ตอนที่ 3 : MY ONLY 1 | 01 : หนึ่งคนเกลียดหนึ่งคนรัก [2]
เช้าวันต่อมา
เพราะวันนี้คือวันแรกแห่งการเริ่มไปฝึกงานเจ้าจันทร์จึงลุกจากที่นอนตั้งแต่เช้าเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว มันต้องใช้คำว่าลุกมากกว่าคำว่าตื่นเพราะเมื่อคืนเธอหลับไม่ค่อยสนิทนัก เนื่องจากเปลี่ยนสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยจึงหลับยากเล็กน้อย แล้วหลังจากที่แต่งตัวเสร็จเธอจึงเดินลงมาจากห้องนอนมาจนถึงโถงรับแขกที่อยู่ชั้นล่าง
กลิ่นหอมของกระเทียมเจียวพร้อมกับต้มกระดูกหมูอ่อนๆ โชยเข้าจมูกนั้นเรียกความสนใจจากเธอได้เป็นอย่างดีเชียว
“คุณจะออกไปแล้วเหรอ ทานข้าวก่อนสิ” เสียงทุ้มของหนึ่งในสมาชิกของบ้านดังมาจากห้องครัวก่อนปรากฏกายของเจ้าของเสียงนั้น
“แล้วคุณป้าล่ะ”
“แม่ออกไปเปิดร้านตั้งแต่เช้าแล้ว”
เจ้าจันทร์ก้มมองนาฬิกาที่ใส่ไว้ที่ข้อมือเพื่อคำนวนเวลาว่าจะไปถึงบริษัทตอนกี่โมง แต่พอเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะเธอจึงไม่ได้เร่งรีบอะไร
“คุณป้าทำเอาไว้เหรอ” กลิ่นหอมของข้าวต้มหมูนั้นมันช่างเย้ายวนให้ลองชิมเสียจริง
“อือ” ณภัทรตอบจากนั้นจึงยกชามใส่ข้าวต้มที่เพิ่งตักมาเมื่อครูลงบนโต๊ะกินข้าวให้กับหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามา “ถ้าคุณกินเสร็จแล้วจะออกไปอย่าลืมล็อกบ้านนะครับ วางกุญแจไว้ที่กระถางต้นไม้ด้านหน้า”
“รู้แล้วน่า” เมื่อคืนตอนกินข้าวเย็นคุณป้าภัสสรก็เพิ่งบอกเธอไว้ครั้งนึงแล้ว
เจ้าจันทร์ตักข้าวต้มเข้าปากพลางชำเลืองสายตาไปที่เจ้าของร่างสูงที่กำลังง่วนกับการล้างจานชามอยู่ เธอเองก็เพิ่งสังเกตว่าเขาอยู่ในชุดนักศึกษา
นั่นจึงทำให้สาวเจ้าเพิ่งนึกได้ว่าณภัทรยังเรียนอยู่ ความจริงแล้วทั้งสองคนนั้นอายุ 24 ปีเท่ากันเจ้าจันทร์เรียนจบมาแล้วปีกว่า ส่วนณภัทรยังเรียนไม่จบเพราะเขาเรียนหมอ และด้วยความที่เข้าเรียนช้าไปปีนึง ทำให้ตอนนี้เขายังเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่5
“นายไปเรียนเหรอวันนี้” หญิงสาวตั้งคำถามอีกครั้ง
“ผมไปสอบน่ะ อันที่จริงผมก็มีเรียนอยู่เกือบทุกวัน” อีกฝ่ายตอบกลับมาโดยที่ยังคงหันหลังให้กับเธอ
“นายไปกลับระหว่างมหาลัยกับบ้านแบบนี้ไม่ลำบากแย่เหรอ ทำไมไม่อยู่หอ” ถ้าเขาไปอยู่หอมันก็จะได้สบายหูสบายตาขึ้นหน่อย
“บ้านผมไม่ได้อยู่ไกลจากมหาลัยขนาดนั้น ไม่ต้องเสียเงินไปกับเรื่องไม่จำเป็นหรอก” คราวนี้ณภัทรหันหน้ามาสบตากับเจ้าจันทร์ “อีกอย่าง..ถ้าผมไปใครจะดูแลแม่ ใครจะดูแลคุณ”
“ไม่ต้องดูแลฉัน ฉันไม่ได้ต้องการ” หญิงสาวตอบกลับทันควัน
“ไม่ต้องการก็ช่วยไม่ได้เพราะนั่นมันเป็นหน้าที่ผม ไม่ได้เกิดจากความต้องการของคุณ”
เจ้าจันทร์กำลังคิดว่าผู้ชายคนนี้ต่อปากต่อคำเก่งขึ้นหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ามาหลายปี นอกจากใบหน้าของเขาจะทำให้เธอหงุดหงิดแล้ว คำพูดคำจานั่นก็ยิ่งโหมโรงให้หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
“นายมัน..ฮึ่ย” เพราะเถียงอะไรไม่ได้ หญิงสาวจึงทำได้เพียงแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย “น่ารำคาญชะมัดเลย ทำไมทุกคนต้องมองว่านายเป็นคนดีทั้งที่ความจริงนายมันร้าย”
“ผมฝึกร้ายไว้จะได้รู้ทันคุณไง เจ้าจันทร์”
“นายว่าฉันเหรอ”
“ผมยังไม่ได้ว่าให้คุณสักคำ” เจ้าของร่างสูงส่ายหน้าจากนั้นจึงทำท่าจะเดินออกไปจากห้องครัว แต่ก่อนจะไปก็ยังไม่วายหันหน้ามาพูดด้วยอีกครั้ง “อ้อ กินเสร็จวางไว้ที่ซิ้งค์เลยนะ คุณไม่ต้องล้างก็ได้”
“ไม่เป็นไร ฉันจะล้าง” ชามใบเดียวทำไมเธอจะล้างเองไม่ได้ มาอาศัยบ้านเขาอยู่จะให้เขาทำให้ทุกอย่างก็ไม่ใช่สักหน่อย
“ก็ดีครับ”
ณ มหาวิทยาลัยA
ณภัทรเดินทางออกจากบ้านแล้วมาถึงที่มหาวิทยาลัยในเวลาแปดโมงกว่าเกือบจะเก้าโมง ซึ่งนั่นก็คือเวลาเข้าห้องสอบ แต่ก่อนจะทำการสอบชายหนุ่มเดินตรงไปที่ม้านั่งตัวหนึ่งใต้ตึกเรียนที่มีกลุ่มเพื่อนของเขานั่งจับกลุ่มเตรียมตัวกันอยู่ เช่นเดียวกับกลุ่มคนเหล่านั้นส่งเสียงทักทันทีเมื่อเห็นเขา
“เห้ย นั่นไงนะมาแล้ว” พิ้งค์เพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มโบกมือให้ก่อนจะกวักมือเรียกให้มานั่งที่ว่างด้านข้างเธอ
“ไง เตรียมตัวมาแล้วใช่ป้ะ” คราวนี้เป็นเสียงของ‘ไม้หนึ่ง’ ชายหนุ่มเจ้าของกรอบแว่นทรงสี่เหลี่ยม เขามีผมสีดำขลับและยุ่งเหยิง
“อื้ม” ณภัทรพยักหน้าพร้อมกับนั่งลงที่ม้านั่ง
“อย่างไอ้นะไม่ต้องเตรียมอะไรมากมันก็สอบผ่านเถอะ” หนุ่มเรือนผมสีน้ำตาล ชายผู้มีผิวสีแทนเนียนสวยพูดต่อ เจ้านี่มีชื่อว่า นิกกี้
“ก็จริงงง” ไม้หนึ่งพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“มึงว่าในแต่ละห้องสอบจะมีอะไรให้เราบ้างวะ”
เพราะวันนี้คือวันสอบ‘ออสกี้’ ของเหล่านักศึกษาแพทย์ ซึ่งเป็นการสอบจำลองเพื่อวัดผลความรู้ความสามารถด้านการเป็นแพทย์แสดงทักษะการตรวจคนไข้ ก่อนจะไปเจอการสอบของจริงในระดับชั้นปีที่6 ก่อนจบ เป็นการสอบที่ค่อนข้างเข้มและโหด เหล่านักศึกษาจึงเรียกกันเล่นว่ามันคือออสการ์ การสอบจะแบ่งเป็นหลายข้อ แต่ละข้ออยู่คนละห้อง ถ้าหากเปิดไปเจอเคสไหนก็ต้องตรวจให้ถูก
“กูว่าแน่ๆ ต้องมีพวกหัตถการแบบฉีดยา เจาะเลือดแน่นอน ได้ยินอาจารย์บ่นๆ เมื่อวาน” พิ้งค์กล่าวจากนั้นก็เหลือบมองบุคคลที่มาช้าที่สุด “ว่าแต่ทำไมวันนี้แกมาสายอะนะ”
“อ้อ ติดธุระช่วงเช้านิดหน่อยน่ะ” คนที่โดนถามสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากนั่งเหม่อลอยไปเมื่อครู่นี้ และแน่นอนว่าธุระช่วงเช้าที่ว่านั่นของเขาคือสมาชิกใหม่ของบ้านนั่นเอง
ตั้งแต่เธอเข้ามาอยู่ที่บ้านเมื่อคืนนี้ จิตใจของเขาก็ไม่ค่อยสงบ แม้แต่ตอนอ่านหนังสือเมื่อคืนนี้เขาก็ยังรู้สึกไม่สงบนัก ไม่รู้ว่าตื่นเต้นกับการสอบหรือตื่นเต้นกับเจ้าจันทร์กันแน่
“เออ ไปกันเถอะเดี๋ยวจะถึงเวลาแล้ว” นิกกี้ตัดบทสนทนาดังกล่าวและเป็นคนเริ่มเก็บข้าวของออกจากโต๊ะคนแรกก่อนจะตามด้วยเพื่อนคนอื่นๆ
และแล้วเวลาสอบก็เดินทางมาถึง
กริ๊งงงง
เสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่นี้บ่งบอกว่าถึงเวลาเข้าห้องสอบแล้ว ณภัทรเปิดประตูเข้าไปในห้องสอบเพื่อเจอกับข้อสอบข้อแรกของตนเอง เมื่อเข้ามาถึงเขาก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ ด้านข้างที่ผนังห้องก็มีอาจารย์นั่งดูอยู่เพื่อประเมินให้คะแนน บนโต๊ะนั้นมีข้อความโจทย์แปะเอาไว้‘ผู้ป่วยมาฟังผลเลือดHIV’
โจทย์ในหัวข้อจิตเวช การแจ้งข่าวร้ายให้ผู้ป่วย
ณภัทรไม่แน่ใจว่าคนไข้ (ปลอม) คนนี้ถูกบรีฟมาให้มีนิสัยยังไง เพราะคนไข้แต่ละเคสก็จะนิสัยแตกต่างกันออกไป บางคนก็อาจจะยอมรับความจริงได้ง่ายแต่บางคนก็อาจจะไม่ยอมรับถึงขั้นโวยวาย ถ้าเป็นอย่างแรกก็ไม่เท่าไหร่นัก แต่ว่าสำหรับชายหนุ่มแล้วถ้ารับมือกับผู้หญิงที่ชื่อเจ้าจันทร์ได้ ที่เหลือก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง
…
เวลาผ่านล่วงเลยไปการสอบทุกเคสก็เสร็จสิ้นลง เขาและเพื่อนก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
“สอบเสร็จสักที”
“เฮ้อ..”
สภาพแต่ละคนเหมือนใช้พลังงานไปจนหมดสิ้น
“แล้วพวกมึงจะไปไหนต่ออะ” ไม้หนึ่งเปิดประโยคเอ่ยถามทุกคนในกลุ่ม
“กูต้องไปเข้าเวรต่อ” ณภัทรเป็นคนแรกที่ตอบ มันเป็นความหนักหนาที่พวกเขาชินไปแล้วก็คือสอบเสร็จก็ต้องไปวอร์ดอีก บางครั้งอยู่เวรด้วยจนดึกซึ่งวันนี้เขาต้องอยู่เวร
“เออกูด้วย” นิกกี้สมทบ
“เดี๋ยวกูจะกลับไปนอนที่หอก่อน” ไม้หนึ่งว่าก่อนจะหันหน้าไปมองผู้หญิงคนเดียวในนี้ “แล้วแกอะพิ้งค์”
“ก็คงกลับไปนอนเหมือนแกแหละ”
“เค แล้วเจอกัน”
00.30 น.
ณ บ้านจารุวิรงภักดิ์
เจ้าจันทร์ที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านก็ควานหากุญแจประตูรั้วที่เธอเพิ่งได้จากการไปปั๊มมาเพิ่มเพื่อปลดล็อกแม่กุญแจที่คล้องไว้ แต่ว่าสภาพแวดล้อมที่มืดสลัวมีแสงไฟอันน้อยนิดทำให้เธอมองหากุญแจดอกเล็กนั่นไม่เจอสักที อันที่จริงแล้วบริษัทของเธอมีเวลาเลิกงานตั้งแต่ 5 โมงเย็น แต่ด้วยความที่หญิงสาวเป็นน้องใหม่เพิ่งเข้ามาทำงานรุ่นพี่ที่ทำงานจึงเสนอความคิดพาเธอไปเลี้ยงต้อนรับที่ร้านอาหารกึ่งผับที่หนึ่ง ด้วยความเป็นรุ่นน้องจะให้ปฏิเสธก็ไม่กล้าเจ้าจันทร์จึงยอมไปด้วยแล้วอยู่ดึกยันเที่ยงคืน
“ทำไมคุณเพิ่งกลับ”
เสียงของใครสักคนดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ ทำเอาคนที่กำลังมองหากุญแจบ้านอยู่ต้องหันกลับไปมองต้นตอเสียงนั้นและพบกับผู้เป็นลูกชายของบ้านนี้ยืนมองอยู่
“เรื่องของฉันสิ นายจะเคอร์ฟิวส์เวลากลับบ้านของฉันด้วยหรือไง” เจ้าจันทร์ไม่ตอบแล้วก็ถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์ ผ่านไปสามวินาทีเธอถึงเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ “เดี๋ยวนะ นายเองก็เพิ่งกลับนี่นา แล้วทำไมต้องมาหาเรื่องฉัน”
“ผมไม่ได้หาเรื่องคุณ ผมถามดีๆ” ณภัทรถอนหายใจเมื่อเห็นใบหน้าหวานนั้นกำลังขมวดคิ้วใส่เขา ชายหนุ่มไม่มั่นใจว่าใครกันแน่ที่หาเรื่องใครก่อน “ผมมีเข้าเวรตั้งแต่บ่ายเลยเพิ่งกลับ”
“นี่ นายไขประตูบ้านหน่อยสิ ฉันหากุญแจไม่เจอ” เจ้าจันทร์เริ่มถอดใจกับการหาลูกกุญแจในกระเป๋าใบใหญ่ยามกลางคืน
“นี่คุณทำหาย?” เขาจำได้ว่าเพิ่งให้ไว้เมื่อเช้านี้ ถ้าอีกฝ่ายทำหายจริงเขาอาจจะต้องเปลี่ยนแม่กุญแจใหม่เพราะลูกกุญแจที่หายไปอาจจะไปอยู่ในมือโจรสักคนก็ได้
“ไม่ใช่!” เธอปฏิเสธเสียงแข็ง “มันอยู่ในกระเป๋าแต่ฉันหาไม่เจอ คือของมันเยอะ นายไขหน่อยสิฉันยืนอยู่ตรงนี้นานจนจะโดนยุงมาอุ้มไปแล้ว”
“ยุงน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่แถวนี้งูเยอะ” สาบานได้ว่าเขาแค่พูดขู่อีกคนเฉยๆ
แต่..
“ฮะ! มีงูเหรอ ไหนอยู่ไหนอะ” ร่างเล็กเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนที่จะวิ่งเข้ามาใกล้กับร่างสูงพร้อมกับเกาะแขนข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ด้วยความตกใจ “งูไรอะ ตัวใหญ่ไหม ล..แล้วมีพิษหรือเปล่า”
อากัปกิริยาเช่นนั่นทำเอาณภัทรหลุดขำเบาๆ เขาเองก็เกือบลืมไปแล้วว่าหญิงสาวคนนี้กลัวงูยิ่งกว่าอะไรดี
“งูน่ะไม่มีหรอกครับ” แต่เอาจริงเขาก็อยากให้มันมีงูจริงๆ ขึ้นมาซะแล้ว
“นายหลอกฉัน” เจ้าจันทร์จ้องหน้าอีกคนเขม็ง เธอเปลี่ยนจากแววตาตื่นกลัวมาเป็นชักสีหน้าใส่เขาอย่างไม่พอใจ “ก็รู้ว่าฉันกลัวงู นี่นายแกล้งฉันนี่”
“ผมเปล่า”
“โกหก ชิ เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ”
“ก็ได้” เขายอมแพ้จากนั้นจึงล้วงกุญแจในกระเป๋ากางเกงออกมาก่อนจะไขโซ่กุญแจที่คล้องประตูรั้วเอาไว้อยู่ออกมา
เมื่อประตูบ้านเปิดออกมาได้เธอก็เดินเข้าไปในบ้านก่อนโดยทิ้งณภัทรให้ยืนปิดประตูบ้าน แต่ใช้เวลาไม่นานเขาก็เดินตามมาทัน โชคดีที่ประตูของตัวบ้านไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้คงจะเป็นเพราะคุณภัสสรเจ้าของบ้านรู้ว่าทั้งณภัทรและเจ้าจันทร์ยังไม่กลับ แต่ด้วยความที่ต้องนอนเร็วหญิงเจ้าของบ้านจึงจำเป็นต้องล็อกประตูรั้วเอาไว้ป้องกันการโจรกรรม
“แม่น่าจะนอนแล้ว คุณเองก็เสียงเบาๆ หน่อยล่ะ” ลูกชายเจ้าของบ้านเอ่ย
“รู้น่า สั่งทำไมนัก”
“ผมบอกดีๆ”
“ฉันมองนายดีๆ ไม่ได้หรอก”
สาวเจ้าสะบัดหน้าหนีก่อนจะเดินขึ้นบันไดเพื่อขึ้นห้องของตนเอง แต่ว่าเคราะห์กรรมบังเกิด ด้วยเหตุเพราะไม่ได้เปิดไฟชั้นล่างเอาไว้จึงมีแค่แสงสว่างจากโคมไฟหน้าบ้านส่องผ่านเข้ามา แต่นั่นก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้มองเห็นอะไรๆ ในบ้านได้ดีนัก บวกทั้งความไม่คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ส่งผลให้เจ้าจันทร์สะดุดบันไดขั้นที่สอง ความไม่ระวังตัวของเธอทำให้เจ้าตัวเกือบจะหงายหลังลงมากับพื้นบ้าน
โชคดีที่ว่ามีคนรับทัน
“เป็นอะไรไหม” เจ้าของอ้อมแขนที่เข้ามาโอบกอดเธอเอาไว้ถามอย่างเป็นห่วง เขาเองก็ตกใจเหมือนกันที่เมื่อครู่เห็นหญิงสาวสะดุดล้มลงมาแบบนั้น
“ไม่ ปล่อยได้แล้ว” เจ้าจันทร์รีบผละร่างออกมาจากณภัทรก่อนจะเดินขึ้นบันไดอีกครั้ง และคราวนี้เธอระวังตัวมากกว่าเดิม
หญิงสาวเดินออกไปโดยไร้คำขอบคุณใดๆ ซึ่งนั่นไม่ได้บั่นทอนจิตใจของเขามากนักเพราะเคยชินไปแล้ว ตั้งแต่เด็กจนโตเจ้าจันทร์ก็ทำท่ารังเกียจเขาแบบนี้อยู่ประจำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สาวเจ้ารู้สึกต่อเขามันตรงกันข้ามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้สึกต่อเธอ
เพราะแบบนั้นณภัทรจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเองคนเดียวตลอดมา
______________________________________________
Castle-G's Talk
มายาวมากเลยเนี่ย เป็นนิยายในรอบ 2 ปีที่จีรู้สึกเขียนสนุกมากๆ
เขียนลื่นเป็นปลาไหล เลยมาอัพยาวมาก จีค่อนข้างชอบคาแรกเตอร์ตัวละคร
เป็นพระเอกนางเอกที่ค่อนข้างแตกต่างจากเรื่องก่อนๆ เลย
ยิ่งความน่ารักของพระเอก ก็ยิ่งทำให้จีชอบมากขึ้นไปอีก
ฝากส่งฟีดแบคด้วยค่า
มาหวีดติดแท็ก #ณเจ้าจันทร์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จะเกลียดอะไรนักหนาเนอะ