ตอนที่ 3 : SEARCHMEL | 02 : เริ่มต้นได้ดี [100%]
2
“เป็นอะไรอีกล่ะแม่คุณ กลับมาก็ทำหน้าหงอยไปเลย” จับฉ่ายทักขึ้นมาหลังจากที่เธอน่าจะสังเกตเห็นท่าทางเบื่อโลกของฉันมาสักพัก
“คืออยู่ๆ ก็ไม่มั่นใจขึ้นมา” ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอุตส่าห์จะเป็นเมล่อนคนใหม่คนที่สตรองกว่าเดิมอยู่แล้วเชียว
“เอ้า ทำไมอะ”
“เราไปเจอไอ้คอปมา” ฉันตัดสินบอกเรื่องที่ตัวประสบมาเมื่อตอนกลางวัน ความจริงมันก็ไม่ได้เป็นเหตุการณ์น่าระทึกอะไรขนาดนั้นแต่ว่ามันสร้างความหดหู่ในใจฉันได้น่ะสิ
“หมายถึงคอปเตอร์อะนะ?”
“อื้อ”
“ก็แค่ผู้ชายคนเดียว จะไปกลัวมันทำไม” โอ้โห! ดูยัยรูมเมทนี่พูดเข้าสิ ทำอย่างกับว่าผู้ชายคนเดียวของเจ้าหล่อนเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับใครมาก่อน
“จับฉ่าย นั่นคนที่ทำให้ชีวิตเราพังเลยนะเว้ย”
ไม่ให้กลัวก็ไม่ได้ปะวะ เขาเคยทำชีวิตฉันย่ำแย่มาแล้วครั้งนึง ถ้าเขาจะทำอีกครั้งมันก็ไม่น่าจะใช้เรื่องยากเลย ยิ่งพูดมันก็ยิ่งนึกถึงสิ่งเลวร้ายในอดีตที่ผู้ชายคนนั้นทำไว้กับฉัน ถ้าตอนนั้นฉันมีสติแล้วตั้งตัวให้เร็วกว่านี้ฉันอาจจะไม่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ก็ได้ ถ้าตอนนั้นฉันไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวล่ะก็..
ช่างเถอะ คิดไปแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก อดีตมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่แล้ว
“แล้วนี่หยุดไปหาหมอแล้วเหรอ” ผู้เป็นเพื่อนเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นเมื่อเห็นว่าอาการของฉันเริ่มเศร้าหมองลงกว่าเดิม
“อืม เราคิดว่าตอนนี้เราดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแล้วเลยไม่ได้ไปอีก” ฉันพยักหน้าตอบเธอ
“แล้วแต่ละกัน ถ้าอาการมันกลับมาอีกก็ต้องไปหาหมอนะ” ถึงใบหน้าของจับฉ่ายจะดูเรียบนิ่งและไม่ได้ใส่ใจอะไรกับฉันมากนัก แต่เชื่อเถอะว่าทุกสิ่งที่เจ้าตัวพูดออกมาเมื่อครู่ล้วนแต่เป็นห่วงฉันจากใจจริง
เมื่อช่วงหลายเดือนก่อนที่เกิดเหตุการณ์ฉันโดนคนรอบข้าง Bully สภาพจิตใจในตอนนั้นของฉันก็ย่ำแย่มาก จนกระทั่งมีความคิดที่จะทำร้ายตัวเอง โชคยังดีที่มีเพื่อนอย่างจับฉ่ายคอยอยู่ข้างๆ และพาไปพบจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา ส่วนครอบครัวของฉันยังไม่มีใครรับรู้เรื่องนี้กันหรอก อันที่จริงจะเรียกว่าครอบครัวก็ยังลังเลเลย คนเป็นพ่อก็ไม่เคยเห็นหน้า ญาติคนอื่นๆ ก็ตัดขาดแม่ไปตั้งแต่แม่ท้องฉัน ทั้งชีวิตฉันโตมากับแม่แค่สองคน ซึ่งท่านก็ทำงานหนักมากไม่ค่อยมีเวลาให้นัก ฉันเองก็ไม่อยากเอาเรื่องอะไรไปให้แม่เครียดเพิ่ม
“งั้นนนน~ วันนี้เราไปคลายเครียดกันดีไหม?” พอมีเรื่องให้ไม่สบายใจฉันก็ไม่อยากอยู่ห้องเฉยๆ แล้วหละ
“อือ ไปร้านนั้นก็ได้ ร้าน BUL อะ เอาที่ไกลจากมอเราหน่อย”
จับฉ่ายเป็นคนที่รู้ใจและคิดถึงความรู้สึกฉันอยู่เสมอเลยจริงๆ ที่เธอเลือกไปร้านที่ไหลจากมหาลัยนั่นก็เป็นเพราะว่าไม่อยากให้ฉันไปเจอกับคนที่มอสินะ
“ไปแต่งตัวกันเถอะ เอาชุดสีชมพูที่ไปซื้อตอนนั้นมาใส่ดีกว่า” ฉันว่าแล้วก็ลุกขึ้นจากเตียงนอนด้วยท่าทางกระตือรือร้น จากนั้นจึงเดินไปคุ้ยเสื้อผ้าออกมาจากตู้
@BUL house café
หลังจากเราสองใช้เวลาแต่งตัวสักพักก็เดินทางออกจากหอพักมาที่ร้านนั่งชิลล์แห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นร้านอาหารกึ่งผับที่มักจะมีคนมานั่งเต็มร้านแทบทุกวัน โดยเฉพาะวันนี้ที่เป็นวันศุกร์ เรียกอีกอย่างว่าวันศุกร์แห่งชาติ เป็นวันสุดท้ายของการไปเรียนหรือทำงานประกอบกับความที่พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ผู้คนจึงมากันนั่งดื่มกันเยอะ
“เมล์ แกจะเมาแต่หัวค่ำไม่ได้นะเว้ย” จับฉ่ายปรามเมื่อเห็นฉันดื่มเจ้าแก้วในมือโดยที่ไม่ได้กินอะไรรองท้องก่อนหน้านั้นเลย “ไหนตอนแรกบอกจะมาชิลล์?”
“อ่า โทษที” คงคิดอะไรในหัวเยอะแยะไปหมดแน่เลย “แล้วนี่สั่งอะไรมาบ้างอะ”
“ก็ของที่แกชอบอะแหละ”
“ทำไมเป็นเพื่อนที่น่าร้ากกขนาดนี้นะ” ฉันยกยิ้มพลางเอื้อมมือไปบีบแก้มยัยจับฉ่ายจนแก้มมันแทบจะย้วยติดมือมาด้วย และแน่นอนว่าคนที่โดนกระทำได้แต่จ้องหน้าฉันเขม็ง
“น้อยๆ หน่อย”
“ไม่ดื่มเหรอ” ฉันไม่สนใจคำตำหนิของยัยเพื่อนแล้วก็ปรายตามองแก้วเครื่องดื่มของจับฉ่ายที่ยังอยู่เต็มแก้ว
“ไว้ก่อน เดี๋ยวมันหมด” เธอว่าแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าฉันเมามากแล้วใครจะดูแลแกวะแตง”
“เมล่อน”
“แตง”
“ก็บอกว่าเมล่อนโว้ย” เดี๋ยวก็ฟาดด้วยปลาหมึกซะเลยนี่ มาเรียกชื่อเก่าของคนอื่นแบบนั้นได้ยังไง “ชื่อแตงให้แม่เรียกคนเดียว”
“ฉันก็จะเป็นแม่แกอีกคนอยู่แล้ว หยวนๆ หน่อย” จับฉ่ายหัวเราะในลำคอ
เออ ก็จริงของยัยนี่แหละ มันน่ะจะเป็นแม่อีกคนของฉันอยู่แล้ว
“โวะ! ไม่เถียงด้วยละ” ฉันบึนปากใส่คนตรงหน้าแล้วก็เตรียมจะลุกขึ้นจากที่นั่งจนผู้เป็นเพื่อนรีบทักท้วงขึ้นว่าจะลุกไปไหน “ไปเข้าห้องน้ำอะ ปวดฉี่”
หลังจากที่เดินออกมาจากโต๊ะได้พักนึง สายตาก็เริ่มสอดส่องหาทางไปห้องน้ำที่ปกติน่าจะอยู่ทางซ้ายมือและขวามือของร้าน ที่รู้เพราะเคยมาแล้วครั้งนึง แต่ที่ไม่จำไม่ได้นั่นก็คือทางไหนห้องน้ำหญิงทางไหนห้องน้ำชายเนี่ยสิ ซ้ายหรือขวานะ? แล้วเจ้าของร้านจะทำแยกกันไว้ซะไกลทำไม
โบราณบอกไว้ว่า ขวาร้ายซ้ายดี งั้นลองเข้าไปทางซ้ายก็แล้วกัน
พอตัดสินใจได้จากทฤษฎีและความเป็นไปได้ที่อยู่ในหัวเสร็จก็สาวเท้ามุ่งหน้าไปทางด้านซ้ายของร้านทันทีด้วยความมั่นอกมั่นใจ จนกระทั่งเดินเข้ามาในห้องน้ำแล้วก็ต้องหยุดชะงัก
ห้องน้ำหญิงไม่น่าจะมีโถฉี่แบบติดผนังนี่หว่า
ฉันหันมองไปทางซ้ายและทางขวาของห้องน้ำด้วยความเลิกลั่ก โชคดีอย่างหนึ่งของตอนนี้ก็คือไม่มีคนอยู่ในนี้ ไม่มีผู้ชายคนไหนกำลังทำภารกิจส่วนตัวอยู่ ไม่อย่างนั้นฉันแย่แน่นอนเลย เมื่อตั้งสติก็รีบหันหลังกลับเตรียมออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่ทว่าก็ไม่ทันแล้ว เพราะมีคนเข้ามาเจอฉันในนี้จนได้
ผู้ชายคนดังกล่าวยืนมองหน้าฉันอย่างอึ้งๆ เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใส่แว่น แถมย้อมผมสีบลอนด์ทอง ซึ่งฉันมั่นใจมากว่าเพิ่งเจอหน้าเจ้าตัวไปเมื่อช่วงบ่ายนี้เอง
“อ้าว เซิร์ชนี่” ฉันทักทายคนตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม
“เอ่อ..” เหมือนเซิร์ชจะไม่ค่อยรู้สึกดีเท่าไหร่ที่เจอฉันเลยแฮะ ก็แน่หละ.. ดันไปลวนลามเขาเอาไว้นี่นา
“ดีจังเลย เจอกันด้วย” ด้วยความลนลานทำอะไรไม่ถูกจึงคิดประโยคที่ดีกว่านี้ไม่ได้ พอพูดออกไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองสามที นังบ้าเมล์! ไปพูดว่าดีจังเลยได้ยังไงกันเล่า
“เรื่องจูบตอนนั้นก็ยังไม่เคลียร์ แถมวันนี้มาทำลับๆ ล่อๆ ในห้องน้ำชายอีก”
“...!!”
“ถามจริง โรคจิตป้ะวะ?”
Holy Sh*t!!! ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ กลับห้องอยากจะนอนเอาเท้าก่ายหน้าผากให้กับการกระทำของตัวเองทั้งคืนไปเลย
“โห แรงนะ” ฉันบ่นอุบอิน “ไม่ใช่โรคจิตสักหน่อย เรื่องเมื่อตอนบ่ายมันจำเป็นนี่นา ขอโทษแล้วกัน”
“ไม่ใช่โรคจิตแล้วเข้ามาทำอะไรห้องน้ำชาย” เขายืนยันความคิดตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ ที่ว่าฉันเป็นโรคจิตเนี่ย แม่เจ้า..ฉันออกจะสวยขนาดนี้
ชักจะโมโหแล้วนะ
“ก็ฉันเป็นผู้ชายนี่ เข้าห้องน้ำชายแล้วแปลกตรงไหน เห็นสวยๆ งี้ยังไม่เฉาะนะเว้ย” ว่าแล้วก็เอามือไปสะบัดผมเล็กน้อย
และก็เป็นไปตามคาด เพราะฉันได้เห็นสีหน้าช็อกโลกของเซิร์ชทันทีเมื่อพูดจบ
ในอีกมุมหนึ่งที่เมล่อนไม่รับรู้
เซิร์ชกำลังจะเป็นประสาท...และใช่ เขายังคงยืนอึ้งอยู่ในห้องน้ำต่อสักพักหลังจากที่เมล่อนวิ่งผ่านร่างออกไปตั้งนานแล้ว เกือบนาทีได้กว่าร่างสูงจะสามารถตั้งสติแล้วทำธุระส่วนตัวของตนเองให้เสร็จแล้วจึงเดินกลับไปยังโต๊ะ
“อ้าว สายเราปีนี้มีน้องปีหนึ่ง 2 คนเหรอ” ใครสักคนที่น่าจะมาเพิ่งเดินทางมาถึงร้านเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมกลับมานั่งที่โต๊ะ
คือวันนี้มีเลี้ยงสายรหัสกันและค่อนข้างคล้ายกับวันรวมญาติ เพราะพวกนี่มันเล่นนัดมาเกือบหมดสาย ทั้งคนที่เรียนจบไปแล้ว คนที่ซิ่วออกไปแล้วก็ตามมา หากใช้สายตามองดูคร่าวๆ ที่นั่งอยู่ในโต๊ะมีประมาณเกินสิบคนได้และเป็นผู้ชายเกือบทั้งหมด
จริงๆ แล้วสายรหัสของเซิร์ชที่มาในวันนี้ก็มีประมาณห้าหกคนส่วนที่เหลือก็เป็นอีกสายหนึ่งที่นัดมาเลี้ยงร่วมกัน
“น้องบ้าอะไร นั่นพี่เซิร์ชเขาอายุ 26 ปีแล้ว”
โปรแกรมเมอร์วัยยี่สิบหกปีหลุดขำเมื่อได้ฟังบทสนทนาเมื่อครู่ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าเคืองอะไรที่จะมีคนทักว่าดูเด็ก ขนาดเมื่อเช้าเดินผ่านเด็กนักศึกษากลุ่มนึงพวกนั้นยังเรียกเซิร์ชว่าน้องเลย
“เชี่ย ใช้สมูทอีเบเบี้เฟซโฟมเหรอพี่” สมาชิกในสายคนหนึ่งท้วงขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อรู้อายุของเขา “เอ้อ ผมชื่อดอน ตอนนี้ปีสี่เคยได้ยินเรื่องพี่เซิร์ชจากพี่โก้มาบ่อยๆ ได้เจอตัวจริงสักที”
โก้ หรือชื่อเต็มก็คือ โกโก้ เป็นรุ่นน้องในสายรหัสของเซิร์ชเหมือนกันเพิ่งเรียนจบมาได้ไม่กี่ปี ถ้าให้นับความสัมพันธ์ของโก้กับเซิร์ชแล้วก็คงเป็นหลานรหัสกับลุงรหัส แต่เพราะว่าพี่รหัสของโก้ซิ่วออกไปก่อนที่เจ้าตัวจะเข้าปีหนึ่ง เซิร์ชจึงเหมือนรับหน้าที่เป็นทั้งลุงแล้วก็พี่ในคราวเดียวกัน
บุคคลที่น่าจะอายุเยอะสุดในโต๊ะมองรุ่นน้องในคณะแต่ละคนอย่างผ่านๆ หลังจากที่มีคนแนะนำชื่อให้รับรู้จนครบแล้ว แต่ละคนก็ดูธรรมดาไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากยกเว้นก็เสียแต่สายรหัสปี 3 ที่มีบุคลิกน่าเตะตาขึ้นจากคนอื่นนิดหน่อย ชื่อของเขาก็คือพิณ ดูไม่ได้มีท่าทางอึดอัดอะไรเท่าไหร่เพียงแต่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา อีกอย่างสาเหตุที่ดูเด่นก็คงเป็นเพราะเซิร์ชรู้สึกคุ้นหน้ารุ่นน้องคนนี้
“น้องพิณ” ด้วยความที่สถานที่เป็นร้านอาหารกึ่งผับ เซิร์ชจึงจำเป็นต้องพูดในระดับเสียงที่ดังขึ้นมาหน่อยเพื่อไม่ให้เสียงเพลงกลบ “ใช่น้องที่ทำงานอยู่ bullet café รึเปล่า”
ร้านนั้นเป็นร้านที่โปรแกรมเมอร์หนุ่มมักจะหิ้วแล็บท็อปไปนั่งทำงานอยู่เป็นประจำด้วยเหตุผลที่ว่าอยู่ใกล้คอนโดกับกาแฟอร่อย
“พี่รู้จักด้วยเหรอ”
“ก็ไปนั่งบ่อยๆ น่ะ” ใครจะไปคิดล่ะว่าเด็กพาร์ทไทม์ที่เห็นในร้านจะเป็นรุ่นน้องของตัวเองในวันนี้ “แต่นานทีพี่ถึงจะเห็นนาย”
“ปกติผมไปทำงานที่ร้านช่วงเสาร์อาทิตย์” คำตอบของพิณคลายข้อสงสัยของเซิร์ชได้ตรงที่นานทีถึงจะเห็น
ถ้าแบบนั้นก็คงไม่แปลกอะไร เพราะปกติเซิร์ชจะชอบหอบคอมไปทำงานช่วงวันปกติมากกว่า เสาร์อาทิตย์ก็ไปบ้างแต่ไม่ใช่ทุกสัปดาห์ จริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนที่ช่างสังเกตคนนึง พูดตามตรงเลยก็คือเจ้าตัวแทบจะจำหน้าพนักงานที่ร้านนั่นได้ทุกคน คนที่เห็นบ่อยสุดก็คงจะเป็นเด็กผู้หญิงผมสั้นสีทองคนนั้น
“แล้วเรียนเป็นไงบ้าง โอเครึเปล่า” พอเรื่องเก่าจบไป เซิร์ชก็หาเรื่องใหม่ขึ้นมาคุยบ้าง เรียกว่าเรื่องเรียนน่าจะเป็นท็อปปิกสุดฮิตที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการเลี้ยงสายรหัส
“ก็เรื่อยๆ มั้งครับ” พิณเอ่ยตอบ
“จริงๆ ก็ซักไซ้ได้นะเรื่องเรียน ไอ้พี่คนนี้เก่ง” โก้ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ชะโงกหน้าเข้ามาร่วมคุยด้วย จากนั้นรุ่นน้องหนุ่มก็ยกแก้วเครื่องดื่มมึนเมามาให้เขา “อันนี้ของพี่”
“อะไร? ไม่เอา” ความจริงแล้วเซิร์ชไม่ค่อยชอบดื่ม มีได้บ้างเวลาสังสรรค์เพียงแต่วันนี้เขามาที่นี่คนเดียว ถ้าเมาแล้วใครจะพากลับ
“โถ่..” โก้ชักมือกลับมาอย่างเสียดายก่อนจะเปลี่ยนบทสนทนาแล้วใช้ศอกสะกิดรุ่นพี่ที่นั่งข้างกัน “พี่ๆๆ”
“อะไรอีก” คนที่โดนสะกิดหันกลับมาถามอย่างรำคาญใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ปีก็เป็นรุ่นน้องที่น่ารำคาญดีไม่มีตกจริงๆ
“ผู้หญิงตรงโต๊ะนั้นอะ น่ารัก” รุ่นน้องที่แสนน่ารำคาญของเซิร์ชบอกพร้อมกับแอบชี้นิ้วไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ตรงมุมเฉียงออกไปสักหน่อย และมันก็ดูไม่ยากเลยว่าผู้หญิงที่โก้บอกคือใครเนื่องจากผู้หญิงที่น่ารักตรงฝั่งนู้นก็เห็นมีอยู่คนเดียว
“เฮอะ” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะเบาๆ เมื่อได้เห็นหน้าตาชัดของเธอ
ลูกค้าที่ใบทองให้ไปนัดเจอเมื่อตอนบ่ายวันนี้น่ะสิ แล้วก็ไม่รู้ว่าโลกกลมหรืออะไรที่ทำให้มาเจอกันอีกในห้องน้ำผู้ชาย แถมมาบอกด้วยว่าตัวเองยังไม่เฉาะ
พอนึกถึงแล้วมันก็..
“เอามานี่หน่อย” เซิร์ชเอื้อมมือไปหยิบแก้วเครื่องดื่มสีอำพันจากมือของโก้ที่เพิ่งปฏิเสธไปในตอนแรก จากนั้นเขาก็จัดการกระดกมันเข้าไปรวดเดียวครึ่งแก้ว
“เหมือนคนที่อยู่ดีๆ ก็อกหักอะ” โก้ที่โดนแย่งแก้วไปมองหน้ารุ่นพี่ที่เป็นไอดอลของเขาอย่างทึ่งๆ
“เจ็บปวดว่ะ” เจ้าของกรอบแว่นทรงกลมเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเลื่อนลอย ในมือข้างหนึ่งก็ยังถือแก้วน้ำเอาไว้อยู่ คำพูดคำจาที่ออกมาจากปากเมื่อกี๊เหมือนพูดให้ตัวเองเข้าใจแค่คนเดียว
“คือ?”
“เผลอใจเต้นแรงกับเขาไปแล้ว แต่มารู้ทีหลังว่าเป็นคนมีงูเหมือนกัน” ดีไม่ดีงูอาจจะใหญ่กว่าก็ได้ด้วยซ้ำ แถมที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่าคือจิตใจอ่อนไหวไปกับจูบของเขาด้วย
นึกว่ามีใจ ที่ไหนได้มีงู
“เอ้อ เห็นตอนแรกพี่ว่าเพิ่งกลับจากโรงพยาบาลสัตว์ เดี๋ยวนี้เลี้ยงสัตว์อะไรอะ”
“งู.. เอ๊ย! แมวๆๆ” เซิร์ชรู้สึกลนลานทันทีเมื่อรู้สึกว่าสติเริ่มหายไปทีละนิด เกือบจะไปตอบอะไรแปลกๆ ให้น้องมันฟังแล้วสิเนี่ย
“อ๋อ อะ..ผมเติมให้อีก” โก้พยักหน้า
ไอ้บ้านี่.. เติมเหล้าใส่แก้วเขาอีกแล้ว กะจะมอมให้เมารึไงล่ะ ไม่มีทางหรอก วันนี้เขาตั้งใจว่าจะไม่เมาจนไม่สติเด็ดขาดเลย
...
....
“เอ้อ ทางกลับของพิณทางเดียวกับพี่เซิร์ชรึเปล่า”
“ถ้าแถว xx ละก็ใช่ครับ”
“งั้นฝากไปส่งไอ้พี่คนนี้ที ท่าทางเมามากไม่น่าจะให้กลับเองไหว พิณสะดวกรึเปล่า”
“ไม่น่าจะมีปัญหา”
เสียงสนทนาของคนสองคนนั้นดังเข้าหูคนที่เดินมึนๆ อยู่ด้านหน้าร้านแต่ก็ไม่ได้ผ่านสมองอะไรมากนัก ตอนนี้ชายวัยยี่สิบหกปีที่ทำตัวเหมือนเด็กสิบขวบกำลังนั่งจุมปุ๊กอยู่บนม้าหินอ่อนอย่างหมดเรี่ยวแรง
“พี่เซิร์ช” พิณมองร่างของรุ่นพี่ของตัวเองที่ยังคงนั่งอยู่กับที่หลังจากที่เพิ่งเรียกชื่อไป “รถผมอยู่ทางนู้นน่ะ พี่ไหวไหมเนี่ย”
“ไหวดิ ก็ไม่ได้เมาขนาดนั้น” เซิร์ชลุกขึ้นยืนเต็มความสูงจากนั้นก็หันหน้าไปคุยกับรุ่นน้องตัวเอง “ว่าแต่บ้านอยู่ทางนั้นด้วยเหรอ ความจริงไม่เป็นไรหรอก กลัวมันจะลำบากพิณเปล่าๆ พี่กลับเองได้นะ”
“ผมว่า..พี่ไม่น่าไหวนะ”
“ก็บอกแล้วว่าเกรงใจ”
พอจบประโยคดังกล่าว พิณก็มองร่างของชายผมทองด้วยความกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ส่วนสาเหตุที่ทำให้กระอักกระอ่วนนั้นไม่ได้เป็นเพราะคำพูดของเซิร์ชหรอก แต่มันเป็นเพราะว่า
“คือผมยืนอยู่ทางนี้”
ที่เซิร์ชยืนคุยด้วยนั่นมันต้นไม้
แต่เอาคลิป OPV ประกอบนิยายมาฝากด้วย
แปะๆๆ >> https://youtu.be/Cs_-iWwHc2Y
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เขาจะต่อยกันปะคะ XD