคุณให้เจ้าจันทร์มาอยู่ที่นี่ทำไม ทั้งที่เธอไม่ค่อยชอบผม”
[ก็เพราะแบบนั้นไง ฉันเลยอยากให้คุยกันดีๆ ฉันเลี้ยงลูกสาวคนนี้มาก็ไม่ค่อยเห็นไปอารมณ์ร้ายใส่ใครเลยยกเว้นนายนั่นแหละ น่าสงสัยจริง]
“ครับ ผมคงดูไม่ดีในสายตาของเขาน่ะ” นึกไปแล้วก็น่าเศร้าใจไม่น้อย
[ฉันเชื่อว่านะเป็นเด็กดีและดูแลเจ้าจันทร์ได้ ยังไงถ้ามีโอกาสก็ลองคุยปรับความเข้าใจกันดูล่ะ]
“อ่า...” ชายหนุ่มรู้สึกแปลกๆ ที่ได้ยินอะไรแบบนี้
[เฮ้ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมยกลูกสาวให้นะ ฉันรู้ว่านะคิดยังไงกับเจ้าจันทร์]
ณภัทรแอบสะดุ้งตกใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าเขาจะไม่เนียนถึงขั้นโดนจับได้ แล้วนี่ยังเป็นผู้อุปถัมภ์พ่วงตำแหน่งพ่อของเจ้าจันทร์อีกต่างหาก เรื่องนี้เขาอุตส่าห์เก็บไว้กับตัวเองมาตลอดหลายปีแม้กระทั่งคนใกล้ชิดก็ไม่เคยบอกสักคน แล้วนี่โดนจับได้ตอนไหนกัน
“ค..คือว่า ผม เอ่อ”
[ไม่ต้องตกใจหรอก ฉันดูออกนานแล้ว เอาเป็นว่าฉันไว้ใจนาย เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ฉันโอนให้สิ้นเดือนตามเคยนะ]
“ขอบคุณครับ คุณใจดีกับผมและแม่มากจริงๆ”
[ฉันก็ให้แค่คนที่สมควรได้รับ ถ้าอย่างนั้นฉันไม่รบกวนแล้ว แค่นี้ล่ะ]
หลังจากนั้นสายก็ถูกวางไป ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมาราวกับว่าได้หายใจอย่างเต็มปอดมากขึ้น เป็นโชคดีของเขาที่ไม่โดนต่อว่าอะไรหลังจากที่ถูกผู้อุปถัมภ์จับได้ว่าแอบรักลูกสาวของเขา แถมยังแสดงท่าทีว่าไว้ใจเขาเกินร้อยขนาดนี้อีกด้วย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องนั้นดังขึ้นก่อนจะปรากฏตัวของหญิงสาวคนหนึ่งที่เปิดประตูเข้ามา เจ้าจันทร์อยู่ในชุดนอนเป็นกระโปรงยาวคลุมเข่าบนหัวของเจ้าตัวยังมีโรลม้วนผมอยู่สองสามอัน เธอจ้องมองมายังชายหนุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะหนังสือแล้วทำทีเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่โดนขัดเสียก่อน
“นี่คุณเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาอีกแล้วนะ”
“อะไรกัน ฉันก็เคาะแล้วไง” เธอเถียง
“เคาะแล้วก็ต้องรอเจ้าของห้องเดินไปเปิดสิ”
“เยอะจริง” เจ้าจันทร์บ่นอุบอิบก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “พอดีเมื่อเช้าตอนเข้ามาฉันแอบเห็นหนังสือในตู้หนังสือของนายว่าเยอะดีน่ะ เลยอยากมาขอดูว่ามีอะไรบ้าง”
“ปกติก็เป็นหนังสือใช้เรียน แต่ก็พอมีไว้อ่านเล่นบ้าง คุณอยากดูอะไรก็ดูสิ” เขาอนุญาตและปล่อยให้เธอเดินเข้ามาในห้อง
เจ้าจันทร์เมื่อได้รับอนุญาตแล้วเธอจึงเดินตรงเข้ามาที่ชั้นหนังสือของณภัทรเพื่อก้มมองหาหนังสือต่างๆ ที่อยู่ด้านใน ส่วนใหญ่แล้วหนังสือในชั้นก็มักจะเป็นหนังสือเรียนอย่างที่เจ้าของห้องบอกจริงๆ เห็นแล้วก็เวียนหัวแทน คนเราจะต้องอ่านหนังสือเรียนเยอะขนาดนี้เชียวเหรอ ต่อให้เป็นนักศึกษาแพทย์ก็เถอะ นี่มันเยอะมากจริงนะ
แต่ในระหว่างที่กำลังค้นอยู่นั้นสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่ซ่อนไว้ด้านใน มันเป็นกล่องไม้ขนาดเล็กเท่ากับหนังสือเล่มหนึ่ง และเมื่อนำมันออกมาเปิดดูก็พบกับกระดาษที่ถูกพับไว้หลายทบหลายฉบับด้วย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงหยิบอันหนึ่งมาเปิดอ่าน
‘ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กว่าจะรู้ตัวผมก็ชอบเธอมากๆ เลย ผมชอบที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเธอ มันดูสว่างไสวและอบอุ่นราวกับดวงจันทร์เต็มดวงในยามกลางคืน’
“โหหห จดหมายนี้นายเขียนเองเหรอ” พออ่านจบแล้วก็อดถามเจ้าของจดหมายไม่ได้
ณภัทรที่กำลังก้มอ่านหนังสือก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำว่าจดหมาย เขาเงยหน้าไปมองเจ้าของร่างเล็กที่กำลังเปิดดูแผ่นกระดาษเก่าๆ ในกล่องไม้นั่นอย่างชอบใจ แล้วเขาก็รีบพุ่งเข้าไปฉวยคืนมาจากมือเธออย่างรวดเร็วพร้อมแววตาตื่นตระหนก “อันนี้เปิดไม่ได้นะ!”
“อ้าว นึกว่าได้ซะอีก เห็นบอกว่าอยากดูอะไรก็ดูนี่ ว่าแต่จดหมายพวกนี้เขียนไปให้ใครเหรอ” เจ้าจันทร์ตกใจเล็กน้อยที่เห็นคนตรงหน้ากอดกล่องไม้ไว้กับอกแน่นขนาดนั้น
“ผมบอกไม่ได้”
“เลี่ยนชะมัด เห็นแล้วอยากจะขุดวิลเลียม เชกสเปียร์ขึ้นมาจากหลุมศพให้มาดูว่างานเขียนสุดแสนจะโรแมนติกที่แท้จริงนั้นมันเป็นยังไง” ในขณะที่พูดไปเธอก็หลุดยิ้มไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว
ถ้อยคำทีเล่นทีจริงแบบนั้นทำให้ใบหน้าของณภัทรขึ้นสีแดงระเรื่อตัดกับผิวขาวๆ นั้นของเขาจนมองเห็นชัดเจน
“เลิกล้อผมได้แล้ว คุณไม่เคยชอบใครหรือไง”
“เคยสิ” หญิงสาวตอบ
กรรม ไม่น่าไปถามเลย
“งั้นเหรอ”
“แต่เลิกชอบไปแล้ว” เจ้าจันทร์หลุบสายตามองไปทางอื่นอยู่สักพักจากนั้นก็เปลี่ยนมาขยี้เรื่องของคนตรงหน้าแทน “ว่าแต่นายเถอะ คนที่โดนนายชอบคงโชคร้ายน่าดู อยากรู้จริงๆ ว่าเป็นคนยังไง”
ก็คุณนั่นแหละ คนโชคร้ายคนนั้น
“งั้นคุณก็บอกผมสิว่าคนที่คุณเคยชอบเป็นคนยังไง” ในเมื่อถามเขามาแบบนั้น เขาเองก็จะเป็นฝ่ายย้อนกลับไปเช่นกัน
“ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย ไม่ได้เกี่ยวกับนายสักหน่อย” หญิงสาวตอบปฏิเสธแทบจะทันที
“งั้นเรื่องของผมก็ไม่เกี่ยวกับคุณเหมือนกันนั่นแหละ”
“ชิ ฉันไปก็ได้ ไม่มีหนังสือที่น่าสนใจเลย”
นอกจากไอ้จดหมายที่อยู่ในกล่องนั่นน่ะ
ณภัทรยืนมองแผ่นหลังของร่างเล็กที่เดินออกจากห้องนอนของเขาไปพร้อมกับปิดประตูให้เรียบร้อยแล้วจึงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เขามองกล่องไม้ใส่จดหมายในมือด้วยใจที่สั่นไม่น้อย โชคดีที่เจ้าจันทร์ไม่ได้ไปเปิดอ่านแผ่นที่เขาเขียนชื่อของเธอเอาไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นละก็คงบันเทิงน่าดู
วันนี้มันวันอะไรกัน โดนพ่อเขาจับได้แล้วก็เกือบจะโดนลูกเขาจับได้อีกเหรอ
เขาก็แค่เขียนเอาไว้กะว่าจะแอบส่งให้เธอได้อ่านเท่านั้น แต่ก็ไม่เคยกล้าพอที่จะทำแบบนั้นสักทีเลยได้แต่เขียนเก็บไว้กับตัวเองแบบนี้ แต่มันก็นานแล้วตั้งแต่ที่เขายังอยู่ที่บ้านของอีกคน และณภัทรไม่กล้าทิ้งมันเสียที
เช้าวันต่อมา
เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดอีกวันหนึ่งของเจ้าจันทร์ เธอจึงไม่จำเป็นจะต้องตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อออกไปทำงานและลงมายังชั้นล่างของบ้านในยามสาย ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่ร้านขนมของคุณป้าภัสสรปิดเช่นเดียวกันทำให้หญิงเจ้าของบ้านไม่ต้องออกไปขายของและได้อยู่ดูแลความเรียบร้อยภายในบ้าน
แต่ว่าเหมือนจะมีสมาชิกบ้านอีกหนึ่งคนที่หายไป
“มองหานะเหรอคะ” คุณเจ้าของบ้านที่แอบเห็นหญิงสาวหันซ้ายหันขวาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“เอ่อ” เจ้าจันทร์ไม่กล้าที่จะยอมรับว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“นะออกไปมหาลัยตั้งแต่เช้าแล้วน่ะ”
“วันนี้วันหยุดนะคะ” เธอทำหน้าแปลกใจหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ปกติแล้ววันหยุดทุกคนก็ควรได้นอนพักอยู่ที่บ้านสิ
“เหมือนจะเป็นเวรขึ้นวอร์ดของเขาน่ะ โรงพยาบาลไม่มีวันหยุดหรอกค่ะ”
“อ๋อ..”
อ่า ชีวิตเด็กเรียนแพทย์จริงๆ พอณภัทรไม่อยู่แบบนี้บ้านก็ดูเงียบขึ้นมาเลยนะ.. ฮึ ก็ดีแล้วนี่จะได้สบายหูสบายตาขึ้นมาหน่อยที่ไม่เห็นเจ้านั่นน่ะ
“แต่หนูอยู่บ้านคนเดียวได้ใช่ไหม ป้าว่าจะออกไปที่มหาลัยของนะมันน่ะ เนี่ย เมื่อเช้ารีบๆ แล้วลืมของเลย ป้าอุตส่าห์ทำกล่องข้าวไว้ให้” คุณป้าภัสสรเอ่ยพร้อมกับชี้ไปยังกล่องข้าวกล่องหนึ่งที่อยู่ในถุงผ้าขนาดพอดีใส่ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นข้าวกลางวันของลูกชายเขาเสียด้วย
“งั้นเดี๋ยวจันทร์เอาไปให้เองค่ะ”
“รบกวนหนูเปล่าๆ”
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ จันทร์ตั้งใจจะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว” หญิงสาวยิ้มแย้มก่อนจะเดินเข้าไปหยิบถุงผ้าใส่กล่องข้าวนั้นมาถือไว้ในมือ
“ถ้างั้นป้าก็รบกวนด้วยนะ” หญิงวัยกลางคนยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาเขียนเบอร์โทรของลูกชายเอาไว้ก่อนส่งมันให้กับหญิงสาว “พอไปถึงหนูก็โทรเรียกให้นะลงมาหาด้วยเบอร์นี้นะ”
“ได้ค่ะ”
จะว่าไปแล้วเธอเองก็เพิ่งมีเบอร์โทรศัพท์ของณภัทรเหมือนกัน
ณ มหาวิทยาลัยA
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ มันเป็นสถาบันที่ณภัทรกำลังศึกษาอยู่และคณะแพทย์ก็อยู่ไม่ไกลจากทางเข้ามากเท่าไหร่ มันอยู่ติดกับโรงพยาบาลเลย ด้วยความที่เจ้าจันทร์นั่งรถแท็กซี่มาทำให้ไม่ต้องเดินด้วยซ้ำเพราะรถมาส่งให้ถึงหน้าตึกของโรงพยาบาลเลยทีเดียว
มือเรียวยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์โทรตามที่ได้มาจากคุณป้าทันทีเมื่อลงจากรถแล้วเรียบร้อย
[สวัสดีครับ] คนปลายสายกดรับหลังจากที่โทรไปได้พักหนึ่ง
“นี่เป็นบริการรับฝากส่งของ ขอให้คุณณภัทรลงมารับหน้าตึกโรงพยาบาลด้วย” เจ้าจันทร์แสร้งทำเป็นว่าเธอคือคนอื่นเพื่อหวังจะแกล้งเขา
[เจ้าจันทร์]
แต่น่าตกใจที่เขารู้ว่านี่คือเธอ
“นายจำฉันได้เหรอ”
[เสียงของคุณน่ะ แค่พูดมาคำเดียวผมก็จำได้แล้ว]
“ชิ ไม่สนุกเลย นายลงมาสิ คุณป้าบอกนายลืมของไว้” เมื่อการแกล้งไม่ได้ผล เจ้าจันทร์ก็เปลี่ยนเป็นเร่งเร้าให้อีกฝ่ายลงมา
[เอ่อ ผมติดเคสกับอาจารย์อยู่น่ะ แต่เดี๋ยวผมจะรีบลงไปหา]
“อืม”
หลังจากที่กดวางสายจากอีกคน เธอก็เดินไปหาที่นั่งรถแถวนี้เพื่อรอให้เขาลงมาเอาของ อันที่จริงแล้วเจ้าจันทร์ก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมตัวเองต้องเป็นฝ่ายเอาข้าวกล่องมาให้เขาด้วย ทั้งที่ให้คนอื่นเอามาให้ก็ได้แท้ๆ ทุกวันนี้มีบริการรับส่งของเยอะแยะไป
...
หลังจากที่นั่งรอไปเกือบยี่สิบนาทีได้ เจ้าของกล่องข้าวนี้ก็มาสักที
ณภัทรกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเธอหลังจากที่กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วเจอเจ้าจันทร์นั่งรออยู่ที่ม้านั่งใต้ตึกโรงพยาบาล ใบหน้าของเขาโชกไปด้วยเหงื่อรวมถึงตัวของเขาด้วยที่เหงื่อเปียกจนเสื้อนักศึกษาขาวนั้นบางเห็นเนื้อหนังด้านใน โชคดีที่มีเสื้อกาวน์สวมทับเอาไว้
“นายดูรีบจัง มาช้ากว่านี้ฉันก็ไม่เผลอกินข้าวนายหรอกนะ” เจ้าจันทร์พูดหลังจากนั่งมองร่างสูงที่วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ
“ผมไม่อยากปล่อยให้คุณรอนานกว่านี้” เป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมาสำหรับณภัทร
“หึ รู้ตัวก็ดีนายทำให้ฉันต้องมานั่งรอนายตั้งนาน” เธอพูดอย่างนั้นก่อนจะยื่นถุงกล่องข้าวในมือไปให้ชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับถุงกระดาษใส่อะไรบางอย่างที่เพิ่งมีมาใหม่
“ขอบคุณครับ แล้ว..ถุงนี้ก็แม่ทำมาให้เหรอ” ณภัทรแอบคิดว่าขนมปังแซนวิชในถุงไม่น่าจะเป็นฝีมือแม่ของเขา
“อ้อ เปล่าหรอกแต่ว่าฉันซื้อมาเพิ่มน่ะ”
“ซื้อเพิ่ม?”
“ไม่รู้สิ นายตัวโตขนาดนี้กินข้าวแค่นั้นได้ไง ก็เลยซื้อแซนวิชมาให้เพิ่ม หรือถ้าไม่กินก็เอาให้คนอื่นก็ได้” เจ้าจันทร์ตอบไปตามความจริง แล้วพอเธอเห็นว่าอีกฝ่ายยืนนิ่งไปก็รีบพูดอธิบายต่อ “ไม่ต้องคิดเข้าข้างตัวเองว่าฉันเป็นห่วง ฉันแค่ซื้อเพราะเห็นว่านายนอนดึกกลัวจะหมดสติ เดี๋ยวก็ลำบากคุณป้าอีก”
ถึงจะบอกว่าไม่ให้เข้าข้างตัวเองก็เถอะ แต่มันก็ทำให้เขายิ้มได้อยู่ดี ก็เจ้าจันทร์รู้ด้วยว่าเขานอนดึก
“คุณจะกลับเลยหรือเปล่า”
“แหงสิ จะให้ฉันอยู่ทำอะไรที่นี่ ฉันไม่อยากมีธุระกับโรงพยาบาลหรอกนะ”
“อ๋อ งั้นกลับยังไงเหรอผมเดินไปส่ง”
“ไม่ต้อง ฉันไม่ใช่เด็กห้าขวบนะทำไมต้องมีคนเดินไปส่ง” มาเองได้ก็ต้องกลับเองได้เหมือนกันสิ “นายน่ะยุ่งอยู่ไม่ใช่หรือไง”
“เอ่อ” ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากอะไรออกไปนั้นเขาก็โดนขัดจังหวะอีกครั้ง
“นะ! อยู่นี่เองหาตั้งนาน” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งเรียกชื่อของเขาหลังจากนั้นจึงปรากฏร่างของเพื่อนผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มอย่างพิ้งค์ เธอเดินเข้ามาจับแขนชายหนุ่มในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งถือแฟ้มรายงานเอาไว้อยู่ “อาจารย์ให้มาตามน่ะ”
“อ๋อ เดี๋ยวขึ้นไปแล้ว”
“ลงมาทำอะไรเหรอ” พิ้งค์ตั้งคำถามจากนั้นเธอก็เพิ่งเห็นหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก
“มาเอาของน่ะ”
“เสร็จแล้วใช่ป้ะ ขึ้นไปกันเถอะ”
“อืม เดี๋ยวผมไปแล้วนะ คุณกลับเองได้จริงๆ ใช่ไหม” ณภัทรก็ยังไม่วายถามเจ้าจันทร์ด้วยความเป็นห่วง แต่เพื่อนเขาก็พยายามลากตัวเขากลับไปเหลือเกิน
“ก็บอกว่าไม่ใช่เด็กห้าขวบไง ฉันไปแล้ว” เจ้าจันทร์ไม่อยู่ต่อบทสนทนาให้มันยืดยาวไปมากกว่านี้และตัดบทด้วยการเดินหนีออกมาทันที
..
ในขณะเดียวกัน
“นี่นะ ผู้หญิงเมื่อกี้ใครเหรอ” พิ้งค์เปิดคำถามหลังจากที่ลากผู้เป็นเพื่อนมาขึ้นลิฟต์ได้แล้ว
เป็นคำถามที่ณภัทรค่อนข้างที่จะหนักใจไม่น้อยเพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าควรตอบอย่างไรดี จะตอบว่าเป็นลูกสาวของผู้อุปถัมภ์เขาก็คงจะต้องอธิบายยาวอีก
“เป็นคนที่เราต้องดูแลน่ะ”
“แฟนเหรอ..” พิ้งค์กลัวคำตอบของคำถามนี้เล็กน้อย แต่คำว่าคนที่ต้องดูแลนั้นมันก็ทำให้เธอใจหายแล้ว จึงอยากรู้รายละเอียดให้มากกว่านั้น
“เปล่า ไม่ใช่” ไม่ใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ
“นะชอบเขา?”
“...ชั้นเจ็ดพอดี ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่ตอบแล้วเดินออกจากลิฟต์เมื่อประตูเปิดออก
พิ้งค์มองตามแผ่นหลังนั้นพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไปด้วย เขาคงไม่รู้หรอกตัวหรอกว่าการทำท่ากลบเกลื่อนแบบนั้นมันไม่เนียน แล้วนั่นก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกหวั่นใจ เพราะตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาสมัยปี1 ณภัทรก็เป็นที่จับตามองตั้งแต่ปีแรก ด้วยความหน้าตาดีและนิสัยน่ารักทำให้ทุกคนชื่นชอบเขา รวมถึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิงทั้งในและนอกคณะ แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้สนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ (พิ้งค์เคยสงสัยเพื่อนเธออาจจะชอบผู้ชาย แต่ก็ไม่ใช่เพราะณภัทรก็ไม่ได้สนใจผู้ชายเหมือนกัน)
แต่กับผู้หญิงคนที่เจอเมื่อครู่นี้ แค่เห็นไม่กี่นาทีเธอก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ธรรมดา
12.40 น. พักกลางวัน
“โอ๊ย ได้กินข้าวสักที ปวดหลังชะมัดเลยกูต้องกายภาพบำบัดแล้วป้ะ” ไม้หนึ่งบ่นอุบอิบหลังจากที่เพิ่งลงมาจากวอร์ดเป็นคนสุดท้ายก็ทำท่าบิดตัวบิดเอวไปมาก่อนจะทิ้งกายนั่งลงโต๊ะไม้ตัวหนึ่งซึ่งมีเพื่อนๆ นั่งรออยู่มาสักพัก
“ก็แกแก่แล้วไง” พิ้งค์หันไปพูดกับไม้หนึ่งแล้วหัวเราะ
“เห้ย เราอายุเท่ากันรึเปล่าพิ้งค์”
“แล้วนี่มึงช้าจัง อาจารย์พาตรวจคนไข้ยาวเหรอ” ณภัทรเอ่ยถาม
“เอ่อ วอร์ดกูมันอยู่ตั้งตึกโน้นอะ จิตเวช มึงได้เข้ารึยัง? แต่น่าจะยัง” ไม้หนึ่งถามเองตอบเอง จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดๆ จิ้มๆ อยู่สักพัก “เมื่อกี้กูเพิ่งสั่งข้าวมาอะ ขอให้มาส่งก่อนหมดเวลาพักทีเถอะ”
“กินกับกูก่อนได้นะ” ณภัทรพูดพลางยื่นกล่องข้าวที่ผู้เป็นแม่ทำไว้ให้ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เขาจะแบ่งให้เพื่อนคนอื่นทานด้วยเสมอ
“พ่อคุณทูนหัวของบ่าว” ไม้หนึ่งทำหน้าเหมือนจะบีบน้ำตาตอนที่ได้ยินเช่นนั้น เขาพยายามจะเข้าไปโอบกอดร่างสูงของเพื่อนสนิทแต่กลับโดนอีกฝ่ายใช้มือผลักออกไป
“เวอร์”
ของในกล่องข้าววันนี้ประกอบไปด้วยข้าวพร้อมทั้งผัดผักกับปีกไก่ทอดที่ถูกเก็บเอาไว้เป็นสัดส่วนอย่างดี ไม่แปลกที่ไม้หนึ่งจะชอบใจเพราะเป็นที่รู้กันในกลุ่มเพื่อนว่าแม่ของณภัทรทำอาหารอร่อยมาก และยังเคยไปกินข้าวที่บ้านอีกด้วย ทั้งแม่ทั้งลูกใจดีเหมือนกันไม่ผิด
“โอ๊ะ วันนี้มีแซนวิชด้วย” ไม้หนึ่งกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบบางสิ่งที่อยู่ในถุงกระดาษบนโต๊ะ แต่..
“ไม่ได้” มือของณภัทรเร็วกว่า เขารีบคว้าถุงกระดาษนั้นมาไว้กับตัวเมื่อเห็นเพื่อนทำท่าจะเอามันไปกิน “อันนี้กูไม่ให้”
“อ้าว.." ปฏิกิริยาที่รวดเร็วทำให้ไม้หนึ่งตกใจนิดหน่อย
“อันนี้ของกู”
“ชิมอันนึงก็ไม่ได้อ่อ กูชอบเบคอนอ่า เห็นมีไส้เบคอนด้วย”
“ไม่” จะยังไงณภัทรก็ไม่ยอมยกแซนวิชในถุงนี้ให้ใครเด็ดขาด ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เจ้าจันทร์อุตส่าห์ซื้อให้เขานี่นา
“เออก็ได้ ไม่เอาก็ได้” ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ไม่อยากไปเสาะแสวงหาความจริงหรอกว่าทำไม เพราะตอนนี้ไม้หนึ่งหิวมากขอกินข้าวก่อนก็แล้วกัน
“เออนี่ พรุ่งนี้ตอนเย็นไหนๆ ก็ว่างแล้ว ไปเดินเล่นที่งานAfair กัน ยังไม่ได้ไปเลยจะวันสุดท้ายแล้วเนี่ย” พิ้งค์พูดขึ้นบ้างหลังจากนั่งเงียบมาพักหนึ่ง “ชวนนิกกี้ไปด้วย”
“อื้ม เอาสิ” ไม้หนึ่งตอบตกลงเป็นคนแรก “มึงล่ะไอ้นะ ไปด้วยกันป้ะ”
“ไปก็ไป” ตามมาด้วยณภัทร เพราะเขาก็ไม่ค่อยมีเวลาไปเดินเล่นมานานแล้ว
Castle-G's Talk
เอ็นดูการหวงแซนวิชมาก คือรักเขามากแค่ไหนถามใจดูนะ
อัพบทนี้เสร็จ จีอาจจะหายไปสักพักนะคะประมาณ 1-2 สัปดาห์
จีต้องไปสอบมิดเทอมแล้วค่ะ อู้มามากพอแล้ว แงงงงง
ฝากส่งฟีดแบคด้วยค่า เม้นท์ให้เลาเถอะ
สุ่มแจกอีบุคจากคอมเม้นท์นะคะ (ถ้าได้ทำนส.ก็จะแจกนส.ด้วย)


มาหวีดติดแท็ก #ณเจ้าจันทร์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ผู้มีพระคุณส่งเสริมเฉยเลย
น่าร้ากก
555555
เอ็นดูนะมากอะ น่ารักกก
ระวังโดนนะเอาคืน