ตอนที่ 12 : DIFFAIR | 11 : LIMITED EDITION [100%]
11 : Limited Edition
ฉันเบือนหน้าหนีตอนที่เขาพูดแบบนั้นแล้วก็ส่งยิ้มหวานมาให้ งานโปรยเสน่ห์นี่ดูถนัดเป็นพิเศษจังเลยนะ
“รักไม่ได้หรอก ฉันมีแฟนอยู่แล้วนะอย่าลืม” ฉันต้องย้ำเรื่องนี้อีกกี่รอบกันเขาถึงจะจำได้
“รู้ แต่ถามจริงเถอะ” คนตรงหน้าวางเจ้านมสดลงบนพื้นแล้วก็ถอนหายใจ “กลับไปคบกับมันอีกทำไมในเมื่อตอนแรกก็ดูจะเด็ดขาดแล้วซะอีก ไหนจะเพื่อนที่ตีท้ายครัวนั่นด้วย”
“ก็..คนเรามันก็ต้องได้รับโอกาสบ้างสิ” ฉันเบือนหน้าหนีซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานยกเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่สั่งมาเสิร์ฟพอดี “ส่วนเรื่องก้อยก็ปล่อยไปเถอะ”
ฉันหยิบช้อนและส้อมขึ้นมาตักข้าวผัดแฮมตรงหน้าใส่ปากเพื่อหวังจะตัดบทสนทนาเรื่องล่าสุดนี้
“อย่างแอร์อะนะ? เป็นไปไม่ได้หรอก”
“ทำมาพูดเหมือนรู้จักฉันมาเป็นสิบปีอย่างนั้นแหละ” ทั้งที่รู้จักกันไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ
“มันก็เป็นไปได้ว่าที่ทำอยู่ก็เพื่อเอาคืนไม่ใช่เหรอไง”
ฉันชะงักเพราะนึกไม่ถึงว่าพี่ดิฟจะสามารถดูฉันออกถึงขนาดนั้น ทั้งที่ไม่ได้พูดหรือแสดงท่าทีอะไรที่ดูแปลกไปเลยแม้แต่น้อย จากนี้ไปจะประมาทผู้ชายคนนี้ไม่ได้แล้วสินะ
“พี่คิดมากไปหรือเปล่า” ฉันยังคงทำเฉไฉไม่รู้เรื่อง
“ก้มมองแต่จานข้าวไม่มองหน้าพี่ก็แสดงว่ามีเรื่องที่ไม่อยากบอกอยู่ งั้นพี่จะถือว่าสิ่งที่พี่คิดเป็นเรื่องจริง” เขาคิดเองเออเองตัดบทเองเสร็จสรรพเลยนะ
“อะ ถ้าฉันยอมรับว่ามันคือการเอาคืนแล้วมันยังไงล่ะ”
“ก็ไม่ยังไง พี่ไม่ห้ามหรอกแต่ถ้าอยากได้ความช่วยเหลือพี่พร้อม” เขาดันไม่ได้โวยวายอะไรอย่างที่ฉันคิดแถมยังจะมาให้ความสนับสนุนอีกต่างหาก
“แปลกคนจริง” ฉันพึมพำ
“แล้วแบบนี้พี่ก็ยังจับแอร์ต่อได้ถูกไหม” เขายังไม่วายลืมเรื่องนี้อีกเหรอ
“จะจีบได้ไงก็มีแฟนอยู่แล้ว ยังไงตอนนี้ก็ยังมี”
“แอร์ไม่ได้คบมันจากใจสักหน่อย มันเป็นแค่แผนการของแอร์ นั่นก็หมายความว่าพี่มีสิทธิ์”
“ดื้อด้านจริง”
“ก็เป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าคนเราก็ต้องได้รับโอกาสบ้าง” เขาใช้ประโยคที่ฉันเอ่ยกับเจ้าตัวก่อนหน้ามาย้อนกลับฉันจนได้
“พี่มันดื้อด้าน”
“งั้นน้องก็ดื้อด้านไม่ต่างจากพี่หรอก เราเหมาะสมกันนะว่าไหม”
ช่างมโนจริงเชียว แล้วแบบนี้ฉันคงดูเป็นผู้หญิงคบชู้สู่ชายแน่เลยอะ คบกับคนนึงแต่ว่าก็มีคนมาตามจีบอยู่ด้วย
@G CENTER
หลังจากที่ออกจากคาเฟ่น้องหมามาแล้ว พี่ดิฟกับฉันก็ออกมาเดินที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆ นี่ต่อ มันเป็นความคิดของฉันเองที่อยากจะมาซื้อเครื่องสำอางตัวใหม่ แล้ววันนี้เป็นโปรโมชั่นลดราคาวันสุดท้ายด้วย คนอย่างแอร์ไม่มีทางพลาดแน่นอน
“เลือกนานไปไหนเนี่ย” พี่ดิฟที่ตอนแรกนั่งรออยู่หน้าร้านเดินตรงเข้ามาหาฉันที่เชลฟ์สำหรับลิปสติกด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ก็ไม่ได้บอกให้พี่รอสักหน่อย” เขาอยากตามมาเองอยากรอเองก็จะปล่อยไป
“พี่ยังไม่เห็นว่าแอร์จะได้ซื้ออะไรเลย”
พี่ดิฟก็พูดถูก ตอนนี้ฉันยังไม่ได้หยิบสินค้าอะไรใส่ตะกร้าในมือทั้งนั้น
“ก็ยังเลือกไม่ได้ งั้นพี่เลือกให้หน่อยสิ” ฉันพูดกับคนตรงหน้าแล้วกวาดนิ้วไปตามแท่งลิปสีต่างๆ ที่เรียงกันอยู่บนชั้นเพื่อให้เขาช่วยดู
เอาตามตรงฉันก็ไม่ได้คาดหวังให้ผู้ชายมาช่วยเลือกเครื่องสำอางให้นักหรอก เพราะเคยมาไอ้พี่ธีร์มาแบบนี้เจ้านั่นก็เลือกไม่เป็นหรอก
พี่ดิฟกวาดสายตามองไปที่ชั้นอยู่สักพัก เจ้าตัวก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบเทสเตอร์ของลิปตัวหนึ่งขึ้นมาชูไว้ตรงหน้าฉัน
“อันนี้เป็นไง สี SEE SHEER แบบนี้ดูเป็นธรรมชาติแล้วก็สุขภาพดีมากๆ”
ฉันชะงักหลังจากมองลิปสีส้มอมชมพูในมือเขา สารภาพเลยว่าไม่รู้ว่าเลยว่าสีนี้มันชื่อว่าสีอะไร รู้แค่ว่ามันสวยดีก็ซื้อเท่านั้น แต่พี่ดิฟดันรู้จักสีลิปซะด้วย น่าแปลกใจนะเนี่ย
“พี่แอบแต่งหญิงตอนคนไม่รู้ใช่ป้ะ” ฉันเริ่มระแวงแล้วนะ
“บ้าเหรอ ก็พาคนมาซื้อบ่อย”
“อ้อ ฉันลืมไปว่าพี่หญิงเยอะ” ฉันแอบเบะปากใส่เจ้าตัว เพราะเขาเผลอปล่อยไก่ออกมาตัวเบ้อเริ่มเลย ที่แท้ก็พาผู้หญิงมาซื้อบ่อยนี่เอง เฮอะ!
“เฮ้ย ตอนนี้พี่มีแอร์คนเดียว”
“งั้นเอาโทรศัพท์มาเช็คซิ”
“ยังไม่คบก็จะเช็คมือถือแล้วเหรอแม่คุณ” อีกฝ่ายหัวเราะ แต่ถึงจะพูดแบบนั้นเขาก็ยังอุตส่าห์หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากระเป๋ากางเกง “รหัส 0101 เปิดได้”
“บ้าเหรอ ฉันพูดเล่น” ฉันไม่ได้คิดว่าจะไปเช็คโทรศัพท์พี่ดิฟจริงสักหน่อย “งั้นฉันไปดูโซนครีมบำรุงต่อละกัน”
ฉันคว้าลิปสติกแท่งในซีลพลาสติกเป็นสีที่พี่ดิฟเลือกให้แล้วเดินออกไป ซึ่งแต่ละก้าวของการเดินมันช่างทรมานฉันเสียจริงเนื่องจากรองเท้าคัตชูที่ใส่อยู่ตอนนี้มันเริ่มกัดเท้าฉันไปทีละหน่อย กัดมาตั้งแต่เดินเข้าห้างมาแล้วด้วย รู้งี้ไม่น่าใส่คู่นี้มาเลย ครั้นจะถอดเดินมันก็น่าเกลียดไปหน่อยในที่สาธารณะคนเยอะแบบนี้
“เป็นอะไรเนี่ย แล้วเดินแบบนั้น”
“รองเท้ากัดอะ แย่จริง” ฉันตอบ
“เจ็บมากไหม” น้ำเสียงนั้นดูมีความเป็นห่วงขึ้นมาระดับหนึ่ง
“ไม่เท่าไหร่น่ะ ทนได้”
“ถ้างั้นเดี๋ยวพี่มา”
จบประโยคนั้นอีกฝ่ายก็เดินหายออกไปจากร้านเลย ทิ้งฉันเอาไว้ที่นี่คนเดียวซะอย่างนั้น
....
จนกระทั่งยี่สิบนาทีต่อมา คนที่หายตัวไปก็โผล่หน้ากลับมาหาฉัน ซึ่งตอนนี้ฉันซื้อของจ่ายเงินเสร็จไปเรียบร้อยและมายืนรอเขาหน้าร้านแล้ว
“อะไร?” ฉันมองพี่ดิฟที่ถือถุงอะไรสักอย่างในมือและกำลังยื่นมันมาให้
“รองเท้าน่ะ ใส่คู่นั้นไปนานๆ เท้าจะเป็นแผลได้นะ”
สาเหตุที่เขาหายไปตั้งนานเป็นเพราะแบบนี้เองเหรอ คงได้ยินที่เมื่อกี๊ฉันบ่นว่าโดนรองเท้ากัดสินะ เขาถึงได้ไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่มาให้เปลี่ยน
“ไม่จำเป็นต้องซื้อให้ก็ได้”
“ก็ไม่ได้ซื้อให้ เอาเงินมาใช้คืนด้วย” พี่ดิฟหัวเราะแล้วยัดถุงรองเท้าใส่มือฉัน
“นึกว่าจะเป็นสายเปย์ซะอีก” แต่ก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่ามีอะไรติดค้างกันอีก
“มีความเชื่อว่าถ้าเราซื้อรองเท้าให้ใคร คนนั้นจะหายไปจากชีวิตเรา.. พี่ไม่ซื้อให้เพราะพี่ไม่อยากให้แอร์หายไปจากชีวิตพี่ไง” พูดจบก็ส่งยิ้มหวานมาให้
“เลอะเทอะจริง แต่ก็ขอบคุณนะคะ ว่าแต่นี่คู่ละเท่าไหร่อะ”
“เรื่องนั้นไว้ทีหลังเถอะ”
ฉันที่กำลังจะควานหากระเป๋าเงินของตัวเองอยู่ดีๆ ก็โดนพี่ดิฟก็เข้ามาห้ามไว้จากนั้นเขาก็หยิบรองเท้าออกมาจากถุงกระดาษแล้วทิ้งกายลงไปนั่งยองอยู่ตรงหน้า
“พี่จะทำอะไรน่ะ” ฉันถดเท้าถอยหลังเพราะตกใจกับการกระทำดังกล่าว
“จะใส่รองเท้าให้ไง มานี่สิ”
“ไม่เป็นไร ฉันใส่เองได้” ฉันหันมองซ้ายขวารอบตัวเพราะกลัวว่าจะมีคนมอง ตรงนี้คนเดินผ่านไปมาเยอะจะตาย เขาจะมาทำอะไรแบบนี้ไม่ได้นะ
“เถอะน่า พี่ใส่ให้” เจ้าตัวใช้มือเข้ามาจับข้อเท้าฉันเอาไว้พร้อมบังคับถอดคัตชูที่สวมอยู่ออกแล้วก็สวมใส่รองเท้าแตะธรรมดาเข้ามาแทน และพี่ดิฟก็ทำแบบนี้ทั้งสองข้าง
ฉันมองคัตชูคู่เดิมที่ถูกเก็บยัดลงถุงแทนประกอบกับมองหน้าของพี่ดิฟด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก เพราะตั้งแต่เกิดมานอกจากแม่แล้วก็ไม่เคยมีใครช่วยใส่รองเท้าให้แบบนี้มาก่อน
“เป็นไง รู้สึกดีขึ้นยัง”
“ก็..ดี” ฉันอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยพลางก้มมองบริเวณข้อเท้าด้านหลังตัวเองไปด้วย ตอนนี้มันเป็นรอยแดงเถือกเลยซึ่งพอมาใส่แตะก็สบายขึ้นเยอะ
“งั้นไปกันเถอะ” เขาเอ่ยพร้อมกับถือถุงรองเท้านั่นไว้ในมือ ไม่ได้ส่งมันมาให้ฉันแต่พอจะเข้าไปคว้ามาถือก็โดนเจ้าตัวเบี่ยงออก “ไม่เป็นไร พี่ถือให้ แค่ในมือแอร์ก็เยอะแล้ว”
เขาพูดถึงถุงเครื่องสำอางของฉัน
“ต้องทำให้ขนาดนี้เลยเหรอ”
“ดูแลคนที่ตัวเองชอบมันไม่ได้ลำบากหรอก ว่าแต่แอร์น่ะชอบพี่บ้างหรือยัง? คนแบบพี่ลิมิเต็ดอิดิชั่นมีแค่คนเดียวในโลก ไม่มีขายที่ไหนยกเว้นแต่ว่าแอร์จะอยากได้”
เกลียดการโฆษณาตัวเองของเขาจริงๆ
“แล้วนี่จะไปไหน” ฉันเองก็เดินตามพี่ดิฟมาจนลืมคิดว่าเราทั้งคู่กำลังจะไปไหน
“ไม่ต้องไปแล้วหละ”
“อ้าว” อะไรของเขา
“ดูนั่นสิ” คนด้านข้างพยักหน้าให้ฉันดูไปยังบริเวณอีกฝั่งหนึ่งของห้าง ซึ่งอยู่ติดกับบันไดเลื่อน “คนรู้จักหรือเปล่า หน้าคุ้นดี”
ไม่รู้จักก็แย่แล้วไหม ก็ไอ้ผู้ชายและผู้หญิงสองคนนั้นคือธีร์กับก้อยยังไงล่ะ นี่ขนาดฉันบอกว่ากลับไปคบกับเขาแล้วคู่นี้ก็ยังไม่เลิกยุ่งกันอีกเหรอ สุดยอดไปเลยจริงๆ
“เราหลบไปที่อื่นก่อนดีกว่า เดี๋ยวพวกนั้นจะเห็น” ฉันว่าแล้วก็เข้าดึงเสื้อของพี่ดิฟให้เดินตามมา ซึ่งเขาก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร
“เนี่ย พี่เริ่มสงสัยแล้วว่าสรุปใครคบชู้ใครกันแน่ พี่ดูเป็นชู้ลับๆ ขึ้นไปทุกที”
“แล้วใครบอกให้พี่ตามมากันเล่า” ฉันแทบจะหันไปแยกเขี้ยวใส่อีกคนทันที “อีกอย่างฉันไม่ได้ทำเรื่องผิดศีลธรรมแบบพวกนั้น แล้วก็แบบพี่ด้วย”
“อ้าว แล้วพี่ผิดศีลธรรมตรงไหน” เขาทำหน้างง “เห็นแต่ก่อนพี่เป็นแบบนั้น พี่ก็ไม่ชอบยุ่งกับแฟนชาวบ้านนะ แอร์อะคนแรก”
นี่ไง ก็กำลังทำอยู่เนี่ย
“ไม่รู้หละ ฉันจะกลับคอนโดแล้ว”
“ได้ งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
@CONDO
ทันทีที่ถึงห้องฉันก็ทิ้งกระเป๋าลงบนโซฟาหลังจากที่หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อต่อสายตรงหาคนบางคนที่ฉันเจอเมื่อก่อนหน้านั้น
[ฮัลโหล ว่าไงแอร์] ธีร์กดรับสายในเวลาเพียงไม่นาน
“ตอนนี้อยู่ไหนอะ”
[อ่อ อยู่ที่บ้านอะ เราเรียนเสร็จก็กลับบ้านเลย]
“เหรอ” เรียนเสร็จก็กลับบ้านเลยเหรอ นี่ถ้าฉันไม่เห็นเขาเดินอยู่ที่ห้างกับยัยก้อยก่อนหน้านั้นก็คงจะปักใจเชื่อไปแล้วมั้ง แต่แบบนี้ก็ดีฉันจะได้ไม่ต้องมาเห็นใจอะไรพวกเขามาก
[มีอะไรหรือเปล่า]
“เปล่าอะ แค่เมื่อกี๊บังเอิญเจอคนหน้าคล้ายนายเลยโทรถามดู” ฉันพูดไปงั้นแหละ มันไม่ใช่คนหน้าคล้ายแต่มันใช่เขาเลยต่างหากล่ะ
[หืม หน้าเราโหลเหรอ] เขาก็ยังคงไม่ยอมรับอยู่ดี
“อืม งั้นแค่นี้นะพอดีฉันมีธุระต้องทำต่อ” หลังจากจบประโยคดังกล่าวฉันก็วางสายไปพร้อมกับคิดอะไรต่างๆ นานาเต็มหัวไปหมดว่าจะจัดการอะไรต่อไปดี
ถ้าฉันถามสองคนนั้นไปตรงๆ ยังไงซะพวกเขาก็คงไม่มีทางจะยอมรับอยู่แล้ว ถ้าจะให้ฉันเข้าไปแฉเลยมันก็จะดูเป็นการวางแผนมาเกินไป ฉันไม่อยากดูเป็นนางร้ายในสายตาคนอื่นมากนัก ทางที่ดีที่สุดก็คือต้องยืมมือคนอื่นเข้ามาช่วยเรื่องนี้แล้วแหละ
หลังจากที่วางสายธีร์ไม่นาน ฉันก็กดเบอร์โทรหาคนอื่นต่อ
:: ทิมมี่ :: เพื่อนในทีมคทากรด้วยกัน
[ว่าไงจ๊ะ]
“สองทุ่มนี้แกว่างไหมอะ”
[ก็พอได้นะ]
“ออกมาเจอกันหน่อยสิ” ฉันคิดว่าทิมมี่ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดี เพราะเธอเองรู้จักกับก้อยด้วยแล้วก็พอเคยเห็นธีร์แบบผ่านๆ มาบ้าง
ก็รู้สึกผิดนะที่ต้องยืมแรง แต่งานนี้จะไม่มีใครเสียดายนอกจากคนคู่นั้น
8.00 PM
@G CLUB
“ว่ายังไง มีเรื่องอะไรทุกข์ใจถึงนัดฉันออกมากัน”
ทิมมี่วันนี้อยู่เดรสรัดรูปสีดำ ดวงตาที่โฉบด้วยอายไลน์เนอร์พร้อมกับปากสีแดงเข้มนั่นทำให้ลุคของเธอเผ็ดร้อนไม่น้อย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเจ้าตัวบอกว่าไม่มีเวลาแต่งองค์ทรงเครื่องมากนักแต่ก็จัดเต็มได้ขนาดนี้ ต่างกับฉันที่มาในเสื้อครอบท็อปกับกระโปรงยีนส์สั้นเหนือเข่าเล็กน้อย ดูเป็นสาวเซอร์มากกว่า
“อ้อ เรื่องพี่ธีร์น่ะ” ฉันเปิดประเด็นเลยอย่างไม่รีรอ
“อ้าว แกยังไม่เลิกกับเขาอีกเหรอ”
“ก็ลองให้โอกาสดู แต่ว่าเหมือนเขายังไม่กลับตัวเลย ฉันไม่รู้จะทำยังไง เพราะลับหลังไปเขาก็ไปมีผู้หญิงอื่นอยู่ดี” ฉันตีหน้าเศร้านิดหน่อยเหมือนคนกำลังเจ็บปวดในความรัก
“โห ขนาดนี้ก็เลิกเด็ดขาดไปเลยเถอะ” ทิมมี่ทุบโต๊ะครั้งนึงเบาๆ “ผู้ชายเจ้าชู้น่ะ อย่าเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย ฉันน่ะเข็ดแล้ว แกจำพี่ดิฟได้ไหม”
“แค่ก” ฉันแทบจะสำลักเครื่องดื่มที่เพิ่มยกเข้าปากไปเมื่อครู่หลังจากที่ได้ยินชื่อนั้น
ก็เกือบลืมไปเลยว่ายัยนี่เคยเป็นหนึ่งในสาวๆ ของพี่ดิฟ แถมยังเป็นต้นเหตุให้ฉันที่เมาไม่ได้สติออกไปอาละวาดเขาที่โต๊ะในคืนนั้นอีกด้วย
“เป็นไรไหมเนี่ย แต่ฉันเห็นนะรูปในงานกีฬานี่เขาเอาดอกไม้มาให้”
แย่ละ ลืมนึกถึงเรื่องรูปดังนั่นไปเลย
“ฉันมีแฟนอยู่แล้วนะแกก็รู้”
“ดีแล้ว คนแบบนั้นแกอย่าไปยุ่งด้วยเลย” ทิมมี่พยักหน้าแล้วส่งกระดาษทิชชู่มาให้ฉันเช็ด
“แล้ว..แกยังชอบเขาอยู่ไหม” ฉันยิ้มแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะ สายตาก็พลางเหลือบมองใบหน้าของผู้เป็นเพื่อนไปด้วยเล็กน้อย ทั้งที่ตอนแรกแค่จะแกล้งกังวลเรื่องธีร์ให้สมบทบาทกลับกลายเป็นว่าตอนนี้ฉันกังวลจริงซะงั้นแถมยังกังวลเกี่ยวกับผู้ชายอีกคนด้วย
“ไม่อะ ฉันไม่ได้อะไรตั้งนานแล้ว ตอนนี้ฉันก็มีคนที่คุยๆ ด้วยอยู่แล้วคิดว่าน่าจะได้คบกันอีกไม่นาน” อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธโดยทันที
“งั้นเหรอ” ฉันจึงถอนหายใจเหมือนกับว่าความกลัวถูกยกออกไป
“แกถอนหายใจเหมือนกำลังโล่งอก..” ทิมมี่ขมวดคิ้วตอนที่พูดแบบนั้น
พอได้ยินแบบนั้นฉันก็เริ่มตั้งข้อสงสัยกับตัวเองอีกครั้ง โล่งอก? ฉันจะโล่งอกไปทำไมกันล่ะ ฉันดีใจที่เพื่อนตัดใจแล้วหาคนใหม่ดีๆ ได้หรือดีใจที่เธอไม่ได้ชอบพี่ดิฟแล้วกันแน่
ถ้าเป็นอย่างหลังฉันคงแย่แน่เลย
“ช่างเถอะน่ะ เราเข้าเรื่องกันต่อ คือว่าฉันน่ะอยากเลิกกับธีร์นะแต่ยังจับคาหนังคาเขาไม่ได้ ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครด้วย” ฉันเอ่ยกับคนตรงหน้าแล้วก็ทำหน้าวิตก “ฉันอยากให้แกช่วยหน่อยได้หรือเปล่า
“ได้เหรอ ไม่มีปัญหา งานของชาวบ้านแบบนี้ฉันชอบ” ทิมมี่ยอมช่วยเหลืออย่างง่ายดาย โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าฉันจะขอให้ช่วยอะไร “เดี๋ยวฉันคนนี้จะไปจับชู้เป็นเพื่อนแกเอง วางใจได้ คนอย่างทิมมี่มือหนึ่งไม่เคยพลาด”
“ขอบใจมากนะแก” ฉันส่งยิ้มไปให้ผู้เป็นเพื่อน
“มา ชนแก้วกันหน่อย” เธอยกแก้วเครื่องดื่มของตนเองขึ้นมาตรงกลางโต๊ะ จากนั้นฉันจึงหยิบแก้วตัวเองขึ้นไปชนกับของอีกฝ่าย “เชียร์ ขอให้เธอตัดใจจากผู้ชายแย่ๆ ได้อย่างฉัน”
ฉันแทบเครียดเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย เพราะทิมมี่คงไม่รู้ว่าไอ้ผู้ชายแย่ๆ ที่ว่าของเจ้าตัวนั้นตอนนี้กำลังตามจีบฉันอยู่ นี่ชีวิตของยัยแอร์จะต้องมาประสบพบเจอแต่กับผู้ชายแบบนี้จริงเหรอ
“เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ” ฉันลุกขึ้นพร้อมหยิบกระเป๋าใส่เครื่องสำอางติดตัวไปด้วยกะว่าจะเข้าไปเติมหน้าเพิ่มสักหน่อย
“อือๆ”
ฉันเดินผ่านกลุ่มฝูงชนที่กำลังสนุกสนานกับปาร์ตี้ในคลับแห่งนี้เพื่อออกมาเข้าห้องน้ำอย่างยากลำบาก ไหนจะแสงไฟสลัวนี่เปิดแล้วก็เหมือนไม่ได้เปิดนี่อีกทำฉันแทบจะมองไม่เห็นทางเดินด้านหน้าเลยด้วยซ้ำ ฉันเป็นมนุษย์ที่มีความย้อนแย้งในตัวเองเบาๆ ถึงจะเป็นคนไม่ชอบสถานที่ที่มีคนเยอะแต่ว่าก็ชอบออกมานั่งเล่นนั่งดื่มอยู่เรื่อย
จะว่าไปทางเดินไปห้องน้ำนี่ก็ควรติดไฟให้สว่างกว่านี้หน่อยนะ เพราะเกือบเดินชนเสาแล้วเมื่อครู่นี้
“แล้วยังไง จะให้พี่เอาเข้าไปก่อนหรือน้องจะเข้าไปเอง”
เสียงผู้ชายนี้มันคุ้นหูอยู่นะ
“เอ่อ เดี๋ยวฉันเข้าไปเองแล้วกันค่ะ พี่ค่อยตามมาทีหลัง”
แต่เสียงผู้หญิงไม่เคยได้ยิน
ฉันรีบหน้าไปมองยังต้นเสียงทั้งสองนั้นด้วยความสนใจ ก่อนจะพบว่าเจ้าของคำพูดนั้นยืนอยู่บริเวณที่ใกล้กับทางออกด้านหลังร้านซึ่งติดกับห้องน้ำ ผู้หญิงฉันไม่แน่ใจนักแต่ผู้ชายนั่นน่ะ..
“พี่ดิฟ” สาบานเลยว่าตัวเองมายืนอยู่ตรงหน้าของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“อ้าวแอร์” คนที่โดนเรียกทำหน้าตกใจเล็กน้อยที่เห็นฉัน เขามองฉันสลับกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งด้านข้างที่ตอนนี้ถือกล่องอะไรสักอย่างไว้ในมือด้วย
“มาทำอะไร.. กับใคร” ฉันไม่รีรอแล้วรีบถามเจ้าตัวทันที ส่วนคำถามที่สองก็แอบชำเลืองมองผู้หญิงด้านข้างเขาไปด้วย เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดี ดวงตากลมโต ตัวสูงน้อยกว่าฉันไปหน่อยแต่เหมาะกับไทป์น่ารัก ซึ่งพอมองไปมองมาก็ดูคุ้นตาแปลกๆ
“มางานปาร์ตี้น่ะ ชั้นบนจัดงานกันจะขึ้นไปร่วมด้วยก็ได้นะ” พี่ดิฟยิ้มตอบจากนั้นเขาก็หันไปมองคนด้านข้าง “ส่วนนี่..”
“อ้อ จำได้แล้ว” ฉันโพล่งขึ้นมาหลังจากพินิจพิจารณาใบหน้าของเธอมาสักพัก “ปีหนึ่งใช่หรือเปล่า ฉันจำได้ตอนนั้นที่เพื่อนไปทาบทามแต่ตอบปฏิเสธ”
ใช่แล้ว เธอเป็นเด็กสถาปัตย์ปีหนึ่งที่หน้าตาโดดเด่นและโดนจับตามองตั้งแต่รับน้องวันแรก มีคนเข้าไปเสนอให้มาทำกิจกรรมงานกีฬาด้วยแต่ว่าเจ้าตัวไม่อยากทำ
“อ่า ใช่ค่ะ..”
“แล้วนี่ยังไง พี่ผิดคำพูดเหรอ” ฉันหันหน้าไปเอาเรื่องพี่ดิฟต่อทันที ซึ่งเขาก็ทำหน้าเหลอหลาอยู่ชั่วแว้บหนึ่ง
“ผิดอะไร พี่ยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ” เขาส่ายหน้าไปมา
“ก็นี่ไง นึกว่าจะดีเสมอต้นเสมอปลาย สุดท้ายก็มาเที่ยวกับผู้หญิงคนอื่นจนได้” ฉันไม่น่าหลงคิดไปเลยว่าเขาจะมาจริงใจอะไรกับฉันแค่คนเดียว ที่เขาทำดีมาทั้งหมดนั่นเขาเองก็ทำกับคนอื่นเหมือนกันแน่เลย
“ใจเย็นก่อนแอร์ ค่อยคุยกัน”
“นี่เธอก็เหมือนกันนะ ผู้ชายแบบนี้เขาไม่จริงจังกับใครหรอก เลิกยุ่งได้ก็เลิกไปซะ นี่หวังดีนะ” ฉันหันไปบอกกับรุ่นน้องปีหนึ่งที่กำลังทำหน้าเหวอไม่ต่างจากพี่ดิฟเวลานี้
“นี่อบเชยเอาเค้กขึ้นไปด้านบนก่อนไป ไอ้แซคก็อยู่นั่นแหละ เดี๋ยวพี่ตามไป” พี่ดิฟถอนหายใจหลังจากที่คุยกับผู้หญิงด้านข้างจบ จากนั้นเขาก็เข้ามาดึงแขนฉันให้เดินออกไปด้วยกัน “ส่วนแอร์มานี่เลย”
“อะไรของพี่ ปล่อยฉันนะ เราไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันแล้ว”
หลังที่พูดไปแบบนั้นเขาก็หัวเราะออกมาพร้อมอมยิ้มกรุ้มกริ่ม
“หึงพี่ขนาดนี้จะเลิกยุ่งได้จริงเหรอ?”


นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แอร์หึงอิพี
เลี้มแสดงอาการ "หืง" ให้เขาเห็นแล้วนะแอร์
โอ่ยยถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆรับลองแอร์แพ้แน่
พี่ดิฟน่ารักกกกกก