ตอนที่ 6 : DIFFAIR | 05 : SEX WITH DIFF [99%]
5
IF YOU DO
ฉันหยุดยืนมองภาพตรงหน้าอยู่เป็นเวลาหลายวินาทีได้ ซึ่งไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ความจริงมันก็ไม่เปลี่ยนไปเลยว่าผู้หญิงที่มากับธีร์คือก้อย เพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่ตอนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ฉันพยายามมองในแง่ดีแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะมองในแง่ไหน
ท่าทีของทั้งคู่ดูเหมือนคู่รักทั่วไปไม่มีผิด ตั้งแต่ครั้งที่ฉันรู้ว่าเขาคุยกับผู้หญิงคนอื่นในขณะที่กำลังคบกับฉันมันก็เจ็บนะ แต่มันยังไม่เจ็บเท่ากับการที่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือเพื่อนของตัวเองสักนิด
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันนักหนา ทำไมพวกเขาถึงทำกับฉันแบบนี้
...
“หายไปนานเลย อาหารมาเสิร์ฟแล้วเนี่ย” พี่ดิฟพูดเมื่อเห็นฉันเดินกลับมานั่งยังโต๊ะตัวเอง ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยจานอาหารหลายอย่าง
“พี่กินสิ หิวไม่ใช่เหรอ”
“แล้วน้องอะ”
“กินไม่ลง” ฉันพูดเสียงเรียบ
นั่นทำให้คนตรงหน้าเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ใบหน้าของเขามีคำถามมากมายแต่ว่าฉันยังไม่อยากพูดอะไรในเวลานี้ทั้งนั้น เอาความจริงจะไปคุยกับใครก็ยังไม่รู้เลย ปกติแล้วเวลามีปัญหามีเรื่องอะไร ฉันมักจะไปเอาไปคุยกับเพื่อน..แต่คราวนี้ปัญหาที่ว่านั้นคือเพื่อนซะเอง จะให้ทำยังไงล่ะ
“ตั้งเยอะอะ..เสียดายนะเว้ย”
“พี่เป็นคนสั่งเองนี่ ก็กินเข้าไปสิ” ฉันไม่ได้เป็นคนจ่ายเองด้วย เพราะพี่ดิฟบอกจะเลี้ยง
หลังจากที่ทนนั่งอยู่ในร้านอาหารเป็นเพื่อนพี่ดิฟจนกระทั่งคิดเงินเสร็จเรียบร้อย ฉันก็รีบเดินออกมาจากร้านทันที โชคดีที่ประตูทางออกอยู่ใกล้กับโต๊ะที่เรานั่ง จึงสามารถเดินออกมาได้โดยที่สองคนนั้นไม่ทันสังเกตเห็น ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมจะเข้าคุยตรงๆ อะไรทั้งนั้น เพราะที่นี่มันที่สาธารณะ คนอื่นจะมองไม่ดีเอาได้
ไว้เจอกันอีกทีฉันไม่ปล่อยไปแน่
“จะกลับเลยหรือเปล่า พี่ไปส่ง” คนที่มาด้วยกันพูดขึ้น
“ยัง พี่กลับไปเลยก็ได้” ฉันส่ายหน้าตอบ
“มีอะไรหรือเปล่า? ดูอึดอัดตั้งแต่ในร้านแล้ว เรื่องของไอ้คนนั้นเหรอ” เกลียดที่เขาสามารถทายได้ถูก ยิ่งฉันไม่ได้ตอบอะไรก็เป็นการไปตอกย้ำว่าข้อสันนิษฐานของเขาเป็นเรื่องจริง “ก็ไหนตอนแรกบอกช่างมันไง”
“ผู้หญิงที่มาด้วยน่ะ..เป็นเพื่อนฉัน” ฉันตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด
“เฮ้ย จริงป้ะเนี่ย? เพื่อนแบบสนิทเลยเหรอ”
“...” ทำเพียงแค่พยักหน้าไปเพราะเคืองปากที่จะต้องตอบว่าเป็นเพื่อนสนิท “เหี้ยดี พี่ว่าป้ะ”
“อยากไปนั่งคลายเครียดไหม”
“อย่ามาเนียนนะ” ฉันรู้เถอะว่าเขาหาเรื่องจะอยู่ด้วยกันต่อ
“เอ้า” เขาหัวเราะไปพร้อมคำอุทานนั้น “ก็เผื่ออยากระบายไง พี่ฟังได้นะ พี่ชอบฟังเรื่องคนอื่น”
“...”
“พี่รู้จักร้านที่บรรยากาศดีๆ เยอะแยะเลย”
ท้ายที่สุดแล้วฉันก็ตกลงไปด้วยกับเขา เพราะว่าไม่มีใครเหลือให้ไปด้วยแล้ว.. เพื่อนที่ไว้ใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังก็ดันมาทรยศหักหลังเสียเอง ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพวกนั้นจะเพิ่งมาคุยกันหลังจากที่เลิกกันไป มันต้องนานกว่านั้นแน่.. เจ็บดีว่ะ ฉันไม่ได้เจ็บที่โดนผู้ชายนอกใจหรอก แต่เจ็บที่เพื่อนสนิทมาทำแบบนี้ต่างหาก
@EMP Pub
ในเวลาหนึ่งทุ่มกว่าๆ ฉันก็ออกมานั่งในร้านนี้พร้อมกับพี่ดิฟ เขาเป็นคนนำเสนอให้มาเอง ตัวร้านก็บรรยากาศดีอย่างที่เจ้าตัวโฆษณาเอาไว้ แต่ว่าฉันไม่ได้ใส่ใจเรื่องของบรรยากาศขนาดนั้นหรอก
“ทำหน้าเศร้าแบบนั้นไม่เหมาะกับแอร์เลยนะ”
“แล้วหน้าแบบไหนถึงจะเหมาะล่ะ” ฉันเบือนสายตาจากเวทีของวงดนตรีตรงกลางร้านแล้วหันมามองพี่ดิฟด้วยความสงสัย เพราะคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้ทำหน้าอะไรนอกจากใบหน้านิ่งๆ ที่เป็นเอกลักษณ์นี่อยู่แล้ว
“ก็หน้าแบบ ‘นี่! พี่พูดมากจังอะ อะไรนักหนา’ อย่างเงี้ย” พี่ดิฟตอบด้วยการสาธิตการพูดการจาของฉัน ดัดเสียงพร้อมกับตีหน้าเหวี่ยงแบบโอเวอร์เกินจริง
“ฉันไม่ได้ทำหน้าแบบนั้นสักหน่อย” เกินจริงไปมากเลย
“อะ ไม่เล่นแล้ว.. ว่าแต่โอเคแน่นะ” เขาเปลี่ยนเรื่อง
“โอเคก็แย่แล้วไหม ถ้าเกิดว่าพี่โดนเพื่อนรักของตัวเองทรยศ หักหลัง พี่จะโอเคหรือเปล่าอะ” ฉันพูดจบก็ยกแก้วเครื่องดื่มบนโต๊ะขึ้นมาจิบไปสองสามจิบ
“...” อีกคนเงียบไปราวกับประโยคที่ฉันเอ่ยออกไปเมื่อกี๊ไปจี้ใจเขาขึ้นมา
“มันแย่มากเลยนะ”
“ใช่ การโดนเพื่อนทำร้ายมันคือเรื่องที่แย่มาก” พี่ดิฟพยักหน้าราวกับเข้าใจ เขาเบนสายตาออกไปอีกทางหนึ่งแล้วเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นน้องจะทำยังไงต่อล่ะ”
“ไม่รู้สิ คิดไม่ออกเลย..” ฉันส่ายหน้า ตอนนี้ในหัวมันตื้อไปหมด มองไปทางไหนก็ไร้แสงสว่าง
“โกรธมากหรือเปล่า เพื่อนคนนั้นน่ะ”
“โกรธสิ” ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ทั้งผิดหวัง ทุกอย่างเลยตอนนี้
“เราเจ็บ..แต่เขากลับมีความสุขดี ไม่ยุติธรรมเลยจริงไหม”
ก็จริง มีแค่ฉันคนเดียวที่เจ็บกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ฉันเป็นทุกข์ทั้งที่สองคนนั้นอาจจะกำลังมีความสุขด้วยกันที่ไหนสักที
“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย” พยายามคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่าถึงได้มาเจอเหตุการณ์นี้ แต่กลับคิดไม่ออก
เรื่องที่ฉันทำผิดต่อก้อย นึกยังไงมันก็ไม่เห็นจะมี.. ฉันคิดด้วยซ้ำว่าเราสองคนเป็นเพื่อนที่เข้ากันได้ดีที่สุด แต่กับธีร์ ฉันคิดว่าเป็นเรื่องของรสนิยมที่น่าจะไปกันไม่ได้ เพราะฉันไม่สามารถให้ในสิ่งที่เจ้าตัวต้องการได้เขาก็เลยเลือกที่จะไปเอากับผู้หญิงคนอื่น ซึ่งนั่นก็คือก้อย
ช่วงเวลาที่ฉันคบธีร์ไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่ได้ยาวนานมากนัก เป็นเรื่องที่แปลกนะแต่เราสองคนไม่เคยนอนด้วยกันเลย เพราะฉันเองก็ยุ่งกับเรื่องเรียนและกิจกรรม พอเลิกก็กลับไปนอนที่ห้องทันที ในวันหยุดก็ไม่ค่อยออกไปไหนถ้าหากไม่มีนัด เรียกง่ายๆ ว่าฉันเป็นคนโลกส่วนตัวสูงระดับหนึ่ง
บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้เขาต้องไปหาคนอื่นก็ได้
ฉันยกเครื่องดื่มในมือขึ้นมาจิบอยู่หลายครั้งในระหว่างที่ในหัวก็คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปด้วย ไม่ทันได้ฟังเสียงเพลงในผับ แม้กระทั่งเสียงพูดคุยของพี่ดิฟเลยสักนิด
“นี่ได้ยินที่พี่พูดหรือเปล่า”
ก็เพิ่งได้ยินประโยคนี้อะแหละ
“คนเราคบกันจำเป็นต้องมีเซ็กซ์เหรอ มันดีตรงไหน” ฉันทอดสายตามองอย่างเลื่อนลอยไปยังแก้วแอลกอฮอล์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกปวดใจ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมาอยู่ในจุดนี้ได้ ที่ต้องมาระบายความในใจกับรุ่นพี่ในคณะที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน
“ไม่เคยลองเหรอ” พี่ดิฟถามกลับมา
ซึ่งฉันก็ได้แต่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“มันเป็นยังไงล่ะ”
“อยากรู้ว่าดีตรงไหนก็ลองสิ พี่สอนให้”
ถ้าเป็นในช่วงเวลาปกติ ฉันก็คงจะขมวดคิ้วให้กับคำพูดนั้นของเขาไปแล้ว แต่ว่าในเวลานี้ฉันไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากฤทธิ์ของเครื่องดื่มมึนเมาในร่างกายหรือเกิดจากความอยากรู้อยากลอง ไม่ก็ทั้งสองเหตุผลที่ทำให้ฉันสานต่อบทสนทนาล่าสุด
“พี่..คงผ่านอะไรแบบนั้นมาเยอะล่ะสิ” ฉันว่าแล้วก็แค่นหัวเราะเบาๆ
ต่อไปนี้สิ่งที่พูดออกไปทุกอย่างไม่ได้ผ่านการใช้สติมากนัก เพราะยิ่งดื่มเข้าไปก็ยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้ อาจจะทำหรือพูดออกไปแบบไม่คิด.. นั่นเป็นกฎของร่างกายที่ฉันนั้นก็รู้ดี
“อืม..อยากรู้เหมือนกัน งั้น..ลองดูสิ”
“...”
“สอนให้หน่อย”
“แน่ใจเหรอ” เขาถามกลับมา
“มันก็แค่ครั้งเดียว”
พี่ดิฟไม่ได้พูดอะไรต่อจากประโยคเมื่อครู่ เขาทำเพียงแค่รินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงมาในแก้วฉันจนมันเต็มเหมือนเดิมจากที่พร่องไปเกินครึ่งแก้ว
“ดื่มให้หมดนี่สิ” เขาเอ่ย
ถึงจะไม่เข้าใจแต่ฉันก็ยอมยกแก้วนั้นขึ้นมาดื่ม รสชาติที่ตอนแรกฉันคิดว่าเฝื่อนขมกลับเริ่มหวานขึ้นมาในช่วงเวลาที่กำลังเสียใจ รู้ตัวอีกทีของเหลวที่อยู่ในแก้วก็หายไปทีละนิด
“นี่ฉันมาอยู่ในจุดนี้ได้ยังไงกัน” ฉันพึมพำกับตัวเอง เป็นครั้งที่ร้อยของวันแล้วมั้งที่คิดเรื่องนี้
“อย่าทำให้มันแย่ขนาดนี้สิ คิดซะว่าเอาคนไม่ดีออกไปจากชีวิตแล้ว”
พยายามเต็มที่แล้วก็ได้เท่านี้
...
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่สติอันเลือนรางก็ยังคงพยายามประคับประคองร่างกายของตัวเองให้ก้าวเดินไปข้างหน้าอยู่ เมื่อมองภาพตรงหน้าแล้วก็ต้องรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเพราะมันไม่ใช่สถานที่ที่คุ้นเคยเลยสักนิด แต่ว่าคนที่เดินมาด้วยกันนั้นเหมือนจะรู้จักดี
“พี่ดิฟ”
“อืม” เขาขานรับในลำคอ
ร่างกายของฉันถูกผลักลงไปจนแผ่นหลังไปกระทบกับความนุ่มหยุ่นของพื้นเตียงนอน ฉันกวาดสายตามองไปรอบกาย ใช้เวลาประมวลผลถึงได้รู้ว่าที่นี่เป็นห้องนอน ซึ่งก็ไม่รู้อีกเช่นเคยว่าเป็นห้องของใคร
“ท..ทำอะไร” ฉันเอ่ยออกไปด้วยเสียงแหบแห้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังขึ้นมาคร่อมร่างเอาไว้
“สอน..”
“...”
“แอร์บอกเองว่าให้พี่สอนให้” พี่ดิฟเอ่ยแล้วจึงโน้มใบหน้าลงมาให้ริมฝีปากอยู่ด้านข้างใบหูของฉัน ก่อนจะเอ่ยกระซิบเบาๆ “เซ็กส์น่ะ”
อ้อ จริงสินะ แต่ว่าตอนนี้ฉันไม่ค่อยไหวแล้วเนื่องจากดื่มเข้าไปเยอะจนควบคุมสติและร่างกายตนเองไม่ค่อยได้เลย แถมยังเริ่มมีอาการมึนหัวเล็กน้อยอีกด้วย
“เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อน” ฉันร้องห้ามเมื่อเห็นพี่ดิฟกำลังจะจู่โจมเข้ามา แต่ว่ายังไม่ทันจะได้เอื้อมมือไปดันไหล่ของอีกฝ่ายไว้เขาก็เข้ามารวบมือทั้งสองข้างของฉันเอาไว้ก่อน
“ชู่ว” นิ้วชี้ข้างหนึ่งของเขาแตะลงมาบนกลีบปากของฉันเป็นการบอกให้เงียบ “เป็นนักเรียน อย่าขัดอาจารย์”
“...”
“ถอดเสื้อให้พี่หน่อย”
++CUT++
10:00 AM
Diff’s Talk
เสียงรบกวนบางอย่างทำให้ผมต้องจำใจตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับอันแสนยาวนาน ก่อนจะพบว่ามันคือเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ
SOH is calling…
“อืม ฮัลโหล”
[ติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวานเลยนะไอ้สัส ไหนบอกจะมาดูแข่งรถของไอ้แบล็คไง]
หลังจากที่รับสายผมก็ได้ยินคำก่นด่าของไอ้โซ่ก่อนเป็นอย่างแรกเลย แต่ว่าพูดถึงเรื่องแข่งรถของไอ้แบล็คแล้วผมก็ตกใจขึ้นมาหน่อยๆ
“เออว่ะ กูลืมไปเลย” ลืมสนิทด้วยสิ “ว่าแต่เป็นไง ใครชนะ”
[เสมอว่ะ เสียใจด้วยไอ้อันไม่ได้โดนเหยียบอย่างที่มึงหวัง]
“เหรอ” ผมตอบปลายสายโดยที่ยังงัวเงียอยู่
[ว่าแต่มึงไปไหนเมื่อวาน อะไรที่สำคัญกว่าเพื่อนฝูง]
อันที่จริงผมเองก็ตั้งใจว่าจะไปที่สนามแข่งนั่นแหละ แต่ว่าพอมีเรื่องแอร์เข้ามาก็ทำเอาลืมสนิทไปเลยว่าต้องไปดูเพื่อนลงสนาม แถมไม่ได้โทรไปบอกด้วยว่าจะไม่ไป
“อ่อ..ธุระด่วนน่ะ” เมื่อผมบอกอย่างนั้นก็เริ่มกวาดสายตามองไปรอบห้อง..เป็นห้องที่ผมมาเปิดเอาไว้ชั่วคราวใช้เฉพาะกิจ แต่มันกลับเงียบสงัดตั้งแต่เตียงไปจนถึงห้องน้ำที่ประตูเปิดว่างไว้อยู่
ไม่มีแม้แต่เงาของเสื้อผ้า..
[ธุระด่วนอะไรของมึง]
“แค่นี้ก่อนนะ ดูเหมือนธุระด่วนของกูจะหายว่ะ” ผมกดวางสายทันทีไม่เปิดช่องให้ไอ้โซ่ถามอะไรต่อ ยิ่งเป็นแบบนี้แล้วผมก็ยิ่งมั่นใจว่าแอร์ไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว
นี่ผมเป็นฝ่ายโดนฟันแล้วทิ้งเหรอวะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โโดนน้องฟันแล้วทิ้งน่าสงสาร5555