ตอนที่ 2 : #ลองรักเกส | 01 : Yves Saint Laurent
1
วันต่อมา
“คัท!! ดีมากครับทุกคน” เสียงของผู้กำกับประจำกองถ่ายเอ็มวีของวันนี้ก็ดังขึ้น ก่อนที่ทุกอย่างเบื้องหน้าจะหยุดลงพร้อมกับเสียงปรบมือจากทีมงาน
“วันนี้เลิกกองได้ครับ”
เพราะว่านี่เป็นวันถ่ายเอ็มวีสำหรับเพลงใหม่ของเจน่าที่จะปล่อยในเดือนหน้าฉันจึงต้องมานั่งดูแลงานด้วยแม้ความจริงจะไม่จำเป็นก็เถอะ ตั้งแต่เช้ายันตอนนี้ก็เย็นมากโขแล้วทุกคนล้วนเหนื่อยล้ากับการทำงานไม่น้อยรวมถึงแม่ตัวเด่นของงานนี้อย่างเจน่า
พูดถึงก็เดินหน้าเหนื่อยๆ ออกมาจากหน้ากล้องเลยนั่น
“นี่..เพลงหน้าไม่ต้องมีพระเอกเอ็มวีแล้ว กูขี้เกียจเล่นกับผู้ชายอะ” มันทิ้งกายนั่งลงยังเก้าอี้พลาสติกด้านข้างฉันพร้อมกับหยิบน้ำขึ้นมาดื่มคลายร้อน
สถานที่สำหรับการถ่ายทำคือสวนดอกไม้กลางแจ้งที่ทำเรื่องขอสถานที่มาถ่ายทำเป็นเดือนๆ ด้วยความที่เป็นฤดูร้อนแถมยังอยู่กลางแจ้งก็ไม่แปลกที่หลายคนจะเหนื่อยล้าเร็ว
“ต้องไปขอโปรดิวเซอร์มะ กูไม่ได้เป็นคนคิด” ฉันตอบผู้เป็นเพื่อน
“ก็มึงเป็นคนอนุมัติ”
นั่นก็จริงแหละ
“งั้นเพลงหน้าจะหานางเอกเอ็มวีให้แทน โอเคปะ”
“ขอสวยๆ หน้าตาน่ารักๆ ตัวเล็กๆ”
“เรื่องมาก” ฉันว่าให้มันไปทีหนึ่งพลางถอนหายใจเล็กน้อย ความจริงแล้วเจน่ายังไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่าเธอชอบผู้หญิงแต่ก็ดูเหมือนว่ากลุ่มแฟนคลับบางกลุ่มจะรับรู้ในข้อนั้นดีอยู่แล้ว แล้วนั่นก็ยิ่งทำให้เธอฮอตในหมู่แฟนคลับผู้หญิงมากขึ้นอีกด้วย
“คืนนี้ไปตี้กันป้ะ” คนที่ชอบเที่ยวอย่างอีกฝ่ายเอ่ยชวนเรื่องนี้อีกครั้ง
“ทำไมถึงได้ชอบชวนกูไปตี้อยู่เรื่อย กูมีงานมีการทำนะ”
“จะทำงานเหี้ยอะไรทั้งวันทั้งคืน พักบ้างเถอะแม่คุณ” มันถอนหายใจใส่ฉันกลับมาบ้างก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมากดจิ้มอะไรอยู่พักหนึ่งแล้วหันหน้าจอมาให้ฉันดู “นี่ดูสิ ร้านนี้เป็นของไอ้เฟิร์สไง ที่มันบอกไปเปิดร้านใหม่ ไปอุดหนุนกิจการเพื่อนกันเถอะ”
เฟิร์สคือชื่อของเพื่อนคนหนึ่งสมัยเรียน ซึ่งฉันไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่มิหนำซ้ำยังเกือบลืมไปแล้วถ้าเจน่ามันไม่พูดขึ้น ความจริงแล้วฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนเยอะและสานสัมพันธ์กับชาวบ้านเขาไม่ค่อยเป็นน่ะ ตรงกันข้ามกับไอ้เจน่าที่มันเก่งเรื่องการชวนคุยจนมีเพื่อนเยอะ
“ไม่เอาอะ มึงเองก็อย่าเที่ยวบ่อยจนเสียงานล่ะ” ฉันปฏิเสธอีกครั้ง
“พรุ่งนี้ตารางงานกูว่างมากๆ ว่างยิ่งกว่าหัวใจตอนนี้อีก”
“อี๋ เลี่ยน” ฉันหันไปเบ้หน้าใส่ผู้เป็นเพื่อน
“ไปเถอะนะ กูเลี้ยงก็ได้”
ก็แค่ค่าเครื่องดื่มค่าโต๊ะเล็กๆ น้อยๆ ฉันไม่จำเป็นต้องให้มันเลี้ยงหรอกนะ แต่ว่าเห็นแก่ความพยายามที่จะชวนกันไปให้ได้ฉันก็จะยอมไปด้วยแล้วกัน
“เออก็ได้ แต่ว่าไม่ดื่มเยอะนะต้องขับรถ”
“ตามสบาย เอาที่มึงสบายใจ” เจน่าไหวไหล่หลังจากที่ยิ้มดีใจที่ฉันตกลงไปเที่ยวกับเจ้าตัว
@FIRST CLUB
สถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายมาสังสรรค์ สถานที่ที่มีเสียงเพลงดังไปทั่วบริเวณ เป็นสถานที่ที่ฉันมาแทบนับครั้งได้ในระยะเวลาหลายเดือน ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะฉันเป็นคนไม่ค่อยชอบที่ที่มีคนเยอะวุ่นวายนัก อีกส่วนก็คงเป็นเพราะฉันไม่ชอบดื่ม ทุกครั้งที่ต้องดื่มนั่นก็แค่การทำเพื่อเข้าสังคมเท่านั้น
เขาบอกว่าเหล้าจะรสชาติดีขึ้นก็ตอนที่เราอกหัก แต่ฉันน่ะลืมความรู้สึกของคำว่าอกหักหรือคำว่ารักไปแล้ว
“ไม่ได้เจอกันนานเลย เป็นยังไงบ้าง” เจ้าของร้านที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนเดินเข้ามาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหลังจากที่ฉันกับเจน่าเลือกนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งแล้วเรียบร้อย
“สบายดีมากเลยหละ” เจน่าเป็นคนตอบคำถามนั้น
“ก็ต้องอย่างนั้นล่ะเนอะ เป็นนักร้องดังแล้วนี่นา แฟนคลับเธอเยอะแยะไปหมด” เฟิร์สหัวเราะในลำคอเบาๆ “เดี๋ยวเราขอถ่ายรูปกับแกไปอวดเพื่อนคนอื่นดีกว่า”
“ไม่ได้นะ ห้าม” แต่ว่าประโยคนั้นคือฉันพูดเอง “เจน่าเป็นคนมีชื่อเสียง ถ้ามีรูปถ่ายกับผู้ชายในที่แบบนี้หลุดออกไปจะดูไม่ดี”
“อ่า..โอเค ก็ได้” เฟิร์สชะงักไปเมื่อได้ยินฉันบอกเช่นนั้น
“เห้ย นิดๆ หน่อยๆ ไหมมึง นี่เพื่อนไง”
“ไม่ได้ กูมีหน้าที่รักษาภาพลักษณ์ของมึงนะ” ฉันยอมรับเลยว่าเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวดกับศิลปินในความดูแลเป็นอย่างมาก
“เออๆ งั้นเราขอโทษด้วยนะ โหดกว่าผู้จัดการส่วนตัวก็อีบอสคนนี้นี่แหละ”
“ไม่เป็นไร เราเข้าใจ งั้นเต็มที่เลยนะ” เพื่อนสมัยเรียนพูดจบประโยคนั้นเขาก็หมุนตัวเดินออกไป เหมือนเขาจะแอบเฟลนิดหน่อยด้วย
“มึงก็พูดเกินไปป้ะ ทำให้กูเข้าถึงยากไปไหน” ไอ้เจหันมาบ่นทันที
“ไม่เกินไปอะไรทั้งนั้น แล้วตอนที่กูกับคุณเอ้ไม่ได้คอยดูแลมึง มึงก็ต้องดูแลตัวเองด้วย” พูดตามตรงเลยว่ามันคือศิลปินที่ฉันลำบากใจด้วยมากที่สุดแล้ว
ด้วยความคำว่า‘เพื่อน’ มันค้ำคอนั่นเลยทำให้ฉันก็ยังต้องมีมุมเกรงใจกับมันบ้าง ไม่เหมือนกับคนอื่นที่มีความสัมพันธ์แค่เจ้านายกับลูกน้องอย่างเดียวจึงเข้มงวดได้เต็มที่
“รู้แล้วน่ะ” มันขมวดคิ้วจากนั้นจึงยกมือเรียกเด็กเสิร์ฟคนหนึ่งของร้านให้เดินมาที่โต๊ะ “แล้วนี่มึงดูหงุดหงิดอะ เป็นอะไรป้ะเนี่ย”
“เปล่าหนิ กูปกติ”
“ปกติก็แย่ละ มองจากดาวอังคารก็รู้ว่ามึงกำลังอาภาพร นครสวรรค์”
“คือ?” ฉันถึงกับงงเมื่อได้ยินชื่อของนักร้องคนหนึ่งที่มีเพลงดังมากๆ เมื่อเป็นสิบกว่าปีที่แล้ว
“อารมณ์เสียไง อารมณ์เสีย อารมณ์เสีย อารมณ์เสีย” หลังจากที่เฉลยมุกของตัวเองจบ ไอ้เจน่าก็เริ่มร้องเพลงใส่ทำนองออกมาพร้อมยกมือทั้งสองข้างมาจับหัวเป็นการเต้นประกอบเพลง
เมื่อเห็นแบบนั้น ฉันจึงขยับปากเป็นคำพูดแต่ไม่ได้เปล่งเสียว่า‘ควาย’ แบบเสียงสั้นๆ แต่คนที่โดนด่ากลับหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ
หลังจากที่เครื่องดื่มมาเสิร์ฟ ช่วงเวลาแห่งการพูดคุยก็มาถึง
“จะว่าไปร้านนี้ก็บรรยากาศดีนะเนี่ย น่ามานั่งชิลบ่อยๆ” เจน่าเปิดประเด็นก่อนจะกล่าวต่อไปอีก “เห็นแล้วคิดถึงแฟนที่ห้าที่ได้มาสบตาปิ๊งรักกันในร้านแบบนี้”
“มึงนับด้วยเหรอว่ามีแฟนมาแล้วกี่คน” ฉันหละยอมใจจริงๆ
“แน่สิ ทุกคนที่ผ่านเข้ามาให้รักล้วนเป็นคนสำคัญสำหรับกู ถึงแม้ว่าบางคนจะคบกันได้แค่สามเดือนก็เถอะ” อีกฝ่ายเล่าถึงชีวิตรักในอดีต
มันเคยคบผู้หญิงคนหนึ่งแค่3 เดือนน่ะ ตอนเลิกกันก็นึกว่าจะเอาฮาแต่เปล่าเลยเพราะดันจริงจัง ฉันไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากเนื่องจากมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อนและฉันก็ขี้เกียจไปถามไปเซ้าซี้
“แล้วจะมีอีกไหมเร็วๆ นี้” ก็ถามถึงเรื่องมีแฟนนั่นแหละ
“ถามอย่างกับมึงจะให้กูมี” เจน่าเบะปากคว่ำใส่ฉันตอนพูดออกมา “มึงคงคาดหวังจะให้กูตอบว่า ไม่หละ..อยากทุ่มเทกับการทำงานและมอบความรักให้แฟนคลับเต็มที่มากกว่าล่ะสิ”
ฉันหัวเราะขึ้นมาเป็นครั้งแรกของวันนี้
“ได้ก็ดีนะ” เพราะศิลปินคนนี้ที่ดังได้ส่วนหนึ่งก็เพราะหน้าตาและภาพลักษณ์ของเจ้าตัวเอง ถ้ามีข่าวว่ามีแฟนแล้วฐานแฟนน่าจะหายไปส่วนหนึ่งแน่ๆ
“เออน่ะ กูจะตั้งใจทำงานให้มึงเต็มที่เลย” มันยกแก้วเครื่องดื่มในมือขึ้นมาจิบเล็กน้อยและเริ่มไปที่คำถามต่อไป “แล้วมึงอะ ไม่หาแฟนเป็นตัวเป็นตนบ้าง”
“หาทำไมอะ” ฉันไม่ได้กวนตีนแต่สงสัยจริงๆ “มีแฟนแล้วมีประโยชน์ยังไง”
“คนเราอะมึง เกิดมาคนเดียวก็ต้องตายคนเดียว ตอนมีชีวิตอยู่ไม่อยากมีใครสักคนมาอยู่ด้วยเหรอ มาเติมเต็มความสุขของตัวเอง มาเป็นเพื่อนชีวิตคอยดูแลกันช่วยเหลือกัน”
“ตอนนี้กูก็แฮปปี้กับชีวิตแบบนี้ดีอยู่แล้ว” ฉันคิดว่าตัวเองคงไม่ต้องการอะไรอีก ถ้าจะมีคนพิเศษให้คลายเหงาฉันก็ส่องและคุยกับใครสักคน (หรือหลายคน) เอาก็ได้ แต่คงไม่คบ
“ชีวิตมึงน่ะน่าเบื่อ กูมองมึงทำงานทุกวันยังเบื่อแทน” เจน่าทำหน้าหนักใจเล็กน้อย
“แล้วยังไง กูอยู่คนเดียวแบบนี้มันทำให้มึงลำบากใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ถ้ากูน่ะไม่ แต่แม่มึงก็คงลำบากใจถึงได้หาคู่หมั้นมาให้มึงนี่ไง”
ฉันชักสีหน้าอย่างอัตโนมัติเมื่อได้ยินคำว่าคู่หมั้นที่แม่หามาให้ นี่แหละสาเหตุของการอารมณ์เสียของฉันเพราะก่อนหน้านั้นน่ะแม่เรียกฉันไปคุยเรื่องนี้อีกครั้งบอกว่าคนที่ชื่อเกสอะไรนั่นจะกลับไทยเร็วๆ นี้หลังจากไปเรียนต่างประเทศ ซึ่งฉันจะต้องเตรียมตัวไปเจอกับผู้ชายคนนั้นในเร็ววันน่ะสิ
“กูเบื่อจะคุยเรื่องนี้อะ กูไม่ได้อยากหมั้นสักหน่อย”
“ก็ลองดูจะเป็นไรไป ไหนๆ มึงก็บอกว่าไม่อยากมีความรักแล้ว” ผู้เป็นเพื่อนแค่นหัวเราะใส่ “ไม่แน่มึงอาจจะชอบเขาก็ได้”
“กูไม่คิดว่าชาตินี้ตัวเองจะกลับไปชอบผู้ชายได้แล้ว”
“เพศมันก็แค่ส่วนหนึ่งของความรักป้ะ อะไรก็การันตีไม่ได้หรอก มึงบอกว่าที่มาชอบผู้หญิงเพราะรู้สึกสบายใจกว่า บางทีเขาคนนั้นอาจจะเป็นความสบายใจของมึงได้เหมือนกันนะ” นานทีมันจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา เป็นคำพูดที่ดูไม่เลี่ยนเหมือนก่อนหน้านั้น
“ดูมึงจะเชียร์ให้กูยอมรับการคลุมถุงชนเหลือเกินนะ” ฉันต้องการคนที่เข้าข้างฉันนะเว้ย
“เอ้า กูแค่พูดเผื่อไว้ว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่แย่ขนาดนั้นไง แต่ถ้ามันแย่มึงก็แค่หย่าเท่านั้นเอง มึงโตแล้วนะจะทำอะไรก็เรื่องของมึงป้ะ”
“มึงดูพูดง่ายอะ” ถึงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าสบายใจขึ้นมาหน่อยแล้วแต่มันก็ยังมีความหนักใจอีกอยู่ดี
“แล้วจะให้พูดยากแค่ไหน”
“เบื่อมึงว่ะ” ฉันว่าแล้วก็หยิบแอลกอฮอล์เข้าปากบ้าง ซึ่งคราวนี้รสชาติมันดีขึ้นกว่าครั้งก่อนที่มานั่งดื่ม อาจจะเป็นเพราะเปลี่ยนร้าน เปลี่ยนสูตรที่ดื่ม หรือเป็นเพราะกำลังเครียดอยู่กันแน่นะ
รวย เครียด กินเหล้าไรงี้ ที่ใช้คำว่ารวยเพราะฉันไม่ได้จน
“มาๆ วันนี้มาผ่อนคลาย อย่าเครียดนักเลย” เจน่าตัดบทด้วยการชูแก้วในมือตัวเองขึ้นมา
ฉันที่รู้ว่าเพื่อนต้องการอะไรจึงยกแก้วตัวเองขึ้นไปชนกับอีกฝ่ายก่อนที่เราทั้งคู่จะดื่มมันเข้าไปพร้อมกัน เวลาได้หมุนเวียนผ่านไปเรื่อยๆ จนฉันหลงลืมความตั้งใจแรกที่ว่าจะไม่ดื่มเยอะ
แต่ว่าตอนนี้กลับเริ่มมึนหัวมากๆ
“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ” ฉันบอกกับเพื่อนสนิทก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมคว้ากระเป๋าสะพายไปด้วย
รู้สึกตัดสินใจผิดเป็นอย่างมากที่ใส่รองเท้าส้นสูงมาเพราะการก้าวเดินแต่ละก้าวมันช่างยากลำบากเหลือเกิน แถมอาการเวียนหัวนี่ก็ยิ่งทำให้ฉันเดินเซไปมาจนขาแพลงไปหลายรอบแล้ว
ถอดทิ้งแม่ง
ฉันก้มตัวลงไปปลดสายรองเท้าที่รัดข้อเอาไว้ก่อนจะถอดรองเท้าออกแล้ววางมันทิ้งไว้บนพื้นเพราะขี้เกียจถือมันเข้าไปในห้องน้ำด้วย
แล้วเมื่อจัดการทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วจึงเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับความรู้สึกเหมือนลืมอะไรสักอย่าง
อ่า แสงไฟของที่นี่มันแยงตาฉันจังเลย ฉันหยุดยืนกับที่นิ่งๆ เพราะยังรู้สึกเวียนหัวไม่หาย อยากจะกลับไปทิ้งตัวลงนอนที่ห้องเต็มแก่แต่ก็หมดแรงจะก้าวเดินไปไหนแล้ว
นี่ฉันดื่มไปขนาดไหนกัน...
“คุณครับ”
ฉันได้ยินเสียงเรียกของใครสักคนดังขึ้น ซึ่งเขาคนนั้นคือผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งที่กำลังถือวัตถุบางอย่างที่แสนจะคุ้นตาไว้ในมือ
อ้อ..นั่นรองเท้าฉันที่ถอดทิ้งไว้
“อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ ไม่ควรถอดทิ้งไว้เรี่ยราดนะ” เขาเอ่ยบอกกับฉันก่อนจะยื่นมันมาไว้ตรงหน้าเพื่อหวังจะให้ฉันรับมันไปจากมือ
“..” ฉันยืนนิ่งจ้องมองใบหน้านั้น รู้ได้ไงว่ามันคือของฉัน?
“ถ้าไม่รับไว้ จะใส่ให้นะ” พอพูดจบประโยคนั้นชายคนดังกล่าวก็ย่อตัวลงไป มือนั้นเอื้อมมือมาจับข้อเท้าข้างซ้ายของฉันก่อนจะสวมรองเท้าที่เก็บได้ในมือนั่นมาให้ พอเสร็จแล้วก็ตามด้วยข้างขวา
การกระทำนั้นทำให้ฉันตกใจเล็กน้อยและพยายามจะถอยหนีแต่ก็ทำไม่ได้ ด้วยความที่ตอนนี้กำลังมึนหัวอย่างมากและไม่ต้องการพูดคุยกับใครทั้งนั้น
เหมือนจะวูบเลยด้วย
“นี่ ได้ยินหรือเปล่า..ไหวไหม”
โสตประสาทของการได้ยินยังคงสามารถรับรู้เสียงนั้นได้ แต่นั่นก็เป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินก่อนที่ภาพตรงหน้าจะตัดไป
....
ฉันอยู่ที่ไหน
นั่นคือคำถามแรกที่ถามกับตัวเองหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมห้องหนึ่งที่ไม่คุ้นเคย แล้วนั่นก็ทำให้ตกใจจนต้องรีบลุกขึ้นมานั่ง ฉันรีบหันมองไปรอบบริเวณนี้อย่างร้อนรนก่อนจะพบว่ามันคือห้องนอนของใครสักคน ทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะลิ้นชักด้านข้าง โต๊ะทำงานที่มีแล็บท็อบวางเอาไว้พร้อมด้านข้างมีเอกสารกองพะเนิน รวมถึงเตียงที่ฉันกำลังนั่งอยู่นี่ มันล้วนเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่านี่คือห้องนอนของใครสักคน ไม่ใช่โรมแรมหรือเรสซิเด้นท์ชั่วคราว
ไหล่ทั้งสองข้างสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศมากระทบอยู่เป็นระยะนั่นจึงทำให้ฉันเพิ่งสังเกตว่าตัวเองไร้อาภรณ์ปิดปิดร่างกาย แล้วที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือฉันไม่ได้อยู่บนเตียงหลังนี้คนเดียว แต่หากมีใครบางคนนอนคว่ำอยู่อีกฝั่งของเตียงเสียด้วย แค่เห็นแผ่นหลังเปล่าเปลือยนั่นก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย
เชี่ย!
มันเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้?
ฉันรีบกระซับผ้าห่มเข้ามาปกปิดตัวเองหลังจากที่เห็นว่าเจ้าของร่างด้านข้างเริ่มขยับตัวเล็กน้อย สายตาก็พลางมองหาสอดส่องเสื้อผ้าของตัวเองไปด้วย พยายามทำตัวให้มีสติแม้ในใจจะกระวนกระวายและประสาทเสียแค่ไหนก็ตาม ก่อนอื่นเลยฉันต้องไปหยิบเสื้อผ้าที่ตกกระจัดกระจายอยู่ที่พื้นข้างเตียงนั่นมาสวมใส่ก่อน
แต่ในระหว่างที่จะลุกออกไปมือของใครสักคนก็เข้ามาคว้าแขนของฉันเอาไว้ และมันจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก
“จะไปแล้วเหรอครับ?”
ฉันพยายามจะดึงตัวเองออกมาจากการจับกุมนั่นแต่ก็ไม่สำเร็จ
“ปล่อย” หัวใจของฉันเต้นระส่ำด้วยความตกใจ และแอบหวาดกลัวอยู่ในใจลึกๆ เพราะตั้งแต่เกิดจนโตมาอายุเท่านี้ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้เลยสักครั้ง “เราไม่รู้จักกัน”
“ไม่อยากทำความรู้จักกันสักหน่อยเหรอ” เขาพลิกตัวและหยัดกายขึ้นมานั่งเช่นกัน แล้วนั่นก็ทำให้ฉันได้เห็นหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
ใบหน้าที่คุ้นเคยนี้ทำให้ฉันชะงักไป แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจออีกคนที่ไหน
“ไม่ และไม่ว่าเมื่อคืนจะเกิดอะไรขึ้นบ้างฉันก็ไม่อยากรู้” ฉันออกแรงสะบัดแขนของตัวเองออกมาจนเป็นอิสระแล้วก็รีบก้มลงไปหยิบชุดของตัวเองขึ้นมาเพื่อสวมใส่อย่างเร่งรีบ
ใช่ ตอนนี้ฉันกำลังหัวเสียเป็นอย่างมาก แล้วมันก็ยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีกตอนที่เห็นผู้ชายอีกคนนั่งมองยิ้มๆ ฉันไม่รู้และจำไม่ได้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรแล้วก็ไม่ต้องการที่จะจำได้ด้วย นับเป็นเรื่องเฮงซวยในรอบหลายปีเลยหรือเปล่านะ
ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่เคยทำเรื่องอย่างว่าแต่ต้องบอกว่าฉันไม่เคยทำเรื่องนั้นกับผู้ชายมากกว่า นี่เป็นครั้งแรก..
“ไม่อยากแนะนำตัวหน่อยเหรอ”
จะบ้าตาย มันอะไรกัน
“นี่ แค่คืนเดียวมันไม่จำเป็นต้องรู้จักกันหรอก” ฉันแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วคว้ากระเป๋าขึ้นมาเปิดเช็คข้าวของด้านใน โชคดีที่ทั้งโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ไม่มีอะไรหาย แต่ว่าต้องตรวจดูเงินในกระเป๋าด้วย
“ผมไม่ขโมยของคุณหรอกนะ” เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นการกระทำและเดาจุดประสงค์ของฉันได้
“ก็เช็คเผื่อไว้ไง ใครจะไปรู้ เราไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย”
“มั่นใจเหรอว่าเราไม่รู้จักกัน?”
จู่ๆ ก็ถามอะไรน่ะ
“แน่สิ ฉันไม่รู้จักคุณ” ถึงจะแอบคุ้นหน้าในตอนแรกก็เถอะ แต่ว่าฉันก็ยังนึกไม่ออก เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันไม่รู้จักเขาน่ะถูกต้องแล้ว
“เสียใจเลยนะ แต่ไม่เป็นไรหรอกไว้เจอกันครั้งหน้าผมจะแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ”
“ไม่มีครั้งหน้า เราจะไม่เจอกันอีก” หลังจากที่เก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าเสร็จฉันก็หันหน้าไปพูดกับชายคนดังกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่นชัดถ้อยชัดคำ
“คุณเลี่ยงไม่ได้หรอก”
ทำไมถึงได้ดูมั่นใจนักนะ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ไอ้รอยยิ้มนั่นอีกมันช่างดูกวนประสาทจนน่าหงุดหงิดอย่างทวีคูณเลย

Castle-G's Talk
นั่นแน่ คุณคนนี้คือใครกันนะ?
(จริงๆ ก็รู้คำตอบแหละ แต่แสร้งสงสัยไปงั้น)
___________________________________________
เข้าไปพูดคุยกันได้ที่ #ลองรักเกส ในทวิตเตอร์ได้ค่า
อยากปล่อยให้จีเล่นอยู่คนเดียว 55555555555
เฟซบุค : Castle-G | ทวิตเตอร์ : @castleglint
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

116 ความคิดเห็น
-
#87 DaizyDuck (จากตอนที่ 2)วันที่ 8 มกราคม 2563 / 09:42บอสฉายไม่อยากเจอใครน้าาาาา#870
-
#82 My_smile (จากตอนที่ 2)วันที่ 4 มกราคม 2563 / 11:05ชอบพี่เค้าอ่ะะ ชอบพี่เกสสส#820
-
#79 ✨•P•u•y•z•Z•i•i•✨ (จากตอนที่ 2)วันที่ 3 มกราคม 2563 / 22:31เอ๋ะใครนร้าาาาาาา ไม่รู้เล้ยยยยยยย#790
-
#76 Patcha_Kingy (จากตอนที่ 2)วันที่ 28 ธันวาคม 2562 / 21:41ทำไมอ่านไม่ได้งะ?#760
-
#75 My_smile (จากตอนที่ 2)วันที่ 28 ธันวาคม 2562 / 17:09รอๆนะคะ#750
-
#43 Blue'naruk (จากตอนที่ 2)วันที่ 22 ธันวาคม 2560 / 18:34เจิมมมมมม#430
-
#42 MayKeovongxai (จากตอนที่ 2)วันที่ 22 ธันวาคม 2560 / 15:47เจิมมมมม#420
-
#41 Makmak'엄마 (จากตอนที่ 2)วันที่ 22 ธันวาคม 2560 / 09:59คิดว่าจะไม่กลับมาแต่งต่อแล้วว ฮือออ รอค่า#410
-
#40 Budsaba59 (จากตอนที่ 2)วันที่ 22 ธันวาคม 2560 / 09:01เจิมมมมม#400
-
#39 pownnice2547 (จากตอนที่ 2)วันที่ 22 ธันวาคม 2560 / 08:29ชื่อตอน5555 เจิมมม#390