ตอนที่ 4 : SEARCHMEL | 03 : กระสุนนัดที่หนึ่ง [100%]
3
10:00 AM
“จานก็ยังไม่ล้าง ห้องก็ยังไม่กวาด ชุดก็ยังไม่รีด นี่ยังจะมีภาระเพิ่มมาคอยดูแลแกอีก”
ฉอดๆๆๆ ขี้บ่นจังอะ
“ขอโทษจ้า ว่าแต่เมื่อคืนนี่เมาขนาดนั้นเหรอ” เหมือนฉันรู้สึกตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนแล้ว พอตื่นขึ้นมาก็โดนโยนยาแก้แฮงก์ให้แถมยังโดนบ่นตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้
“เออสิ แกนี่มันทำตัวเป็นลูกฉันจริงๆ นั่นแหละ” จับฉ่ายบ่นฉันไม่หยุดในขณะที่มือก็ไปหยิบไม้กวาดมากวาดพื้นห้องไปด้วย
“โอ๊ยแม่” ฉันเอาฝ่ามือกดหูทั้งสองข้างเพื่อปิดการรับรู้เสียงบ่นนั่น
“แล้วไหนว่าวันนี้ช่วงบ่ายมีนัดทำรายงานกลุ่ม?”
“เออ!” พอยัยเพื่อนพูดมาแบบนั้นฉันก็พลันนึกได้ทันที ก่อนจะรีบคลานออกจากเตียง “ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวต้องออกไปกินข้าวอีก ตายๆ”
แน่นอนว่าหลังจากที่คว้าผ้าเช็ดตัวติดมือมาได้ฉันก็ได้ยินเสียงถอนหายใจไล่หลังมา
01:00 PM
บ่ายโมงเป๊ะ ตามเวลานัดฉันมาถึงมหาวิทยาลัยได้ทันพอดี สถานที่นัดก็เป็นม้านั่งข้างใต้ตึกเรียนอยู่ตรงข้ามก็ร้านกาแฟ ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองหาเพื่อนที่ทำงานกลุ่มด้วยกันก่อนจะพบในที่สุด แต่เรื่องที่ทำให้รู้สึกเซอร์ไพรส์นั่นก็คือตรงนั้นมีนั่งอยู่แค่คนเดียว
“เอ่อ สวัสดีรุ่ยหลง” ฉันเอ่ยทักผู้ชายคนเดียวที่นั่งอโลนอยู่ที่โต๊ะ
“ตรงเวลาดีนะ” รุ่ยหลงมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเองแล้วเอ่ยออกมา หมอนี่น่าจะเป็นเพื่อนในคณะที่คุยด้วยได้อย่างสนิทใจที่สุดแล้วหละมั้ง นอกนั้นน่ะถ้าเป็นพวกผู้หญิงก็รุมเหยียด นินทาฉันไปหมดแล้ว ส่วนผู้ชายน่ะก็ชอบเข้ามาพูดจาลามกใส่เพราะข่าวสุดฉาวที่ฉันเคยมี ขนาดเพื่อนร่วมกลุ่มก็ยังไม่อยากคุยกับฉันแต่จำใจเพราะต้องทำงานร่วมกัน
อ่า..นึกถึงแล้วก็เหนื่อยชะมัดเลย
“แล้ว..เพื่อนคนอื่นล่ะ”
“ยังไม่เห็นอะ เพิ่งเจอเมล่อนคนแรกนี่แหละ” อีกฝ่ายส่ายหน้าเบาๆ พลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดูด
“เราต้องรอเพื่อนหรือเปล่า”
“ก็ดูงานล่วงหน้าไปก่อนก็ได้ รอไปก็เสียเวลา” ลุ่ยหลงตอบก่อนจะหยิบหนังสือขนาดหนาปึกเท่าสารานุกรมที่ฉันเห็นในห้องสมุดขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วนำมาวางบนโต๊ะ
“โอ้โห อะไรเนี่ย” ฉันมองเจ้าหนังสือนั่นด้วยแววตาตื่นกลัวเล็กน้อย
“ข้อมูลทำรายงานน่ะ ในนี้มีรายละเอียดบางอย่างที่เราจะใช้ได้”
“ต้องอ่านหมดนี่ไหมอะ” นั่นคือสิ่งที่ฉันกลัวที่สุดเลย ก็คือการอ่านหนังสือเนี่ยแหละ
“ไม่ต้องหรอก ผมคั่นหน้าที่จำเป็นเอาไว้แล้ว” โห เป็นคนที่ขยันอะไรเบอร์นี้นะ ยิ่งเห็นรุ่ยหลงทำขนาดนี้ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะงานของฉันหลักๆ ก็มีแค่ทำพรีเซนเทชั่นเพื่อนำเสนอเท่านั้น
Line~
เสียงแจ้งเตือนแอพแชทนั้นเรียกความสนใจจากฉันได้ดี
BS.K : เสร็จแล้วนะ
ใช้ไอดีเดิมแต่ password เป็น xxjo1234
คุณแฮคเกอร์นั่นเองที่ส่งข้อความมาหา ว่าแต่ว่าทำไมถึงได้เร็วจังเลยอะ
Me : ไหนบอกว่า 3 วัน
BS.K : บอกว่าไม่เกิน 3 วัน ไม่ใช่ 3 วัน
Me : เก่งจังเลย *-*
ฉันกดแคปหน้าจอนั่นเอาไว้เพื่อเก็บรหัสผ่านไอจีอันใหม่ที่เซิร์ชทำมาให้ ไม่รู้ว่าทำไมต้องตั้งเป็นตัวอักขระยากๆ ด้วย ใช้เป็นคำๆ จำง่ายไม่ได้เหรอไง
BS.K : นี่ ถามอะไรหน่อยสิ คือจะไม่ตอบก็ไม่เป็นไรนะ
Me : ??
BS.K : คลิปนั้นอะ จำเป็นต้องลงไอจีสาธารณะด้วยเหรอไง
!! ฉันแทบปล่อยโทรศัพท์หลุดร่วงจากมือเมื่อจู่ๆ ก็ได้รับคำถามมาโดยไม่ทันตั้งตัว ถึงแม้อีกฝ่ายจะยังไม่บอกว่าเป็นคลิปไหน แต่ดูจากรูปประโยคก็เดาได้ไม่ยาก
พอตั้งสติได้แล้วจึงค่อยๆ พิมพ์ตอบกลับไปด้วยมืออันสั่นเทา
Me : ฉันไม่ได้ลงนะ อันนั้นใครก็ไม่รู้ลง
อ่านแล้ว แต่ยังเงียบอย่างนั้นเหรอ
BS.K : ขอโทษที่ถาม งั้นเรื่องของเราจบกันแค่นี้แหละ
เดี๋ยวนะ ทำไมรูปประโยคล่าสุดนี่มันแปลกๆ จังเลย รู้สึกเหมือนกำลังโดนบอกเลิกยังไงก็ไม่รู้ แล้วนี่ต้องเฮิร์ตด้วยหรือเปล่า
“ถอนหายใจทำไม” รุ่ยหลงที่นั่งด้านข้างทักขึ้นมา
“เราทำแบบนั้นเหรอ?” ฉันหันไปมองผู้เป็นเพื่อนอย่างงงๆ พลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง นี่ไปถอนหายใจตอนไหนเนี่ย ทำไมถึงไม่รู้สึกตัวเลย
“อือ เมื่อกี๊เห็นพิมพ์แชทด้วยหน้าหนักใจๆ อะ” ทำไมถึงเป็นคนช่างสังเกตขนาดนี้
“ไม่มีอะไรอะ คนเรามันก็มีเรื่องเครียดได้ตลอดเวลานั่นแหละ” ฉันพยายามบ่ายเบี่ยงไปที่สัจธรรมของโลก เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่ต้องมี
จะว่าไปฉันมีอาการเครียดออกมาโดยไม่รู้ตัวแบบนี้อีกแล้วเหรอ คงเป็นปฏิกิริยาตอบกลับโดยอัตโนมัติของร่างกายแล้วหละมั้ง โดยเฉพาะเวลาที่ไอ้เรื่องบ้าพวกนั้นวกกลับเข้ามาในหัวนี่แหละ ถ้าฉันจะกลับไปเล่นโซเชียลแก้ข่าวให้ตัวเองผลมันจะออกมาทางไหนกันนะ
“เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ฉันบอกกับเพื่อนหนุ่มซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าครั้งนึงเป็นเชิงรับรู้ ฉันจึงลุกขึ้นจากโต๊ะเพื่อเดินไปยังห้องน้ำด้านหลังตึกเรียน
ระหว่างทางไม่กี่เมตรที่จะเดินไปถึงห้องน้ำมันช่างยาวนานสำหรับฉันเหลือเกิน ความรู้สึกที่เหมือนโดนจับตามองนี่มันมาได้ยังไงกัน
แต่ยังไม่ทันจะได้คิดวิเคราะห์อะไร ต้นเหตุที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ เมื่อครู่นี้ก็โผล่หน้ามายืนขวางทางเลย
“ไม่เจอนาน หายหน้าไปเลยนะ ไม่อยากฟังคำขอโทษจากฉันเลย” ผู้ชายผู้ซึ่งเป็นเจ้าของผมสีเทาหม่นกับรอยยิ้มปีศาจนั้นมาโผล่อยู่ตรงนี้แล้ว มาทั้งๆ ที่ฉันพยายามหลบหน้ามาได้เป็นเดือนกว่า
ทำไมกันนะ ทั้งที่เมื่อวานฉันก็หลบคอปเตอร์ได้แล้ว แต่วันนี้กลับทำไม่ได้
“เก็บคำว่าขอโทษไว้ใช้พูดกับแม่เถอะที่เกิดมาเป็นลูกแบบนี้” ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆ เพื่อควบคุมสติของตัวเอง
“เดี๋ยวนี้ใจกล้าขึ้นเยอะเลยนะเมล์ :)” คนที่เพิ่งโดนด่าไปไม่ได้ยี่หระอะไรแถมยังส่งยิ้มน่าสมเพชนั่นกลับมาอีก
“หลบไป ชังน้ำหน้า” แค่ได้คุยกับผู้ชายคนนี้ไม่กี่ประโยคมือและหน้าผากของฉันก็เต็มไปความชื้นที่มาจากเหงื่อราวกับวิ่งขึ้นลงบันไดหลายรอบ
“ชัง?” คอปเตอร์ทวนคำพูดของฉันพลางเอียงคอเล็กน้อยและแค่นหัวเราะเบาๆ “เดี๋ยวนี้ชังแล้วเหรอเมล์ แต่ก่อนเห็นรักเราจะเป็นจะตายนี่”
“ใช่ไง เพราะรักนั่นแหละถึงจะตายอยู่แล้วทุกวันนี้ สมใจรึยัง” ฉันเกลียดความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้เหลือเกิน “เลิกยุ่งกับฉันสักทีเถอะ”
ฉันทำทีเป็นไม่สนใจคนตรงหน้าแล้วเดินผ่านร่างของเขาออกไป
“หายไปนานเลยนะ แถมกลับมาด้วยสีหน้าไม่ดีอีก”
หลังจากที่เข้าไปทำสมาธิในห้องน้ำอยู่สักฉันก็กลับมาที่โต๊ะ พร้อมกับเจอรุ่ยหลงเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยความสงสัย
“นายก็ช่างสังเกตจังนะ” ฉันถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะนั่งลงตรงที่เดิม “แล้วหายไปนานขนาดนี้พวกที่เหลือก็ยังไม่มาอีก”
“อืม เขาเพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี๊น่ะว่าเพิ่งออกจากบ้าน”
“ฮะ?! เพิ่งออกจากบ้านเนี่ยนะ” ฉันละอยากจะเอามือกุมขมับให้สมกับความเครียดตัวเองในตอนนี้เลยจริงๆ ทำไมพวกนั้นถึงได้ช้าขนาดนี้นะ คิดว่าที่นัดบ่ายโมงนี่คือบ่ายโมงออกจากบ้านหรือไง
“อ่า อีกครึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึงหละมั้ง” ครึ่งชั่วโมงถึงนี่ก็คือต้องรถไม่ติดด้วยนะ
“แล้วนี่จะทำอะไรดีล่ะ เราต้องรอสรุปข้อมูลจากคนที่เหลือก่อนนะ” เพราะกลุ่มเราแบ่งหน้าที่ให้ไปหาข้อมูลกันมาคนละส่วน ตอนนี้มีแค่ฉันกับรุ่ยหลงก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้มาก
“งั้น ดูนี่ดีไหม” เพื่อนหนุ่มทำหน้าเหมือนนึกอะไรออกสักอย่างจากนั้นก็หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋า เจ้าตัวกดๆ จิ้มๆ อยู่สักพักก็ยื่นมันมาให้ฉันดู
“อะไรอะ”
“เป็นการประกวดแข่งขันออกแบบกราฟฟิกให้กับเกมของบริษัทเซจี คนชนะจะได้ร่วมงานกับทางบริษัทเป็นส่วนหนึ่งของเกมที่จะปล่อยออกมาในปีหน้า แถมมีเงินรางวัลตั้งหกหลัก”
“ถามจริงเถอะรุ่ยหลง หน้าเราเหมือนคนเก่งขนาดนั้นเชียวเหรอ” ว่าแล้วก็ชี้นิ้วเข้ามาที่หน้าของตัวเอง
“ผมเห็นตอนเมล่อนทำเล่นในห้องก็สวยออก”
“งั้นเหรอ” แอบเขินนิดหน่อยเหมือนกันที่มีคนมาชมเรื่องนี้ ดีใจจังที่ยังมีคนชอบงานฉัน
“ก็คิดว่าลองไปหาประสบการณ์เฉยๆ ก็ได้นะ” รุ่ยหลงมีความพยายามในการดันฉันสุดฤทธิ์จริงๆ “ผมเห็นคุณดูไม่ค่อยสบายใจน่ะ ลองไปหาอะไรแก้เครียดไง”
การแข่งขันแบบนี้จะทำฉันเครียดกว่าเดิมหรือเปล่าเนี่ย
“อืม ก็จะลองพิจารณาดูแล้วกันนะ” ฉันตอบพลางส่งยิ้มบางๆ ให้เขา
5:00 PM
Search’s Talk
“ไอ้อ้วน ลงมาข้างล่างเดี๋ยวนี้เลยนะ” ผมกำลังคุยกับเจ้าแมวขี้เกียจที่ขึ้นไปนอนอืดอยู่บนตู้ไม้เก็บของหลังเก่าซึ่งมันก็จะพังแหล่ไม่พังแหล่อยู่แล้ว
วันนี้ผมตื่นขึ้นมาบนโซฟาของตัวเองประมาณเก้าโมงครึ่งพร้อมกับความงุนงงเล็กน้อยว่ากลับมาที่ห้องได้ยังไงหลังจากที่เมื่อคืนเล่นดื่มไปซะเยอะขนาดนั้น ในใจก็รู้สึกกังวลว่าตัวเองเผลอไปแสดงท่าทีแปลกๆ ให้ใครดูหรือเปล่า แต่นึกไปก็เท่านั้น
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ทำงานของตัวเองจนเสร็จไปในเวลาไม่กี่ชั่วโมงนั่นก็คือแฮคไอจีให้กับลูกค้าคนล่าสุด ผมทำตามที่เธอขอไว้ที่บอกให้ลบรูปในนั้นออก แต่ระหว่างนั้นที่กำลังจัดการอยู่ก็เผลอไปเห็นอะไรแปลกๆ ที่อยู่ในหน้าไอจีนั้นเข้า เป็นอะไรที่คนทั่วไปไม่น่าจะเอามาลง SNS แบบนี้ได้ ตกใจแต่ก็แอบกังวลไปในคราวเดียวกันด้วย ผมไม่ควรไปยุ่งเรื่องของคนอื่นแบบนี้เลย ให้ตายสิ.. พอยุ่งแล้วก็ชอบเอาเก็บมาคิดแบบนี้
โครม!
ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อมีเสียงอะไรสักอย่างหล่นลงพื้น พอมองไปยังต้นเหตุก็เจอเจ้าปิกาจูที่โดดลงมาอยู่ด้านล้างเป็นที่เรียบร้อย ประเด็นก็คือระหว่างนั้นมันก็น่าจะไปทำของบนหลังตู้หล่นมาด้วยนี่สิ
แล้วดูทำตัวเข้าสิ ทำลายข้าวของยังจะมีหน้ามาซุกไซ้ขาของผมอีก จะว่าไปตอนนี้ก็ห้าโมงเย็นแล้วนี่เนอะ
“หิวแล้วเหรอ” ผมก็ไม่หวังจะได้รับคำตอบกลับมาหรอกครับ จะว่าไปอาหารแมวที่ซื้อมาไว้ก็หมดแล้วนี่นา สงสัยต้องลงจากคอนโดไปซื้อมาแล้วหละ “เดี๋ยวจะลงไปซื้อขนมมาให้ อย่าทำลายข้าวของอีกล่ะ”
บ่นไปก็เท่านั้น เจ้านายขนปุยก็ไม่ได้ใส่ใจอยู่ดี สุดท้ายคนที่ต้องมาตามเก็บทำความสะอาดของที่ตกลงมาก็คือทาสอยู่ดี ผมถอนหายใจจากนั้นก็เดินไปเก็บกล่องกระดาษสำหรับใส่หนังสือที่หล่นลงมาจากหลังตู้ให้เข้าที่ โชคดีที่มันเป็นแค่กระดาษไม่ใช่แก้วหรืออะไรที่แตกได้
ระหว่างที่กำลังจัดเก็บหนังสือทุกเล่มลงในกล่องตามเดิม รูปภาพสองสามใบก็หลุดออกมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง คาดว่ามันน่าจะอยู่ในนี้มานานแล้ว นานจนผมลืมไปเลยว่าอยู่ในนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอได้ดูรูปพวกนี้ก็จำได้ขึ้นมาทันที จริงๆ แล้วก็เป็นแค่ภาพครอบครัวสมัยสิบกว่าปีก่อนน่ะ ผมคงแอบหยิบออกมาจากอัลบัมรูปที่บ้านด้วยหละมั้ง ในรูปเรามีกันอยู่สี่คนก็คือพ่อ แม่ ผมและน้อง
อืม เวลาผ่านไปเร็วดีเหมือนกัน จะว่าไปตั้งแต่ผมเรียนจบแล้วเริ่มทำงานก็ไม่ค่อยได้กลับไปหาครอบครัวเท่าไหร่เลย คงต้องหาเวลาไปแล้วหละ
ร้านขายอาหารสัตว์เลี้ยง TT PET SHOP
ผมตัดสินใจเอารถที่ไม่ค่อยได้ใช้ออกมาขับเพื่อมาช็อปปิ้งของให้แมว ด้วยความที่ว่าน่าจะได้ของกลับห้องเยอะแน่ๆ เลยเอารถมาเองดีกว่า ต่างจากตอนที่จะไปซื้อใช้ของกินให้ตัวเองคือซื้ออยู่เซเว่นก็พอไม่ต้องเยอะ เงินที่หามาได้จึงหมดไปกับการเปย์ปิกาจูหมด
“พี่เซิร์ช~ วันนี้อยากได้อะไรเอ่ย” เสียงของปั้นหยา เด็กประจำร้านดังขึ้นเมื่อผมเดินเข้ามาด้านใน ด้วยความที่มาร้านนี้ค่อนข้างบ่อยจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในร้านจะจำผมได้
“อาหารปิกาจูหมดน่ะ ขอซื้อสามถุงใหญ่แล้วก็ขอขนมให้ด้วยซองนึง” ผมกวาดสายตามองไปทั่วๆ ร้านหลังจากที่เอ่ยกับพนักงานขาย
“โอเคจ้า ว่าแต่เอารสชาติแบบไหนดี พอดีมันมีรสแบบใหม่มาด้วยนะ” ปั้นหยาถามในขณะที่กำลังเดินออกมาเปิดตู้อาหารแมวให้อยู่
“เอารสเดิมเพราะเจ้าอ้วนนั่นไม่ชอบอะไรแปลกใหม่เท่าไหร่ เคยซื้อแบบอื่นไปก็ไม่กิน” เป็นแมวที่ยึดติดกับอะไรเดิมๆ แถมยังเอาใจยากด้วย
“อ้อ เป็นทาสที่ดีนะเนี่ย” เธอว่าพร้อมกับหัวเราะ
“แมวตัวนี้มันเลี้ยงยากน่ะ”
“ถ้าเลี้ยงแมวแล้วมันเหนื่อย เปลี่ยนมาเลี้ยงหนูแทนมั้ยคะ”
....
“พี่อย่าเงียบดิ หยอกนิดหยอกหน่อย” เด็กประจำร้านยู่ปากใส่หลังจากที่ผมไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกับมุกนั้น เอาจริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเลยไม่ได้ตกใจอะไร
“ฮ่า เดี๋ยวพี่เดินดูของเล่นนิดหน่อยนะ” ผมหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะเดินออกจากหน้าเคาน์เตอร์เพื่อเข้าไปตามซอกมุมอื่นของร้านบ้าง
กริ๊ง
เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่เหนือประตูของร้านดังบ่งบอกว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้านเพิ่ม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจสักเท่าไหร่จนกระทั่ง...
“น้องเมล่อน~ มาพอดีเลยเดี๋ยวไปช่วยเช็คสินค้าตรงนั้นให้หน่อยน้า” เป็นคำพูดของปั้นหยาที่เอ่ยกับบุคคลผู้เข้ามาใหม่
ทำไมช่วงนี้ผมเจอแต่คนชื่อเมล่อนจังเลยวะ ชื่อก็ไม่ได้โหลขนาดนั้นนี่
“โอ้ สวัสดีค่ะคุณลูกค้า” ใครสักคนเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกายในขณะที่ผมกำลังเลือกลูกบอลยางสีพาสเทลบนชั้นอยู่อย่างตั้งใจ ซึ่งพอหันไปมองเจ้าของคำพูดเท่านั้นแหละ
เชี่ย ไม่ใช่ช่วงนี้ผมเจอแต่คนชื่อเมล่อนหรอก ต้องแก้ประโยคใหม่เป็นช่วงนี้ผมเจอแต่ ‘เธอ’ ผู้หญิงคนที่มาให้ผมช่วยกู้ไอจีของตัวเอง ผู้หญิงที่ผมเจอในห้องน้ำชาย.. พอถึงประโยคนี้ก็รู้สึกสะเทือนใจกับคำว่าผู้หญิงที่เพิ่งใช้เรียกเธอทันที
“เธออีกแล้วเหรอ” ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไงก่อนดี
“ก็ทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่นี่”
“ไม่เคยเห็น” มาซื้อของออกจะบ่อย เพิ่งเห็นวันนี้วันแรกเนี่ยแหละ โกหกป้ะวะ
“อ้าว เพิ่งเริ่มงานได้อาทิตย์ก่อนนี้เอง” แต่แล้วคำตอบจากเจ้าตัวก็คลายข้อสงสัยให้กับผมได้ น่าแปลกไม่เบาที่เจ้าของร้านรับเด็กมาทำงานเพิ่ม ปกติแค่ปั้นหยาคนเดียวก็เอาอยู่แล้ว
“ไม่ต้องเขยิบเข้ามาใกล้ดิ” ผมกระเถิบออกเมื่อร่างที่ตัวเล็กจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผู้ชายเดินเข้ามาประชิดตัวมากขึ้นไปอีก
“โหคุณเซิร์ช ฉันเป็นพนักงานนะ มาเพื่อเช็คสินค้าพวกนี้แล้วจะให้เขยิบออกไปไหนล่ะ” เมล่อนตอบกลับมาพร้อมหน้าคิ้วขมวด
“ขอโทษ งั้นฉันออกเองก็ได้”
“ทำไมดูรังเกียจอะ” อีกฝ่ายส่งยิ้มแหยมาให้จากนั้นก็พูดต่อไปอีกว่า “นี่เราก็ได้เจอกันสามครั้งแล้วนา เขาว่ากันว่าเจอกันครั้งแรกเป็นเรื่องทั่วไป เจอกันครั้งที่สองเป็นเรื่องบังเอิญ”
“..” กำลังพยายามทำหน้านิ่งอยู่ นิ่งทั้งที่ความรู้สึกเขวไปหมดนี่แหละ
“เจอกันครั้งที่สามเป็นเรื่องของพรหมลิขิต”
ถ้าแบบนั้นคือพรหมใจร้ายกับผมมากเลยนะ เพราะทั้งสามครั้งที่ทำผมเสียศูนย์ไปทุกครั้งเลย เจอผู้หญิงสวยๆ มาก็ตั้งเยอะแยะ ที่เข้ามาจีบก็มีอีกมาก ทำไมต้องมาใจสั่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่องกับผู้หญิงคนนี้ด้วย แถมไม่ใช่หญิงแท้อีก
แต่เอาคลิป OPV ประกอบนิยายมาฝากด้วย
แปะๆๆ >> https://youtu.be/Cs_-iWwHc2Y
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จะเอาไงกับเรื่องหัวใจครั้งนี้ดีคะ
คิดถึงไรต์จังเลยค่ะ
รอน้าาาาาาาาาาาาา
หูยยยยยยยย จะไฝว้กับนังพิณใช่มั้ยยย 5555555555555555 มาถึงก็จูบเลอออ ร้อนแลงงงง
กรี๊ดดด น้องแตงทำอะไร รอออออออออออออออ