ตอนที่ 21 : DIFFAIR | 15 : FALL IN LOVE [2]
15 : Fall in love
หลายวันต่อมา
ฉันเก็บเสื้อผ้าและข้าวของใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็กที่มีอยู่ในห้องจนเสร็จ จากนั้นจึงหันหน้าไปมองคนที่นั่งรออยู่ที่โซฟาตรงห้องโถง
“เสร็จละ”
“ถามจริงนะ ไปแค่สองวันจะขนอะไรไปเยอะแยะ” พี่ดิฟมองสัมภาระที่อยู่ในมือฉันพลางขมวดคิ้ว
“เฮ้ยพี่ นี่ของใช้จำเป็นทั้งนั้นป้ะ อีกอย่างฉันใช้กระเป๋าใบเล็กนี่ถือว่าของนิดเดียวนะ” ก็ฉันเป็นผู้หญิงป้ะ ผู้หญิงยังไงก็มีของเยอะกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ไหนจะเสื้อผ้าแต่ละวัน ไหนจะเครื่องสำอาง เครื่องประทินโฉมต่างๆ ของใช้จิปาถะ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินได้ใช้ ยังไงซะของเหลือก็ดีกว่าของขาดป้ะ
“อะครับ แล้วเสร็จรึยังครับ”
“เหลือแต่งตัวตัวเองนิดหน่อย พี่อะมาเร็วทำไมนัก”
นี่เขาบอกว่าจะมารับตอนเช้าก็ไม่คิดว่ามันจะเช้าถึงขั้นเจ็ดโมงอะ นึกว่าจะเก้าหรือสิบโมงเสียอีก ฉันนี่สิยังวุ่นวายกับตัวเองไม่เสร็จเลย
“ก็พี่ไม่ได้ชักช้านี่”
“อย่ามาแซะนะ” ฉันพูดจบก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอนแล้วนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เพื่อทำการแกะที่ม้วนผมออกจากหัว ฉันพันมันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ปัดแก้มอีกหน่อยดีกว่า กำลังพอดีเลย
“อะ พอแล้วมั้งแม่คุณ”
มายืนอยู่หน้าประตูห้องนอนฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“พี่รีบอะ ไปช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกน่า” ฉันบ่นอุบอิบจากนั้นจึงเก็บเครื่องสำอางจำเป็นบางอย่างที่อยู่บนโต๊ะลงกระเป๋าขนาดเล็ก
สุดท้ายถึงบ่นไปก็เท่านั้น เพราะพวกเราก็ออกจากคอนโดในตอนประมาณสิบโมงเช้าของวันจนได้ จากจีพีเอสที่เปิดฉันค้นพบว่าในการนั่งรถจากกรุงเทพไปถึงสุโขทัยต้องใช้เวลาเดินทางราวห้าชั่วโมงเลย ก็คงจะไปถึงที่นั่นเกือบเย็นๆ ได้ล่ะมั้ง พอดีช่วงงานเริ่ม เพราะยังไงพี่ดิฟก็คงไม่ขับรถตลอดทาง คงมีจอดพักบ้าง
12.40
พอถึงตอนเที่ยงเกือบบ่ายโมงก็ตัดสินใจแวะทานข้าวกันก่อน
“ถึงไหนแล้วอะ” ฉันเอ่ยถามพี่ดิฟหลังจากที่เดินมาจากรถ เราทั้งคู่มาหยุดพักอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแต่ไม่รู้อยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ฉันนี่เหมือนคนที่นั่งหลับมาเกือบตลอดทางเลย ตอนแรกก็ตื่นเต้นนั่งเปิดดูเส้นทางอยู่หรอกแต่เพราะว่าพอนั่งรถนานเข้าก็ชักง่วงจนเผลอหลับ
“อ้อ เดี๋ยวจะเข้านครสวรรค์แล้ว” พี่ดิฟตอบจากนั้นจึงชี้ไปที่ร้านอาหาร “แวะกินข้าวกันดีกว่า”
“เมื่อยจังเลย” ฉันพูดไปก็เอี้ยวตัวบิดร่างกายคลายกล้ามเนื้อไปด้วย การนั่งรถเป็นเวลานานทำให้ฉันรู้สึกเมื่อยเอามากๆ
“นอนหลับมาตลอดทางเอาอะไรมาเมื่อย”
“โวะ ถ้าฉันขับรถเป็นฉันก็ขับแทนพี่ไปแล้ว” แต่ฉันขับไม่เป็นนั่นแหละประเด็น
“ถ้างั้นไหนส่งยิ้มให้พี่หน่อยสิ” อยู่ดีๆ พี่ดิฟก็ก้าวเท้าเข้ามาประชิดร่างของฉัน ทำเอาต้องถอยหลังแทบไม่ทัน
“ทำไมต้องทำงั้นด้วยเล่า”
“เถอะน่า”
ฉันหมดคำจะพูดอะไรกับเขา จึงทำตามอย่างที่พี่ดิฟต้องการนั่นก็คือการส่งยิ้มไปให้นั่นเอง และเหมือนว่าเจ้าตัวจะพอใจมากที่เห็นเช่นนั้น
“พี่ยิ้มอะไรเล่า” เพราะว่าหลังจากที่ฉันยิ้ม อีกคนก็ยิ้มตอบกลับมาทันที
“พี่หายเหนื่อยทันทีเลยตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มจากแอร์”
“ทำพูดดี เข้าไปด้านในได้แล้ว ข้างนอกร้อน” ฉันทำเฉไฉเปลี่ยนเรื่องก่อนจะรีบเดินเข้าไปในร้านอาหารที่อยู่ตรงหน้า โดยพี่ดิฟเองก็ตามหลังมาติดๆ
“มากี่ที่ครับ” พนักงานที่เห็นเราสองคนเดินเข้ามารีบเข้ามาต้อนรับทักทาย
“สองค่ะ”
“เชิญทางนี้เลยครับ” พนักงานที่ได้ยินฉันตอบก็เดินนำไปยังโต๊ะตัวหนึ่งด้านในร้านอาหาร เป็นโต๊ะสำหรับนั่งกินข้าวกันสองคน จากนั้นจึงวางเมนูอาหารสองฉบับให้ฉันกับพี่ดิฟอย่างละฉบับ
เมื่อสั่งอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ นานาเสร็จ ฉันก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา
“ห้องน้ำไปทางไหนคะ” ฉันเอ่ยถามพนักงานคนดังกล่าวเมื่อเห็นว่าเขาจดออเดอร์เสร็จแล้ว
“ด้านหลังนั้นเลยครับคุณลูกค้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉันก็หยิบกระเป๋าสะพายที่พกติดตัวจากรถไปด้วยเพราะด้านในมีเครื่องสำอางอยู่ กะไว้ว่าทำธุระส่วนตัวเสร็จจะเติมหน้าสักหน่อย ครั้นพอเดินมาถึงห้องน้ำก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเช็คอะไรก่อนเพื่อความสบายใจ
โนติที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอที่เด่นที่สุดคือมันบอกว่าวันนี้เป็นวันลอยกระทง
จะว่าไปแล้วเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยที่ฉันออกไปร่วมประเพณีแบบนี้ ทั้งที่ปีที่ผ่านมาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปไหนไม่ว่าจะเทศกาลอะไรก็แล้วแต่ แถมปีนี้ยังมากับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวหรือเพื่อนอีกต่างหาก
นี่ฉันออกมาต่างจังหวัดกับผู้ชายสองต่อสองเนี่ยนะ คิดถูกหรือคิดผิดกันแน่...
เวลาผ่านไปฉันก็ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยและเดินออกจากห้องน้ำเพื่อกลับมายังโต๊ะอาหาร แต่ว่าก็ต้องมาหยุดอยู่หลังเสาต้นใหญ่ของร้านเมื่อเห็นว่าที่นั่งนั้นมีคนมาอยู่แทนที่
“พี่คะ ขอไลน์ได้ไหมคะ” บทสนทนานั่นเริ่มขึ้น เสียงมันเบามากแต่ฉันก็พอได้ยิน
นี่ฉันแค่ลุกไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียวก็มีผู้หญิงมาเจ๊าะแจ๊ะกับเขาแล้วเหรอ อะไรมันจะเร็วปานนั้น.. แต่ถึงจะรู้สึกไม่พอใจและอยากเข้าไปแยกนางออกมาแค่ไหนก็ต้องอดกลั้นเอาไว้
ฉันแอบดูการโต้ตอบของพี่ดิฟจากตรงนี้ดีกว่า
“อยากได้ไลน์พี่ไปทำไมครับ” ยังจะไปส่งยิ้มให้เขาอีกนะ!
“เผื่อไว้คราวหน้าเราอาจจะได้เจอกันอีกไงคะ”
“ไม่ดีมั้งครับ พอดีพี่มากับแฟน”
“มีแฟนแล้วเหรอคะ”
“ครับ ขอโทษด้วยนะ” พี่ดิฟพูดปฏิเสธออกไปอีกครั้ง
การกระทำแบบนั้นทำให้ฉันยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ทั้งที่ปกติเมื่อก่อนควรจะไม่พอใจไปแล้วที่อยู่ดีๆ พี่มันเอาชื่อฉันไปแอบอ้างว่าเป็นแฟนเขา แต่คราวนี้ฉันกลับพอใจและยินดีขึ้นมาซะอย่างนั้น ต้องได้มาเห็นหน้ายัยผู้หญิงคนนั้นแบบที่ฉันเห็นว่านางเจื่อนมากแค่ไหน
สุโขทัยนี่อยู่ภาคกลางตอนบนหรือเปล่านะ แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังมาเหนือมากกว่า
“อะแฮ่ม” ฉันเดินเข้าไปนั่งยังที่เดิมของตนเองหลังจากที่เธอคนนั้นเดินออกไปแล้ว “เมื่อกี๊พูดอะไร ฉันไม่ใช่แฟนพี่สักหน่อย”
“ได้ยิน?” คนตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“แน่สิ แต่คนเมื่อกี๊เขาก็สวยนี่นา ปกติพี่ไม่น่าพลาด”
“ถ้าพี่ให้ไลน์เขาไปจริงๆ แอร์จะโอเคเหรอ” เขาถามพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ ไอ้สีหน้าดูเสียดายแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงน่ะ คิดจะแกล้งฉันเหรอ
“ก็ลองแจกไลน์ผู้หญิงคนอื่นดูสิ” ฉันจ้องหน้าพี่ดิฟเขม็ง
“โอ้โห น่ากลัวจังเลยครับคุณว่าที่แฟน”
“ว่าที่แฟนอะไร”
“ชอบพี่แล้วก็บอก” พี่ดิฟก็คือพี่ดิฟอยู่วันยังค่ำ เขาไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนตั้งแต่เยอะแยะกันนะ
“หลงตัวเอง” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนและเบาลงกว่าเดิม จากนั้นจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะไม่ต้องการจะสบตากับเขา
“ก็ดีกว่าคนหลอกตัวเองนะครับ คนหลบสายตาเขาว่ากำลังปิดบังความจริงอยู่”
“ฉันก็แค่ดูวิวร้าน” พอได้ยินแบบนั้นฉันก็รีบหันหน้ากลับมามองอีกคนโดยพลัน ยิ่งทำตัวแบบนี้ยิ่งเหมือนคนมีพิรุธเข้าไปใหญ่เลย บ้าจริง
“ไม่ต้องตื่นตระหนกแม่กระต่ายน้อย ยังไงคืนนี้พี่ก็เป็นของแอร์อยู่แล้ว”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอหวานๆๆๆๆ
หวานให้สุดๆไปเลย แล้วเดี๋ยวไปหยุดที่ดราม่าน้ำตานองหน้า
จิกหมอนรอแล้วค่าาาาาา