ตอนที่ 8 : DIFFAIR | 07 : MAKE IT RIGHT [100%]
7
MAKE IT RIGHT
“...” ฉันพูดไม่ออกเลย
“ไม่ขำเหรอ”
ขำก็แย่แล้ว
“พี่ไม่มีงานทำหรือไง” ฉันเห็นเขาทีไร เขาก็ดูเหมือนคนว่างแทบทุกครั้งเลย
“นั่งจีบน้องคืองานที่พี่ต้องทำไง” แล้วก็ไม่พ้นจากอะไรแบบนี้จนได้ เขานี่เคยลดละความพยายามบ้างหรือเปล่านะ
“แต่งานของฉันไม่ใช่การนั่งคุยกับพี่” และในขณะที่ฉันกำลังจะเก็บของแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะไม้
พี่ดิฟก็..
“ไปไหนอะ” ลุกตามมาอย่างนี้ไง
“เรียน” ฉันตอบแล้วก็เริ่มก้าวเท้าออกมาตามทางเดินด้านข้างตึกเรียน ตัวต่อไปฉันไปเรียนอยู่ที่อีกตึกหนึ่งซึ่งต้องใช้เวลาสักหน่อยในการเดิน
“เพิ่งเที่ยงครึ่งเอง”
“ก็ไปนั่งรอ”
“อาจารย์เปิดห้องแล้ว?”
“ห้องนั้นก็เปิดตลอดนั่นแหละ” ฉันตอบปัดไปโดยไม่ได้หันไปสบตาคู่สนทนาที่กำลังเดินตามมาอยู่เรื่อยๆ
“งั้นพี่ไปส่งที่ห้องเรียน” เขาเสนอตัว
“ไม่ต้องหรอกน่า” ปกติฉันก็เดินไปเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคนเดินไปส่งสักหน่อย เราไม่ได้ใช้ขาร่วมกันจะเดินไปส่งทำไม
“ก็อยากไปส่ง อย่าเย็นชานักเลย” นี่พี่มันมีคติตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลกใช่ป้ะ
ฉันเงียบแล้วเดินต่อไปเพราะขี้เกียจจะต่อปากต่อคำด้วย และตลอดทางกว่าจะเดินมาถึงด้านหน้าตึกเรียนพี่ดิฟก็ชวนพูดคุยตลอดทางตั้งแต่ชมนกชมไม้ ดูรถที่วิ่งผ่านไปตามถนนในมอ หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ยังคุยด้วย ฉันไม่เข้าใจว่าคนแบบนี้ไปเอาเอเนอร์จี้ในการพูดมาจากไหนมากมาย เพราะตัวฉันเองเป็นคนเงียบๆ คุยไม่ค่อยเก่งจึงรู้สึกอะเมซิ่ง
“ถึงแล้ว พี่กลับเถอะ ขอบคุณที่มาส่ง” ฉันหันไปบอกกับอีกฝ่ายเมื่อเดินมาหยุดอยู่เป้าหมาย แต่ว่าเมื่อคุยกับพี่ดิฟจบแล้วจะเดินเข้าไปในตึกก็พบกับร่างคุ้นตาของเพื่อนสนิท
“แอร์ มาแล้วเหรอ..” ก้อยเดินลงบันไดออกมาจากตึกแล้วตรงเข้าหาฉันก่อนจะตีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นผู้ชายด้านข้าง “แล้วนี่ มาด้วยกัน?”
“อือ” ฉันไม่มีความจำเป็นจะต้องโกหก
“พี่ดิฟป้ะคะ” ก้อยรู้จักเขาโดยที่ฉันไม่ต้องแนะนำเลย
“ใช่ครับ นี่น้องก้อยเนอะ” พี่ดิฟยิ้มรับพร้อมกับทักทายกลับอย่างเป็นมิตร คนอย่างเขาไม่เป็นมิตรกับใครบ้างเอางี้ก่อน
“พี่รู้จักฉันด้วยเหรอคะ” ก้อยทำหน้าประหลาดใจอีกครั้งเมื่อได้ยินเขาพูดชื่อของเจ้าหล่อน
“พี่ก็รู้จักผู้หญิงน่ารักทุกคนนั่นแหละ” นี่ก็มนุษยสัมพันธ์ดีเหลือเกิน ดีจนน่ารำคาญ ปากบอกจะจีบฉันแต่ก็ฉีกยิ้มหวานให้ผู้หญิงทุกคนเลย
“อะแฮ่ม” ฉันหันหน้าไปกระแอมใส่ผู้ชายด้านข้างแล้วจึงใช้สายตาเรียบนิ่งมองไปที่เขา
“...”
“กลับไปได้แล้วมั้งพี่น่ะ”
“กลับก็ได้ งั้นพี่ไปแล้วนะ” พี่ดิฟโบกมือลาจากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปตามทางที่เรามา
ฉันมองตามแผ่นหลังนั่นไปจนกระทั่งเขาหายเข้าไปในอีกตึกหนึ่งแล้วจึงถอนหายใจออกมาเล็กน้อยทีนี้ก็เหลือฉันกับเพื่อนสนิทสินะ
“ไงจ๊ะ มีผู้ใหม่เร็วนะเนี่ย ตอนนั้นยังบอกว่าไม่เอาเขาอยู่เลย” ก้อยเอ่ยพลางยิ้มแซว
ฉันแค่นหัวเราะเบาๆ พร้อมกระตุกยิ้ม
“เขาก็แค่ตามจีบ...ช่วงนี้ฉันมีผู้ชายมาตามเยอะเลย ขนาดพี่ธีร์ก็ยังตามขอคืนดีอยู่ไม่เลิก” ฉันพูดจบก็รอสังเกตปฏิกิริยาของคนตรงหน้า
“โห พี่ธีร์นี่ก็ความพยายามสูงจังเนอะ” สีหน้าของก้อยเป็นปกติเฉกเช่นทุกครั้งเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไร เธอเก็บอาการบวกกับแสดงละครได้อย่างเนียบเนียน
“ความจริงอย่างเขาก็น่าจะเปิดตัวคบกับผู้หญิงคนนั้นที่อุตส่าห์นอกใจฉันไปเลยนะ หรือว่ายัยคนนั้นคงดีสู้ฉันไม่ได้เลยไม่กล้าเปิดตัวก็ไม่รู้” ในเมื่อเธอเสแสร้งกับฉันก่อน ฉันก็จะทำแบบเดียวกับที่เธอทำ
“...”
คราวนี้เงียบเลยแฮะ บางทีฉันอาจจะเริ่มต้นแรงไป.. ค่อยๆ ทำให้เจ็บดีกว่า
“ขึ้นไปรอบนห้องเรียนกันเถอะ ตรงนี้ร้อนนะ” ฉันเปลี่ยนเรื่องก่อนจะเดินนำหน้าผู้เป็นเพื่อนไปยังลิฟต์ของตึก เพราะชั้นที่จะไปเรียนอยู่สูงเกินกว่าจะเดินขึ้นบันไดได้
ในขณะที่เราทั้งคู่ยืนอยู่ในลิฟต์ที่กำลังขึ้นไปยังชั้น 8 เสียงของก้อยก็ดังขึ้นด้วยประโยคคำถาม
“แล้ว..แกจะกลับไปคืนดีกับพี่ธีร์หรือเปล่า”
“ก็ถ้าเรายังรักกันอะนะ” ฉันพูดว่า ‘ถ้า’ เพราะความจริงฉันไม่ได้รักเขาหรืออะไรกับเขาแล้วทั้งนั้น
“เขาทำกับแกขนาดนั้น เขาคงไม่ได้รักแกแล้วมั้ง”
“เขาชอบฉันมากกว่าอีนั่นแน่นอน เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็คงเปิดตัวคบกับมันไปแล้ว จะมาตามตื๊อฉันทำไมจริงไหม” ฉันยิ้มให้กับเธอ “ความจริงผู้หญิงคนนั้นก็ควรรู้ตัวได้แล้วนะว่าเป็นได้แค่ตัวสำรอง แย่งเขากินน่ะมันก็อร่อยแค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ”
ติ๊ง
เสียงลิฟต์เปิดดังขึ้นหลังจากที่ฉันเอ่ยประโยคนั้นจบ เราสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรอีกนอกจากเดินออกจากลิฟต์แล้วตรงไปยังห้องเรียนวิชาต่อไป
ซึ่งก็เงียบได้ไม่นาน
“เย็นนี้แกว่างหรือเปล่า ว่าจะชวนไปเดินห้างด้วยกัน” ก้อยเอ่ยถาม
“ช่วงนี้ไม่ว่างหรอก ซ้อมคทาน่ะ..อีกไม่นานก็จะถึงงานกีฬาแล้ว เดี๋ยวจะมีซ้อมใหญ่อีกไม่นานนี้” ฉันตอบไปตามตรง ยิ่งช่วงนี้ฉันดูไม่ค่อยมีสมาธิพี่พริ้มก็ยิ่งเคร่งกับฉันมากกว่าเดิม
“อ๋อ นั่นสินะ เธอเป็นคทากรไม้หนึ่งนี่นา แบบนี้ต้องยิ่งดังกว่าเดิมแน่ เผลอๆ ต้องมีคนมาตามจีบแกเพิ่ม ไม่จำเป็นต้องสนใจพี่ธีร์แล้วมั้ง”
“...ก็ไม่รู้สิ”
เพราะบางทีฉันอาจจะมีความจำเป็นต้องสนใจพี่ธีร์ก็ได้ ให้คนแถวนี้อกแตกตาย
สัปดาห์ต่อมา
Diff’s Talk
เสียงแห่งความวุ่นวายพร้อมกับกลุ่มฝูงชนที่กำลังเดินเบียดกันอย่างแออัดด้านหน้าสนามกีฬาขนาดใหญ่กลางมหาวิทยาลัยทำผมรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจ ที่แต่ว่าหนึ่งปีจะมีครั้งเพราะงั้นทนเอาก็ได้ วันนี้ตรงกับวันเสาร์คนก็เยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแถมยังตรงกับวันที่เราจัดงานแข่งกีฬาประจำปีกันอีกด้วย แล้วที่ดังไปกว่าเสียงของผู้คนคุยกันก็คงเป็นเสียงของประธานเชียร์ปีนี้ที่กำลังถือไมค์ลอยพูดคุยกับทุกคนอยู่
เพื่อความเป็นระเบียบผู้คนจึงต้องต่อแถวกันก่อนจะเข้าไปนั่งด้านในสนามกีฬา
“นี่ดิฟ” เรามาตอนบ่ายๆ ไม่ได้เหรอวะ ช่วงเช้าบอลยังไม่เริ่มแข่งหรอก” ไอ้โซ่บ่นหลังจากที่มันกวาดสายตามองไปรอบกาย “ตอนนี้คนเยอะฉิบหาย”
“ไม่ได้ ถ้ามาตอนบ่ายก็ไม่ทันขบวนดิ” ผมกำลังพูดถึงขบวนพาเหรดที่จะต้องเดินเปิดงานทุกปี
“มีอะไรน่าดูวะ?”
“ถ้ามึงเบื่อมากแล้วจะตามมาทำไมแต่แรก”
“เอ้า ไอ้สัส ก็มึงนั่นแหละโทรปลุกกู” ไอ้โซ่ตีหน้ายักษ์ใส่หลังจากที่โดนผมโบ้ยความผิดให้ “แล้วมึงจะใส่ชุกนักศึกษามาทำไมวะ”
“ก็เดี๋ยวตอนบ่ายกูมีไปติดต่อทะเบียนนักศึกษา” ผมก้มมองเครื่องแต่งกายของตนเองในตอนนี้แล้วจึงถอนหายใจออกมา ความจริงผมอยากจะใส่ไปรเวทธรรมดามากกว่าแต่ก็มีธุระต่อด้วยจึงไม่อยากเสียเวลาไปเปลี่ยนที่ห้อง
“เออ เราใช้เส้นในการเข้าไปก่อนไม่ได้เหรอ ยืนข้างนอกนานๆ ร้อนนะ”
“งั้นมึงรู้จักกับใครบ้างล่ะในนี้” ผมเอ่ยถามผู้เป็นเพื่อนพลางกวาดสายตามองหาคนที่พอจะช่วยเราลัดคิวเข้าไปด้านในได้เร็วๆ
“นู่น ประธานเชียร์ปีนี้มาจากคณะเรา กูรู้จักนะ”
“อ้อ แองจี้อะเหรอ กูขี้เกียจคุยด้วยว่ะ” ผมมองไปยังประธานเชียร์ผู้ถือไมค์อีกครั้ง ซึ่งเป็นผู้ชายตัวสูงอยู่ในชุดกระโปรงสีแสบตาพร้อมรองเท้าส้นสูงนามว่าแองจี้ ประธานเชียร์แทบทุกปีก็เป็นตุ๊ดกันทั้งนั้นแหละ เหมือนคนกลุ่มนี้เขามีอินเนอร์และเอเนอร์จี้เหลือล้นในด้านเอนเตอร์เทน จึงเหมาะกับตำแหน่งประธานเชียร์มาก
“งั้นกูคุยเอง” โซ่เสนอตัวทันที
“ไอ้เวร เขาทำงานอยู่ จะเข้าไปแทรกได้ไง” ถึงยังไงเข้าไปถามในขณะที่เขากำลังพูดไมค์แบบนั้นมันก็ดูจะโจ่งแจ้งเกินไป
แต่ระหว่างที่กำลังคิดหาทางแก้ปัญหา ผมก็มองไปเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นคนตัวเล็กสูงประมาณร้อยห้าสิบกว่าๆ ผมสั้นสีน้ำตาลยิ่งตอนที่มีแสงแดดตกกระทบก็ยิ่งเห็นประกายสีทองจากเรือนผม กำลังยืนยิ้มแจกขวดน้ำให้กับผู้ที่ต่อแถวรอเข้าสนามกีฬาอยู่ เจ้าตัวมีชื่อว่า ‘ฟูยุ’ เธอเป็นคนรู้จักคนหนึ่งของผม
“นั่นฟูยุ เหมือนเธอจะเป็นสตาร์ฟงานด้วย เราก็เนียนไปเป็นสตาร์ฟกันดีกว่า” ผมหันไปบอกกับไอ้เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างกาย
“ฟูยุ?” เหมือนมันจะงงๆ นิดหน่อย
“เด็กบริหารอะ” ผมอธิบายเสริม
“แล้วมึงไปรู้จักกับเด็กบริหารได้ไง” ไม่แปลกที่โซ่มันจะประหลาดใจ เพราะคณะสถาปัตย์กับคณะบริหารค่อนข้างอยู่ไกลกันเกือบจะคนละขอบฝั่งของมหาวิทยาลัย
“ก็..เจอกันในร้านเหล้า”
“กิ๊กมึงนี่เอง”
“อดีต กูแก้ให้”
“ไม่ใช่ว่าเดินเข้าไปแล้วโดนเขาตบหน้ากลับมานะ กูไม่ช่วยบอกก่อน” ผู้เป็นเพื่อนขมวดคิ้วหลังจากที่รู้ว่าผมกับเป้าหมายเคยเป็นอะไรกัน
“คนนี้จบกันด้วยดี เรายังเป็นเพื่อนกันได้”
“ยังไงวะ” ทำไมมันต้องทำหน้าไม่ไว้ใจผมซะขนาดนั้นล่ะ
“ครอบครัวของกีดกัน”
“เชี่ย พ่อแม่ของเขารู้เรื่องเหรอ”
“เปล่า กูหมายถึงผัวเขาจับได้” อันนี้ไม่ได้มุกนะ ตอนแรกที่เล่นด้วยเพราะนึกว่าเธอโสดน่ะ เจ้าตัวก็บอกเองว่าโสดไม่นึกว่าจะโกหกกันได้ ถ้ารู้ว่ามีแฟนอยู่แล้วผมก็ไม่ยุ่งหรอก ถึงจะแรดก็เป็นแรดมีศีลธรรม
ดีแค่ไหนตอนนั้นเลิกทัน ไม่งั้นผมคงโดนตีนฟาดหน้าคาคณะบริหาร
หลังจากที่เสวนากันอยู่สักพัก ผมก็ได้รับบัตรสตาร์ฟของงานสำหรับเข้าออกมาจากฟูยุสองใบ เธอเองก็ใจดีเหลือเกิน นิสัยว่าง่าย ไม่ยุ่งยากค่อนข้างตรงสเปคผมอยู่ เสียดายที่โกหกว่าไม่มีผัว แต่ไม่รู้ว่าป่านนี้เลิกกันยัง.. ถ้าเลิกแล้วก็น่าสนใจ แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอก เพราะผมมีผู้หญิงคนหนึ่งให้สนใจมากกว่าเยอะ
ด้านในสนามกีฬาจะมีอัฒจันทร์อยู่ 4 ฝั่ง ฝั่งแรกคือฝั่งของคณะกรรมการและสตาร์ฟงาน ฝั่งที่สองคือผู้เข้าชมคนอื่นๆ ที่ต้องซื้อบัตรเข้าชม ฝั่งที่สามคือกองเชียร์ของมหาวิทยาลัยเรา ส่วนฝั่งที่สี่ซึ่งอยู่ตรงข้ามตรงข้ามจะเป็นกองเชียร์ของอีกมหาวิทยาลัยที่มาแข่งขันด้วย งานกีฬานี้เป็นแนวสานสัมพันธ์ระหว่างสองสถาบันที่จัดขึ้นทุกปี ปีละครั้ง แล้วด้วยความที่มีบัตรสตาร์ฟผมกับเพื่อนโซ่จึงเลือกจะจับจองที่นั่งของฝั่งคณะกรรมการแถวหน้าสุดแบบ VIP
เอาน่า ผมก็มานั่งแค่แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ไปแล้ว
“นั่งข้างบนไม่ได้เหรอวะ ทำไมต้องข้างหน้า” โซ่เอ่ยถามอีกครั้ง
“มึงอยากนั่งบนก็ไปนั่งดิ กูไม่ได้บังคับ”
“ก็กูอยากเสือก กูอยากว่ามึงมาดูอะไร”
“ดูขบวนพาเหรดไง” ผมว่าผมก็บอกมันไปแล้วนะ นี่เพื่อนผมป่วยโรคหูตึงเหรอ
ผ่านไปหลายนาทีตอนนี้คนเริ่มทยอยกันมาเต็มสนามแล้ว พวกที่อยู่ด้านนอกต่างก็เข้ามานั่งที่ของตัวเองจนอัฒจันทร์บางฝั่งมีจำนวนคนนั่งอย่างหนาแน่น ซึ่งอีกไม่นานขบวนพาเหรดก็จะเริ่มเดินเข้ามาในสนามแล้ว แน่นอนว่าด้านหน้าสุดของขบวนก็คือทีมคทากรนั่นเอง
แอร์ เธอเป็นคทากรไม้หนึ่งซึ่งกำลังเดินนำขบวนอยู่ในขณะนี้ เจ้าตัวอยู่ในชุดกระโปรงรัดรูปสีดำไล่สีไปเป็นแดงเข้ม ผมยาวถูกเซ็ตจัดทรงเข้าที่เข้าทาง ปกติแล้วเธอเป็นคนที่สวยมากและยิ่งมาวันนี้ก็ยิ่งดูสวย เห็นในระยะที่ไกลก็ยังดูดีเลย
“อ๋อ ส่องคทากรนี่เอง น้องคนที่เป็นน้องไอ้อันใช่ป้ะ” ไอ้โซ่เริ่มทำเป็นรู้ดี
“ใช่”
“แล้วไงวะ ถึงไหนละไอ้เรื่องที่จะเอาเขามาเป็นพวกอะ”
“กูก็กำลังทำอยู่ อีกไม่นานหรอก”
[70%]
“กูจะคอยดู๊!” ไอ้โซ่แหกปากเสียงสูงก่อนที่มันจะเข้ามาร่วมวงส่องขบวนพาเหรดเหมือนผม “มึง คนด้านหลังนั่นสวยว่ะ”
“คนไหน น้องแพรเหรอ”
“แล้วคนที่ถือพานใส่ชุดสีฟ้านั่นล่ะ”
“อ้อ คนนั้นชื่อมุก”
“มึงเป็นทะเบียนราษฎร์เหรอถามจริง”
“ก็เหี้ยละ” ผมรู้จักคนเยอะก็จริงแต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงซะมากกว่า มันแปลกใจตรงไหนถ้าชายหนุ่มผู้โสดสนิทจะชอบรู้จักกับสาวๆ
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะสไลด์หน้าจอเปิดกล้องถ่ายรูปขึ้นมา โฟกัสบนหน้าจอจับไปที่ร่างบางของคทากรไม้หนึ่งซึ่งกำลังจะเดินผ่านไปจากนั้นภาพตรงหน้าก็ถูกบันทึกไว้ในเมมเมอรี่เพียงแค่กดถ่าย อย่างน้อยวันนี้ผมก็มีรูปของแอร์แล้วหนึ่ง
ส่วนรูปคู่น่ะ..อีกไม่ช้าหรอก
“มึง เดี๋ยวกูมานะ” ผมหันไปบอกผู้เป็นเพื่อนที่เจ้าตัวก็กำลังเพลิดเพลินกับขบวนตรงหน้าไม่น้อย
“อ้าว ไปไหนวะ”
“ซื้อของนิดหน่อย ถ้าพิธีเปิดใกล้จบแล้วโทรเรียกด้วย” หลังจากที่ออกคำสั่งโซ่เสร็จ ผมก็เดินลงมาจากอัฒจันทร์แล้วหายออกไปจากสนามกีฬา
End Diff’s Talk
“...สำหรับวันนี้ผมก็ขอให้นิสิตและนักศึกษาทุกคนใช้เวลาให้สนุกเต็มที่กับงานกีฬาสานสัมพันธ์ดั่งเช่นทุกปีที่ผ่านมา ขอบคุณครับ”
หลังจากประธานของงานวันนี้กล่าวเปิดเสร็จ เสียงดนตรีก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือทั้งจากคนที่นั่งชมอยู่ด้านบนและก็คนที่ยืนอยู่กลางสนาม มาถึงช่วงนี้ก็ใกล้จะเสร็จพิธีเปิดแล้วฉันที่เป็นผู้นำขบวนจึงต้องเดินนำหน้าออกมาจากสนามกีฬาตามที่เคยซักซ้อมเอาไว้ ยอมรับว่าเมื่อเช้าตอนที่ลุกมาแต่งหน้าทำผมก็รู้สึกประหม่าไม่น้อย แต่ก็โชคดีที่ช่วงเช้าผ่านไปได้ด้วยดี
“เก่งมากทุกคน เข้าไปพักกันก่อนนะ” พี่พริ้มยกมือขึ้นมาปรบให้กับทีมคทากรทุกคนที่ทำหน้าที่ผ่านไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ฉันวางปลายของไม้คทาลงกับพื้นพร้อมกับยกชายกระโปรงที่ยาวคลุมตาตุ่มขึ้นมาเล็กน้อยเพราะกลัวว่าจะสะดุดมันเข้า ถึงแม้ส้นสูงจะหนาตั้ง 5 นิ้วก็เถอะ ชุดที่ฉันใส่วันนี้เป็นของแบรนด์ดังซึ่งเขาเป็นสปอนเซอร์งานด้านบนเป็นเกาะอกสีดำไล่สีลงเป็นสีแดงช่วงเอวกระโปรงที่ถูกแหวกข้างสูงขึ้นมาถึงต้นขา ทรงผมถูกเซ็ตเปิดหน้าผากและด้านข้างพร้อมกับกิ๊บเพชรที่เด่นหรา ฉันคิดว่าวันนี้ตัวเองน่าจะโดนถ่ายรูปลงในเพจงานไม่ต่ำกว่า 30 รูปแน่นอน
แต่ในระหว่างที่เตรียมตัวจะเดินออกไปดื่มน้ำดื่มท่าที่ทางสตาร์ฟจัดเตรียมไว้ให้ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับกุหลาบแดงหนึ่งดอกในมือ สร้างความสนใจให้หลายคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พี่ดิฟเป็นคนที่เรียกเรตติ้งได้เก่งมากจริงๆ
แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่ยื่นไอ้ดอกกุหลาบในมือนั่นมาให้ฉัน
“อะไร” ฉันมองไปที่มือของคนตรงหน้าด้วยความฉงน
“ดอกกุหลาบไง”
“รู้จัก แต่ให้ทำไม” นี่พี่ดิฟคิดว่าฉันจะไม่รู้จักดอกกุหลาบหรือไง
“ก็บอกแล้วว่าตามจีบอยู่”
เป็นเรื่องน่าแปลกที่คนเคยนอนด้วยกันมาก่อนแล้วจะเอาดอกกุหลาบมาจีบ แต่ถึงแบบนั้นฉันก็รับไว้... แล้วหลังจากที่รับมันมาไว้ในมือฉันก็รับรู้ได้ถึงการถ่ายรูปจากตากล้องในงานคนหนึ่ง ซึ่งจะหันไปห้ามก็ไม่น่าทัน มีกล้องประมาณสองตัวที่จับช็อตเมื่อครู่เอาไว้ได้
อ่า..บ้าจริง
“คนมองเยอะ ทำอะไรบ้าๆ” ฉันเอ็ดเขาเล็กน้อยจากนั้นก็ผละตัวเดินออกมาด้วยความร้อนรุ่มตามใบหน้า ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะโกรธหรืออายคนกันแน่
“ทำไมล่ะ พี่ก็แค่เอามาแสดงความยินดีเอง”
“เนื่องใน..?”
“วันนี้น้องสวยมาก”
“รู้ตัว” หลังจากที่ฉันพูดไปแบบนั้น คนตรงหน้าก็หัวเราะออกมาเหมือนมันมีอะไรน่าขำมาก ทำไม การที่เราจะชมตัวเองมันน่าตลกขนาดนั้นเลยเหรอ
“ก็เป็นคนตลกเหมือนกันนะเนี่ย” ยังอีก
“แล้วพี่มีอะไรอีกหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็กลับไปได้แล้ว”
“เย็นชาจังเลยนะ ขอบคุณสักคำก็ไม่มี” พี่ดิฟทำหน้าน้อยใจแล้วก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ซึ่งไอ้ท่าทางแบบนั้นทำให้ฉันได้แต่กลอกตาเล็กน้อย
“ขอบคุณมากค่ะ” ฉันเน้นเสียงหนักทุกพยางค์ของประโยคเมื่อครู่ เพราะกลัวเขาจะได้ยินไม่ชัด “งั้นถ้าพี่ไม่ไป ฉันไปแล้วนะ”
“เดี๋ยวก่อนแอร์” มือของอีกคนเข้ามาคว้าไว้ที่แขนของฉันอย่างรวดเร็วก่อนที่ฉันจะหมุนตัวเดินออกไป
“อะไรอะ”
“เย็นนี้หลังงานเสร็จ ไปไหนต่อหรือเปล่า”
“มีนัดกินเลี้ยงกับพวกทีมคทากรอะ” ฉันตอบตามตรง พร้อมกับหันไปสบตาพี่ดิฟ แววตาของเขาดูลังเลและครุ่นคิดอะไรสักอย่างจากนั้นเจ้าตัวก็ปล่อยมือออกจากแขนของฉัน
“โอเค งั้นพี่ไปละ”
ฉันไม่ค่อยวางใจเขาเลย ถึงจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่ว่าพี่ดิฟเป็นคนที่หัวรั้นอยู่ระดับหนึ่ง บทจะไปก็ไปเสียง่ายๆ ขนาดนั้นมันต้องมีอะไรตามมาทีหลังอย่างแน่นอน
และข้อสันนิษฐานของฉันก็ไม่ผิดพลาด
เพราะเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงสองทุ่มกว่าๆ ที่งานกีฬาของวันนี้จบลงไปได้ด้วยดีกับฝั่งที่ทำแต้มได้สูงสุดคือฝั่งมหาวิทยาลัยของฉัน ทุกคนต่างเต้นฉลองปิดท้ายให้กับคอนเสิร์ตที่ถูกจ้างมาเล่นยังสนามกีฬาแห่งนี้ ส่วนฉันแล้วก็เพื่อนและพี่ๆ ต่างแยกตัวออกมาตั้งแต่งานจบโดยมีเป้าหมายคือการไปนั่งกินเลี้ยงที่ร้านอาหารกึ่งผับต่อด้วยกัน
ส่วนใหญ่คนในโต๊ะก็จะเป็นทีมคทากรที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดธรรมดากันหมดแล้วรวมถึงพวกพี่ๆ ที่ช่วยฝึกซ้อมด้วย มีคนไม่เกี่ยวข้องมาบ้างแต่ไม่เยอะนัก หนึ่งในนั้นก็คือ
พี่ดิฟ..
เห็นไหมล่ะ ฉันเดาผิดที่ไหน ไม่น่าไปบอกเลยว่าวันนี้นัดเลี้ยงกับคนในทีม ด้วยความที่เป็นคนกว้างขวางเขาจึงใช้โอกาสเข้าทางรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งในทีมเข้ามานั่งในโต๊ะนี้ด้วย แถมยังนั่งฝั่งตรงข้ามกับฉันอีกต่างหาก โชคดีที่ว่าวันนี้ไม่มียัยทิมมี่กิ๊กเก่าของเขาน่ะ
“พี่นี่ความพยายามสูงดีนะ” ฉันเอ่ยกับคนที่อยู่ตรงข้ามด้วยระดับเสียงที่ได้ยินกันแค่เราสองคน
“อะไรกัน นี่แค่เรื่องบังเอิญ พี่มากับเพื่อนพี่นะ” พี่ดิฟตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่อง “อีกอย่าง นี่ก็เป็นเรื่องดี เกิดเราดื่มจนเมาพี่จะได้ช่วยดูแลไง”
“ใครเชื่อก็โง่แล้ว อีกอย่างฉันดูแลตัวเองได้”
“งั้นคนฉลาด ไหนบอกซิว่าคืนนั้นที่เมาทำอะไรบ้าง”
ไอ้พี่ดิฟ!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอฉากหวานนนนนน
อิพี่ลงทุนมากกก
อิพี่ แงงงงงงงง
พี่ดิฟว่างมากกก
เอาอีกเลยจ้ะ จัดให้หนัก