ตอนที่ 8 : | H | 07 : ดวงชะตาจากไพ่ยิปซี [100%]
7
ดวงชะตาจากไพ่ยิปซี
ณ ร้านหนังสือ Subu
อย่าถามว่ามันอ่านออกเสียงว่ายังไงเพราะฉันเองก็ไม่เคยถามเจ้าของร้านเหมือนกัน แต่ปกติฉันจะชอบเรียกมันว่าร้านซูบุ จะได้ดูน่ารักคาวาอี้แบบญี่ปุ่น เอาหละ ตอนนี้ฉันกับฮงก็มาถึงที่นี่โดยสวัสดิภาพกันแล้วแต่ก็ยังคงระแวงอยู่ว่าจะมีคนเดินตามมาอีกหรือเปล่า
“ลี!” เสียงเรียกชื่อของฉันดังขึ้นจากมุมหนึ่งของร้านหนังสือ
“ไอน้ำ” ที่แท้ก็เพื่อนนี่เอง ฉันก็ระแวงไปแล้วว่าจะเป็นสตอกเกอร์ที่ไหนอีกหรือเปล่า “มาซื้ออะไรน่ะ”
“ก็สมุดเลกเชอร์กับหนังสือนิดหน่อย” ไอน้ำว่าแล้วก็ยกถุงพลาสติกของร้านมาให้ดู “ว่าจะไปหาที่บ้านก็ลืมทุกที แล้วลีมาซื้อหนังสืออีกแล้วเหรอ”
“เปล่าๆ” ฉันโบกมือปฏิเสธ ถึงยังไงช่วงนี้ก็คงงดซื้อหนังสือไปสักพักเลยหละเพราะเพิ่งจ่ายเงินค่ามัดจำบ้านไป “พอดีพาคนอื่นมาน่ะ”
“โอ๊ะ เพิ่งเห็นว่าไม่ได้มาคนเดียว” เพื่อนสาวที่เพิ่งมองเห็นร่างสูงที่อยู่ด้านหลังก็ทำหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะยื่นหน้าเข้ากระซิบใกล้กับใบหน้าฉัน “แฟน?”
“ไม่ใช่ แค่...” ฉันรีบปฏิเสธทันที และในขณะที่กำลังจะตอบออกไปว่าเป็นแค่คนข้างบ้าน คนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เข้ามาดึงตัวฉันออกมาจากการสนทนาเสียก่อน
“ขอโทษนะ พอดีรีบ” ฮงพูดกับไอน้ำจากนั้นก็ลากฉันเข้าไปที่มุมหนึ่งของร้านหนังสือ
นี่มันคือการกระทำที่อุกอาจมากๆ
“โอ๊ย เป็นอะไรของนายฮะ” ฉันดึงมือของตัวเองออกมาแล้วส่งสายตาตำหนิให้ร่างสูงที่ไม่รู้สึกผิดใดๆ กับการกระทำของตนเอง “ฉันจะคุยกับเพื่อนเนี่ย”
“ห้ามพูดว่าฉันเป็นใคร” เขาบอกด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“อ้าว ทำไมอะ”
“รู้แค่อยากพูดก็พอ” สุดท้ายฮงก็ไม่ได้ตอบคำถามฉันอยู่ดี..
“โอเคพ่อคนลึกลับ งั้นจะทำอะไรก็รีบทำเถอะ” ฉันพยายามทำใจให้ปล่อยวางเกี่ยวกับข้อสงสัยทุกอย่างในตัวอีกฝ่ายแล้วหันไปให้ความสนใจกับบรรดาหนังสือแถวนี้แทน
สุดท้ายการหยิบหนังสือมั่วๆ มาเปิดก็ไม่ได้ช่วยให้จิตใจสงบนักเท่าไหร่ เพราะถึงยังไงสายตาก็จับจ้องไปยังร่างสูงที่กำลังหยิบจับเซ็ตหนังสือที่อยู่บนชั้นอยู่อย่างตั้งใจ คนที่หน้าตาดีแถมกำลังทำอะไรสักอย่างด้วยความจริงจังนี่มันก็มองแล้วเพลินตาดี
เมื่อแอบมองปกหนังสือที่ฮงกำลังเลือกฉันก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเจ้าตัวชอบอ่านอะไรแบบไหน
“หนังสือไพ่ยิปซีเนี่ยนะ” ฉันพูดขึ้น
“มีกล่องไพ่ด้วย ไม่ได้มีแค่หนังสือ” ฮงหันหน้ามาคุยตอบฉันจากนั้นก็ชูกล่องที่มีขนาดเล็กกว่าหนังสือขึ้นมาให้ดู คาดว่าในนั้นก็คงมีไพ่ชุดหนึ่ง
“นายอ่านไพ่เป็นด้วยเหรอ” ก็นับว่าเป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่ฉันได้รับมาเหมือนกัน ตอนแรกก็คิดว่าเจ้าตัวดูลายมือได้แค่อย่างเดียวซะอีก
“งั้นเลือกไพ่มาสักใบสิ” ฮงว่าพร้อมกับแกะไพ่ยิปซีออกมาจากกล่องแล้วคลี่ออกในแนวคว่ำให้ฉันเลือกมันขึ้นสักใบหนึ่ง
ว่าแต่แกะออกมาโดยที่ยังไม่จ่ายเงินแบบนี้ก็ได้เหรอ
“เชื่อถือได้แค่ไหน”
“ก็ลองดู” คำพูดที่ดูเหมือนจะท้าทายนั่นคืออะไร
ฉันมองไพ่หลายใบในมือคนตรงหน้าแล้วก็หยุดคิดอย่างตั้งใจก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบใบที่อยู่ตรงริมเกือบซ้ายสุดขึ้นมาและยื่นมันให้หมอดู ฮงรับไพ่จากฉันไปถือแล้วหยุดพิจารณามันอยู่สักพักก็หันด้านหน้าของมันมาให้ดู ไพ่ใบนั้นเป็นรูปของโครงกระดูกในชุดอัศวินนั่งอยู่บนหลังม้าในมือของเขาถือธงสีดำ ตัวอักษณด้านล่างสุดของไพ่เขียนว่า ‘DEATH’
ฉิบหายหละ แค่ชื่อไพ่ก็น่ากลัวแล้ว
“การจบ” เขาบอกกับฉัน
“จบอะไรอะ” หวังว่าอีกคนจะไม่ตอบกลับมาว่าจบชีวิตหรอกนะ
“ความหมายของไพ่นี้คือการจบอะไรบางอย่างที่กำลังเป็นอยู่ และเริ่มสิ่งใหม่ในอนาคต” เขาอธิบายต่อและเก็บไพ่ทุกใบลงกล่องเหมือนเดิม “ฉันก็เพิ่งหัดอ่านไพ่ ตอบได้แค่นั้นแหละ”
ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลย
“ช่างเถอะ งั้นไปจ่ายเงินแล้วกลับบ้านกัน” ฉันตัดบทโดยพยายามที่จะไม่สนใจอะไรกับคำอ่านไพ่จากฮงมากนัก ก็นับว่าดีแล้วที่เขาไม่พูดมาว่าฉันจะตายน่ะ
“ชวนฉันกลับบ้าน?”
“เอ้า! จะกลับไม่กลับก็เรื่องของนายเถอะแต่ฉันจะกลับ” ฉันเองก็เริ่มรู้สึกเกลียดการตั้งคำถามหน้ามึนๆ แบบนั้นของอีกฝ่ายแล้วหละ
“อืม งั้นกลับ” ฮงพยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็ถือเซ็ตหนังสือในมือไปยังเคาน์เตอร์หน้าร้านหนังสือเพื่อจ่ายเงิน .และในระหว่างที่กำลังรอพนักงานคิดเงินและห่อหนังสือให้อยู่เจ้าของร่างสูงก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตนแล้วไถๆ หน้าจอครู่นึง “อย่าเพิ่งกลับบ้านได้ไหม”
“ทำไม”
“ผู้ชายฮู้ดน้ำเงินคนนั้น..อยู่ข้างหน้าร้านหนังสือ” ฮงรับถุงหนังสือมาถือเอาไว้ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้ามากระซิบกับฉันด้วยประโยคที่ชวนตกใจ
“เขา..ตามมาเหรอ” ฉันแอบหันไปมองยังหน้าร้านหนังสือเล็กน้อยเพื่อสอดส่องหาชายแปลกหน้าคนนั้นด้วยความรู้สึกหวาดวิตก และยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีกเมื่อเหลือบไปเห็นผู้ชายคนนั้นจริงๆ คนเดียวกับที่เจอตอนก่อนขึ้นรถมาที่นี่
ฉันโดนสะกดรอยจริงเหรอเนี่ย แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนั้นด้วย
“อย่าเพิ่งกลับบ้านตอนนี้ก็แล้วกัน”
ฮงกับฉันเดินออกมาจากร้านหนังสือกันแล้วทั้งคู่โดยผ่านร่างของชายคนนั้นด้วยท่าทางเป็นปกติที่สุดเพื่อไม่ให้เขาจับได้ว่าเรารู้ตัวแล้ว (หรือจริงๆ เขาจะรู้แล้วนะ?) ตอนนี้ยอมรับว่ารู้สึกกลัวไปหมด มือทั้งสองข้างที่ปกติจากทิ้งไว้ข้างกายก็เอื้อมมือไปเกาะแขนของร่างสูงเอาไว้ราวกับหมีโคอาล่าบนกิ่งไม้
“เราแจ้งความดีไหม” ฉันเสนอความคิดเห็น
“มีหลักฐานอะไรว่าเขาสะกดรอย ไปแจ้งความได้มากสุดก็แค่ลงบันทึกประจำวันเท่านั้น” ฮงส่ายหน้าไปมา ใบหน้าของเขาตอนนี้ดูจริงจังมากกว่าฉันอีก
หรือว่า..
“เขาสะกดรอยนายหรือเปล่า” ข้อหนึ่งที่ฉันลืมคิดนั่นก็คือผู้ชายในชุดสีน้ำเงินคนนี้อาจจะไม่ได้เดินตามฉันก็ได้ แต่อาจจะเป็นฮงหรือเปล่าที่เป็นเป้าหมายของเขา สมมติฐานนี้ดูเป็นไปได้มากกว่าเยอะเลยเนื่องจากจะให้มาสะกดรอยตามนักศึกษาธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษเลยแบบฉันก็ไร้เหตุผลไปหน่อยนะ
ยกเว้นแต่ว่าพ่อของฉันจะไปติดหนี้มาเฟียแล้วเซ็นยกลูกสาวไปเป็นทาสรับใช้ จากนั้นเขาก็ส่งคนมาตามฉัน ถ้าใช้เหตุผลนี้จริงคือสมควรมากๆ สมควรไปเขียนนิยายมากๆ ฉันเนี่ย ไม่ต้องเป็นแล้วนักกีฬา
“แล้วทำไมฉันจะต้องโดนสะกดรอยตามด้วย” อีกฝ่ายย้อนถามคืนมา
“อ้าว ก็เผื่อนายเคยไปดูดวงให้เขาไม่ดี เขาก็โกรธแค้นแล้วมาดักทำร้ายก็ได้” ยอมรับเลยว่าการคาดเดาเหตุการณ์ของฉันไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่แถมยังโคตรละครมากอีกด้วย แต่วินาทีเดาอะไรได้ก็เดาไปหมดไง เกิดมาจนอายุยี่สิบปีฉันเคยโดยเดินตามที่ไหนกันล่ะ
“เป็นไปไม่ได้หรอก ฉันไม่เคยดูดวงให้ไอ้นี่แน่ๆ” ฮงส่ายหน้าปฏิเสธยกใหญ่
ตอนนี้เราสองคนเดินมาตามทางฟุตบาทจนมาถึงร้านขายเครื่องสำอางแบรนด์ดังสีดำชมพูที่ตั้งห่างจากร้านหนังสือไม่ไกลนักเท่าไหร่ ซึ่งด้านหน้าเยื้องๆ ไปหน่อยของตัวร้านจะมีป้ายรถโดยสารและม้านั่งสำหรับนั่งรอรถด้วย ฉันจึงมาหยุดอยู่ที่นี่ซึ่งทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาของชายฮู้ดน้ำเงิน
“นายจำลูกค้านายได้หมดทุกคนหรือยังไงฮะ” คนบ้าอะไรจะจำหน้าลูกค้าตัวเองได้หมดทุกคนกันฮะ ลำพังแค่เพื่อนในรุ่นที่เห็นกันอยู่บ่อยครั้งฉันยังจะลืมแหล่ไม่ลืมแหล่อยู่เลย
“ก็จำไม่ได้หรอก แต่ที่มั่นใจเป็นเพราะว่าฉันไม่เคยดูดวงให้ผู้ชาย”
นี่เป็นความรู้ใหม่ที่ฉันได้รับรู้เลย หมอดูฮาร์โมนิกจะดูดวงให้แต่เฉพาะผู้หญิงอย่างนั้นเหรอ? แล้วทำไมเขาจะต้องทำแบบนั้นด้วย..ฮงเป็นคนหน้าม่อ? แต่ท่าทางไม่น่าใช่นี่หว่า เอ๊ะ..ตอนนั้นเขายังเคยแอบเข้ามาในห้องน้ำตอนฉันอาบน้ำเลย
“นี่ ฉันรู้นะว่าเธอมีคำถามเกี่ยวกับตัวฉันเยอะแต่ไม่ต้องแสดงออกทางสีหน้าเยอะขนาดนั้นก็ได้” ใบหน้าหล่อๆ นั่นขมวดคิ้วนิดหน่อยจากนั้นก็พ่นลมหายใจออกมา “เดี๋ยวเธอกลับบ้านไปก่อนก็แล้วกัน”
“ฮะ? ไหนตอนแรกบอกอย่าเพิ่งไง” สรุปว่าจะเอายังไงกันแน่อะ
“ให้เธอกลับไปก่อน ส่วนฉันจะจัดการทางนี้เอง” เขาขยายคำพูดเมื่อกี๊ของตนเองให้ฉันฟังและชี้ไปยังรถโดยสารที่กำลังจะเข้ามาจอดเทียบป้าย “รถมาแล้ว กลับไปก่อน”
“ละนายจะจัดการยังไง”
“ไว้จะเล่าให้ฟัง” เขาไม่ยอมตอบและยืนยันที่จะไล่ฉันกลับบ้านอยู่ดี
คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างฉันก็ได้แต่งงต่อไป สุดท้ายก็ต้องยอมเดินไปขึ้นรถแล้วทิ้งฮงไว้ให้จัดการตามที่เขาอยากจะทำ ไม่รู้ด้วยแล้วนะ ก็ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาอยากให้รู้ไว้ว่านี่ไม่ใช่ความคิดของฉัน
ในยามสองทุ่มของวันเดียวกัน ฉันก็ยังคงนั่งเล่นเรื่อยเปื่อยตามปกติของคนที่ไม่มีอะไรทำอยู่...ตั้งแต่ที่กลับมาถึงบ้านจิตใจของฉันก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวพลอยคิดถึงแต่เหตุการณ์ก่อนหน้าอยู่ตลอดเวลา ฉันคอยส่องมองบ้านหลังข้างๆ จากหน้าต่างห้องชั้นสองมาได้หลายชั่วโมงแล้วป่านนี้ฮงก็ยังไม่กลับมาบ้านเลย
ฉันน่าจะขอเบอร์ติดต่ออีกฝ่ายเอาไว้ เลยไม่รู้เลยว่าเป็นยังไงบ้าง..
แล้วนี่ทำไมฉันต้องมานั่งเป็นห่วงเขาขนาดนี้ด้วยอะ เฮ้ออออ
ฉันทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกเป็นครั้งที่ล้านหลังจากที่ลุกนอนสลับไปมาระหว่างเตียงกับหน้าต่างห้อง สุดท้ายฉันควรจะทิ้งความคิดมากของตัวเองลงแล้วไปหาอะไรทำที่มันสร้างสรรค์กว่านี้ดีไหมนะ แต่ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยจะมีอะไรให้ทำสักเท่าไหร่เลย
แกร๊ก
ร่างกายเด้งตัวออกจากเตียงนอนทันทีเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูรั้วของบ้านด้านข้างจากนั้นก็วิ่งไปชะโงกดูที่หน้าต่างบานเดิมที่เอาไว้ใช้ส่องเพื่อนบ้าน ในยามที่มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟด้านหน้าบ้านเท่านั้นทำให้ฉันเห็นแค่เงาของร่างสูงที่กำลังปิดประตูรั้วอยู่
ถ้าฉันตะโกนลงไปหาเขาจะเป็นอะไรไหมนะ แต่นี่มันตอนกลางคืนแล้วนี่นา ถ้ามีตะโกนเรียกกันแบบนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่หรอกมั้ง
ไว้รอถึงพรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกับฮงอีกทีก็แล้วกัน
วันต่อมา 6:50 AM
ตอนนี้เวลาหกโมงเช้าเกือบๆ เจ็ดโมง ฉันยกนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วรู้สึกว่าตอนนี้มันยังเช้าอยู่ควรจะกลับไปนอนต่ออีกสักหน่อยเพราะไม่มีเรียนอยู่แล้ว แต่พอเอาหัวซุกหมอนอีกครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถจะหลับต่อในสภาพอากาศที่ร้อนแต่เช้าขนาดนี้ได้
บ้านหลังนี้มันแย่ก็ตรงที่ไม่มีแอร์เย็นๆ ไว้เปิดน่ะสิ
สุดท้ายก็จำยอมแบกร่างของตนเองลุกจากที่นอนหนานุ่มแล้วเข้าไปล้างหน้าล้างขี้ตาและแปรงฟันในห้องน้ำสักหน่อยแต่ยังไม่ได้อาบน้ำ เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จฉันก็ออกจากห้องด้วยสภาพชุดนอนทั้งตัวเพื่อลงไปทำงานบ้านที่ไม่ได้ทำมาหลายวันแล้วอย่างเช่นซักผ้าและรดน้ำต้นไม้
เชลียงไม้ที่ยื่นออกมาจากหลังบ้านคือสถานที่ที่เหมาะแก่การนำผ้ามาซักตากมากที่สุด ฉันไม่รีรอที่จะเดินไปหยิบกะละมังใบใหญ่ที่คว่ำเอาไว้ตรงมุมหนึ่งมาเปิดน้ำใส่จนเกือบเต็มจากนั้นก็เทผงซักฟอกลงไปจำนวนหนึ่ง เอาความจริงฉันไม่ค่อยได้มานั่งซักเสื้อผ้าเองแบบนี้เท่าไหร่ ส่วนใหญ่มักจะขนผ้าไปที่ร้านซักรีดมากกว่า แต่ไหนๆ วันนี้ค่อนข้างว่างก็มานั่งทำเองสักหน่อยก็แล้วกัน
แต่แล้วงานบ้านก็ทำพิษเมื่อฉันเทเสื้อผ้าออกจากตะกร้าลงไปในกะละมัง น้ำในนั้นก็กระเด็นขึ้นมาโนเสื้อที่สวมใส่อยู่จนเปียกโชกตั้งแต่ส่วนบนจนเกือบถึงเอว
“แน่ใจนะว่าทำเป็น”
ฉันสะดุ้งแล้วก็รีบเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของคำพูดนั้นทันที จากนั้นก็พบกับร่างสูงของเพื่อนบ้านที่กำลังมองมาที่ฉันผ่านรั้วกำแพงเตี้ยๆ ที่กั้นบ้านสองหลังเอาไว้ ฮงอยู่ในเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงวอร์มสภาพเขาคือคนที่ตื่นนอนใหม่ๆ แต่ว่าก็ยังดูดีกว่าฉันตอนนี้อยู่ดี ในมือของอีกฝ่ายถือสายยางรดน้ำเอาไว้อยู่คิดว่าคงออกมารดน้ำต้นไม้หลังบ้านล่ะมั้ง แต่จริงๆ แล้วเขาควรจะเอากรรไกรมาเล็มกิ่งมันออกมากกว่าจะรดให้มันเติบโตเพิ่มขึ้นนะ
“อะไร” ฉันตอบประโยคที่ฮงใช้ทักทาย
“ก็ซักผ้าอะ ไหวเหรอ”
“ไหวสิ น้ำแค่กระเด็นเอง” สมัยที่อยู่บ้านฉันนี่แหละที่เป็นคนงานภายในบ้านเป็นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะซักผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน จะมีก็แต่งานหนักๆ พวกทำสวนตัดหญ้าที่พ่อจะเป็นคนทำเอง “เมื่อวานนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ไม่เป็นยังไง” ฮงตอบโดยที่สายตาโฟกัสไปที่การรดน้ำต้นไม้ใหญ่หลังบ้านอยู่
“ไม่เป็นยังไงนี่คืออะไร”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก คงเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันไปเอง” แล้วทำไมอยู่ๆ เขาถึงได้พูดเหมือนไม่มีอะไรเสียหายได้ขนาดนี้ทั้งที่เมื่อวานฮงดูกังวลกว่าฉันตั้งหลายเท่าเรื่องที่มีคนสะกดรอยตาม
“เข้าใจผิดเนี่ยนะ? ไม่จริงอะ” ยังไงผู้ชายคนนั้นก็เดินตามเราอยู่ดีไม่ใช่เหรอ มันจะไม่มีอะไรได้ยังไง หรือว่าหมอดูคนนี้มีอะไรปิดบังฉันอยู่ถึงไม่อยากบอก
“นี่ ไปใส่ใจกับสภาพตัวเองก่อนเถอะ” คราวนี้เจ้าของร่างสูงหันหน้ามามองที่ฉันพร้อมกับทำหน้าเหมือนตลกขบขันอะไรสักอย่าง
“สภาพฉันมันทำ..เฮ้ย” ฉันกำลังจะต่อเถียงเพื่อนบ้านไปแก็ต้องร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อก้มมองสภาพร่างกายที่เปียกน้ำของตัวเองจากนั้นก็รีบยกมือขึ้นกอดอกตัวเองเอาไว้
เพื่อเป็นการปกปิดส่วนบน
“ไม่ต้องอายหรอก ฉันเคยเห็นข้างหลังมาแล้วเห็นข้างหน้าเพิ่มก็ไม่เป็นไร” ทำไมถึงได้พูดออกมาหน้ามึนๆ ขนาดนี้วะ!
“บ้าเอ๊ย” ใบหน้าที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาฉันรู้หงุดหงิดตัวเองขึ้นมา ให้ตายสิ! ฉันก็ลืมไปว่าชุดนอนที่ตัวเองใส่มันบางแค่โดนน้ำนิดเดียวก็เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ถึงจะมีเสื้อชั้นในปิดไว้อยู่มันก็น่าอายอยู่ดี ไอ้บ้าฮงนี่เจอหน้ากันไม่ถึงเดือนก็เห็นแทบจะทุกอย่างบนตัวของฉันเลย
อยากย้ายออกตอนนี้ไปเลย แต่ก็เสียดายเงินค่ามัดจำ
“ไม่ต้องอายหรอก หุ่นเธอดีจะตาย”
ถ้าไม่ติดที่ว่ามีรั้วคั่นระหว่างเราสองคนไว้ล่ะก็ฉันจะไม่รีรอและพุ่งเข้าไปแหกหน้าหล่อๆ นั่นของเขาแน่นอน
Castle-G's Talk
บ้าจริง!! ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ฮะ
___________________________________
____________________________________
อ่านแล้วอย่าลืมคอมเม้นท์ให้หรือเข้ามาเม้าท์มอยได้ที่ #ฮงลี
____________________________________
เซ็ตรักมันระทึก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

-_____-
เจิมมมม