ตอนที่ 10 : | H | 09 : น้ำที่ดับไฟไม่ได้ [100%]
9
น้ำที่ดับไฟไม่ได้
ฉันมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉยอีกทั้งยังไม่ได้พูดอะไรกลับไปเนื่องจากมีแต่ความสับสนเต็มอยู่ในหัว และยิ่งร่างสูงนั้นค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาหาตัวของฉันทีละนิดทีละหน่อยนั่นก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูก
“ฮง..เดี๋ยว” ฉันพูดขึ้นเบาๆ พร้อมกับใช้มือดันไปที่หน้าอกของเขาเอาไว้เพื่อหยุดยั้งการกระทำดังกล่าว
“หืม?”
ไม่หงไม่หืมอะไรทั้งนั้นหละ ตอนนี้เขากำลังทำฉันประสาทเสีย
“ฉันไม่เล่นด้วยนะ” ว่าจบก็ออกแรงผลักคนตรงหน้าออกอย่างแรง แต่เขากลับเซเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉันเดินผ่านร่างของอีกฝ่ายไปเพื่อจะหาทางขึ้นจากสระแต่ทว่ามือด้านซ้ายกลับโดนฮงจับเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยว ไม่แกล้งแล้วก็ได้” เขาดึงฉันให้หันไปหาพร้อมกับส่งยิ้มแปลกๆ มาให้
ฉันเกลียดรอยยิ้มแบบนั้นที่สุดเลย
เจ้าของร่างสูงค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกห่างจากร่างของฉันไปทีละนิด มันไม่ใช่การห่างไปเพียงคืบหรือสองคืบแต่เขาถอยหลังไปเรื่อยๆ จนอยู่เกือบอีกฝั่งหนึ่งของสระว่ายน้ำ ฉันมองตามการกระทำดังกล่าวก็ได้แต่สงสัยเล็กน้อยจนกระทั่งฮงพูดออกมา
“ลองเดินเข้ามาหาฉันสิ”
อะไรนะ..เดินไปหาเขาตรงนั้นน่ะเหรอ แต่ว่าระดับน้ำตรงนั้นสูงท่วมอกของฮงเลยนะ ถ้าฉันไป..ก็คงเหลือแค่ตากับจมูกหรือเปล่า?
“ไม่ลึกหรอก เธอทำได้” เขาเอ่ยอีกครา
ไอ้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กหกขวบแล้วโดนผู้ใหญ่หลอกล่อนี่มันคืออะไร ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นถอนหายใจออกมา มาถึงขนาดนี้แล้วจะให้ถอยกลับก็คงจะเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ
สองเท้าค่อยๆ ย่างก้าวผ่านมวลน้ำในสระไปจนกระทั่งตัวของฉันออกจากจุดที่ตื้นที่สุด ที่นี่ไม่ได้ลึกเหมือนกับที่สถาบันฝึกสอนแต่ว่ามันก็ไม่น่าปลอดภัยสำหรับคนที่มีปัญหากับน้ำแบบฉันอยู่ดี
เพราะที่นี่ไม่ได้กว้างมากนัก จึงใช้เวลาไม่นานในการมาถึงตัวของอีกฝ่ายแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ประเด็นสำคัญตอนนี้คือฉันเดาไว้แล้วไม่ผิดว่าระดับน้ำตรงนี้ต้องท่วมหน้าตัวเองแน่นอน นั่นจึงส่งผลให้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำงาน ฉันรีบยกมือขึ้นไปเกาะไหล่คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อพยุงร่างตัวเองให้ใบหน้าพ้นน้ำ จากมือที่เกาะไหล่เฉยๆ ก็เปลี่ยนเป็นเอาแขนโอบรอบคอของฮงแทนเพื่อความยึดแน่นที่มากขึ้น
“แค่กๆ” ฉันสำลักน้ำที่เผลอเอาเข้าปากไป
“มาไอใส่หน้าฉันนี่คิดดีแล้วเหรอไง” เสียงเย็นๆ นั้นดังขึ้นในระยะที่ใกล้ถึงใกล้มาก
ฉิบหาย ลืมไปว่าตัวเองเกาะเขาเป็นหมีอยู่
“ก็น้ำมันลึก..” ฉันว่าพร้อมมองหน้าเขาเพื่อสังเกตว่าตอนนี้อีกคนมีสีหน้าแบบไหน แต่กลับต้องเป็นฝ่ายตกใจเสียก่อนเนื่องจากใบหน้าของเราสองคนอยู่ใกล้กันมากเกินไป
“รู้อะไรไหม ตอนเธอเปียกน้ำก็สวยดี”
ฉันชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้น มันไม่ใช่คำชมครั้งแรกที่มาจากเพื่อนบ้านคนนี้แต่ว่าคราวนี้ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเขาไม่เหมือนครั้งก่อนที่บอกขำๆ เท่านั้น
เหมือนฮงจะจริงจังมากกว่าปกติ แล้วแบบนี้ฉันควรจะตอบกลับไปว่ายังไงล่ะ
“ระ..เรา..ขึ้นจากน้ำ..เถอะ” ฉันพูดอย่างตะกุกตะกักเหตุเกิดจากอาการเกร็งเมื่อใบหน้าของเราสองคนอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อย ครั้นจะให้ปล่อยแขนออกจากอีกฝ่ายก็เป็นห่วงจิตใจตัวเอง
“อยู่แบบนี้ไม่ดีเหรอ” คนตรงหน้าเอ่ยถาม ใบหน้าของเขานั้นยากที่จะเดาได้ว่าตอนนี้เจ้าตัวรู้สึกอะไรอยู่
“..” ฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคำถามนั้นเลย ยิ่งจ้องมองลึกเข้าในแววตานั่นฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนสะกดจิตให้มองมันอยู่ซ้ำไปซ้ำมา เคยเห็นใบหน้าหล่อนี้มาก็ตั้งหลายครั้งแต่ทำไมคราวนี้มันถึงได้น่ามองมากกว่าครั้งก่อน ความรู้สึกคล้ายอยู่ในห้วงเวทมนต์นี่มันยังไงกันนะ ...หรือเขาจะเป็นพ่อมดจริงๆ
ไม่รู้เลยว่าตัวเองตกอยู่ในสภาพดั่งเช่นตอนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้นั่นก็คืออุ่นไอร้อนที่ทาบทับลงมาบนริมฝีปากท่ามกลางความหนาวเย็นจากผืนน้ำ
25%
ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง และคงคิดไม่ออกนอกจากร่างกายที่มันกำลังตอบสนองการกระทำดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ในขณะรอบนอกกำลังเหน็บหนาวด้วยอุณหภูมิที่ต่ำแต่ภายในของฉันกำลังร้อนรุ่มไปหมดจนน่าแปลกใจ
เนื้อส่วนล่างของปากถูกขบเข้ามาด้วยคมเขี้ยวสร้างความเจ็บแสบให้จนฉันสะดุ้งแล้วเป็นฝ่ายผละออกมา ฉันหอบหายใจสักพักแล้วก็รีบปล่อยแขนออกจากคอของร่างสูงและรีบปีนขึ้นจากสระโดยบันไดที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็วโดยลืมอาการกลัวน้ำไปชั่วขณะ
เมื่อกลับเข้ามาถึงด้านในฉันก็รีบมองหาผ้าเช็ดตัวก่อนเป็นลำดับแรกโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจะไปหามาจากที่ไหน แต่แล้วก็เหมือนโชคจะเข้าข้างเมื่อมีผ้าขนหนูสีขาวผืนหนึ่งพับไว้ตรงหน้าฉันพอดี จึงไม่รีรอที่จะรีบเอามาคลุมร่างกายที่เปียกโชกของตนเอง
“อาบน้ำก่อนดีไหม” คนที่เดินตามหลังมาติดๆ ก็พูดขึ้น ท่าทางของฮงดูนิ่งเฉยและปกติราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“นาย..”
“หืม” ฮงออกเสียงในลำคอพร้อมกับเอียงหน้าเล็กน้อย
“ทำบ้าอะไร” ในขณะที่ฉันเอ่ยถามออกไปแล้วแต่คนตรงหน้าก็ยังไม่ได้แสดงอาการผิดแปลกแต่อย่างไร หนำซ้ำเจ้าตัวยังหัวเราะอีกต่างหาก
“ก็เห็นเคลิ้มดีออก”
เคลิ้มก็บ้าแล้ว!
“ฉันจะกลับบ้าน” เมื่อหาทางออกให้ชีวิตของตัวเองตอนนี้ไม่เจอ สิ่งเดียวที่คิดได้ก็คือควรเก็บกระเป๋าแล้วกลับไปตั้งหลักที่บ้านใหม่
“สภาพนั้น??” เจ้าของร่างสูงว่าพร้อมกับปรายตามองร่างของฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นฮงก็ส่ายหน้าไปมา “ไม่ดีมั้ง”
ฉันเองก็ลืมไปว่าไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยนซะด้วย แถมไอ้เสื้อผ้าบนตัวที่เปียกโชกมันก็ไม่เหมาะจะเดินออกไปข้างนอกจริงๆ นั่นแหละ
“ฉันมีชุดให้เธอเปลี่ยนนะ แต่ว่า..” สำหรับฮงแล้วการมีข้อแม้ก็คงเป็นเรื่องปกติสินะ
“แต่อะไร”
“เธอต้องค้างคืนที่นี่”
ฉันถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อรับรู้ถึงข้อแลกเปลี่ยนที่อีกฝ่ายต้องการ จากเหตุการณ์ในสระว่ายน้ำเมื่อครู่มันก็บ่งบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าผู้ชายคนนี้ไว้ใจไม่ได้ นี่ยังจะต้องมานอนค้างคืนกับเขาอีกเหรอ
อ่า...เป็นเรื่องที่แย่มากๆ เลย
“ไม่ บ้านฉันก็มี” ฉันโวยวายด้วยความรู้สึกไม่พอใจก่อนจะรีบเดินไปหยิบเสื้อคลุมกับกระเป๋ามาถือไว้กับตัว แต่ทว่ากลับมีมือหนึ่งมายื้อไปซะอย่างนั้น
“ดึกแล้ว ซอยหน้าคอนโดเปลี่ยวมากนะ ไม่กลัวโจรเหรอ” อีกคนพยายามพูดโน้มน้าวให้ฉันยอมทำตามข้อเสนอบ้าบอนั่น
มาโหวตกันเถอะว่าระหว่างโจรกับฮงอะไรจะน่ากลัวกว่ากัน
“นายมันก็น่ากลัวพอๆ กับโจรนั่นแหละ”
“หึ” เขาแค่นหัวเราะในลำคอก่อนจะสาวเท้าเข้ามาหาฉัน “ถ้าฉันจะทำอะไรเธอจริงๆ ล่ะก็ เป็นเมียฉันจะไม่ดีกว่าเป็นเมียโจรเหรอ?”
ตรรกะประหลาดสิ้นดีเลย ฉันจะด่าผู้ชายคนนี้ว่าอะไรดีวะเนี่ย
“พูดแบบนี้นายคิดจะทำอะไรฉันจริงๆ ใช่หรือเปล่า” ฉันขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่แววตาคมคู่นั้นเพื่อจับผิดหาพิรุธของอีกฝ่าย
“ใจเย็นๆ ลี ฉันไม่นิยมขืนใจผู้หญิงหรอกนะ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะทำอะไรหรอก” ร่างสูงเอ่ยพร้อมกับเดินไปหยิบถุงกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะด้านหน้าทีวีมาให้ฉันรับไว้
“ให้มันจริง”
ฮงยกยิ้มมุมปากและโน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูฉัน “แต่ถ้าเธอยอมฉันเอง ก็ไม่แน่”
50%
“ใครจะไปยอมนายกัน”
“จะรู้เหรอ” เขาพูดแล้วทำท่าทางกวนประสาท “เธออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอก ถ้าพรุ่งนี้เช้าฉันยังไม่กลับมาก็ออกไปได้เลย”
ฉันทั้งฟังและมองคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ ในหัวตัวเองก็เต็มไปด้วยความสงสัยว่าฮงจะออกไปไหนแต่กลับไม่กล้าถามออกไป สุดท้ายสิ่งที่ฉันทำก็คือเดินเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับถุงเสื้อผ้าที่ฮงให้มาอย่างเงียบๆ
จวบจวนเวลาผ่านไปได้สิบนาที ฉันใช้เวลาในการอาบน้ำอย่างรวดเร็วโดยผิดวิสัยของตนเองอย่างมาก แถมยังแต่งตัวเร็วอีกด้วย และทันทีที่เปิดประตูห้องน้ำออกมาก็ต้องตกใจกับการที่เห็นร่างสูงยังนั่งอยู่ในห้องทั้งที่ตัวเองบอกแท้ๆ ว่าจะออกไปข้างนอก
สองมือของฉันกระชับผ้าขนหนูที่พาดคอเอาไว้แน่น
“ลืมบอกไปว่าถ้าหิวก็เปิดตู้เย็นหาอะไรกินได้เลย” เขาตั้งใจจะบอกแค่นี้เองเหรอ
“ไหนว่าคอนโดเพื่อนไง เอามากินแบบไม่ขอจะดีเหรอ” ฉันเหมือนจะจำได้ว่าฮงเคยบอกไส้ตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าที่นี่เป็นของเพื่อนเขา
“ก็ไม่เชิงของมันทั้งหมดหรอก อย่าถามเยอะเดี๋ยวฉันต้องรีบออกไปแล้ว” ฮงลุกขึ้นจากโซฟา เขาเอื้อมมือไปคว้าแจ็คเก็ตที่พาดบนแขนโซฟานำมาสวมที่ตัว
“นาย จะไปไหน”
“เรื่องส่วนตัว” เขาพูดแค่นั้นก็เปิดประตูเดินออกไปจากห้องโดยทิ้งฉันไว้คนเดียวที่นี่
ทันทีที่ฮงปิดประตู ความคิดไม่ดีบางอย่างก็วาร์ปเข้ามาในหัวของฉันทันที นั่นก็คือการตามติดชีวิตของหมอดูความลับเยอะคนนี้ ฉันมีความสงสัยอะไรหลายอย่างในตัวเขามากๆ แต่ก็ไม่รู้จะถามอีกฝ่ายได้ยังไงเพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะหวงแหนเรื่องของตนเองเหลือเกิน
เมื่อตัดสินใจกับตัวเองแล้วเรียบร้อยก็ตัดสินใจเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองและเดินออกจากคอนโดเพื่อย่องเบาสะกดรอยผู้ชายคนนั้น จนกระทั่งมาถึงหน้าลิฟต์ที่มีสองตัว ตัวแรกกำลังเคลื่อนลงไปชั้นล่างซึ่งก็คงเป็นตัวที่ฮงอยู่ ส่วนฉันก็รีบไปกดปุ่มลงของลิฟต์ตัวที่สองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเพื่อจะได้ตามเขาไปติดๆ
ผ่านไปไม่ถึงนาทีฉันก็มาหยุดยืนอยู่ชั้นหนึ่งของตัวคอนโด ฉันใช้เวลาสอดส่องหาร่างหมอดูเพื่อนบ้านไม่นานเพราะอย่างฮงมองจากด้านหลังก็รู้ว่าเป็นเขา ดูสิตัวสูงก็สูง ขาก็ยาวขนาดนั้น
ฉันเลือกที่จะทิ้งระยะห่างจากเขาไว้ไม่ต่ำกว่า 7-8 เมตรเพื่อลดการเสี่ยงถูกจับได้ แถมเวลากลางคืนที่ค่อนข้างมืดนี้ยังเป็นใจกับฉันอีกด้วย แต่ถึงแบบนั้นการสะกดรอยก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า
แต่ว่า..นี่ทำอะไรของแกอยู่วะลี? เดินตามเพื่อนบ้านเนี่ยนะ
ตีกับตัวเองไปก็เท่านั้น สุดท้ายแล้วมาถึงขนาดนี้ก็ต้องทำต่อให้จบ เมื่อฉันเดินตามเขามาเรื่อยๆ ก็พบว่าทางที่เขามาเปลี่ยวขึ้นทุกทีจากทียังพอมีแสงไฟจากข้างทางก็เริ่มมืดลงจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น จนกระทั่งเขาหยุดยืนอยู่ที่ด้านข้างตึกเก่าๆ ที่น่าจะถูกปล่อยทิ้งร้างไว้หลายปี ฉันจึงรีบซ่อนตัวด้านข้างมุมตึกก่อน
คนอย่างฮงมาทำอะไรในที่แบบนี้กันนะ
และปริศนาก็ถูกคลี่คลายเมื่อมีใครสักคนเดินมาที่นี่เช่นกัน บุคคลนั้นแต่งตัวด้วยสีดำทั้งชุดเหมือนฮงไม่มีผิดฉันเองก็เห็นหน้าไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ท่าทางผู้ชายคนนี้ลุกลี้ลุกลนแปลกๆ ซึ่งดูแล้วเขาสองคนก็คงนัดกันไว้ที่นี่สินะ
“ไหนของที่ผมสั่งไว้” ชายคนดังกล่าวเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีรีบร้อน
“อันนี้หรือเปล่า” ฮงว่าพร้อมกับยื่นอะไรบางอย่างให้อีกฝ่ายดู
“นี่แหละถูกแล้ว นี่ค่าตอบแทน ขอบใจมาก” ผู้ชายคนนั้นรับของสิ่งนั้นจากมือของร่างสูงแล้วก็รีบยัดซองเงินใส่มือของฮงทันที “เดี๋ยวผมต้องรีบกลับ คราวหน้าจะมาให้ช่วยใหม่”
อะไรวะ? นี่พวกเขาซื้อขายอะไรกันน่ะ แต่การซื้อขายแลกเปลี่ยนในที่แบบนี้ฉันจะต้องข้อสันนิษฐานเอาไว้ว่ามันต้องเป็นอะไรที่ไม่ดีแน่เลย อาจจะเป็นพวกของผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมพวกนั้น
ฉันละสายตาจากเหตุการณ์นั้นก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าตัวเองโดยที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน เผื่อจะสามารถใช้ในอนาคตได้ แต่พอหันไปยังจุดเดินที่พวกนั้นยืนอยู่กลับพบแต่ความว่างเปล่าเสียอย่างนั้น
อ้าว..ไปไหนไวจัง
“หัดทำตัวเป็นสตลอกเกอร์แบบนี้ไม่ดีเลยนะ” เสียงอันคุ้นหูที่ดังอยู่ข้างกายทำขนแขนลุกด้วยความสยอง
“ฮง” ฉันไม่น่าประมาทเลย.. เผลอแป๊บเดียวเขามายืนด้านข้างฉันได้ยังไง
“แล้วเปิดกล้องโทรศัพท์คิดจะทำอะไร” ฮงไม่พูดเปล่า เขาใช้มือหนานั่นเข้าฉกชิงเอาโทรศัพท์ของฉันไปถือไว้เสียเองแถมยังควงเล่นอย่างไม่กลัวจะตกแตกอีกด้วย “คิดจะแบล็คเมล์ฉันเหรอ”
บ้าจริงๆ ฉันไม่น่าหาเรื่องให้ตัวเองตั้งแต่แรกเลย
“แล้วนายล่ะ กำลังทำอะไรอยู่ในสถานที่แบบนี้เวลาดึกดื่น เรื่องผิดกฎหมายใช่ไหมล่ะ” พอจบประโยคนั้น ร่างของฉันก็ถูกผลักให้ไปติดกับผนังตึกโดยเขาใช้แขนด้านหนึ่งดันตัวฉันเอาไว้ “นี่! ปล่อยแล้วก็เอาโทรศัพท์ฉันคืนมาได้แล้วในนั้นไม่มีรูปหรือคลิปอะไรทั้งนั้น”
“เดี๋ยวก็มี”
“...”
“แต่อาจจะเป็นคลิปของเราสองคนแทน”
75%
“คลิปบ้าอะไร” ฉันเริ่มหัวเสียนิดหน่อยหลังจากที่พยายามขืนตัวออกจากแรงของอีกฝ่ายไม่สำเร็จ
ฮงไม่ตอบแต่เขากลับลากฉันกลับไปที่คอนโดแทน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนทำเอาตั้งตัวไม่ทัน เหมือนเผลอถอนหายใจทิ้งแป๊บเดียวร่างของฉันก็กลับมาอยู่บนโซฟาของที่นี่แล้ว บรรยากาศภายรอบนอกที่จากเดิมนั้นเงียบมากอยู่แล้วตอนนี้มีความรู้สึกเย็นวาบไปทั่วห้อง
เจ้าของร่างสูงย่อตัวลงนั่งด้านหน้าฉันพร้อมกับสบตานิ่ง แววตาคมที่ยากจะเดาออกนั้นหากยิ่งมองเข้าไปก็เหมือนกำลังจะโดนสะกดจิตให้ร่างกายหยุดเคลื่อนไหว มือหนาเอื้อมมาหยิบมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่ข้างจานบนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะนำมันมาจ่อเอาไว้ในระยะที่พลาดนิดเดียวฉันอาจจะต้องเสียเลือด
“รู้ไหม ถ้าจะปิดปากคนที่รู้ความลับมากๆ ต้องทำยังไง” เขาเอ่ยแล้วก็ใช้ปลายมีดแหลมคมทาบลงบนคอของฉันอย่างเบาๆ
ฉันหยุดการเคลื่อนไหวแทบจะทุกอย่างรวมถึงแทบหยุดหายใจเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ไม่คาดฝันตรงหน้า ประโยคเมื่อครู่เหมือนจะเป็นคำถามแต่ว่า..ไม่สามารถตอบอะไรได้เลย
“ก็ต้องฆ่าทิ้ง...ไม่ก็แบล็คเมล์” ฮงเป็นคนตอบคำถามของตนเอง เขาส่ายหน้าเล็กน้อยและละมือข้างนั้นออกไป นั่นทำให้ฉันรู้สึกหายใจได้สะดวกขึ้นแต่ก็ยังไม่ทั้งหมด
“ฉัน..ขอโทษ” ปากของฉันขยับและเปล่งเสียงออกไปโดยอัตโนมัติเมื่อได้รับรู้ถึงความอันตรายที่กำลังแผ่ปกไปทั่วอาณาบริเวณ
“ให้ตอบว่าไง? ไม่เป็นไร ฉันให้อภัยดีหรือเปล่า”
“ฉันยังไม่รู้ความลับอะไรของนายทั้งนั้น” ทำใจดีสู้เสือทั้งที่ในใจอยากจะกลายเป็นอากาศธาตุให้รู้แล้วรู้รอด
“โอเค ฉันเชื่อ” อีกฝ่ายยกยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ท่าทางที่ดูว่าง่ายของฮงนั้นไม่ได้น่าไว้ใจเลยสักนิด ไม่เลย.. บางครั้งฉันก็อยากจะแฝงตัวเป็นเซลล์สมองของเขาจะได้รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ฮง”
“หืม” หลังจากที่อีกฝ่ายได้ยินการเอ่ยชื่อจากฉันเขาก็เอียงคอมองเล็กน้อย
“นายเป็นใคร” ความกล้าทั้งหมดถูกใช้ผ่านคำพูดประโยคเมื่อครู่นี้ไปแล้ว
“แน่ใจจริงๆ เหรอว่าอยากรู้” แทบจะทุกครั้ง เขาไม่เคยตอบให้ตรงคำถามเลย และครั้งนี้ก็เช่นกันที่ฮงได้ย้อนถามคืน คนตรงหน้ายกยิ้มเล็กน้อย “สิ่งที่ต้องเสียเพื่อแลกกับเรื่องที่อยากรู้มันไม่คุ้มหรอกนะ”
“แล้วฉันจะต้องเสียอะไร” ฉันเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าจะสามารถรับคำตอบที่จะตามมาภายหลังได้หรือเปล่า แต่ว่าเมื่อฉันพาตัวเองมาอยู่วงโคจรของผู้ชายที่ดูอันตรายคนนี้แล้วการจะหลีกเลี่ยงก็คงยาก เว้นแต่ว่าจะหนีเขาไปซะ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่วิสัยของฉันสักเท่าไหร่ เรื่องท้าทายคือเรื่องที่สนุกที่สุดในชีวิตของฉันแล้ว
“ทั้งหมดในชีวิตเธอ”
และคำถามสุดท้ายของวันนี้ก็คงจะเป็น
“แล้วถ้าฉันยอมแลก นายจะยอมเปิดเผยตัวตนของตัวเองหรือเปล่า” อ่า...มันก็แค่คำถามน่ะ ฉันก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรมากนักหรอก
จบประโยคนั้นฉันก็ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะในลำคอจากเจ้าของร่างสูงที่ยืนค้ำหัวอยู่ด้านหน้า
“อนาคตเธอยังอีกไกลนะลีเหมือนดอกไม้ที่กำลังงอกงาม ฉันว่าไม่คุ้มมั้งที่จะต้องถูกเด็ดทิ้งก่อนออกผล” อยู่ๆ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปเข้าโหมดปรัชญา จนตอนนี้ฉันมีข้อสันนิษฐานขึ้นมาอีกอย่างแล้วว่าบางทีผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นโรคไบโพล่าร์หรือเปล่า?
“นายมีความสามารถทำได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ” ฉันเลิกคิ้วเล็กน้อย
“อยากทดลองดูหรือเปล่า” เขาใช้แขนค้ำพนักโซฟาเอาไว้พร้อมกับโน้มตัวลงมาจนใบหน้าหล่อนั่นเข้ามาอยู่ใกล้กับหน้าฉันเพียงแค่คืบเดียว
“อะไร” การกระทำคุกคามจากอีกฝ่ายทำเอาฉันตกใจแต่ก็ต้องนั่งนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ ออกไป
“ฉันบอกไปหรือยังว่าฉันเป็นหมอดูที่ทำนายจากการสัมผัส”
“อือ” ฉันก็เหมือนจะเคยได้ยินอยู่ครั้งหนึ่ง ส่วนครั้งที่สองฉันอ่านเจอในประวัติของเขา
“แล้วฉันเคยบอกหรือยังว่าการทำนายที่จะได้ผลดีขึ้นก็ต้องสัมผัสมากขึ้น” นัยน์ตาสีเข้มจ้องลึกเข้ามาเหมือนกำลังจะควบคุมร่างกายของฉันให้หยุดเคลื่อนไหว
“...” ซึ่งมันก็ได้ผลดีเสียด้วย เพราะตอนนี้ฉันไม่กล้าจะขยับไปไหนเลย
“มากกว่าการแตะ มากกว่าการจับมือ ให้ร่างกายเราสองคนสัมผัสกันอย่างแนบแน่น” ฮงเอ่ยออกไปหลังจากที่เงียบไปสักพัก “ว่าไง อยากลองดูหรือเปล่า”
100%
อยากค่าาาา #เขาไม่ถามแก
ใจไม่ดีเลย โอย....
___________________________________
____________________________________
อ่านแล้วอย่าลืมคอมเม้นท์ให้หรือเข้ามาเม้าท์มอยได้ที่ #ฮงลี
____________________________________
เซ็ตรักมันระทึก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หนูอยากดูดวงกับพ่อหมอฮงจัง
ประโยคนี้ทำให้ใจสั่นเลย