ตอนที่ 10 : MY ONLY 1 | 04 : เมื่อบ้านไฟดับ [3]
ณภัทรลุกขึ้นยืนเต็มความสูงไม่ได้พูดอะไรกับเธออีกเพราะพูดอธิบายอะไรไปเจ้าจันทร์ก็คงไม่สนใจจะเปิดใจรับฟังอยู่ดี เขาจึงไม่อยากจะพูดอะไรอีก
“ไฟมาแล้วคุณก็ขึ้นห้องเถอะ ผมก็จะกลับห้องเหมือนกัน”
ชิ พูดเรื่องจริงก็ทำเป็นรับไม่ได้
วันต่อมา ณ บริษัท
“เจ้าจันทร์ เย็นนี้ไปเดินงานAfair ด้วยกันไหม”
“คะ” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอแล็บท็อบไปมองผู้เป็นรุ่นพี่ในออฟฟิศอย่างสงสัย เจ้าของคำเอ่ยชวนเมื่อครู่นี้พี่ไหม เธอเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบปลายๆ ทำงานที่บริษัทมาได้สามปีแล้ว
“เห็นเมื่อเช้าบ่นว่าเบื่อๆ ไง”
“อ้อ” จะว่าไปเธอก็แอบบ่นว่าเบื่อจริง แต่ว่าเบื่องานที่ได้รับมอบหมายมากกว่าน่ะ
“ไปส่องหนุ่มมหาลัยด้วย คิกๆ เด็กหนุ่มนี่มันชุ่มชื่นหัวใจจริงเชียว” พี่ไหมเธอว่าพลางยกมือป้องปากหัวเราะ สาวโสดอย่างเจ้าตัวถ้าจะอยากไปส่องผู้ชายเด็กๆ ก็คงเป็นเรื่องปกติ
งานAfair เป็นงานที่จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยA เป็นงานคล้ายๆ ตลาด มีของซื้อของขายส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของใช้ของกินมากกว่า มีขึ้นทุกปีปีละหนึ่งครั้ง ส่วนใหญ่แล้วกลุ่มลูกค้าก็มักจะเป็นเด็กนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มาเดิน แต่คนนอกที่ไปก็ไม่ได้มีน้อย
“เอ่อ...” เจ้าจันทร์กำลังคิดหาทางปฏิเสธ เพราะเธอขี้เกียจไป
“ไปด้วยกันสิจันทร์ พี่ว่าก็จะไปเหมือนกันอยากไปซื้ออะไรสักอย่างหน่อย” พิทักษ์เดินเข้ามาร่วมการสนทนาด้วย เขาเองก็ตั้งใจจะชวนเธอเช่นเดียวกัน
“พี่ทักก็จะไปงั้นเหรอ ว้าวดีจัง ไปกันหลายคน” ไหมปรบมือดีใจเมื่อเห็นชายหนุ่มอีกคนเห็นด้วย
“ค่ะ แต่อยู่ได้ไม่นานนะคะ” เพราะสถานะรุ่นน้องมาฝึกงานทำให้เธอไม่กล้าที่จะปฏิเสธคำชวนของรุ่นพี่
หลังจากที่ตกลงกันเสร็จเรียบร้อยทั้งสามคนก็ออกมาเจอกันที่ด้านหน้าของบริษัท โดยใช้รถส่วนตัวของพิทักษ์เป็นพาหนะในการเดินทางไปที่งาน แม้ว่าการจราจรของประเทศกรุงเทพ ฯ ในตอนเย็นจะติดขัดมากแค่ไหนแต่พวกเขาก็สามารถเดินทางมาถึงเป้าหมายจนได้
บรรยากาศงานในเวลาเช่นนี้เต็มไปด้วยความคึกครื้นที่มาพร้อมความคับคั่งของเหล่าผู้คนมากมาย เดินเบียดไหล่กันไปมาด้านในงาน ในตัวงานจะถูกแบ่งออกเป็นสามโซน นั่นก็คือโซนขายอาหารเครื่องดื่ม โซนขายของใช้ แล้วก็โซนขายสัตว์เลี้ยง รอบข้างก็มีสถานที่สำหรับจอดรถเอาไว้บริการผู้ที่มางาน ทั้งสามเริ่มต้นการเดินเท้าด้วยโซนของกินก่อนโดยเฉพาะตัวตั้งตัวตีที่ชวนมาบอกว่าจะกินให้เป็นอาหารเย็นไปเลย
ผิดกับเจ้าจันทร์ที่ต้องสงวนท่าทีเอาไว้และทานได้แค่ของกินที่ย่อยง่ายไม่อิ่มเร็ว เนื่องจากเธอยังอยากเก็บท้องไปกินข้าวฝีมือคุณป้าภัสสรที่บ้านอยู่
“นี่ดูนี่สิจันทร์” ไหมคว้ามือของรุ่นน้องในที่ทำงานเพื่อเดินไปดูขนมไดฟุกุของร้านหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล “สตอเบอร์รี่สดมากเลยอะ เป็นไส้ไดฟุกุน่าอร่อยมาก จันทร์ชอบกินไหม สีแดงสดเชียว”
“ก็..ชอบค่ะ” แต่ไม่เท่าไหร่
อันที่จริงต้องบอกว่าเธอรู้สึกเฉยๆ กับสตอเบอร์รี่มากกว่า เพราะบ้านของหญิงสาวที่เชียงใหม่มีไร่สตอเบอร์รี่เป็นของตัวเองพร้อมกับรีสอร์ทบนดอย เป็นธุรกิจของครอบครัวเธอที่มีมานานแล้ว เธอเห็นสตอเบอร์รี่มาตั้งแต่เกิด จึงไม่รู้นึกตื่นเต้นกับมันนัก แต่นั่นไม่ใช่ธุรกิจทั้งหมดที่ครอบครัวของเธอทำ ยังมีหุ้นส่วนของบริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์อีกด้วยที่ตอนนี้มีพี่สาวคนโตกำลังดูแลอยู่ อันนี้ก็แค่ธุรกิจของทางฝ่ายพ่อเท่านั้น เพราะแม่ของเธอเป็นอดีตนางแบบแถวหน้าที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นดีไซเนอร์เจ้าของห้องเสื้อไปแล้ว
ก็น่าจะมีคนสงสัยว่ารวยขนาดนั้นจะไปทำงานญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องยากนี่ ถ้ามันไม่ติดปัญหาที่พ่อของเธอไม่ไว้ใจให้เธอไปด้วยตัวเอง ยังไงเธอก็ต้องมีคนรับรองก่อนว่าฉันจะสามารถไปทำงานที่นั่นได้นั่นก็คือผ่านการฝึกงานที่บริษัทนี้ก่อน ผู้เป็นพ่อถึงจะยอมปล่อยให้เจ้าจันทร์ไป
ทั้งที่ลูกสาวก็อายุยี่สิบสี่แล้วแท้ๆ ไม่รู้ว่าพ่อจะหวงเธอทำไมนัก ทั้งที่กับพี่เจ้าฟ้าพี่สาวคนโตและเจ้าตะวันพี่ชายฝาแฝดก็ยังไม่หวงถึงขนาดนี้
Rrrrr
เสียงโทรศัพท์ของใครสักคนดังขึ้นมา ก่อนที่เจ้าของโทรศัพท์จะรีบหยิบออกมารับสาย ซึ่งคนคนนั้นไม่ใช่แต่เป็นพี่ไหมของเจ้าจันทร์นั่นเอง
“ค่ะ สวัสดีค่า อะไรนะคะ? ตอนนี้เลยเหรอคะ ค่ะๆ ได้ค่ะ” หลังจากที่โทรศัพท์คุยกันอยู่สักพัก รุ่นพี่สาวก็หันหน้ามาบอกกับเธอด้วยความตึงเครียด “บอสโทรมาว่าให้ไปเจอลูกค้าอะ พี่ว่าคงไม่ได้เดินด้วยแล้วแหละวันนี้”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าไหม” พิทักษ์ที่เพิ่งเดินตามมาก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“โอ๊ย ลูกค้าเรื่องเยอะนั่นน่ะสิ ไหมละเหนื่อยจริงๆ เลยพี่ ฮึ่ม ถ้าไม่ติดเป็นลูกค้านะด่าให้จำทางกลับบ้านไม่ทันเลย หงุดหงิดอะ”
“ใจเย็นๆ ไหมไปเคลียร์งานก่อนก็ได้ เดี๋ยวทางนี้จะเดินซื้อของไปฝากแล้วกัน”
“แงงง ขอบคุณมากเลย งั้นไปก่อนนะ” หลังจากนั้นหญิงสาวรุ่นพี่ก็ปลีกตัวออกไปจากงานเพื่อกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จทั้งที่เวลานี้มันเลยเวลาทำงานมาแล้ว
เอาเป็นว่าตอนนี้ก็เหลือแค่เธอกับพิทักษ์สองคนเท่านั้น ความรู้สึกที่เกร็งนิดหน่อยนี่มันคืออะไรกันนะ อาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ค่อยสนิทกับรุ่นพี่ผู้ชายมากเท่าไหร่
“งั้นพี่ว่าเราหาอะไรทานกันก่อน เจ้าจันทร์อยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ ความจริงจันทร์ยังไม่อยากกินอะไรหนักๆ เท่าไหร่” เธอตอบไปตามความจริง
“อ้าว อย่างนั้นเหรอ งั้นกินอะไรเบาๆ ไปก่อนก็ได้เนอะ ไปเดินซื้อขนมกันเถอะ” พิทักษ์บอกกับหญิงสาวจากนั้นจึงพาเดินนำหน้า
ในอีกมุมหนึ่งของงาน
โซนขายสัตว์เลี้ยงก็มีกลุ่มนักศึกษาแพทย์สี่คนที่ใช้เวลาว่างที่มีอยู่มาเดินงานขายของในมหาวิทยาลัยด้วยกัน ซึ่งดูเหมือนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดจะเป็นนิกกี้
“เห้ย เดี๋ยวนี้เขามีเอาเม่นแคระมาขายในงานแล้วเหรอวะ” นิกกี้เข้าไปเกาะกรงมองเม่นตัวเล็กที่อยู่ในนั้นด้วยสายตาลุกวาว เขามีใจชื่นชอบสัตว์เลี้ยงที่คนอื่นไม่นิยมเลี้ยงเหมือนหมาแมวอะไรแบบนั้น
“ปีที่แล้วก็มีเถอะ ปีก่อนนู้นนนก็มี มึงไม่เห็นเองไง” ไม้หนึ่งพูดหลังจากที่เห็นเพื่อนของตนเองเข้าไปเกาะกรงมองเม่นแคระอย่างน่าสังเวช ทำท่าทางแปลกๆ แบบนั้นคนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมาเขาจะมองยังไง
“เออ กูผิดที่กูไม่ได้มา” นิกกี้หันไปโวยใส่ไม้หนึ่งอย่างเกรี้ยวกราดจากนั้นเจ้าตัวก็เบี่ยงสายตามาที่ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มอย่างพิ้งค์บ้าง “พิ้งค์จ๋า มีตังค์ให้เพื่อนยืมสักพันสองพันไหมอ่า อยากได้น้องไปเลี้ยง”
“ไอ้บ้า สองร้อยค่าน้ำวันก่อนมึงก็ยังไม่คืนเลยเถอะ”
“ซื้อน้ำอะไรสองร้อยวะ” คนที่ยืนเงียบอยู่นานก็ถามขึ้นบ้าง
“ก็มันซื้อของมันแก้วนึง ซื้อไปฝากสาวของมันอีกแก้วนึงไง” พิ้งค์หันหน้ามาตอบณภัทร “เนี่ย นะดูมันดิ ขนาดเงินจะเปย์หญิงมันยังต้องบืมเพื่อน กากจังวะคนอะไร”
“เห้ยพิ้งค์ กูแค่โดนหม่อมแม่จำกัดการใช้เงินเว้ย เอาไว้หม่อมแม่หายโกรธกูนะกูจะรีบเอาตังค์มาคืนมึงพร้อมดอกเบี้ยสองเท่าไปเลย” นิกกี้รีบแก้ตัว
“จ้า ให้มันจริง”
“เออนะ กูเพิ่งนึกได้ว่าอยากได้ต้นไม้ไปไว้ระเบียงหลังห้อง มึงเองก็บอกว่าอยากดูอยู่นี่” คราวนี้เป็นเสียงของไม้หนึ่ง เจ้าตัวพูดกับณภัทรแล้วโชว์หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมา “เนี่ยต้นนี้ มึงบอกจะพากูไปดูอะ”
“เหรอ กูพูดตอนไหน” ณภัทรคิดว่าตัวเองไม่เคยพูดนะ
“อย่าทำไขสือ ไปกับกูไอ้นะ” ไม้หนึ่งไม่รอให้เพื่อนปฏิเสธอะไรและพยายามจะตัวให้อีกคนเดินไปด้วยกันกับเขา
“อ้าว เราไปด้วยดิ” พิ้งค์ไม่อยากโดนทิ้งไว้กับแฟนคลับเม่นแคระแถวนี้นักหรอก
“ทิ้งกูไปหมดได้ไง มาด้วยกันไปด้วยกันดิวะ” นิกกี้ ถึงแม้จะรักและหลงใหลในหนามที่ปกคลุมตัวของเม่นน้อยในกรงนี้มากแค่ไหนแต่ก็ต้องยอมตัดใจแล้วเดินไปกับเพื่อนๆ เพราะถึงนั่งมองต่อไปเขาก็ไม่มีปัญญาไปซื้อมาเลี้ยงอยู่ดี ไหนจะค่าอาหารค่ากรงค่าดูแลจิปาถะอีก
ลำพังชีวิตนักศึกษาแพทย์อย่างพวกเขาอย่าว่าแต่เลี้ยงสัตว์เลย เลี้ยงตัวเองให้รอดก่อนเถอะ
แต่ว่าในขณะที่กำลังทั้งสี่คนกำลังเดินไปยังโซนขายต้นไม้ที่อยู่ถัดออกไปอีก ณภัทรที่ไม่ค่อยได้มาเดินงานอะไรแบบนี้นักก็มองสำรวจสิ่งรอบกายไปมาด้วยความสนใจ เป็นงานที่ใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยจัดแต่ว่ากลับกว้างขวางจนคิดว่าไม่น่าจะเดินได้ทั่วถึงภายในวันเดียว ระหว่างโซนสัตว์เลี้ยงกับโซนต้นไม้ก็มีซุ้มขายของกินเล็กๆ ตั้งอยู่ในอีกฝั่งของถนน และมันก็คงจะเป็นแค่ซุ้มของกินทั่วไปถ้าเขาไม่บังเอิญไปเห็นใครสักคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
คนที่เขาเห็นนั่นก็คือเจ้าจันทร์ที่เวลานี้เลิกงานแล้วก็ควรกลับบ้านแต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กับผู้ชาย..สองคน ณภัทรคิดว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดหรือจำคนผิดแน่นอน เพราะจำได้ว่าชุดนั้นเป็นชุดที่เจ้าจันทร์ใส่ออกจากบ้านเมื่อเช้านี้แน่นอน
“เดี๋ยวกูมานะ” เจ้าของร่างสูงหยุดเดินแล้วหันไปบอกเพื่อนๆ ของตนเองก่อนจะรีบปลีกตัวออกไปโดยไม่รีรอให้เพื่อนถามให้หายสงสัย
เจ้าของขายาวนั้นก้าวฉับๆ ตรงไปยังบุคคลเป้าหมายได้โดยใช้เวลาไม่นาน ในที่สุดชายหนุ่มก็สามารถเข้าไปอยู่ในระยะประชิดตัวเธอได้
เจ้าจันทร์ที่กำลังยืนเลือกซื้อของอยู่ก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นณภัทรมายืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นักเท่าไหร่ เขามองเธอและพิทักษ์สลับกันพร้อมกับขมวดคิ้วไม่ชอบใจ
“นายมาทำอะไร”
“ก็นี่มันมหาลัยของผม คุณนั่นแหละที่มาทำอะไร”
คำถามที่ไม่ได้รับคำตอบแต่กลับถูกส่งกลับมาทำให้เจ้าจันทร์เผลอมุ่ยหน้าใส่อีกฝ่าย
“มันเรื่องของฉันสิ งานAfairใครๆ ก็เดินได้ไม่ใช่หรือไง”
“เอ่อ พอดีพี่เป็นคนชวนจันทร์เขามาเดินน่ะครับ” รุ่นพี่หนุ่มที่ยืนอยู่ด้วยกันเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง เพื่อหวังว่าจะช่วยคลายขอสงสัยของณภัทรได้
แต่กลับกลายเป็นว่าณภัทรดันไม่พอใจมากกว่าเดิม เจ้าของร่างสูงเข้าไปคว้ามือของหญิงสาวแล้วพาเดินออกมาจากบริเวณที่ยืนอยู่
“อะไรของนาย พาฉันออกมาทำไม ฉันกำลังเลือกซื้อของนะ” เจ้าจันทร์โวยวายหลังจากที่โดนเขาลากออกมาจนถึงสวนที่ติดกับงานและไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมากนัก สาวเจ้าทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในงานแต่ทว่าคนที่ลากเธอออกมากลับไม่ยอมปล่อยมือ
“ทำไมคุณถึงมากับผู้ชายคนนั้นสองคน”
“ก็เขาชวน” ถึงแม้ว่าตอนแรกเจ้าจันทร์จะมีพี่ไหมมาด้วยอีกคนหนึ่งแต่ต้องกลับก่อนก็เถอะ แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมานั่งอธิบายให้เขาเข้าใจเสียหน่อย
“ผู้ชายชวนมาสองต่อสองก็มาเหรอไง นี่คุณไม่กลัวว่าเขาจะพาคุณไปทำมิดีมิร้ายเหรอ”
“ก็เขาไม่ได้พาฉันไปทำมิดีมิร้าย เขาพามาเที่ยวงานนี่ไง นายจะตีโพยตีพายไปทำไม ในเมื่อสิ่งที่นายคิดไม่ได้เกิดขึ้นจริงสักหน่อย” เธอชักจะหงุดหงิดแล้วนะ
“ผมจะพาคุณกลับบ้าน”
“ฮะ? ฉันเพิ่งมานะ ฉันไม่กลับ”
“ผมไม่ให้คุณเดินเที่ยวกับผู้ชายสองต่อสองหรอก” ณภัทรยังคงไม่มีท่าทีว่าจะยอมปล่อยเธอไป
พอๆ กับเจ้าจันทร์ตอนนี้ที่ไม่มีทางทีว่าจะหายดื้อรั้น
“เขาไม่ใช่คนไม่ดีนะ”
“ผู้ชายคนไหนก็ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้นแหละ”
“นายเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาบังคับฉันไม่ทราบ”
“ผมมีหน้าที่ต้องดูแลคุณไง ถ้าผมปล่อยให้คุณออกนอกลู่นอกทางผมก็จะโดนพ่อของคุณตำหนิเอาได้ รู้ไว้ด้วย” ถึงแม้ว่าผู้มีพระคุณของเขาจะไม่ได้กำหนดขอบเขตของคำว่าดูแลเอาไวเ แต่ณภัทรก็จะเหมารวมไปว่าต้องปกป้องหญิงสาวจากพวกผู้ชายที่คิดไม่ดีเหล่านั้นด้วย
“ฉันไม่ใช่เด็กประถมแล้วนะ ฉันอายุเท่ากับนาย”
“แต่คุณน่ะชอบทำตัวไม่โตสักทีรู้ไหม แบบนี้ไงพ่อคุณถึงได้เป็นห่วงขนาดนี้”
“ณภัทร!”
“ผมจะให้คุณกลับไปในงานแล้วบอกกับพี่คนนั้นว่าคุณจะกลับแล้ว” เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าให้ตายยังไงเขาก็จะไม่ปล่อยเธออยู่กับรุ่นพี่ที่ทำงานนั่นสองต่อสอง
“ฉันจะฟ้องพ่อว่านายข่มขู่ฉัน”
นี่ไง นิสัยแบบนี้ไง เขาถึงได้บอกว่าเธอทำตัวไม่โตเสียที
“ผมก็จะบอกเหมือนกันว่าคุณมาเดินเที่ยวกับผู้ชายสองคน”
เจ้าจันทร์ยืนนิ่งและเงียบไปอย่างไม่มีทางเลือก ท่าทางที่เด็ดขาดของณภัทรทำให้เธอคิดว่ายังไงเขาก็คงไม่ยอมปล่อยให้เธอไปเดินเที่ยวอีกแล้วแน่ๆ แต่ว่าตอนนี้หญิงสาวยังไม่ได้อยากกลับบ้านเสียหน่อย ทำไมจะต้องมาบังคับกันด้วยเล่า
“ฉันเพิ่งมาถึงนะ ฉันยังเดินได้ไม่เท่าไหร่เลย กลับบ้านไปก็ต้องอยู่แต่ในห้องไม่ได้ทำอะไรอยู่ดี ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ฉันก็ไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวที่ไหนด้วยซ้ำ ฉันก็แค่อยากเดินเปิดหูเปิดตานี่..”
ใบหน้าที่หมองเศร้าลงของร่างเล็กทำให้ชายหนุ่มใจกระตุก เขาเริ่มคิดว่าตัวเองอาจจะทำเกินไปหรือเปล่า สุดท้ายแล้วความใจแข็งและเด็ดขาดที่มีอยู่ในตอนแรกก็ลดอ่อนลงอย่างห้ามไม่ได้ ณภัทรนึกด่าตัวเองในใจที่ใจอ่อนให้กับเธออีกแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมตอนเด็กเขาถึงโดนเจ้าจันทร์แกล้งอยู่บ่อยครั้ง
มันเป็นเพราะเขาไม่กล้าทำอะไรเธอจริงจังสักทีไง
“ได้ งั้นผมจะไปกับคุณด้วย”
Castle-G's Talk
เนี่ย ก็เรามันเป็นคนแบบเนี้ยไงนะ ยอมให้เขาทุกครั้งเลย
เด็ดขาดได้ไม่เท่าไหร่ ก็ใจอ่อนให้เขาอีกแล้ว เฮ้อมม
ฝากส่งฟีดแบคด้วยค่า เม้นท์ให้เลาเถอะ
สุ่มแจกอีบุคจากคอมเม้นท์นะคะ (ถ้าได้ทำนส.ก็จะแจกนส.ด้วย)
มาหวีดติดแท็ก #ณเจ้าจันทร์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทาสเมียดูออก
อีกหน่อยเป็นทาสเมียแน่ๆ ^^
พอๆกับเจ้าจันทร์ตอนนี้ที่ไม่มีทางที(ท่าที)ว่าจะหายดื้อรั้น
1ขนาดเงินจะเปย์หญิงมันยังต้องบืม(ยืม)เพื่อน...
2กำหนดขอบเขตของคำว่าดูแลเอาไวเ (ไว้)
ซึ่งคนคนนั้นไม่ใช่...(ใคร) แต่เป็นพี่ไหมของเจ้าจันทร์นั่นเอง