ตอนที่ 2 : DIFFAIR | 01 : I'M GOING SOLO [100%]
1
ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน
Diff’s Talk
“กูทำผิดอะไรวะดิฟ”
“มึงลืมใส่น้ำแข็งให้แก้วกูอะ” ผมเอ่ยตอบไอ้ ‘อินทร์’ ไปในทันทีหลังจากที่มันถามแบบนั้น ตอนนี้เราทั้งสองคนอยู่ที่ผับแห่งหนึ่งใกล้กับมหาวิทยาลัย และอินทร์ก็เป็นคนชวนผมมานั่งดื่มเป็นเพื่อนเนื่องจากมันเพิ่งโดนแฟนบอกเลิกไปหมาดๆ
“ไม่สิ กูหมายถึงน้องน้ำผึ้งอะ..เขาบอกว่ากูไม่แคร์ไม่ใส่ใจ กูไม่ใส่ใจยังไงวะ” ตามประสาคนเฮิร์ตนั่นแหละ ก็จะเมาเหล้าฟูมฟายอะไรไม่รู้
ผมน่ะ..เบื่อพวกที่เอาตัวเองไปถลำลึกกับความรักที่สุดเลย คนเราจะอยากมีความรักไปทำไมในเมื่อท้ายสุดแล้วก็ต้องมาเจ็บแบบนี้ คนที่ต้องมานั่งปรับทุกข์ นั่งปลอบคือใคร? ก็เป็นเพื่อนอย่างผมนี่ไง
“แค่ผู้หญิงคนเดียวปะวะ บนโลกนี้ไม่ได้ขาดแคลนประชากรขนาดนั้นนะ” ผมหัวเราะจากนั้นจึงเอื้อมมือไปคีบน้ำแข็งมาใส่แก้วตัวเอง
“แต่น้ำผึ้งคือผู้หญิงคนเดียวที่กูรักนะ ไม่นับแม่” อินทร์ยังคงทำหน้าเสียใจ หมดอาลัยตายอยากอยู่อย่างนั้น
“มึงรักเขาได้ มึงก็รักคนอื่นได้ป้ะ กูมีคอนแท็คสาวสวยเพียบ อยากได้แบบไหนล่ะ เอาสาวหมวย ขาว ตัวเล็ก หรือว่าเซ็กซี่ หน้าคม นมโต” ผมน่ะ..ไม่เห็นความจำเป็นของการที่เราจะต้องยึดติดอยู่กับผู้หญิงแค่คนเดียวเลยจริงๆ นะ สู้คุยไปเรื่อยๆ ไม่ผูกมัด เป็นอิสระสบายใจกว่ากันเยอะ มีแฟนก็ต้องมาคอยระแวงนั่นนี่ น่าเบื่อฉิบ
“มึงนี่..ไม่เคยรักใครรึไงวะ ไอ้สัสดิฟ” ผู้เป็นเพื่อนเงยหน้าขึ้นมาจากขอบโต๊ะแล้วก็เอ่ยคำถามประหลาดๆ กับผม
“ใครบ้างไม่มีความรัก กูรักพ่อแม่ รักน้องสาว รักหมาที่บ้านด้วย กูเน้นไปที่ความรักยั่งยืนมากกว่าความรักฉาบฉวย” ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพวกเพื่อนถึงได้ชอบมาปรึกษาเรื่องความรักกับผมนัก ในเมื่อพวกมันเองก็ยังคิดอยู่เลยว่าผมไม่เคยรักใคร
“ไม่ใช่แบบนั้นดิ” อินทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “กูถามจริงๆ นะ กูไม่คิดจะมีแฟนบ้างเหรอไง ตั้งแต่รู้จักกับมึงมาตอนปี 1 ยันป่านนี้กูยังไม่เคยเห็นมึงคบใคร มีแต่ม่อไปเรื่อย”
“กูไม่ได้ม่อโว้ย แบบนี้เขาเรียกอัธยาศัยดีต่างหาก”
“มึงอัธยาศัยดีจนจะรู้ผู้หญิงเกือบทั้งมหาลัยแล้วไอ้ควาย ในไลน์มึงนี่กูเห็นนะ ข้อความเป็นร้อยๆ คุยไปทั่วนะมึงอะ”
“ก็คนมันฮอตๆ” ผมหัวเราะแล้วทำท่าโบกมือพัดหน้าตัวเองไปมา
“ไม่เลือกซักคนวะ”
สรุปว่าวันนี้เรามาคุยเรื่องของใครกันแน่ ตอนแรกเหมือนมันจะชวนผมมาปรับทุกข์แต่ไหงไปๆ มาๆ กลายเป็นว่ามาคุยเรื่องของผมแทน
“เลือกทำไม แบบนี้ก็สนุกออก”
“มึงก็ไปตรวจโรคบ้างนะ กูเป็นห่วง”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะมึง เหมียนหมา”
ในขณะที่ผมกับเพื่อนกำลังนั่งดื่มนั่งคุยด้วยกันอยู่นั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาที่โต๊ะของพวกเราพร้อมกับฉีกยิ้มหวานมาให้ เธอเป็นผู้หญิงที่อายุไม่น่าจะห่างกับผมมากนัก อยู่ในชุดเดรสรัดรูปสั้นแค่ต้นขา
“ขอโทษนะคะ”
“ครับ?” ผมส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย มันคือมารยาทไง เขายิ้มให้เราก็ต้องยิ้มกลับ
“ขอไลน์ได้หรือเปล่าอะคะ”
“แอดไอเอ็นศูนย์ศูนย์สองครับ” ผมไม่รอช้าที่จะชอบไอดีไลน์ไปให้สาวเจ้า แต่ว่าหลังจากพูดจบไอ้เพื่อนก็ใช้เท้าข้างหนึ่งเข้ามากระทืบเท้าของผมเต็มแรง “โอ๊ย เหี้ย!!”
“เอ่อ..คะ?” เธอผู้นั้นทำหน้างงเมื่อได้ยินที่ผมสบถออกไป
“เปล่า พอดีมดกัดเท้าน่ะ” มดตัวใหญ่ด้วย กูจะจับบี้ให้ตายเลยคอยดูสิ
“ไว้จะทักไปหานะคะ” เธอชูโทรศัพท์ในมือขึ้นมาเล็กน้อยจากนั้นก็เดินออกไปด้วยรอยยิ้มโดยไม่รู้ว่าไลน์ที่ผมให้ไปนั้นไม่ใช่ของผม
“มึงเอาไลน์กูให้เขาทำไม” แต่เป็นของไอ้อินทร์ต่างหาก
“เอ้า กูอุตส่าห์หวังดี อยากให้เพื่อนตัดใจจากแฟนเก่าได้ไวๆ เลยหาหญิงใหม่มาให้ คนเมื่อกี๊ก็สวยนะเว้ย ลองดูหน่อยสิ” ผมยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นมาบนเก้าอี้เพราะเริ่มกลัวว่ามันจะเหยียบอีก อีกอย่างรองเท้านี่ก็ซื้อมาแพงนะ
“คว้ายยย ไม่ต้อง!”
เศร้าใจ เพื่อนไม่เห็นถึงความหวังดี
“เอาหละ มาฉลองให้กับความโสดกันดีกว่า” ผมชูแก้วเหล้าในมือขึ้นเพื่อรอให้คนตรงหน้าหยิบของตนเองมาชน
“เอาวะ โสดก็โสด” ไอ้อินทร์ยกแก้วขึ้นมาชนด้วยเสียงดังเกร๊งก่อนที่เราทั้งคู่จะดื่มไปพร้อมกัน
โสดกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม อย่ามัวอาลัย คิดถึงใจแฟนเก่า เกิดมาเป็นคน อดทนเถอะเรา อย่ามัวซมเซา รีบหาใหม่ดีกว่า (ร้องเป็นทำนองด้วยนะ)
ผมกล้าพูดเลยว่าตัวเองไม่อยากมีแฟนหรือเอาใจไปผูกกับเท้าใครให้เขาลากไปลากมาเหยียบย่ำอีกแล้วหละ มีเมียแล้วปวดหัว ไปเสียตัวเล่นดีกว่า เพราะผมเองนั้นโสดท่ามกลางพวกเพื่อนคนอื่นเลยกลายเป็นว่าคนที่ฮอตที่สุดในเวลานี้ก็คือผมนั่นเอง มีสาวสวยเข้ามาให้คุยเล่นเยอะแยะแบบ ชนิดที่ว่าคุยเป็น OTOP หนึ่งตำบลหนึ่งคนคุย เรื่องอะไรจะต้องเลิกคุยทั้งอำเภอเพื่อเธอคนเดียวด้วยล่ะ
เคร้ง!
“ไอ้คนเลว!”
เชี่ย..อะไรวะ?
ในขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงบนเวทีก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวางแก้วกระทบกับพื้นโต๊ะที่พวกผมนั่งอยู่เสียงดังชวนตกใจ เธอเป็นคนที่สวยนะ สวยกว่าคนเมื่อกี๊เยอะเลย.. แต่ว่าทำไมเกี้ยวกราดจัง
“พี่ใช่มะที่ทำเพื่อนฉันเสียใจ!” เธอเอ่ยพร้อมยกมือมาชี้หน้าผม ท่าทางเอาเรื่องไม่น้อย “เอาหละ เห็นแก่ที่เราสองคนเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องคณะเดียว ฉันจะมาคุยด้วยดีๆ”
นี่ไม่ใช่คุยด้วยดีๆ แล้วหละอิหนูเอ๊ย
End Diff's Talk
“ขอเสียงคนโสดหน่อยเร้วววว”
เฮ้!!!!
ฉันนั่งมองนักร้องบนเวทีที่ตอนนี้โดนเสียงเฮของคนด้านล่างกลบไปแล้วด้วยสายตาเหม่อลอย บนโต๊ะก็มีเครื่องดื่มมึนเมาที่ถูกดื่มไปแล้วครึ่งแก้ว
“เห้ย อย่าเศร้าไปเลยแก” เพื่อนสาวคนสนิทที่มาดื่มด้วยกันก็วางมือมาลูบไหล่ฉันเป็นการปลอบใจ
“ไม่ได้เศร้าหรอก ก็แค่เจ็บใจน่ะ..” ฉันถอนหายใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนเองเจอเมื่อตอนกลางวัน เหตุการณ์ที่คืนสถานะโสดให้กับตัวเอง
‘ธีร์’ คือชื่อของอดีตแฟนหรือเอาสั้นๆ ก็คือแฟนเก่า อันที่จริงเรายังคบได้ไม่นานมากนักแต่ก็หลายเดือนแล้วหละ เขาเป็นคนเข้ามาจีบก่อนน่ะ เหมือนเรื่องทุกอย่างจะไปได้ดีแต่ว่าวันนี้ฉันจับได้ว่าเขามีผู้หญิงคนอื่น ที่พีคไปกว่านั้นก็คือแอบคุยกันมาเป็นเดือนแล้วด้วย
สารเลวแบบนั้นจะทนคบต่อไปอีกทำไม
“ป้ะ ออกไปแดนซ์กันเถอะ” ‘ทิมมี่’ หรือชื่อเก่าคือทับทิม เป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มาปาร์ตี้คนโสดในวันนี้กับฉัน มันเองก็เพิ่งอกหักจากผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน
“แกไปก่อนก็ได้ ฉันขอนั่งตรงนี้สักพัก” หลังจากที่บอกกับผู้เพื่อนจบก็เอื้อมมือไปคว้าแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาดื่มเข้าไปอีก
“เออๆ ตามมาละกัน” ทิมมี่กับก้อยลุกออกจากโต๊ะไปแล้วเพื่อออกไปปลดปล่อยความเศร้า เหลือเพียงฉันคนเดียวที่กำลังนั่งหงอยอยู่ติดโต๊ะ
แต่แล้วเวลาก็ผ่านไปไม่ทันจะถึงห้านาที ยัยทิมมี่ก็เดินกลับโต๊ะมาด้วยแววตาตกตื่นจนน่าฉงน
“เป็นไรอะ กลับมาเร็วจัง” ฉันยังไม่ทันจะได้ลุกไปไหนเลยนะ ตอนนี้ก็เหมือนว่าจะกรึ่มๆ กับแอลกอฮอล์แล้วด้วย
“แก เขาอยู่ที่นี่ว่ะ” ทิมมี่นั่งลงฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาเป็นกังวล
“เขา? ใคร ไอ้คนที่มันหักอกแกเหรอ” ฉันขมวดคิ้วมองหน้าผู้เป็นเพื่อนพลางถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าเพื่อนพยักหน้าหงึกหงัก “จะว่าไปเรื่องของแกนี่มันเป็นไงมาไงอะ”
ด้วยความที่ฉันเองก็ไม่ค่อยได้คุยกับยัยคนนี้มากนักเพราะเรียนอยู่คนละคณะกัน เป็นเพื่อนที่รู้จักกันเพราะว่าเราทั้งคู่คือคทากรของมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกัน พอลงไอจีสตอรี่ว่าจะออกมาเที่ยวนางเห็นก็เลยขอตามมาด้วยนั่นแหละ
“คือฉันคุยกับพี่ผู้ชายคนหนึ่งใช่มะ” ทิมมี่เริ่มเล่า
“อ่าฮะ”
“อันที่จริงก็เหมือนว่าเราสองคนจะไปได้ดี แต่วันหนึ่งก็มารู้ว่าฉันมันก็แค่คนที่เขาคุยด้วยเล่นๆ เท่านั้น ความจริงพี่เขาคุยกับผู้หญิงอีกหลายคนเลย”
“เลว!” ฉันละเกลียดไอ้พวกผู้ชายมักมากแบบนี้
“ไม่รู้สิแอร์ บางทีฉันอาจจะหวังไปเองก็ได้” ทิมมี่พูดต่อด้วยแววตาเศร้าสร้อย “พอฉันอยากได้ความชัดเจนเขาก็ไม่ตอบแชท เลยไปหาที่คณะถาปัตย์ หลังจากนั้นปรากฏว่าเขาไม่คุยกับฉันอีกเลย”
“เรียนถาปัตย์เหรอ มันเป็นใคร!” ชื่อคณะเดียวกันกับฉันนั่นทำให้หูฉันผึ่งขึ้นมามากกว่าเดิม “มันอยู่ที่นี่เหมือนกันใช่มะ บอกมาเดี๋ยวนี้”
“เอ่อ...”
เสียชื่อเด็กถาปัตย์หมด กล้ามาทำเรื่องเลวๆ แบบนี้ได้ยังไง ซึ่งพอได้ยินชื่อและพิกัดของไอ้เลวคนนั้นฉันก็ลุกออกจากโต๊ะแล้วตรงไปยังที่นั่นเลยทันที
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโกรธแค้นเจ็บปวดหรือเพราะพิษของแอลกอฮอล์ในตัวถึงได้ทำให้ฉันกล้าจะทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้..
“พี่ใช่มะที่ทำเพื่อนฉันเสียใจ!” ฉันวางแก้วน้ำที่เอามาจากโต๊ะตัวเองลงไปด้านหน้าผู้ชายคนดังกล่าวเต็มแรงกระแทก “เอาหละ เห็นแก่ที่เราสองคนเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องคณะเดียว ฉันจะมาคุยด้วยดีๆ”
เขาคือ ‘พี่ดิฟ’ เป็นรุ่นพี่ในคณะเดียวกัน เคยเห็นผ่านตาบ้างตามตึกคณะไม่ก็ช่วงกิจกรรมของคณะ เขาเองก็เป็นคนดังในระดับหนึ่งซึ่งได้ฟังกิตติศัพท์มาเยอะ ไม่นึกว่าวันนี้เรื่องแบบนั้นจะเกิดกับคนใกล้ตัวตนเอง
“อะไรนะ?” เขาตีหน้ามึนเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองไปทำเรื่องเหี้ยอะไรไว้บ้าง
“คุยกับผู้หญิงไปทั่ว ให้ความหวังเขา ทำให้เขามีใจแล้วก็เทเขา มีแต่คนเหี้ยๆ เท่านั้นแหละที่ทำ” ฉันพูดมันออกไปแล้ว
“มึงโดนแล้วดิฟ มึงโดนแล้ว” พี่ผู้ชายอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะพูดออกมาด้วยแววตาตกใจ “น้องใจเย็นก่อนนะ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน”
“พี่เงียบไปเลย ไม่ได้คุยด้วย” ฉันหันไปต่อว่าเขาโดยมีความหมายแฝงว่าอย่าเผือก
“เอาหละ พี่ไม่รู้นะว่าไปทำอะไรน้องไว้..”
“เพื่อน! เพื่อนฉัน พี่มาคุยมาให้ความหวังเพื่อนฉัน ทั้งที่พี่เองไม่รู้จักพอด้วยซ้ำ ไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่นเลย”
“มันก็เป็นเรื่องของปกติของผู้ชายนะ”
ตรรกะแบบนี้มาอีกแล้วเหรอ ฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่าไอ้คำพูดที่บอก ‘มันเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย’ นี่มันคืออะไร ผู้ชายทุกคนบนโลกนี้มันเหี้ยกันหมดเลยเหรอ
“ถ้าการที่เอากับตัวเมียไม่เลือกมันคือนิสัยปกติของผู้ชาย งั้นเลี้ยงหมาก็ได้ค่ะ..นิสัยเหมือนกัน”
“...”
“หมาบางตัวยังควรค่าแก่การถูกรัก แต่ผู้ชายเหี้ยๆ แบบพี่น่ะ ให้มองหน้ายังเสียสายตาเลย” ฉันเองก็เริ่มเกลียดผู้ชายที่หน้าตาดีแล้วหละ คิดว่าหล่อมากมั้ง คนทั้งโลกต้องรักมั้ง
“จะจริงเร้อออ บางทีผู้ชายเหี้ยๆ แบบพี่อาจจะทำให้น้องรักก็ได้นะ” เขาหัวเราะออกมาเหมือนกับว่าเรื่องที่ฉันพูดอยู่ตอนนี้มันน่าตลก
“ผู้ชายอย่างพี่ไม่มีวันได้แตะต้องแม้แต่เส้นผมฉันหรอก”
“แล้วถ้าพี่ทำได้ล่ะ”
“ก็ลองดูสิ”
“แบบนี้ค่อยน่าสนใจหน่อย”
“ทำตัวแบบนี้ระวังเถอะ วันหนึ่งกรรมจะตามสนองพี่” อันที่จริง ก็เริ่มคิดอยู่หน่อยๆ แล้วว่าเป็นเพราะเหล้าที่ดื่มเข้าไปหรือเปล่าตัวเองถึงได้กล้าขนาดนี้
“ไม่กลัว เพราะพี่ไม่เคยแพ้อะไร แม้กระทั่งกรรมก็คงตามพี่ไม่ทัน”
เหมือนการแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้ว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อิดิฟนี่แหละ
สตอแหลสุดแล้ว5555ลื่นกว่าไหลเกาะย้่งกว่าปลิงด้วยรึป่าว
ฉีกแนว
อิพี่ลิมาเลย
รออยู่น่แอด