ตอนที่ 4 : DIFFAIR | 03 : BROKEN HEART [100%]
3
Broken Heart
Diff’s Talk
ผมนั่งมองร่างของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังซ้อมเดินควงคทาอยู่ตรงลานน้ำพุด้านข้างคณะ เธอชื่อว่าแอร์ เจอกันครั้งแรกเธอเข้ามาด่าผมที่ผับ เจอกันครั้งที่สองเธอทำไม้หล่อใส่หัวผมจนแตก มารู้ทีหลังว่าเจ้าตัวก็เรียนอยู่คณะเดียวกันเป็นรุ่นน้องปี 2 แต่ความจริงที่เซอร์ไพรส์ไปมากกว่านั้นก็คือ
แอร์เป็นน้องสาวของไอ้ ‘อัน’
ถ้าถามว่าอันคือใคร มันคือชายที่เรียนอยู่คณะสินกำและอายุเท่ากันกับผม แต่ว่าห่างไกลจากคำว่าเพื่อนมากโข เขาควรเรียกว่าอะไรนะ? ศัตรูหรือเปล่า.. อ่า นั่นแหละ ผมกับไอ้อันเข้าขั้นเกลียดกันเลยหละ บาดหมางกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมจนถึงทุกวันนี้ก็ยังบาดหมางอยู่
“ไงดิฟ ยังไม่กลับอีกอ่อวะ” ไอ้โซ่เดินเข้ามาตบหลังผมพร้อมทำหน้าสงสัย เนื่องจากผมเลิกเรียนตั้งแต่สี่โมงเย็นแล้วแต่ตอนนี้เกือบจะทุ่มผมยังคงอยู่ที่มอ
“มึงก็ยังไม่กลับ”
“กูคุยโปรเจ็คกับจารย์ว่ะ แม่งต้องแก้งานหลายจุด” โซ่ดูหัวเสียเล็กน้อยตอนพูดเรื่องนี้ “ละมึงอะ อย่าบอกนะว่าส่องผู้หญิง”
เนี่ย ดันทายถูกด้วย
“สมกับเป็นเพื่อนกัน”
“คนไหนวะ” โซ่เขยิบยืนอยู่ด้านข้างผมและพยายามจับสายตาว่าผมกำลังมองไปทางไหน “โห คทากรเหรอคราวนี้ มีแต่คนสวยจริงด้วยว่ะ ไหนผู้โชคร้ายคนต่อไปคือใคร”
“กูอาจจะแค่ดูเฉยๆ ไหม ทำไมมึงมองกูในแง่ร้าย” อีกอย่างผมเองก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครสักหน่อย ผู้หญิงทุกคนที่คุยด้วยเราก็แค่คุย แต่ถ้าอยากมากกว่านั้นก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าเราจะไม่มีข้อผูกมัดอะไรทั้งนั้น
“เฮอะ ไม่จริง” ไอ้โซ่แค่นหัวเราะใส่ “ไม่เข้าใจเลย ทั้งที่มึงเหี้ยขนาดนี้ทำไมผู้หญิงยังชอบมึง”
“กูมีเงิน” ความรวยจะชนะทุกสิ่ง
“มึงจะเอาเงินซื้อความรักรึไง”
“เงินซื้อความรักไม่ได้นะ แต่เอาไปลงอ่างได้” ความจริงที่ไม่อาจมีใครมาเปลี่ยนแปลงได้
“มันไม่ได้ป้ะดิฟ”
“ได้สิ ถ้าใจเราได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“ช่างแม่มึงเถอะ” ไอ้โซ่คงหมดคำจะมาพูดกับผมแล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง “เย็นวันพรุ่งนี้ไอ้แบล็คมันลงสนามด้วย มึงจะไปดูไหม มันฝากมาถาม”
เรื่องนี้อาจจะยังไม่มีใครรู้ แต่ว่าผมเป็นคนที่ชื่นชอบการแข่งรถมากมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาก็ได้มีโอกาสลงสนามแข่งอยู่หลายครั้ง จนกลายเป็นงานอดิเรกของตัวเองไปแล้ว ซึ่งคนรอบตัวผมทราบดีว่าผมชื่นชอบการแข่งขันมากแค่ไหน
“เอ้อ ไปก็ดีเหมือนกัน กูไม่ได้ไปสนามแข่งนานแล้ว” เพราะระยะหลังมานี้ผมค่อนข้างยุ่งกับอะไรหลายอย่าง แต่พอได้ยินชื่อของคนลงแข่งในวันพรุ่งนี้ก็อยากไป แบล็คเป็นเพื่อนที่รู้จักตอนลงสนาม มันเป็นคนน่าสนใจมาก “คราวนี่มันลงพนันอะไรป้ะ”
“ไม่แน่ใจ เหมือนได้ยินมาว่าเป็นออสตัน มาร์ติน”
“เหยดเข้ นั่นลูกรักของไอ้แบล็คมันเลยนะ” รถคันนั้นค่อนข้างแพงมาก มันกล้าเอาไปเป็นเดิมในการแข่งขนาดนั้นก็แสดงว่าต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่น่าเสี่ยงมากแน่นอน “อยากรู้เลยว่าใครเป็นคู่แข่งมัน”
“คนนี้มึงรู้จักดีเชียวหละ”
“ใครวะ”
“ไอ้อัน”
ชื่อของเพื่อนว่าน่าสนใจแล้ว ชื่อของคู่แข่งเพื่อนแม่งน่าสนใจกว่าอีกเหรอวะ
“ดี กูไป จะไปดูไอ้เหี้ยอันโดนเหยียบหน้าสักหน่อย” ยังไงซะ วันพรุ่งนี้ก็ต้องมีคนแพ้ แล้วผมก็ขอสาปแช่งให้คนแพ้เป็นมัน
“มึงดูเกลียดมันมากเลยนะ” โซ่เอ่ยก่อนจะตั้งคำถามต่อไป “กูว่าเรื่องในอดีต ยึดติดมากไปก็ไม่ดีมั้ง”
“ประโยคนี้ไปบอกมันดีกว่า เพราะคนที่ยึดติดคือมัน” ไม่ใช่มีแค่ผมที่เกลียดมันคนเดียวหรอก ไอ้อันเองก็เกลียดผมมากเหมือนกัน
เห็นหน้ากันทีไรก็มีเรื่องกันแทบจะทุกครั้ง ซึ่งมันนั่นแหละที่ชอบหาเรื่องผมก่อน ถ้าให้สาวถึงเหตุผลที่เราเกลียดกันมันคงจะยาวมากเลย แต่เอาเป็นว่าเรื่องมันเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมนู่นแหละ ผมลำบากใจที่จะพูดว่าเราสองคนเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน
ตอนนั้นเรามีกันห้าคนคือผม แซค มะลิ ไพน์ แล้วก็อัน เพราะเป็นกลุ่มหนุ่มหล่อที่ค่อนข้างป็อปปูล่าในโรงเรียนจึงทำให้มีคนอีกกลุ่มเกลียดพวกเรา (เล่าแบบนี้อาจจะเป็นการเข้าข้างตัวเอง โอเค..ยอมรับก็ได้ว่าไปกวนตีนจนโดนเกลียด) ..อยู่มาวันนึงผมกับไอ้อันก็ทะเลาะกัน เพื่อนอีกสามคนเลือกเข้าข้างผม มันจึงออกจากกลุ่มไปแล้วไปเข้าร่วมกับพวกคนที่เกลียดพวกผมเหมือนกัน ซึ่งไอ้กลุ่มศัตรูนั่นก็มีไอ้อัน ไอ้เอส (ไอ้นี่เหี้ยสุด ซึ่งเหี้ยจนโดนไล่อออกจากมหาวิทยาลัยไปแล้ว) แล้วก็อีกสามคนผมจำชื่อไม่ค่อยได้เพราะไม่ได้เรียนอยู่มอเดียวกัน นั่นแหละ.. เรื่องคร่าวๆ มันก็เป็นงี้ กลุ่มของผมกับกลุ่มของมันก็เกลียดกันเรื่อยมา จากตอนแรกที่เป็นเรื่องขำๆ ไม่มีอะไรมากก็สั่งสมเพิ่มพูนทำเรื่องเหี้ยๆ ใส่กันมาตลอดจนมันรู้สึกเข้ากระดูกดำ
จนถึงทุกวันนี้พวกแม่งนั่นยังพยายามหาเรื่องผมทุกครั้งที่มีโอกาสอยู่เลย ถึงจะน้อยลงบ้างแล้วก็เถอะ
“แล้วสรุปมึงมามองคทากรคนไหน” เสียงของไอ้โซ่ดึงสติผมออกจากเรื่องในอดีต
“คนนั้น..” ผมตัดสินใจชี้ไปที่น้องแอร์ ซึ่งตัวเธอเองไม่ได้สังเกตเห็นผมอยู่แล้วเพราะผมยืนอยู่หลบมุมห่างออกมาจากบริเวณลานน้ำพุระดับหนึ่ง
“มึงนี่ยังตาถึงเหมือนเดิม”
“ชื่อแอร์.. น้องสาวไอ้อัน” นับว่าเป็นอีกเรื่องที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้ผมในรอบปี ตอนที่ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ก็พอรู้มาบ้างว่ามันมีน้องสาวแต่ไม่รู้จักไม่เคยเจอ
ที่ไหนได้เรียนอยู่คณะเดียวนี่เอง
“เฮ้ย! จริงดิ เชี่ยอันมีน้องด้วยเหรอ” คนด้านข้างทำหน้าตกใจออกมาแล้วเพ่งมองไปยังร่างนั้นอยู่สักพัก “แต่ก็มีมุมคล้ายนะ”
“อือ กูเห็นนามสกุลเขาเลยรู้”
“แบบนี้มึงก็แห้วดิ น้องสาวศัตรูอะ อ่อยไม่ได้” ไอ้โซ่พึมพำแถมมันยังแค่นหัวเราะใส่ผมอีกต่างหาก
“ทำไมจะไม่ได้” ผมจับจ้องไปยังร่างของรุ่นน้องซึ่งกำลังซ้อมโยนไม้อยู่นั้นก็คลี่ยิ้มออกมา “ยิ่งเป็นน้องสาวศัตรูสิ ยิ่งสร้างความตื่นเต้น มึงไม่คิดแบบนั้นเหรอ”
“คิดจะทำอะไรของมึง”
“กูแค่อยากเห็น ว่าถ้าไอ้อันมันรู้ว่าน้องสาวตัวเองหลงรักศัตรูที่มันแสนชังขี้หน้าแบบกู มันจะทำยังไง”
“...”
“กูน่ะ..อยากให้มันรับรู้บ้าง ว่าหลายปีก่อนกับสิ่งที่มันทำกับกู กูเจ็บปวดมากแค่ไหน” ผมไม่เคยแม้แต่จะลืมวันนั้นเลยแม้แต่วินาทีเดียว วันที่หัวใจของผมถูกทำลายจนแตกสลาย
อย่างน้อยก่อนตาย ผมก็จะทำให้หัวใจของมันแตกสลายเหมือนผมด้วย
[50%]
“เอาหละ วันนี้กลับกันได้นะคะ เราเลิกซ้อมกันเท่านี้” พี่พริ้มพูดจบ ทั้งฉันแล้วก็คนอื่นๆ ก็นำไม้ไปเก็บเพื่อเตรียมตัวแยกย้ายกันกลับใครกลับมัน
ฉันเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางไว้ตรงม้านั่งขึ้นมาก่อนจะหยิบโทรศัพท์เพื่อเปิดเช็คดูว่ามีใครติดต่ออะไรมาช่วงที่กำลังซ้อมอยู่หรือเปล่า ก็ปรากฏว่า
Tr : แอร์
Tr : อยู่ไหน จะไปหา
อะไรวะเนี่ย? ฉันยังไม่บล็อกเจ้าบ้านี่ไปอีกเหรอ
“แอร์” ทันใดนั้นเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ก่อนจะปรากฏร่างของชายร่างสูงคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาหา “ขอคุยด้วยได้หรือเปล่า”
เจ้าของข้อความที่ส่งมาเมื่อครู่นี้ไง
“ไม่” ปฏิเสธแบบแทบไม่ต้องคิด
“แอร์”
“อย่ามาเรียก ฉันไม่อยากได้ยินเสียงไม่อยากเห็นหน้า” ฉันเกือบจะได้กลับบ้าเร็วแล้วแท้ๆ ทำไมต้องมาเจอเรื่องเฮงซวยก่อนด้วย
“เราอธิบายเรื่องวันนั้นได้นะเว้ย เราไม่ได้มีคนอื่นนะ” ธีร์ทำหน้าเหมือนกับรู้สึกผิดมาก ทั้งที่จริงแล้วเขาก็แค่แกล้งทำไปอย่างนั้น นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เห็นหน้าเขาเป็นแบบนี้
เหนื่อยจะฟังแล้วอะเอาจริง
ฉันไม่อยากจะพูดหรือเสวนาอะไรให้มากความกับเขามากนักจึงทำเพียงแค่เดินหนีออกไปเงียบๆ แต่ว่าอีกฝ่ายกลับเข้ามาคว้าข้อมือของฉันเอาไว้
“ปล่อยฉันสักทีได้ไหม ให้มันจบแค่นี้ได้ป้ะ ฉันไม่อยากอะไรกับนายแล้วอะ” จากความรู้สึกที่ชินชากลายเป็นความรำคาญทีละน้อย “จะอะไรกับฉันนักหนา ผู้หญิงบนโลกมีเยอะแยะ คราวนี้ก็โสดแล้วจะไปอะไรกับใครที่ไหนก็ไป”
“แต่เราไม่เคยมีคนอื่นเลยนะเว้ย เธอเข้าใจเราผิด”
“พอทีเถอะ” มาเข้าใจผิดบ้าอะไร ในวันนั้นฉันเห็นกับตาตัวเองเลยว่าไอ้บ้านี่อยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งแถมกำลังจูบกันอีก ถ้าคิดว่าจะเข้าใจผิดก็ไปเป็นควายเถอะ
“เธอเคยรักเราบ้างรึเปล่าวะที่ผ่านมา” ธีร์เอ่ยถามสิ่งที่ฉันอยากตอบมากที่สุดในเวลานี้
“ไม่ ฉันไม่เคยรักนาย ที่คบด้วยก็เพราะแค่เพื่อนเชียร์ จบไหม” ฉันเองก็เพิ่งเข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมตัวเองถึงตัดใจได้เร็ว
อันที่จริงเราสองคนก็เหมือนกันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ศีลเสมอกันตรงที่เราทั้งคู่ต่างคบกันเพราะว่าโดนเชียร์ เขาเองก็เป็นหนุ่มหล่อคนดัง ฉันเองก็ใช่ว่าจะโนเนม อะไรมันดูเหมาะสมจึงรู้สึกไปเองว่าเราจะเข้ากันได้ แต่เปล่า..ฉันไม่ได้เหี้ยเท่าเขานะ
แต่ตอนไปนี้ฉันสาบานเลยว่าจะไม่คบใครเพราะคนอื่นอีกแล้ว ไม่อยากมาเหนื่อยแบบนี้
“เธอใจร้ายเกินไปแล้ว”
“คนที่ทำให้ฉันร้ายมันก็คือนายเอง แล้วก็ปล่อยสักทีเถอะ” ฉันว่าแล้วก็พยายามดึงมือของตัวเองออกมาจนหลุดจากการเกาะกุมของธีร์
จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าหนีห่างออกมาได้แล้วจึงหยุดเดินแล้วเป่าลมหายใจออกมา มือข้างขวาก็ยกขึ้นไปเสยผมที่ปรกหน้าออกไปอย่างเซ็งๆ
หนีใครสักคนต้องเหนื่อยทั้งกายทั้งใจขนาดนี้เชียวเหรอ
“ฮั่นแน่ หนีอะไรมาเหรอจ๊ะ” แต่ว่าจู่ๆ เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างของเขาจะออกมาจากมุมตึกแล้วปรากฏตัวต่อหน้าฉัน
ตาเถร!
“นี่..พี่เป็นจิ้งจกเหรอไง ทำไมชอบหลบอยู่ตามมุมมืดแบบนั้น” ฉันไม่เอาไม้มาฟาดหัวเขาอีกรอบก็บุญแค่ไหนแล้ว พี่คนนี้มันเป็นยังไงกันนะ
“พี่ว่าพี่น่ารักกว่าจิ้งจกเยอะนะ” พี่ดิฟว่าแล้วก็ยิ้มออกมาเหมือนตัวเองน่ารักมาก
“แล้วมีอะไรอะ”
“น้องต้องพาพี่ไปล้างแผลไง ลืมแล้วเหรอ”
โอ๊ย นี่ฉันหนีจากคนช่างตื๊อมาเจอคนช่างตื๊อกว่าเหรอเนี่ย
“ไม่ได้ลืม แต่ทำไมต้องโผล่มาตอนนี้วะ ตอนกลางวันไม่ไปอะ” ฉันก้มมองนาฬิกาแล้วก็รู้สึกสังเวชตัวเองที่ต้องพาพี่คนนี้ไปโรงพยาบาลในยามสามทุ่ม
“ก็ตอนเที่ยงพี่ยังไม่ตื่นอะ”
“ฮะ? พี่นอนกี่โมงเนี่ย” ฉันตกใจนิดหน่อยตอนที่รู้ว่าคนตรงหน้ายังไม่ตื่น แล้วเขาไม่มีเรียนหรือไงกัน
“ทำงานจนเช้าอะดิ ส่งงานให้จารย์เสร็จก็หลับยาวเลย เพิ่งตื่นมาเรียนช่วงบ่ายกว่านี้เอง” เขาพูดแล้วก็หัวเราะให้กับความขมขื่นของชีวิต
ชีวิตเด็กถาปัตย์อะเนอะ ฉันเองก็กำลังจะเป็นแบบนั้นแล้วแหละ
“อือ จะเดินไปหรือนั่งรถล่ะ”
“ไปไหน?” เขาถามกลับมาเหมือนไม่รู้จุดประสงค์แรกของตัวเอง
“โรงพยาบาลไง พี่เป็นอัลไซเมอร์ป้ะเนี่ย” อีกฝ่ายโดนไม้นั่นฟาดจนความจำไม่ดีเชียวเหรอ “รีบไปจะได้รีบกลับ”
“แล้วว่าแต่เมื่อกี๊เดินหนีใครมาอะ กิ๊กเก่า?”
“เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้มั้ง”
“เหมือนโดนด่าว่าเสือกแบบอ้อมๆ เลย”
ก็ใช่น่ะสิ
ณ โรงพยาบาล
“ระหว่างนี้พยายามอย่าให้แผลโดนน้ำนะคะ” คุณหมอพูดขึ้นในขณะติดแผลให้พี่ดิฟหลังจากล้างแผลให้เสร็จ
“แล้วถ้าจะสระผมงี้ก็ไม่ได้เหรอครับ” คนที่นั่งอยู่บนเตียงทำแผลก็เอ่ยถามขึ้นพลางชี้วนไปมาที่แผลตัวเอง “ยังไงสระผมก็ต้องเปียกน้ำอยู่แล้ว”
“เวลาสระผมคงต้องนอนลงเพื่อป้องกันน้ำโดนแผล ซึ่งอาจจะต้องให้คนมาช่วยนะคะ”
แล้วพอหมอแบบนั้น พี่มันก็ปรายตามองมาที่ฉันเล็กน้อย
“อ้อ โอเคครับ”
“เดี๋ยวหลังจากนี้ก็สามารถล้างแผลเองที่บ้านได้เลยนะ เดี๋ยวหมอจัดชุดทำแผลให้ค่ะ” คุณหมอเอ่ย ถาดสีเงินที่ไว้ใช้วางอุปกรณ์ต่างๆ ถูกเก็บออกไปเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดี
ถึงแม้จะเสร็จทุกอย่างแล้วแต่ฉันก็ต้องอยู่รอเป็นเพื่อนเขาเพื่อรับชุดยาทำแผลนั่นพร้อมกับจ่ายเงินให้ด้วย พี่ดิฟเองไม่ได้พูดหรือถามอะไรอีก
จนกระทั่งเราออกมาจากโรงพยาบาล
“ได้ยินหรือเปล่า หมอบอกว่าต้องมีคนช่วยแหละ” อีกคนปริปากขึ้นมาในขณะที่เรากำลังมารอรถด้านหน้าโรงพยาบาล
“ช่วยอะไร”
“นี่ไง พี่สระผมเองไม่ได้เดี๋ยวแผลจะเปียก ต้องมีคนช่วย” พี่ดิฟพูดพร้อมยกถุงยาในมือขึ้นมา “แถมพวกชุดทำแผลนี่อีก พี่ทำเองไม่เป็นอะ”
ให้ตายสิ นี่เขาจะให้ฉันช่วยทุกอย่างเลยหรือไง
“พี่ก็ให้คนอื่นช่วยสิ เพื่อนพี่ก็ได้” มันจำเป็นจะต้องเป็นฉันอะไรขนาดนั้นเล่า
“ได้ไง น้องเป็นคนทำให้พี่มีแผลนะ น้องยอมรับผิดชอบแล้วนี่ว่าจะดูแลจนกว่าแผลพี่จะหาย” เขาเก็บทุกเม็ดตั้งแต่พาไปทำแผล จ่ายค่ายา ยันช่วยสระผม ล้างแผลให้เชียวเหรอ
“มันต้องทำทุกอย่างขนาดนั้นจริงดิ”
“จะผิดคำพูดเหรอ”
“ไม่ใช่ แต่ว่า..” จะแต่อะไรดีเนี่ย ก็คนที่ทำไม้ไปฟาดหัวพี่ดิฟมันคือฉันนี่นา แต่ทำไมตอนนี้รู้สึกสงสารตัวเองมากกว่าสงสารเขากันนะ “เอาเถอะ ถ้าพี่จะให้ช่วยตอนไหนก็ช่วยโทรบอกล่วงหน้าด้วยแล้วกัน”
“ตอนนี้”
“ฮะ?”
“พี่รู้สึกเหนียวหัวมากเลยอะ ติดปั่นงานจนไม่ได้สระผมมาหลายวันแล้ว” อีกฝ่ายว่าแล้วทำท่าขยี้หัวให้ดูไปด้วย “เนี่ยดูสิ ผมมันแผล็บจนจะทอดปลาทูได้ทั้งเข่ง”
“...”
“มาช่วยสระผมให้หน่อยสิ เนี่ย..นั่งรถสายนี้ไปก็ลงหน้าที่พักพี่พอดี”
“จะให้ฉันไปห้องพี่ตอนนี้อะนะ” ฉันรีบชูนาฬิกามาดูอีกรอบซึ่งปรากฏว่าสี่ทุ่มแล้ว มันดึกแล้วนะ “ฉันไม่ควรไปห้องผู้ชายตอนเวลาแบบนี้หรือเปล่า”
“เฮ้ย งั้นให้พี่ไปห้องแอร์ก็ได้ พี่ไม่ถือ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ใครกันแน่ที่จะเดมส์ก่อนกันอิดิฟ
ปมนี่ต้องใช้ระดับโคนันมั้ย
ถ้าใช่
e-bookมาเลย5555