“...” ฉันอึ้งไปกับประโยคเชิญชวนนั่น มันหมายความว่าอะไรกันน่ะ
“มาโสดไปด้วยกันไง” ว่าจบนางก็ฉีกยิ้มหวานออกมา
“เฮ้อ..เพื่อนคนอื่นก็พูดแบบนี้ สุดท้ายเทฉันไปมีผัวหมดแล้ว” เป็นเรื่องที่น่าเศร้าแถมเหล้าก็ช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะยัยปักปิ่นนี่คือตัวดีมาก ปากบอกว่าจะเตรียมขึ้นคานไปด้วยกันแต่เปลี่ยนผัวไปสิบคนแล้ว น่าตีป้ะ
“ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้ไปหาอะไรกินไหมคะ” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุย
“ชวนกินอีกแล้ว” เมื่อวานก็ได้ข่าวว่าเพิ่งชวนกินไป
“ถ้าไม่กิน เธออยากทำอะไรล่ะ”
พอได้ยินคำถามนั้นฉันก็ยิ้มกริ่มออกมา แอคทิวิตี้ของเรามันมีเยอะจะตายนอกจากเรื่องกิน อย่างเช่น..
...
“ร้านเครื่องสำอาง?” ไคลี่ถามเมื่อเห็นว่าโดนลากมาหน้าร้านเครื่องสำอางเปิดใหม่
หลังจากที่ฉันว่ายน้ำเสร็จแล้วเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาแล้ว (คราวนี้ฉันเปลี่ยนเองไม่ได้ให้ใครช่วยถอดอีกแล้ว เจ็บมือนิดหน่อยก็ทนเอา) ฉันกับไคลี่ก็ออกมาเดินห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย โดยเวลาตอนนี้เพิ่งบ่ายสามโมง ฉะนั้นเราสองคนยังเตร็ดเตร่กันได้เรื่อยๆ
“ใช่แล้ว” ฉันน่ะอยากจะไปกับยัยปกปิ่นตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่ว่าไม่สะดวก
“อ้อ ดีเลยค่ะ เค้าก็อยากได้ลิปสีใหม่เหมือนกัน” เห็นไหม..นางต้องเห็นด้วยกับฉันอยู่แล้ว
ในเมื่อเราใจตรงกันขนาดนี้ โซนแรกที่ต้องไปก็คือลิปสติกแล้วป้ะ ฉันได้ข่าวว่าจากปินเพื่อนรักว่าเขาจัดโปรโมชั่นสำหรับเปิดร้านสัปดาห์แรก มีหลายแบรนด์ดังๆ มาลงขายมากมายอีกด้วย ฉันกวาดสายตามองไปรอบร้านอย่างสนอกสนใจก่อนจะสะดุดที่ลิปสีหนึ่ง
“แกว่าอันนี้ดีไหม” ฉันเอื้อมมือไปหยิบเป้าหมายขึ้นมาพร้อมชูให้คนเป็นเพื่อนดู
“ก็ดีค่ะ แต่ทชาเหมาะกับสีอ่อนๆ นะ” ไคลี่พยักหน้ายอมรับว่ามันดีแต่ว่าอีกฝ่ายกลับคิดว่ามันไม่เหมาะกับฉัน นางมองหาสีอื่นแทน “อันนี้ดีกว่า”
“สีชมพูกุหลาบอะเหรอ” เหมือนฉันจะยังไม่เคยมีสีนี้พอดีเลย
“อืม ไหนขอมือหน่อย”
ฉันวางมือไปบนมือของอีกฝ่ายเมื่อได้ยิน ไคลี่จึงเปิดตัวเทสเตอร์ออกมาแล้วทาลงบนหลังมือของฉันเพื่อให้เห็นสีที่แท้จริงของลิป
“โอ๊ะ สวยดีนี่” ฉันยกมือขึ้นมาดูสีลิปชัดๆ ก่อนจะพบว่ามันก็ดูน่ารักดี
“เค้าก็ว่าสวย เข้ากับเธอ”
“แกมีเซ้นส์เรื่องเครื่องสำอางนะเนี่ย” ปกติแล้วเพื่อนในเดอะแก๊งค์ไม่ค่อยมีใครถนัดเรื่องเทสเครื่องสำอางมากนักหรอก ไม่ว่าจะหญิงแท้หญิงเทียมก็เถอะ ส่วนใหญ่ก็ซื้อตามความชอบอะไรพวกนั้น “สนใจเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์เปล่า”
“ไม่เอาหรอก แค่นี้เค้าก็แทบไม่มีเวลานอนแล้ว” อีกคนตอบกลับมาพร้อมกับหัวเราะเสียงเบา
อ่า..จริงสิ เมื่อวานฉันเห็นสภาพนางที่ดูซบเซาก็น่าจะทำงานหนักพอตัว
“ถ้างั้นแกก็เป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ให้ฉันคนเดียวละกัน” ฉันพูดติดตลกไปอย่างนั้น
“ได้ค่ะ” ไม่คิดว่าอีกคนจะตอบตกลงด้วย
“สรุปเอาแท่งนี้สีนี้เลยแล้วกัน” ฉันเปลี่ยนกลับมาคุยเรื่องลิปสติกต่อ หลังจากที่ได้ลิปแล้วก็ควรไปดูอย่างอื่นด้วยหรือเปล่านะ “ซื้อเครื่องสำอางแกจะกลับเลยป้ะ”
“เค้าเสร็จจากนี่ก็คงกลับห้องค่ะ เธอล่ะ”
“ฉันว่าจะไปเดินร้านหนังสือต่อน่ะ แกกลับก่อนก็ได้” สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับชีวิตการเดินห้างก็คือร้านหนังสือนี่แหละ ฉันมีหนังสือเก็บไว้เยอะแยะมากมายแบบที่ยังไม่อ่านหลายสิบเล่มเลย มันคือการซื้อไว้เพื่อความสบายใจน่ะ
“งั้นเค้าไปด้วย เค้าก็ชอบเข้าร้านหนังสือเหมือนกัน” ไคลี่กล่าว
“จริงดิ” คำพูดนั้นทำให้ฉันรู้สึกดีใจ เพราะว่าเพื่อนในแก๊งค์ไม่มีใครชอบเข้าร้านหนังสือเหมือนฉันเลยสักคน พอฉันพามันไปมันก็จะชอบบ่นว่าชักช้าให้รีบดูรีบซื้อ โธ่..หนังสือน่ะมันต้องค่อยๆ ดูสิ จะให้หยิบแล้วจ่ายเหมือนซื้อน้ำมันหอยมันก็ไม่ได้ป้ะวะ
“ใช่ค่ะ ว่าแต่เธอชอบอ่านแนวไหน”
“ก็..ส่วนใหญ่เป็นนิยายจีนไม่ก็แฟนตาซี” ฉันตอบหลังจากนึกอยู่สักพัก อันที่จริงฉันอ่านได้ทุกแนวเลยถ้ามันสนุกและถูกใจ แต่ส่วนใหญ่เน้นซื้อสองแนวข้างต้นนั่นมากกว่า
“ก็คล้ายๆ กันนะ เค้าก็ชอบอ่านนิยายจีน” นี่นางเป็นเพื่อนที่ตรงโจทย์ชีวิตฉันมากซะเหลือเกิน ฉันต้องรักษาเพื่อนคนนี้เอาไว้ให้นานที่สุด กว่าจะได้เจอคนที่รสนิยมตรงกันหลายเรื่องแบบนี้มันไม่ง่าย
“เสียดายนะ ตอนสอบเข้าน่าจะเรียนมนุษยศาสตร์เอกภาษาจีน เอาไว้แปลนิยายที่อยากอ่านแต่ยังไม่มีเวอร์ชั่นภาษาไทย” ฉันพูดไปก็คิดถึงนิยายหลายเรื่องไปด้วย อยากอ่านแต่อ่านไม่ออกต้องรอสำนักพิมพ์ในไทยเอามาแปลอีกที
“เธอลองส่งเรื่องที่อยากอ่านมาให้เค้าก็ได้ค่ะ ถ้าว่างแล้วจะแปลให้”
“อะไร? พูดแบบนี้แสดงว่าแกอ่านภาษาจีนได้เหรอ” ดวงตาของฉันกำลังลุกวาว
“ก็พอพูดได้แปลได้อยู่นะ แต่เค้าแปลให้เธออ่านคนเดียวนะ อย่าส่งต่อเชียว” ไคลี่กำชับประโยคหลังอย่างหนักแน่น ซึ่งถึงไม่กำชับไว้ฉันก็ไม่ส่งต่อหรอก เพราะไม่มีใครอ่านหนังสือพวกนี้เหมือนฉันอยู่แล้ว (เศร้าว่ะ..)
“ฉันเกรงใจแกจังเลยอะ” เอาเข้าจริงๆ แล้วมันก็ไม่กล้าไปรบกวนเจ้าตัวขนาดนั้นหรอก
“ไม่ได้รบกวนสักหน่อย ก็ไว้ว่างๆ ไง”
“งานแปลไม่ใช่งานที่ง่ายนี่นา บางทีคิดเงินตั้งหลายตังค์ได้ด้วย..แต่แกจะมาทำให้ฟรีๆ มันก็เกรงใจไง” ฉันมีเพื่อนที่เรียนภาษาต่างประเทศแล้วรับจ้างแปลงานต่างๆ ด้วย งานชิ้นหนึ่งมันก็ต้องตรวจสอบอยู่หลายครั้ง แต่ถึงกระนั้นยังมีข้อผิดพลาดหลุดออกมา
“แบบนั้นเค้าไม่ทำฟรีก็ได้ เธอจะจ้างเค้าไหมล่ะ” ไคลี่ลองยื่นข้อเสนอนั้นมาให้ ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่ดีและฉันเห็นด้วยนะ แต่ว่า..
“ฉันไม่มีเงินจ้างแกหรอก” ปัญหามันคือเรื่องนี้น่ะสิ
“เปล่าค่ะ ไม่ได้ให้จ่ายด้วยเงิน แต่จ่ายด้วยอย่างอื่นแทน” พูดแล้วก็ส่งยิ้มอ่อนมาให้ด้วย
“แล้วจ่ายด้วยอะไรอะ” ฉันไม่ค่อยไว้วางใจกับคำว่าจ่ายด้วยอย่างอื่นนั่นของเจ้าตัวเลย นางจะไม่พาฉันไปทำอะไรแปลกๆ ใช่มะ
“ก่อนอื่นจ่ายเงินค่าลิปแล้วไปร้านหนังสือกันเถอะค่ะ ค่อยว่ากันทีหลัง” ตัดบทเฉยเลย
“อ้าว แล้วแกไม่เลือกซื้อเครื่องสำอางของแกก่อนเหรอ” เหมือนว่าไคลี่จะยังไม่ได้อะไรสักอย่างเลยแฮะ ส่วนฉันก็ตั้งใจว่าจะไปเลือกรองพื้นเพิ่มด้วย
“อ๋อ เพิ่งคิดได้ว่าอันเก่ายังมีอยู่ยังไม่อยากซื้อเพิ่มน่ะค่ะ สิ้นเปลือง”
คำว่าสิ้นเปลืองนั้นช่างเสียดแทงใจดำเหลือเกิน.. ขนาดคนที่รวยกว่ายังคิดได้ แล้วฉันมีเศษเงินอยู่แค่นี้ทำไมถึงคิดไม่ได้กันนะ
เนียนมากกก
เนียนนนนนเลยไคลี่
แงงงงงงงง รอค่าาาา
เทอพูดอะไรออกมาาาา