ตอนที่ 31 : MY ONLY 1 | 12 : ขึ้นดอยด้วยกัน [3] [4]
สุ่มแจกอีบุคจากคอมเม้นท์ค่ะ
12: Together
“ครับ..แล้วคุณจะเสนอวิธีนี้ให้ผม?”
“เห้ย ไม่ใช่แบบนั้น” คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบส่ายหน้าพัลวัน
“ผมก็เกือบคิดตามคุณแล้วนะเนี่ย” ความจริงแล้วณภัทรเพียงหยอกล้ออีกคนเท่านั้น ยังไงชายหนุ่มก็ไม่นึกจะทำแบบนั้นจริงๆ อยู่แล้ว
“นายได้โดนคุณชัชเชนทร์บั่นคอแน่ นั่นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาเลยนะ” อีกคนพูดพร้อมยกมือขึ้นมาทำท่าปาดคอตัวเองให้ดู
“นั่นก็พ่อคุณ”
“รายนั้นนอกจากแมวแล้วก็รักลูกสาวยิ่งกว่าอะไรดี” ลูกชายอย่างเจ้าตะวันที่เป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมากับพ่อมาตลอดเข้าใจเรื่องดีว่าถ้าเจ้าจันทร์เป็นอะไรไปขึ้นมาต้องมีคนรับผิดชอบแน่นอน
“ผมว่าผมออกมานานแล้ว ผมกลับเข้าไปดีกว่า” ณภัทรเอ่ยพร้อมกับเตรียมจะลุกออกจากม้านั่งแต่ทว่าชายตรงหน้ากลับท้วงไว้ก่อน
“เดี๋ยวสิ อันที่จริงที่นายถามน่ะ”
“ครับ”
“อย่างเจ้าจันทร์เป็นคนที่หัวรั้นมาแต่เด็ก ถึงจะเข้าใจอะไรๆ ได้เร็วแต่ก็ไม่ชอบยอมรับ บางทียัยจันทร์อาจจะแค่ปากแข็งไปอย่างนั้นก็ได้”
นั่นคือประโยคสุดท้ายของเจ้าตะวันที่พูดกับเขาก่อนที่ณภัทรจะกลับมายังเรือนใหญ่ซึ่งเป็นที่พักของเขาในช่วงสองสามวันนี้ที่ต้องอยู่ที่นี่ แต่ระหว่างที่กำลังเปิดประตูเดินเข้าห้องของตัวเอง ห้องด้านข้างก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับเจ้าของร่างเล็กที่กำลังทำหน้าตึงใส่
“นายหายไปไหนมา”
“ผมลงไปเดินเล่นน่ะ คุณมีอะไรหรือเปล่า”
“นายออกไปแล้วทิ้งฉันไว้คนเดียวเนี่ยนะ”
“ก็เห็นว่าคุณอยากพักผ่อน ผมไม่อยากรบกวน”
“นายก็น่าจะบอกกันบ้างว่าไม่อยู่” เมื่อก่อนหน้านั้นเธอก็เผลอเรียกอีกฝ่ายไปตั้งนาน เพิ่งรู้ว่าเขาไม่อยู่ก็ตอนที่เปิดประตูห้องอีกฝ่ายแล้วไม่เจอใครเลย
“โอเค ผมขอโทษ งั้นคราวหลังถ้าออกไปไหนผมจะบอกคุณก่อน โอเคไหมครับ” ณภัทรส่งยิ้มให้เจ้าของร่างเล็กตรงหน้า
“ดี” ซึ่งหลังจากที่ได้ตอบอีกฝ่ายไปเช่นนั้น เจ้าจันทร์ก็บ่นเสียงพึมพำกับตนเอง “ทำไมฉันต้องมาอยู่กับนายด้วย”
เป็นคำพูดพึมพำกับตัวเองที่ทำให้คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้ยิน
“ก็เพราะพี่เขาไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียวน่ะ มันอันตราย”
“อยู่กับนายอันตรายกว่าอีก” หญิงสาวตอบกลับด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ท่าทีแบบนั้นทำให้ณภัทรนึกสนุกอยากลองเป็นฝ่ายแกล้งเธอดูบ้าง เขาจึงก้าวเท้าเข้าไปประชิดร่างบางโดยที่อีกคนไม่ทันได้ตั้งตัว
“อันตรายยังไงครับ” เขาเอ่ยถามโดยยังไม่หยุดก้าวเท้าเข้าไปหาเธอ
“อย่าเข้ามานะ”
การกระทำนั้นทำให้เจ้าจันทร์ต้องถอยหลังออกห่างจากเขาทันทีโดยสัญชาตญาณ แต่ว่าเคราะห์ร้ายเมื่อหญิงสาวไม่ทันได้คิดว่าตนเองกำลังถอยเข้ามาในห้องนอนซึ่งณภัทรเองก็กำลังเดินเข้าห้องของเธอเช่นเดียวกัน พอรู้ตัวอีกทีประตูห้องก็ถูกปิดและกดล็อกเอาไว้แล้ว โดยฝีมือของเขา
“น..นี่! ล็อกห้องทำไม นายจะทำอะไรฉัน” เธอไม่กล้าจะเดินไปจับประตูเพราะมีร่างสูงบดบังไว้ ได้แต่ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ จนติดขอบเตียง
“คุณคิดว่าผมจะทำอะไรคุณล่ะ” เขายังคงกลั่นแกล้งสาวเจ้าต่อไปพร้อมแสดงรอยยิ้มบนหน้า “เห็นบอกอยู่กับผมแล้วอันตรายนี่นา”
“ณภัทร ออกไปนะ ฉันไม่ยอมหรอก” เจ้าจันทร์มองหาช่องทางหนีของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะตัดสินใจรวมความกล้าเฮือกใหญ่วิ่งผ่านร่างสูงของเขาไปยังประตู
แต่ทว่ากลับยังไปไม่ถึงประตูห้องร่างบางก็โดนวงแขนของณภัทรเข้ามารวบเอาไว้ได้ก่อน จากนั้นจึงถูกอุ้มขึ้นไปวางไว้บนเตียงหนานุ่ม หญิงสาวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อแผ่นหลังของเธอสัมผัสกับผืนผ้าปูที่นอนจากการโดนกดลงมาพร้อมทั้งร่างสูงที่กำลังขยับขึ้นมาคร่อมร่างของเธอเอาไว้ โดยใช้แขนทั้งสองกักบริเวณปิดทุกช่องทางหนีอีกด้วย
“ไหนๆ เราก็อยู่กันแค่สองคนแบบนี้แล้ว แถมผมกับคุณก็ยังว่างไม่มีอะไรทำด้วย งั้นเรามาทำด้วยกันดีไหมครับ” ไม่ว่าเปล่า ใบหน้าของชายหนุ่มก็โน้มลงมาใกล้เธอเสียจนแทบลืมหายใจ
“ณภัทร ไม่เอา อ๊ะ” เจ้าจันทร์สะดุ้งเมื่อมือหนาของอีกฝ่ายมาวางทาบอยู่บนสะโพกของเธอแทนก่อนที่มันจะเลื่อนสูงขึ้นไปทีละนิดจนเสื้อผืนบางที่สวมใสถูกเลิกขึ้นโชว์ผิวเนื้อด้านใน หญิงสาวได้แต่ใช้แรงที่น้อยกว่านั้นดันไหล่ของเขาให้ออกไป
ใบหน้าของกระต่ายที่ทำหน้าตื่นสร้างความเอ็นดูให้กับเขา
“คุณรู้ไหม ก่อนหน้านี้ผมไปหาตะวันมา” ชายหนุ่มเอ่ยเปิดประเด็นเพื่อทำให้เธอหยุดนิ่งฟัง “ผมถามเขาว่าเขาทำยังไงถึงได้กลับไปรักกับปราง ผมถามเผื่อเป็นแนวทางใช้กับคุณน่ะ”
“อะไรนะ”
“ตะวันเขาตอบว่าอะไรรู้ไหมครับ” ณภัทรยิ้มอีกครั้ง คราวนี้มันกลายเป็นยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจและเชื่อถือไม่ได้ จากรอยยิ้มที่เหมือนลูกหมากลับกลายเป็นหมาจิ้งจอกแทน
“อ..อะไรล่ะ”
“เขาตอบว่าเพราะปรางท้อง”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมา ก็ทำให้เจ้าจันทร์เบิกตากว้างอย่างตกใจ เธอไม่ได้ตกใจเรื่องของพี่ชายและพี่สะใภ้ของตัวเองเพราะเป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้ว แต่ตกใจเพราะก่อนหน้านั้นณภัทรบอกว่าเผื่อจะเอามาเป็นแนวทางใช้กับเธอน่ะสิ
“จะบ้าเหรอ ไม่ได้ ไม่เอา ฉันไม่พร้อม”
ท่าทางตื่นตกใจของเธอทำให้ชายหนุ่มหลุดขำก่อนจะยอมผละกายออกไปจากเตียงแต่โดยดี “สีหน้าคุณเมื่อกี้นี้น่ารักดีนะครับ เห็นแล้วผมอยากแกล้งคุณบ่อยๆ”
“นี่นายแกล้งฉันเหรอ” เจ้าจันทร์รีบลุกขึ้นมาเปลี่ยนเป็นทางนั่งบนที่นอนก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าหมอนใบใหญ่ตรงหัวเตียงขึ้นปาใส่ร่างสูง
“ทีคุณยังเคยแกล้งผมเลย” ณภัทรรับหมอนใบนั้นไว้ได้ทัน
เมื่อครู่นี้เธอตกใจมากเลยนะ นึกว่าเขาจะทำลูกกับเธอจริงๆ เข้าซะแล้ว
“ฉันจะไปเอาเรื่องตะวันแน่” ทำไมถึงได้ให้คำแนะนำแบบนั้นมากันนะ นี่เธอเป็นน้องสาวของเขานะ..ถ้าเกิดว่าณภัทรคิดจริงขึ้นมาละทำไง
“อย่าเลยครับ เขาไม่ได้แนะนำผมแบบนั้นหรอก” ชายหนุ่มหัวเราะและเอ่ยต่อ “แต่ว่าเมื่อกี้คุณบอกว่ายังไม่พร้อม ก็แปลว่าในอนาคตไม่แน่สินะ”
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักนิด ออกไปจากห้องฉันได้แล้ว” ว่าจบมือเล็กก็คว้าไปหยิบหมอนอีกใบเพื่อเตรียมมาปาใส่เขาต่อ “นายมันแกล้งไม่เข้าเรื่อง”
“เรื่องที่ผมพูดถึงเจ้าตะวันน่ะผมยอมรับว่าแกล้ง แต่เรื่องที่จะจับคุณกดก่อนหน้านั้นผมก็แอบคิดจริงๆ ว่าจะทำนะ”
“อะไรนะ!” หมอนที่ตั้งใจจะปาใส่เขาก็ถูกนำมากอดเป็นเครื่องป้องกันตัวแทน
“ไม่รู้เหรอว่าตัวคุณหอมแค่ไหน หืม” เขาพูดก่อนจะเขยิบเข้าไปหาร่างเล็กที่นั่งกอดหมอนอยู่บนเตียงนั้น
ซึ่งผลที่ได้รับกลับมาก็คือ เจ้าจันทร์ใช้หมอนอีกใบนั้นฟาดตัวของเขาอย่างไม่ยั้ง
“ไอ้บ้า ทะลึ่ง นายมันโรคจิต หื่นกาม”
แค่ได้กลิ่นก็คิดอะไรแนวนั้นน่ะเหรอ บ้ากามที่สุด ทำไมทุกคนถึงไม่ได้มาเห็นเหมือนที่เธอเห็นกันนะว่าไอ้ผู้ชายที่แสนอ่อนโยนใจดีของทุกคนนั้นความจริงเป็นคนยังไง
[ต่อ]
“ใจเย็นคุณ ผมยังไม่ทำอะไรคุณสักหน่อย” ว่าแล้วเขาถอยออกห่างจากเธอพลางยกมือขึ้นทั้งสองข้างทำทีเป็นยอมแพ้แม้ใบหน้าจะยังมีรอยยิ้ม
“ออกไปนะ”
“ไปก็ไป แล้วคุณจะออกไปเดินเล่นกับผมไหมครับ ตอนบ่ายๆ ค่อนเย็นอย่างนี้อากาศค่อนข้างดีนะ”
“มะ.”
“ไปเถอะ อยู่ในห้องนานๆ มันอุดอู้นะครับ” ไม่รอให้เจ้าจันทร์ปฏิเสธ เขาก็เดินเข้าไปคว้ามือของเธอให้ลุกออกมาจากเตียงนอน “เดี๋ยวก็หาว่าผมทิ้งคุณไว้คนเดียวอีก”
แม้ว่าตอนแรกหญิงสาวจะลังเลใจเล็กน้อยแต่ว่าครู่ต่อมาเธอก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว ถ้าได้เดินเล่นที่ฟาร์มหลังรีสอร์ทสักหน่อยเป็นการสูดบรรยากาศก็คงผ่อนคลายใจไม่น้อย เธอจึงยอมเดินตามณภัทรไปโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ยอมปล่อยมือ
“ไม่ต้องจับมือฉันก็ได้น่า”
“ผมกลัวคุณหลงไง”
“ฉันไม่ใช่เด็กนะ แล้วนี่มันก็ไร่ฟาร์มของบ้านฉัน จะไปหลงได้ยังไง” หญิงสาวขมวดคิ้วแล้วพยายามจะดึงมือออกมาจากการเกาะกุมนั้น
“เอาเถอะน่า ผมอยากจับมือคุณ”
แต่ให้ทำอย่างไรในเมื่อณภัทรไม่ยอมปล่อยก็ต้องเลยตามเลย
ทั้งสองคนเดินมาด้วยกันจนเข้าสู่เขตของฟาร์มสัตว์เลี้ยง โดยส่วนมากเป็นสัตว์ใหญ่ที่จะถูกแบ่งออกเป็นคอกตามพื้นที่ของสัตว์แต่ละชนิด พื้นที่แรกที่เจ้าจันทร์เดินมาถึงคือคอกม้าของฟาร์ม ซึ่งมีทั้งม้าหนุ่มม้าสาวอยู่จำนวนหนึ่งไม่ได้เยอะมากนัก ส่วนใหญ่จะเชื่องกันเพราะเลี้ยงให้คุ้นเคยกับผู้คนมาตั้งแต่แรก
คนดูแลม้าของที่นี่ก็ยังเป็นคนเดิมที่เธอเห็นมาแต่เด็ก ลุงเกียรติ ชายวัยห้าสิบที่ถึงแม้อายุจะมากก็ยังดูแข็งแรงและสุขภาพดีเสมอ คุณลุงยิ้มให้เธอเมื่อเห็น
“ไม่ได้เจอหน้านานเลยนะครับคุณเจ้าจันทร์” ลุงเกียรติทักทายในระหว่างที่กำลังจัดการวุ่นวายกับม้าตัวสูงตรงหน้าอยู่ “จำเจ้าสีนิลได้หรือเปล่าครับ”
“นี่สีนิลเหรอคะ” เจ้าจันทร์พยักหน้ารับเป็นเชิงว่าจำได้ก่อนจะเดินเข้าไปดูม้าหนุ่มด้วยความสนสนใจ เพราะเมื่อหลายปีก่อนเจ้าตัวนี้ยังเป็นม้าเด็กติดแม่อยู่เลย
“ใช่ครับ ส่วนนี่ก็คงเป็นเจ้านะใช่ไหม” ชายวัยห้าสิบเอ่ยกับชายหนุ่มด้านข้างหญิงสาว “รายนี้ก็ไม่เจอนานเชียว โตขึ้นแล้วหล่อนะ ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนไตรภพ”
“...เอ่อ ครับ” ณภัทรอ้ำอึ้งไปเมื่อได้ยินชื่อนั้น
“อ้อ โทษที ลุงพลั้งปากไปนิด เอาเถอะ มาเดินเล่นกันเหรอ” เหมือนว่าลุงเกียรติก็เพิ่งรู้ตัวว่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดถึงออกไป
“ใช่ครับ เห็นคุณหนูเจ้าจันทร์เขาเบื่อๆ”
คนที่โดนพาดพิงชื่อหันหน้ามามองณภัทรตาขวางทันที เพราะเธอไม่ได้พูดว่าเบื่อสักหน่อย ที่ออกมาอยู่ตรงนี้ก็เป็นเพราะเขาไม่ใช่หรือไงที่พาเธอมา
“ลองไปขี่ม้าเล่นชมวิวดีไหมครับ อากาศช่วงนี้กำลังดีเลย”
“ดีเหมือนกันครับ” คำตอบรับที่รวดเร็วของณภัทรทำให้เจ้าจันทร์ต้องรีบท้วง
“ฉันขี่ม้าไม่เป็น”
“ก็เพราะคุณขี่ไม่เป็นไง”
“อะไรนะ” หญิงสาวทำหน้างง
“คุณนั่งเฉยๆ ผมจะพาขี่เอง” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะหันไปบอกกับคุณลุงคนดูแลม้า “สามารถไปได้เลยใช่ไหมครับ”
“ได้สิ เจ้าสีนิลนี่ก็ได้ ม้าหนุ่มแข็งแร็ง” ลุงเกียรติพูดพร้อมกับแกะเชือกของเจ้าม้าตัวโตออกมาจากเสาไม้จากนั้นจึงจูงออกมาจากด้านในคอก
เจ้าจันทร์มองอย่างไม่ไว้ใจนัก เธอเองก็พอรู้ว่าณภัทรขี่ม้าได้เพราะช่วงที่เขายังอยู่ที่นี่เขาเรียนรู้ดูแลม้าด้วย ต่างจากเธอที่ไม่สนใจเท่าไหร่ ที่บ้านเคยบอกว่าอยากให้เธอลองเรียนขี่ม้าเอาไว้แต่เจ้าจันทร์ไม่เห็นความจำเป็นจึงไม่เรียน สุดท้ายแล้วใครจะไปคิดว่าณภัทรได้เรียนขี่ม้าแทนเธอ
เธอมองเจ้าของร่างสูงปีนขึ้นไปบนหลังม้าแล้วนั่งบนอานภายในเวลาพริบตาเดียวแล้วก็เกิดลังเลใจ
“ขึ้นมาสิครับ” มือหนาเอื้อมลงมาอยู่ตรงหน้าเธอเพื่อหวังจะดึงขึ้นไปนั่งด้วยกัน
“สองคนม้าหนักแย่”
“นี่คุณ ม้าแข็งแรงกว่าเราเยอะ อีกอย่างตัวคุณเบานิดเดียว” ชายหนุ่มหัวเราะและย้ำประโยคเดิม “ขึ้นมาครับ ผมจะช่วยดูแลให้”
“ลองดูคุณเจ้าจันทร์ ขี่ม้าชมวิวไม่แย่หรอก”
พอลุงเกียรติสนับสนุนเข้ามาแบบนี้เหมือนเธอโดนกดดันจากสองทางอย่างไรก็ไม่รู้
เจ้าจันทร์ถอนหายใจจากนั้นจึงยื่นมือไปจับมือณภัทรที่แบรอไว้อยู่ ร่างเล็กถูกยกลอยหวือขึ้นไปนั่งอยู่บนอานม้าด้านหน้าของณภัทรในเวลาเพียงแป๊บเดียว ตอนนี้เธอเริ่มสงสัยจริงๆ แล้วว่าตัวเองจะต้องเบาแค่ไหน ชายคนนี้จึงได้ยกเธอด้วยมือเดียวได้ขนาดนี้
หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงจัดท่าทางระหว่างตัวเองกับเธอให้สะดวกสบายมากขึ้น
“อะไร ไม่เห็นต้องเข้ามาชิดขนาดนี้เลย” เจ้าจันทร์เอ่ยพลางทำทีจะขยับกายออกจากร่างสูงที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง แต่ว่าก็โดนแขนของเขาเข้ามาโอบรัดเอาไว้ ซึ่งมืออีกข้างยังคงจับบังเหียนเอาไว้อยู่
“อยู่นิ่งๆ ไหมคุณ ตกหลังม้าลงไปจะแย่เอา” ณภัทรส่งเสียงดุเธอเมื่อเห็นว่าเจ้าจันทร์ยังไม่หยุดขยุกขยิก
“ก็มัน..” น่ากลัว
“จะเอนมาซบผมก็ได้นะครับ จับแน่นๆ”
เมื่อม้าหนุ่มสีนิลเริ่มออกตัวทำให้ร่างเล็กต้องเอนตัวจนแผนหลังแนบสนิทกับร่างของณภัทร เพราะการไม่เคยได้นั่งม้าแบบนี้มาก่อนทำให้เจ้าจันทร์วิตกประมาณหนึ่ง ได้แต่คิดโทษตัวเองที่ไม่เรียนขี่ม้าเอาไว้สมัยยังเด็ก แต่สิ่งที่อยู่เหนือความกลัวของหญิงสาวก็คือคำสัญญาของเขาที่ได้กล่าวกับเธอ
“ไม่ต้องมองลงไปข้างล่าง มองไปด้านหน้า ถ้าผมยังอยู่ตรงนี้ ผมจะไม่ปล่อยให้คุณเป็นอะไรไปแน่นอน”
ไม่นานนักเจ้าจันทร์ก็เริ่มคลายความกังวลไปได้แล้วทอดสายตามองไปตามสองข้างฝั่งที่เต็มไปด้วยไร่ฟาร์มผลไม้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นภาพที่หญิงสาวเห็นมาตั้งแต่ยังเล็กไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่น่าสนใจก็ตามที ทว่าหัวใจเธอกลับเต้นแรงและพองโตราวกับมันเป็นโอกาสพิเศษ
มันพิเศษเพราะสถานที่ สถานการณ์ หรือเพราะคนที่อยู่ด้วยในเวลานี้กันนะ
เพราะเป็นบรรยากาศในยามเย็น ดวงอาทิตย์ที่ใกล้ลับภูเขาอีกลูกหนึ่งไปกำลังทอแสงจนท้องฟ้าครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีส้มอ่อน ในเวลานี้มองไปทางไหนก็เห็นเพียงแค่ทิวเขาและต้นไม้อันแสนร่มรื่น หญิงสาวไม่รู้ตัวว่าเหม่อมองทัศนียภาพตรงหน้านี้นานมากแค่ไหน แต่ว่าพอรู้สึกตัวการเคลื่อนไหวของม้าของหยุดลงแล้ว
ณภัทรกระโดดลงไปยืนอยู่ด้านล่างจากนั้นเขาจึงช่วยพาเธอให้ลงตามไปด้วย มือเล็กยกขึ้นมารวบผมตนเองเอาไว้หลังจากที่โดนลมพัดโชยจนสยายไม่เป็นทรง
“มีอะไร” เจ้าจันทร์มองหน้าชายหนุ่มก่อนจะมองไปรอบทิศ ตอนนี้เธออยู่ชายพื้นที่ของไร่ซึ่งถัดไปไม่กี่เมตรก็เป็นผาเหวระหว่างเขาสองลูก
“ดูพระอาทิตย์ตกกันไงครับ มุมนี้ผมว่ากำลังดีเลยนะ” ณภัทรตอบแล้วหันมองไปยังอีกฝั่งหนึ่งของฟากฟ้า
“โรแมนติกตายหละ”
“อ้าว หรือคุณไม่ชอบ”
“ก็ภาพเดิมๆ ฉันเห็นจนเบื่อ” เธอมุ่ยหน้าพลางยกมือขึ้นมากอดอก แต่ถึงจะพูดไปแบบนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่ละสายตาไปจากทิวทัศน์ดังกล่าว “นายชอบเหรอ”
“ใช่ ผมชอบ ยิ่งตอนนี้ผมก็ยิ่งชอบ” ชายหนุ่มเอ่ยในขณะที่ยังจับจ้องหญิงสาวข้างกายอยู่ เขาเห็นพระอาทิตย์ตกแบบนี้มาบ่อยแล้ว แต่วันนี้มันกลับสวยมากที่สุด
“เพราะมีคุณ ผมก็เลยชอบมากๆ”
ไม่มีคำเอ่ยเอื้อนใดออกมาจากปากของเจ้าจันทร์ เพราะเธอไม่ได้เตรียมใจว่าตัวเองจะมาได้ยินอะไรแบบนี้ จึงได้แต่หันกลับมาสบตาณภัทรอย่างนิ่งๆ
อยู่ดีๆ หญิงสาวก็มีคำถามที่ค้างคาใจที่อยากได้ยินคำตอบด้วยตัวเอง
“นายชอบฉันเพราะอะไร”
“ชอบเพราะเป็นคุณ”
“ไม่เห็นเข้าใจเลย” เจ้าจันทร์มุ่ยหน้าอีกครั้งเมื่อคำตอบที่ได้รับกำกวมจนแปลไม่ออก หรือนี่อาจจะเป็นปกติของมนุษย์ที่แก่เรียนอย่างณภัทร?
“คุณจำเนื้อความในจดหมายที่คุณเคยเปิดอ่านได้ไหมครับ”
“...”
ณภัทรไม่ได้รับคำตอบใดๆ เขาไม่แน่ใจว่าสำหรับเธอจะจำได้หรือเปล่า เขาเข้าไปจับมือข้างหนึ่งของเจ้าจันทร์ขึ้นมาก่อนจะเอ่ยกับเธอ
“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กว่าจะรู้ตัวผมก็ชอบเธอมากๆ เลย ผมชอบที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเธอ มันดูสว่างไสวและอบอุ่นราวกับดวงจันทร์เต็มดวงในยามกลางคืน”
แต่สำหรับณภัทร เขาจำได้ขึ้นใจ
ไม่ว่าจดหมายนั้นจะถูกเขียนไว้กี่ปี หรือผ่านมานานแค่ไหน แต่ตอนนี้ความรู้สึกของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนนั้นเลยแม้แต่น้อย ตลอดเวลาหลายปีที่ชายหนุ่มคอยเฝ้ามองและตกหลุมรักเธอ เขารู้ตัวเองอยู่เสมอว่าเขาเป็นใคร เจ้าจันทร์เป็นใคร แต่ในเมื่อรักไม่เลือกที่เกิดเขาก็ตั้งใจว่าจะพยายามให้ถึงที่สุด และจะไม่ยอมปล่อยมือจากหญิงสาวตรงหน้า
ในขณะเดียวกัน คนที่โดนสารภาพรักเป็นครั้งที่สองก็ได้แต่ยืนฟังอย่างตั้งใจ เจ้าจันทร์คิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าประหลาด ทั้งที่ก่อนหน้านั้นหญิงสาวรู้สึกเกลียดชายตรงหน้านี้ยิ่งกว่าอะไรดี และยังคิดด้วยว่าคงจะเกลียดแบบนั้นตลอดไป เมื่อก่อนหากมีใครถามว่าเกลียดณภัทรมากแค่ไหน เธอก็คงตอบว่ามากที่สุด แต่ในตอนนี้เธอกลับไม่มั่นใจในความรู้สึกนั้นอีกแล้ว
“ถึงขนาดนี้แล้ว คุณยอมรับรักผมหรือยังครับ”
คำถามที่ส่งมาจากอีกฝ่ายทำให้เจ้าจันทร์นิ่งเงียบไปมากกว่าเดิม ในสมองก็เอาแต่คิดอะไรมากมายที่จับประเด็นไม่ได้เสียที จนท้ายที่สุดเธอจึงต้องเบือนหน้าหนีแล้วชักมือออกมาจากเขา
“มันจะค่ำแล้วอะ เรากลับกันเถอะ”
สุดท้ายวันนี้เธอก็ยังให้คำตอบเขาไม่ได้อีกตามเคย
Castle-G's Talk
นะเป็นคนหรือไมโครเวฟคะ อบอุ่นไม่ไหว
ต้องฟังเพลงยิ่งรู้จัก ยิ่งรักเธอแล้วป้ะวินาทีนี้
ร้องไห้น้ำตาเป็นสายรุ้งแล้วค่ะตอนนี้
มาหวีดติดแท็ก #ณเจ้าจันทร์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

55555555555555555555